Group Blog
 
<<
ธันวาคม 2552
 
 
22 ธันวาคม 2552
 
All Blogs
 
ทักษะชีวิต..วัคซีนป้องกันชีวิตลูก



เวลามีข่าวคราวเด็กวัยรุ่นนักเรียนตีกัน ฆ่าตัวตาย ทำร้ายทำลายชีวิตตัวเองหรือผู้อื่น
เพราะสาเหตุคับข้องใจ ผิดหวัง เศร้าโศกกับเหตุการณ์ที่ไม่เป็นไปอย่างที่ต้องการ หรือเพียงสถาบันไม่ถูกกัน

ความ เห็นในเชิงจิตวิทยาบอกเราว่า
นั่นเป็นเพราะเด็กๆ ของเราไม่สามารถบอกตัวเองได้ว่า ชีวิตของตนมีค่า
และมีหนทางอื่นอีกมากมาย ที่จะแก้ไขคลายปมปัญหาชีวิตที่กำลังเผชิญอยู่ได้
โดยไม่ต้องทำร้าย ทำลายตัวเองหรือใคร ๆ หรืออีกนัยหนึ่งคือเด็กขาด..ทักษะชีวิต

อะไรคือ..ทักษะชีวิต

องค์การอนามัยโลกบอกไว้ว่า : เป็นความสามารถของบุคคลด้านสังคมและจิตวิทยา คือ
ความสามารถของบุคคลในการจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ กับความต้องการและสิ่งท้าทายต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน
สามารถที่จะรักษาสภาพจิตใจที่สมบูรณ์ รู้จักแสดงพฤติกรรมที่เหมาะสมเมื่อมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น
หรือในสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ของวัฒนธรรมนั้น ๆ

ขณะที่ในคู่มือดูแลสุขภาพจิตเด็กวัยเรียน ของกรมสุขภาพจิตและสำนักงานการประถมศึกษาแห่งชาติระบุไว้ว่า
: ความสามารถที่จะจัดการกับสภาพความกดดัน บีบคั้น หรือปัญหาที่มีอยู่ในสภาพแวดล้อมรอบ ๆ ตัว
และสามารถที่จะเตรียมพร้อมสำหรับการปรับตัวในอนาคต


ทำไม..ทักษะชีวิตจึงสำคัญ
หันไปมองเจ้าตัวเล็กซึ่งกำลังเล่นตุ๊กตาตัวโปรด หรือเล่นหุ่นยนต์กับเพื่อน
ทักษะชีวิตดังว่าคุณ ๆ อาจรู้สึก..มันไกลเกินตัวลูกไปหน่อย
แต่หากคิดโดยไม่เอาเกณฑ์ของผู้ใหญ่มา วัดกับลูกน้อย
เราจะพบว่าการไม่ได้อะไรอย่างใจ การต้องอดทนรอคอย การถูกเพื่อนแย่งของจากมือไป
แค่นี้ก็ถือเป็นเรื่องบีบคั้นและกดดันสำหรับเด็ก ๆ แล้ว หรือการที่เล่นแล้วรู้จักเก็บของเล่นเข้าที่
รู้จักว่าเวลานี้ต้องทำอะไร หรือแม้แต่ถอดรองเท้าแล้ว รู้จักเก็บวางในชั้นก็เป็นวินัยและความรับผิดชอบของเด็ก
เป็นทักษะที่น่าชื่นชมแล้วไม่ใช่หรือ

อย่าลืมนะคะว่าทักษะทุกๆ เรื่องจะเริ่มต้นจากสิ่งง่าย ๆ ไปหาสิ่งที่ยากขึ้นเรื่อย ๆ ก่อน
เราจะวิ่งได้เร็ว รู้จักหลบหลีกหลุมและอุปสรรคระหว่างทางได้
เราล้วนผ่านการหัดลุกยืน ก้าว และเดินมาก่อนทั้งนั้น
เช่นเดียวกัน ความรู้สึกที่ต้องอดทนรอให้เพื่อนเล่นของเล่นนี้เสร็จก่อนของเด็ก
ย่อมเป็นฐานของความสามารถในการอดทน อดกลั้นกับความรู้สึกผิดหวังเจ็บปวดเมื่อสอบไม่ผ่าน
พลาดหวังในรัก ฯลฯ ยามเมื่อเขาเติบโตขึ้น

