เลี้ยงลูกให้ถูกทางในต่างแดน
การเลี้ยงลูกในต่างแดนนั้นเป็นงานที่ไม่ง่ายเลย กว่าเราจะเลี้ยง ให้ความรัก ทะนุทะถนอมบ่มสอนให้ลูกโต เป็นเด็กดีที่เพียบพร้อมได้ คุณพ่อคุณแม่มีชีวิตเป็นของตัวเอง ย้ายถิ่นฐานมาอยู่ต่างแดน ผจญความยากลำบาก ไกลพี่น้องครอบครัว เหงาเดียวดายแต่ก็ต้องต่อสู้เพื่อความอยู่รอดของตนเองและลูกรัก บางครั้งความสัมพันธ์กับคู่สมรสก็ไม่ได้ราบรื่นอย่างที่เคยหวังไว้ เหงากลัวโดดเดี่ยวไม่มีที่พึ่งพา ความกังวลเรื่องการงานอาชีพและปากท้อง ความเครียดที่สะสม กลัวว่าลูกจะไม่มีความพร้อมนั้น อาจทำให้คุณพ่อคุณแม่ต้องพยายามสู้ทนชีวิตหนักขึ้นไปอีก พยายามปรับตัวเองและปรับการเลี้ยงลูกให้เข้ากับสังคม ในต่างแดน เสมือนสุภาษิตไทย “เข้าเมืองตาหลิ่วก็หลิ่วตาตาม” เลี้ยงลูกไทย ลูกของเราในเมืองฝรั่งก็ต้องเลี้ยง ตามวิธีของฝรั่งลูกจะได้เป็นเหมือนเพื่อนๆฝรั่งเก่งเหมือนเขา นอกจากเปลี่ยนวิธีการเลี้ยงตามแบบเขาแล้ว คุณพ่อคุณแม่บางท่านยังไม่คุยภาษาไทยกับลูกเพราะอาจกลัวว่าลูกจะพูดภาษาต่างชาติไม่ได้ เราทำถูกแล้วหรือ แล้วจะทำอย่างไรดี ก่ออยากขอฝากเรื่องน่าคิดให้เป็นคติในการเลี้ยงลูก
เข้าเมืองตาหลิ่ว ก็หลิ่วตาตาม เลี้ยงลูกเราตามฝรั่งถูกแล้วหรือ การหลิ่วตาตามต้องทำให้ถูกไม่เช่นนั้นตาจะบอดได้ คุณพ่อคุณแม่เองถูกเลี้ยงดูมาแบบไทยๆ ถ้าหากต้องทำใจเปลี่ยนวิธีการเลี้ยงลูกโดยสิ้นเชิงตามพวกฝรั่งคงลำบากใจน่าดู
การเลี้ยงลูกไทยในต่างแดนนั้นควรเป็นแบบผสมผสาน เอาความอ่อนโอน ความรัก และความเมตตาอ่อนหวาน และสัมมาคารวะของไทย มาผสมผสานกับความมีระเบียบวินัยและความเป็นตัวของตัวเองของฝรั่ง ลูกไทยและลูกผสมของเราจะเป็นศูนย์รวมของข้อได้เปรียบของทั้งสองวัฒนธรรม
เลี้ยงลูกแบบผสมผสานนั้นทำอย่างไร การเลี้ยงลูกแบบผสมผสานนั้นจะเป็นเรื่องที่ละเอียด ไม่สามารถเขียนได้จบ การเลี้ยงลูกวิธีนี้เริ่มต้นจากการพูดภาษาไทยกับลูก การที่คุณพ่อคุณแม่สื่อสารกับลูกโดยใช้ภาษาแม่ของตนนั้น จะทำให้คุณแม่ได้สื่อความรู้สึกที่แท้จริงของตนให้ลูกอย่างชัดเจน เพิ่มความใกล้ชิดและเป็นสื่อสายใยรักระหว่าง แม่กับลูก การที่แม่บอกรักลูก “ลูกจ๋า แม่รักลูกนะ เจ้าตัวเล็กของแม่” ย่อมให้ความรู้สึกรักที่แน่นแฟ้นและกินใจกว่า “my sweetie baby I love you” หรือ “ Mijn schatje, Ik hou van jou” แน่นอน
