Group Blog
 
<<
เมษายน 2552
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
2627282930 
 
18 เมษายน 2552
 
All Blogs
 
ใช้เรื่องความตายปรับนิสัยลูก...!!



ช่วงเดือนที่ผ่านมาดิฉันไปงานศพค่อนข้างบ่อย มีทั้งผู้ที่คุ้นเคย และไม่คุ้นเคย แต่มีลักษณะใกล้เคียงกันก็คือ
จากไปกะทันหัน และไปโดยไม่เจ็บปวดทรมานมากนัก กล่าวคืออยู่ๆ ก็ล้มลง และจากไปในเวลาไม่นาน
อาจด้วยวัยที่เพิ่มมากขึ้นกระมัง ความสนใจและเข้าใจชีวิตในเรื่องความตายก็มากขึ้น
แม้จะตกใจบ้างแต่ก็ไม่ฟูมฟายหรือเสียใจมากนัก เพราะสุดท้ายสักวันหนึ่งก็ต้องเป็นเรา

“ใช้ชีวิตทุกวันให้มีความสุข และมีสติ” เป็นประโยคที่ดิฉันพยายามนำมาเตือนใจตัวเองบ่อยครั้ง
เมื่อมีเรื่องทำให้เครียดหรือไม่สบายใจ ก็ถือเป็นยาวิเศษได้ทีเดียว
ในระยะหลังเจ้าลูกชายสองคนของดิฉันพูดถึงเรื่องความตายบ่อยครั้ง เพราะเมื่อพ่อแม่ไปงานศพก็จะเล่าให้ลูกฟัง
บางงานก็พาเจ้าลูกชายไปด้วย ก็เลยทำให้เขารับรู้และเข้าใจในวัยของเขา
ก่อนหน้านี้เขาทั้งสองคนก็พูดเรื่องความตายบ้าง เพียงแต่การพูดแต่ละครั้งก็แตกต่างไปตามวัยแห่งการรับรู้


เรื่อง “การตาย” ในสายตาของเด็ก ขึ้นอยู่กับวัย การรับรู้ ประสบการณ์ และการได้รับการอธิบายจากผู้ใหญ่
จำได้ว่าครั้งหนึ่งเจ้าคนโตของดิฉันพูดขึ้นมาว่า “คุณแม่ครับ ต้นน้ำอยากบวชครับ”
งงสิค่ะ..จู่ๆ เขาก็พูดขึ้นมา เมื่อสอบถามความเป็นไป
“คุณแม่ครับเมื่อวันก่อนเพื่อนต้นน้ำร้องไห้ครับ ต้นน้ำสงสารเขาจังเลย”
“แล้วเพื่อนต้นน้ำร้องไห้ทำไมล่ะครับ”
“วันนั้นคุณครูสอนเรื่องพ่อครับ แล้วให้ทุกคนนั่งสมาธิด้วย พอนั่งสมาธิเสร็จ
เพื่อนคนนั้นก็ร้องไห้เลยครับ พ่อเขาตายแล้ว น่าสงสารเขาจังเลยครับ แล้วเพื่อนต้นน้ำก็บวชด้วย”

บทสนทนาขาดช่วงไป เมื่อจู่ๆ เจ้าต้นคนโตของดิฉันออกอาการตาแดง และเริ่มเอามือปาดน้ำตา
ไม่ค่อยน่าแปลกใจเพราะพื้นฐานเขาเป็นเด็กอ่อนไหว สามารถร้องไห้เพียงเพราะอ่านหนังสือนิทานที่มีตัวละครน่า
สงสาร หรือรู้สึกสะเทือนใจกับเรื่องบางเรื่องได้อย่างง่ายดาย ส่วนเรื่องที่เขาอยากออกบวช เพราะเขาเรียนรู้ต่อยอด
มาจากการเรียนรู้ในวิชาพุทธศาสนาเกี่ยวกับเรื่องการเกิดแก่เจ็บตาย ที่เจ้าคนโตค่อนข้าง “อิน”
และเขาเข้าใจเอาเองว่าการบวชน่าจะเป็นทางออกของความตาย


เรื่องการเรียนรู้เรื่องความตายเป็นเรื่องที่คนเป็นพ่อแม่จำเป็นต้องให้ลูกได้เรียนรู้
อย่าคิดว่าเขาหรือเธอตัวน้อยยังเด็กเกินไป ยังไม่รู้เรื่องหรอก หรือมองว่าเป็นเรื่องน่ากลัว
เพราะแท้จริงแล้ว การให้เด็กได้เรียนรู้จากสถานการณ์จริงจะช่วยให้เขาเข้าใจเรื่องความตายได้ง่ายขึ้น

เจ้าสองต้นมีประสบการณ์เรื่องการรับรู้เรื่องความตายจากคนใกล้ตัว ทั้งญาติผู้ใหญ่วัยชราที่ถึงวัยอันควร
และการจากไปของพี่คนสนิทที่จากไปก่อนวัยอันควร รวมถึงคุณครูผู้เป็นที่รักของเขาทั้งสองก็จากไปกะทันหัน
ล่าสุดก็คุณลุงปรีชา ผู้ที่เคยให้เขาได้ขี่คอเดินเล่นตามท้องทุ่งและอีกหลายเหตุการณ์ ซึ่งต่างสถานการณ์
แต่ก็ทำให้เขาทั้งสองเข้าใจเรื่องความตายได้ตามสมควร