ซึ่งหากเด็ก ๆ ได้มีโอกาสเริ่มต้นฝึกหัดจัดการกับภาวะบีบคั้นเล็ก ๆ ในชีวิตประจำวัน
ที่เหมาะสมกับช่วงวัยของเขาด้วยตัวเขาเองอย่างต่อเนื่องจน เกิดเป็นความคุ้นเคย ประสบการณ์เล็ก ๆ เหล่านี้
ก็จะค่อยสะสมเกิดเป็นความรู้ วิธีคิด ทัศนคติและทักษะความสามารถในการจัดการกับสถานการณ์ของชีวิต
ในภายภาคหน้าได้ เมื่อมีเหตุการณ์หรือสถานการณ์ใด ที่เกิดขึ้นกับชีวิตไม่ว่าจะหนักหนา ยิ่งใหญ่
ก็สามารถหยิบทักษะนั้นขึ้นมาใช้ได้โดยอัตโนมัติ


เด็กยุคนี้..ต้องการทักษะชีวิตด้านใด
คุณ หมออัมพล สูอำพัน เน้นว่าพ่อแม่ยุคนี้ ควรเลี้ยงดูลูกโดยปูพื้นฐานทักษะชีวิตเหล่านี้ให้กับลูก ค่ะ

★ 1. ความรู้สึกมั่นคงทางใจ คือ ความรู้สึกอบอุ่นปลอดภัยในตัวเอง
ตัวนี้สำคัญมากค่ะโดยเฉพาะกับเด็กวัย 3 ปีแรก เพราะเป็นฐานของคุณลักษณะหลาย ๆ อย่าง
เป็นตัวที่ทำให้เด็กรู้สึกไว้วางใจโลก และจะพัฒนาไปเป็นความรู้สึกเชื่อมั่นต่อผู้อื่นและตัวเองในที่สุด
ความรู้สึกนี้สร้างได้ง่าย ๆ จากความรัก ความเอาใจใส่
การดูแลใกล้ชิดและการตอบสนองความต้องการของลูก อย่างเหมาะสมของพ่อแม่

★ 2. มีวินัย รับผิดชอบต่อตัวเองและผู้อื่น คือ การให้ลูกได้เรียนรู้ชีวิตที่มีขอบเขต รู้ว่าอะไรควร อะไรไม่ควร
ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของการเคารพสิทธิ์ของผู้อื่นและกฏเกณฑ์ของสังคม นับเป็นหน้าที่หลักของพ่อแม่เลยทีเดียว
เด็กทุกคนเกิดมายังไม่รู้หรอกค่ะว่าชีวิตต้องมีข้อจำกัด
ประกอบกับช่วงแรก ๆ ของชีวิตเด็กจะยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง
ถ้าไม่มีการกำหนดขอบเขตเลย เด็กก็จะทำทุกอย่างที่ใจต้องการ
ไม่รู้จักยับยั้งตัวเอง จนกลายเป็นปัญหากับตัวเองเมื่อออกไปอยู่สังคมนอกบ้าน

การ ฝึกวินัยจะทำให้เด็กได้รู้ว่า ชีวิตจริงก็มีเรื่องคับข้องใจเกิดขึ้น และเขาต้องเรียนรู้ที่จะควบคุมตนเอง
และอดทนกับสถานการณ์นั้นๆ เป็นการเตรียมลูกให้พร้อมมีชีวิตอยู่ร่วมกับคนอื่น ๆ