การพูดภาษาไทยกับลูกนั้นทำให้เพิ่มความสนิท แม่รู้สึกคลายเหงาในแดนไกล มีลูกคู่ใจอยู่คู่ตัวพูดภาษาเดียวกัน คุณแม่สามารถร้องเพลงเด็กๆภาษาไทยให้ลูกฟังได้ อ่านนิทานก่อนนอนได้ ฝึกให้ลูกพูดภาษาได้อย่างถูกต้อง โดยไม่ต้องกังวลและคอยเปิดดิคชันนารีหาศัพท์เลย
คุณแม่สามารถสอนให้ลูกรู้จักขนบธรรมเนียมประเพณีไทยและมารยาทไทยได้ ซึ่งมีคุณแม่ที่น่ารักหลายคนเขียน จดหมายมาถามอยู่เสมอว่าจะทำอย่างไรดีลูกก้าวร้าว ไม่อ่อนโยนเหมือนเด็กไทย ถ้าหากคุณแม่ไม่พูดภาษาไทยกับลูกแล้ว แล้วแม่จะอธิบายให้ลูกฟังได้อย่างไรว่าอย่าเล่นหัวผู้ใหญ่นะคะ อย่าเดินข้ามหัว ไม่ตะโกนหรือตะคอกใส่พ่อแม่ เป็นต้น ถ้าคุณแม่จะบอกกล่าวลูกเป็นภาษาต่างชาติแล้ว ก็ยากที่จะให้ลูกยอมรับและเข้าใจได้เพราะว่าฝรั่งเขาไม่มีวัฒนธรรมประเพณีกันอย่างไทยเรา หากภาษาไทยคุณแม่เองยังไม่ยอมรับไว้คุยกับลูกแล้ว ปะสาอะไรกับวัฒนธรรมและมารยาทไทยที่ลูกจะต้องยอมรับ
คุณแม่รู้สึกภาคภูมิใจที่ได้สอนให้ลูกพูดคำไทยๆได้ เวลาที่ไปเยี่ยมเพื่อนคนไทยอื่นๆก็ภาคภูมิใจว่า ลูกรู้จักสัมมาคารวะและพูดไทยได้ ยิ่งเมื่อกลับไปเที่ยวเมืองไทยลูกของเราก็สามารถพูดคุยกับตายายได้ เล่นและสื่อสารกับพี่น้องและญาติที่เมืองไทยได้ นอกจากนั้นคุณแม่ยังรู้สึกภาคภูมิใจในความเป็นคนไทย เกิดที่เมืองไทย อาศัยในต่างแดน เราเป็นชาวเอเซียเหมือนคนอื่นแต่มีจุดเด่นคือเราพูดภาษาไทย ไม่ลืมเอกลักษณ์ไทย ไม่ลืมสิ่งที่ตนเคยเป็นและเป็นอยู่ ความรู้สึกที่มีคุณค่าเหล่านี้จะส่งเสริมให้คุณแม่เข้มแข็ง และยืนหยัดต่อสู้กับอุปสรรคชีวิตในต่างแดนได้ดี ช่วยลดความโดดเดี่ยวอ้างว้างอีกด้วยเพราะมีลูกเป็นเพื่อนใกล้ตัว
ผลพลอยได้ที่ตามมาลูกของเราจะเป็นเด็กฉลาดกว่าเด็กอื่น และเปิดกว้างในการเรียนรู้วัฒณธรรมและสิ่งรอบตัวอื่นๆได้ง่ายกว่าเด็กที่พูดภาษาเดียว การพูดภาษาแม่และภาษาพ่อได้ทั้งสองภาษานั้นยังเป็นโอกาสการศึกษาและการทำงานให้เด็กในอนาคตอีกด้วย