เมื่อคนที่เขาเคยได้ใกล้ชิดต้องจากไป ทำให้เจ้าลูกชายทั้งสองของดิฉันออกอาการเหมือนกัน
ดิฉันก็จะถือโอกาสนำเรื่องราวต่างๆ มาสอนลูกเกี่ยวกับความตาย ให้เขารับรู้ว่าเรื่องความตายเป็นเรื่องใกล้ตัวที่
สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนทุกเวลา ไม่จำเป็นว่าต้องคนอายุมากกว่าเท่านั้นที่ต้องตายก่อน
บางครั้งเด็กก็ตายก่อนผู้ใหญ่ได้ สาเหตุของการตายก็แตกต่างกันไป บางคนมีโรคภัยไข้เจ็บ บางคนก็ถึงอายุขัย
แต่บางคนก็ประสบอุบัติเหตุ

เด็กจะมีจินตนาการเรื่องการตายที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับการรับรู้ ประสบการณ์ และการเชื่องโยงกับความคิด

ถ้าพ่อแม่หยิบยกเอาประสบการณ์เรื่องข่าวคราวเด็กประสบอุบัติเหตุถึงขั้นเสียชีวิต เช่น เด็กจมน้ำ หรือมีอุบัติเหตุ
ก็ควรนำมาเป็นประเด็นพูดคุยกับลูกเรื่องความประมาท เลินเล่อ ที่สุดท้ายนำมาซึ่งความสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก

ฉะนั้น น่าจะถือโอกาสบอกเล่าให้เขาเข้าใจว่าอุบัติเหตุป้องกันได้ เราต้องอยู่บนความไม่ประมาท
และการมีชีวิตอยู่กับขณะปัจจุบันเป็นเรื่องสำคัญที่สุด


หรือถ้าเป็นกรณีเสียชีวิตจากโรคภัยไข้เจ็บ ก็ควรบอกเล่าเรื่องการดูแลและรักษาสุขภาพเป็นเรื่องสำคัญ
ควรสอนให้เขารู้จักการรักษาสุขภาพ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การรับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์
การใช้ชีวิตที่ไม่โลดโผนโจนทะยานเกินเหตุเป็นเรื่องที่สามารถนำมาสอดแทรกในชีวิตประจำวันได้
ซึ่งหมายรวมการสอนลูกเรื่องการใช้ “สติ” ในการดำรงชีวิตด้วย


ทำเป็นเล่นไป ดิฉันนำเอาเรื่องความตายมาบอกเล่าให้ลูกฟังในหลายครา
และบางเรื่องก็นำมาเป็นกุศโลบายในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของลูกได้อีกต่างหาก


เรื่องของเรื่องก็คือ ระยะหลังเจ้าคนเล็กของดิฉันออกอาการงอนแม่ค่อนข้างบ่อย
ประมาณว่าพอขัดใจ จะออกอาการงอน ดิฉันก็ไม่สนใจ ปล่อยให้งอนไปสักพัก เดี๋ยวก็หาย
หรือถ้าไม่หาย บางทีก็พยายามหาเทคนิคให้หายงอนสารพัดรูปแบบ ได้ผลบ้างไม่ได้บ้าง


จู่ๆ วันหนึ่งก็ออกอาการงอนอีกแล้ว ดิฉันก็เลยทำนิ่งๆ และพูดว่า
“เมื่อวานแม่ไปงานศพเพื่อนคุณพ่อมา แม่เห็นลูกของเขาร้องไห้ใหญ่เลย น่าสงสารจัง เขาคงคิดถึงคุณพ่อเขามาก
แม่ก็ไม่รู้ว่าแม่จะตายเมื่อไร แล้วถ้าแม่ตาย หนูจะเป็นอย่างไร เราไม่รู้ว่าเราจะตายเมื่อไร
เห็นไหม เพื่อนคุณพ่ออยู่ดีๆ ก็ล้มลงแล้วก็จากไปกะทันหัน ทำไมเราอยู่ด้วยกันตอนนี้ ไม่พูดกันดีๆ และทำให้มี
ความสุขในทุกวันล่ะครับ ถ้าแม่ตายไป หนูจะเสียใจหรือเปล่าที่ตอนแม่ยังมีชีวิตอยู่ แล้วเรามัวแต่ทะเลาะกัน”
โอ...ไม่น่าเชื่อ...เจ้าตัวเล็กของดิฉันนิ่งไป นิ่งไปพักหนึ่ง ดิฉันได้แต่ลอบมองดู ว่าเขาจะทำอย่างไร

สักพัก เขาก็ค่อยๆ ชำเลืองเมียงมองขยับตาขยับกายค่อยๆ กระเถิบเข้ามานั่งข้างๆ แม่ แล้วบอกว่า
“จริงด้วยครับ”
เท่านั้นแหละค่ะ รอยยิ้มอันชื่นใจก็เกิดขึ้นในบัดดล
และไม่น่าเชื่อว่าเจ้าคนเล็กของดิฉันหายอาการงอนรายวันเป็นปลิดทิ้งเลยค่ะ
ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ บทเรียนเรื่องความตายสามารถเปลี่ยนนิสัยลูกได้จริงๆ ค่ะ

โดย สรวงมณฑ์ สิทธิสมาน


Create Date : 18 เมษายน 2552
Last Update : 18 เมษายน 2552 11:05:41 น. 1 comments
Counter : 801 Pageviews.

 
สุขสันต์วันหยุดค่ะ




โดย: AM NUCH วันที่: 18 เมษายน 2552 เวลา:19:12:51 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 200 คน [?]




Friends' blogs
[Add ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.