การ จะฝึกวินัยให้ได้ผลต้องเริ่มต้นตั้งแต่เล็ก ๆ จากกฎเกณฑ์ในบ้าน
เช่น การกิน นอนเป็นเวลา การเล่นแล้วเก็บ เป็นต้น
ที่สำคัญคือความสม่ำเสมอ เด็กก็จะไม่รู้สึกว่าถูกบังคับ แต่จะรู้สึกว่านี่คือหน้าที่ที่เขาต้องรับผิดชอบ
และเมื่อได้เริ่มต้นรู้จักรับผิดชอบตัวเอง ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะรู้จักรับ ผิดชอบผู้อื่น
ถ้าสังเกตดีๆ เด็กที่พ่อแม่ปลูกฝังเรื่องวินัยมาดี จะมี EQ ที่ดีตามมา เพราะเขารู้จักควบคุมตัวเอง


★ 3. มีความสามารถในการแก้ปัญหา คือ สามารถจัดการและปรับตัวเองให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมได้
ถือเป็นทักษะความสามารถที่สูงขึ้นไปอีกระดับ เพราะเด็กจะต้องมีพื้นฐานคิดวิเคราะห์ การตัดสินใจร่วมด้วย
ความสามารถในด้านนี้ต้องอาศัยการฝึกฝน เริ่มต้นจากการเปิดโอกาสให้ลูกได้คิด
วิธีง่าย ๆ คือการคุยกับลูกด้วยคำถาม ฝึกตั้งคำถามเปิด แต่ที่สำคัญมากกว่าคือต้องรับฟังในคำตอบของลูก

นอกจากนี้ต้องฝึกให้รู้จักการตัดสินใจด้วยตัวเอง เช่น
ให้มีส่วนในการตัดสินใจในกิจวัตรประจำวันของลูก ของครอบครัว เลือกว่าจะใส่เสื้อตัวไหน
วันนี้หนูอยากกินอะไร จะทำอะไรก่อนดี เราจะไปเที่ยวที่ไหนกัน เป็นต้น

4. มี EQ ที่ดี เป็นความสามารถในการรับรู้ เข้าใจอารมณ์ตนเองและผู้อื่น
สามารถควบคุมอารมณ์และยับยั้งชั่งใจตนเองและแสดงออกอย่างเหมาะสม
รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา รู้จักรอคอย รู้จักกฎเกณฑ์ระเบียบวินัย มีจิตใจร่าเริงแจ่มใส มองโลกในแง่ดี
สามารถปรับตัวเข้ากับสังคม สถานการณ์รอบข้างได้ดี
เรียกได้ว่าถ้าลูกมีคุณสมบัติข้อนี้ข้อเดียวก็ดูจะครอบคลุมทุก ๆ อย่างได้เลย

★ 5. สื่อสารเป็น มีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี
ข้อนี้ถือเป็นทักษะของชีวิตจริง ๆ เลย เพราะการสื่อสารเป็นสิ่งที่เด็กใช้บอกความต้องการ ความรู้สึกของตัวเอง
ใช้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และเป็นสื่อที่เชื่อมตัวเด็กกับผู้คน โลกภายนอก
แต่ ปัจจุบันเด็กเราขาดทักษะนี้ เนื่องจากสิ่งแวดล้อมขาดคนพูดด้วย พ่อแม่ไม่มีเวลาอยู่ดูแลใกล้ชิด
สภาพสังคมที่มีทั้งเกมคอมพิเวเตอร์ที่เป็นการสื่อสารทางเดียว
ทำให้เด็กขาดโอกาสพัฒนาทักษะการสื่อสาร การปฏิสัมพันธ์กับผู้คน
การปลูกฝังเรื่องนี้ได้ดีที่สุดคือ การเป็นแม่แบบภาษาผ่านการเลี้ยงดู พูดคุยกับลูกอย่างเสมอเสมอนั่นเอง

★ 6. มีทักษะในการรู้จักมองโลกภายนอกและตัวเองอย่างถูกต้อง
พูดง่าย ๆ ก็คือประเมินและยอมรับตัวเองอย่างถูกต้อง รู้ข้อจำกัดในตัวเอง
รู้จักเลือกสิ่งที่สอดคล้องเหมาะสมกับตัวเอง
เช่น เด็กที่รู้ว่าครอบครัวอยู่ในฐานะ ที่ลำบากแม้จะมีความต้องการอยากได้อยากมี อย่างไร
ก็จะควบคุมความต้องการของตัวเอง เลือกสิ่งที่ไม่ไกลเกินกำลังของตัวเอง