นอกจากนั้นการมีขอบเขตและความมีระเบียบวินัยในการเลี้ยงลูกเป็นสิ่งที่สำคัญเช่นกัน ลูกควรมีกิจวัตรประจำวันเป็นเวลาที่ชัดเจน ฝึกให้ลูกมีระเบียบวินัยตั้งแต่ทารก เช่น นอนและกินให้เป็นที่และเป็นเวลา เก็บของเล่นทุกครั้ง อ่านหนังสือและแปรงฟันก่อนนอนทุกวัน เป็นต้น เด็กทุกคนทุกวัยต้องการความชัดเจนมีขอบเขตเพื่อความรู้สึกปลอดภัยและความมั่นคงทางจิตใจ นอกจากนั้นการฝึกให้ลูกมีระเบียบวินัยยังช่วยทุ่นแรงในการเลี้ยงลูกให้กับคุณแม่อีกด้วย ไม่ต้องไล่ตามป้อนข้าว วิ่งไล่จับลูกกันอีกต่อไป
เมื่อคุณแม่ได้ใช้ภาษาไทยสื่อทอดสายใยความรักและฝึกวินัยให้กับลูกแล้ว ยังมีเรื่องพื้นฐานที่สำคัญอีกข้อหนึ่งคือ บางครั้งความเครียดในการปรับตัว ความโดดเดี่ยวอ้างว้าง การงาน การเลี้ยงลูกและชีวิตสมรสอาจทำให้คุณแม่ลืม คิดถึงสุขภาพจิตของตนเอง ความเครียดที่สะสมอาจเป็นคลื่นกวนความรักความผูกพันระหว่างแม่กับลูก ทำให้แม่มีความอดทนในการเลี้ยงลูกลดลง แม่ไม่รู้ใจหรือรู้สึกถึงลูกลดลง แม่มีเวลาให้ลูกน้อยลงและไม่ได้ใส่ใจ เท่าที่ควร รวมถึงการลืมที่จะกอดลูก หอมแก้ม และบอกชมเชยว่าเราภาคภูมิใจและรักเขามากก่อนนอนทุกคืน เด็กตั้งแต่แรกเกิดนั้นสามารถรับรู้สภาพจิตของแม่ได้เป็นอย่างดีจากกระแสจิตความผูกพันที่สื่อระหว่างแม่และลูก จากน้ำเสียง สายตาและกิริยา ดังนั้นคุณแม่จะสังเกตเห็นได้ว่าถ้าคุณแม่เครียดมากๆ วันนั้นลูกน้อยก็อาจจะงอแง และเลี้ยงยากเป็นพิเศษ บางครั้งแม่อาจเผลออารมณ์ด่าว่า หรือทำโทษลูกได้ เมื่อคุณแม่รู้ตัวว่าเครียดมากและมีปัญหาทางด้านอารมณ์ควรหาที่ปรึกษาปรับทุกข์ นอกจากนั้นแล้วการเล่นกีฬาและการสวดมนต์นั่งสมาธิเป็นการช่วยลดความเครียดในทางสร้างสรรค์ได้อย่างดีค่ะ
สุดท้ายนี้ ขอให้คุณแม่มีความเข้มแข็งก้าวไปสู่วันใหม่ที่สดใสกับลูกรักอย่างมีความสุขนะคะ
โดย กมลลักษณ์ มโนกุลอนันต์
Create Date : 14 มีนาคม 2552 |
Last Update : 14 มีนาคม 2552 14:46:55 น. |
|
1 comments
|
Counter : 1390 Pageviews. |
|
|
|
โดย: ผ า ย ล มใต้เงาจันทร์ IP: 59.167.63.128 วันที่: 15 มีนาคม 2552 เวลา:20:06:44 น. |
|
|
|
|
|