ใน ยุคสมัยของการบริโภคแบบนี้เรื่องนี้ นับเป็นสิ่งจำเป็นที่เราต้องสร้างให้เกิดขึ้นกับเด็ก ๆ
เพื่อไม่ให้ตกอยู่ภายใต้การเย้ายวนของสื่อโฆษณาทางทีวีต่างๆ ที่มักทำให้เราเป็นคนไม่รู้จักพอ

★ 7. รู้จักว่าตัวเองมีศักยภาพ มีคุณค่าในตัวเอง
คือการมีทัศนคติที่ดีต่อตัวเอง เห็นคุณค่าของตัวเอง ถือเป็นลักษณะนิสัยแห่งความสำเร็จ
คนที่เห็นในคุณค่าตัวเองจะไม่พาตัวเองไปสู่เรื่องเลวร้าย
และเป็นคนที่มีพลังใจในการเรียนรู้และทำสิ่งใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลา
ถือว่าเป็นบันไดขั้นแรกที่จะพัฒนาต่อไปสู่ความบากบั่น อุตสาหะในชีวิตข้างหน้าได้

สำหรับ เด็ก ๆ สิ่งนี้เราเริ่มได้จากการที่ให้เขาได้รู้สึกว่าตัวเองทำได้
เด็กทุกคนมีความอยากรู้ อยากเห็น อยากทดลองเป็นทุนอยู่แล้ว
ถ้าเราจะสร้างสิ่งนี้ในใจลูก ก็ต้องรักษาความอยาก ความกระตือรือร้นเหล่านี้ไว้อย่าให้หายไป
พร้อมกันนั้นก็ต้องปลูกฝังความเป็นคนช่างสังเกตให้กับลูก เพราะเมื่อสังเกตก็เกิดความสนใจ เมื่อสนใจ
ก็อยากค้นคว้า เมื่อค้นคว้าบ่อยเข้าก็กลายเป็นคนอยากรู้ อยากทำ เกิดเป็นความเชื่อมั่นในตัวเองเพิ่มมากขึ้น ๆ

★ 8. ทักษะในวิชาชีพ
อาจเพราะด้วยสังคมเต็มไปด้วยบรรยากาศของการแข่งขัน ทำให้พ่อแม่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ค่อนข้างมาก
เกิดวิถีการเลี้ยงลูกแบบ ให้ความสำคัญกับเรื่องวิชาการความรู้เป็นหลัก
จนลืมพัฒนาด้านอื่น ๆ ของลูกไปพร้อมกัน
แล้วถ้ามาบวกรวมกับสภาพแวดล้อมที่สะดวกสบาย ก็อาจทำให้ลูกเราขาดทักษะชีวิตในมิติอื่น ๆ ไปได้

ว่ากันจริง ๆ แล้วทักษะความสามารถในด้านนี้เทียบไม่ได้กับคุณลักษณะอื่น ๆ ที่กล่าวไปข้างต้น
เพราะถ้าคุณพ่อคุณแม่เตรียมทั้ง 7 ด้านให้ลูกเป็นมาอย่างดีแล้ว
ทั้งหมดนั้นก็จะเป็นเครื่องมืออย่างดีที่จะนำพาลูกไปสู่การเรียน การทำงานที่ประสบความสำเร็จ
และมีประสิทธิภาพในอนาคตได้


พ่อแม่แบบนี้..สร้างทักษะชีวิตให้ลูก
การ จะเลี้ยงดูลูกแบบที่ช่วยสร้างเสริม ทักษะชีวิต ให้ลูกได้นั้นจำเป็นต้องอยู่บนพื้นฐานของความเป็นธรรมชาติ
อยู่ในชีวิตประจำวัน และที่สำคัญต้องคำนึงถึงพัฒนาการและความสามารถตามวัยของลูกเป็นหลัก

ให้ เวลากับลูก ทั้งเวลาในการเลี้ยงดู ดูแลให้ความรัก ความอบอุ่น ให้เวลาเพื่อการถ่ายทอดเรื่องราวต่าง ๆ กับลูก
เวลาเพื่อการเรียนรู้ลูก เพื่อนำไปสู่การกำหนดและปรับเปลี่ยนวิธีการในการ เลี้ยงดูให้สอดคล้อง
เหมาะสมกับความเป็นตัวลูกมากที่สุด
และสุดท้ายก็ต้องให้เวลาลูกสำหรับการเรียนรู้ ฝึกฝนสิ่งต่าง ๆ แบบที่ไม่เร่งรัด กดดันลูกจนเกิดเป็นความเครียด

ส่ง เสริมให้ลูกช่วยเหลือตัวเองตามวัย ความสามารถและพัฒนาการของลูกจะปรับเปลี่ยนพัฒนาขึ้นตามวัย
ฉะนั้นการเลี้ยงดูของพ่อแม่ก็ต้องปรับเปลี่ยนไปตามนั้นด้วย
อย่างในช่วงวัย 0-3 ปี เป็นช่วงที่เด็กยังช่วยเหลือตัวเองได้น้อย พ่อแม่จึงยังคงต้องดูแลช่วยเหลือใกล้ชิด
เปิดโอกาสให้ลูกทำด้วยตัวเองบ้าง โดยคอยดูและให้ความช่วยเหลือเมื่อลูกต้องการ

แต่ เมื่อเข้าสู่วัย 3-6 ปี แล้วการเลี้ยงดูก็จะควรเปลี่ยนจากการถนอม ปกป้องมาให้อิสระ
มีโอกาสได้พึ่งพาตัวเอง เรียนรู้ได้เองให้มากยิ่งขึ้น

ให้ โอกาสลูกได้ลองทำอะไรด้วยตัวเอง โดยมีคุณอยู่ข้าง ๆ คอยให้คำแนะนำ ช่วยเหลือเมื่อลูกต้องการ
ชื่นชมและให้กำลังใจ ทั้งนี้ก็เพื่อให้ลูกเกิดการค้นพบ การเรียนรู้ด้วยตัวของเขาเอง
และที่สำคัญก็เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นในตนเอง โดยให้ลูกลองทำในเรื่องต่าง ๆ เหล่านี้

กิจวัตรประจำวัน เพื่อเพิ่มพูนทักษะในเรื่องเหล่านั้น ให้เขารับผิดชอบตัวเองได้

เรื่อง ที่ต้องใช้ความพยายาม ท้าทายความสามารถต่างๆ เช่น ผ่านการเล่นที่ให้เขาได้ลองหาทางออก
วิธีเล่นด้วยตัวเอง การฝึกว่ายน้ำ ขี่จักรยาน หรือแม้แต่การก้าวผ่านพัฒนาการ หรือการมีพฤติกรรมที่เหมาะสม
เช่น ตกลงร่วมกันว่าเราจะเลิกกินนมจากขวดเมื่อไหร่ ด้วยวิธีไหน
เราจะไม่กินขนมหวานก่อนกินข้าว เราจะไปออกกำลังกาย เป็นต้น

ให้ลูกมีโอกาสได้สัมผัสกับประสบการณ์ ที่แตกต่างหลากหลายจากชีวิตประจำวันบ้างในโอกาสที่เหมาะสม
เพื่อให้ลูกได้รู้และได้สัมผัสว่าในโลกนี้ยังมีวิถีชีวิตอื่นๆ อีก

เผชิญกับความรู้สึกที่กดดันรอคอย เช่น
ให้ลูกเข้าคิวรอเล่นของเล่นต่อจากคนอื่น รอต่อแถวซื้อขนมด้วยตัวเอง ไม่ใช่พ่อแม่เข้าไปจัดการให้เสียหมด

ให้รู้จักชีวิตที่มีกติกา เพื่อให้เรียนรู้ขอบเขตของการใช้ชีวิตทั้งในและนอกบ้าน เช่น
กฏเกณฑ์และระเบียบในบ้าน เช่น การกินอยู่ที่เป็นเวลา การต้องล้างมือก่อนกินข้าว

ระเบียบ ในสังคม เช่น สอนให้ลูกรู้จักการเข้าคิวรอคอย
สอนให้ลูกข้ามถนนตรงทางม้าลายหรือสะพานลอย การตื่นเช้าเพื่อไปโรงเรียนให้ตรงตามเวลา

การ รู้จักควบคุมอารมณ์และแสดงออกอย่างเหมาะสม เช่น
เวลาที่ลูกอยากได้ของเล่น แล้วพ่อแม่ไม่ซื้อให้พ่อแม่ก็ต้องให้เหตุผลและเบี่ยงเบนความสนใจ
เพื่อไม่ให้ลูกเอาแต่ใจร้องกรี๊ด ๆ ในที่สาธารณะ เพื่อเรียกร้องความสนใจ

ให้ ลูกมีโอกาสสัมผัส สัมพันธ์กับผู้อื่น และให้มีโอกาสได้ช่วยเหลือคนอื่น ๆ บ้าง เพื่อเรียนรู้วิธีการสื่อสาร
การปรับตัวและใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่นๆ พร้อมกันนั้นก็ให้ลูกได้มีโอกาสช่วยเหลือผู้อื่น
โดยเริ่มต้นจากในบ้านจากการช่วยเหลือพ่อแม่ พี่น้อง เพื่อนและครูที่โรงเรียน หรือกิจกรรมสาธารณะต่าง ๆ
เช่น ชวนกันไปอ่านหนังสืออัดเทปให้คนตาบอด การบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบภัย เป็นต้น

ให้ ลูกเรียนรู้จากเหตุการณ์ในชีวิตประจำวัน ขนบธรรมเนียม วิถีปฏิบัติที่พ่อแม่ปฏิบัติ
เพราะจะช่วยให้คุณสอนลูกได้อย่างเป็นธรรมชาติ เรียกว่าพาทำในทุก ๆ กิจกรรมประจำวันที่เราและลูกต้องทำ
ซึ่งจะเกิดการเรียนรู้และซึมซับได้ดี เพราะเป็นสิ่งที่ลูกต้องเจออยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เช่น
คุณจะไปซื้อของก็ชวนลูกวางแผนการซื้อ ชวนสังเกตข้าวของในตลาด ลองให้ลูกซื้อของด้วยตัวเอง
การสวดมนต์ไหว้พระ ทำบุญ เคารพผู้หลักผู้ใหญ่ การแบ่งปันมีน้ำใจกับเพื่อนบ้าน เป็นต้น

พ่อแม่ต้องเป็นต้นแบบ คำพูดหรือจะสำคัญเท่าการกระทำ
เด็ก ๆ จะเรียนรู้ได้ดีที่สุดก็จากการกระทำของพ่อแม่มากกว่าคำสอน
พ่อแม่ต้องเป็นต้นแบบให้ลูกตั้งแต่คำพูด การกระทำ และวิธีคิด ซึ่งประเด็นหลังนี้ถ้าไม่เราสื่อให้ลูกรู้
สิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นก็จะผ่านเลยไป โดยที่ลูกไม่มีโอกาสได้เรียนรู้หลักและวิธีคิดจากเราเลย

ซึ่งเราสามารถทำได้ด้วยการบอกเหตุผลที่คุณทำหรือไม่ทำสิ่งนั้น เช่น
เด็กคนนี้น่าสงสารจัง เดี๋ยวเราช่วยซื้อขนมเขาหน่อยดีกว่านะ
หรือ เดี๋ยวก่อนเราจะไปห้างเรามาช่วยกันดูซิว่าเราต้องซื้ออะไรกันบ้าง เป็นต้น


โดย: มาลี

ที่มา :
//women.kapook.com
//www.elib-online.com


สารบัญ เรื่อง แม่และเด็ก
คลิกดู ที่นี่ค่ะ



Create Date : 22 ธันวาคม 2552
Last Update : 22 ธันวาคม 2552 20:43:03 น. 0 comments
Counter : 1560 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 200 คน [?]




Friends' blogs
[Add ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.