Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2552
 
22 พฤศจิกายน 2552
 
All Blogs
 
3 ตัวการทำร้ายสมองลูก


เคยคิดไหมว่า สองมือที่เคยอุ้มชูและสร้างสมองลูกน้อย
จู่ๆเราก็บอกคุณว่าพฤติกรรมที่ทำอยู่ เป็นการทำร้ายสมองลูกนั่น
เพราะบางพฤติกรรมที่คุณเห็นว่าดี แต่เอาเข้าจริงแล้วกลับเป็นการไปทำร้ายและบั่นทอน สมองลูกอยู่ก็เป็นได้

วิธีใช้
ทำเครื่องหมาย /หน้าข้อที่ตรงกับวิธีการเลี้ยงดู
..... ชอบเขย่าตัวลูกแรงๆ หรือโยนลูกขึ้น-ลงก็เล่นแบบนี้ทีไหร่ลูกชอบ ถูกใจหัวเราะร่าทุกครั้ง
..... ซื้อไม้บล็อกอย่างดี ราคาแพงให้ลูกเล่นแต่ไม่เคยมีโอกาสเล่นกับลูก
..... เจอของเล่นที่ไหน ถ้าลูกอยากได้ก็ซื้อให้ยิ่งไม่แพงก็ซื้อได้หลายชิ้น จะได้เล่นแบบถูกใจไปเลย
..... แอบเปิดต่างหน้าห้องแล้วสูบบุหรี่ในห้องเดียวกับที่เลี้ยงลูก เพราะไม่กล้าทิ้งลูกไว้คนเดียว
..... ยอมให้ลูกจะกินขนมกรุบกรอบ หรือดื่มน้ำอัดลมเพราะกลัวว่าลูกจะขาดสารอาหาร
เพราะไม่ยอมกินอะไรเลยกินขนมและน้ำอัดลมก็ยังดี
..... อาหารเย็นท็อปฮิตของครอบครัวคือ ฟาสต์ฟู้ดง่าย สะดวก รวดเร็ว ที่สำคัญถูกปากลูก กินได้มากเป็นพิเศษเลย
..... เสาร์-อาทิตย์ พาลูกเที่ยวห้างเดินเล่นเย็นสบาย แถมลูกๆ ก็ชอบไปเล่นที่บ่อบอลด้วย
..... พาลูกนั่งรถไปที่ทำงานด้วยเกือบทุกวันแต่ไม่มีคาร์ซีตให้ลูกในรถเลย
..... โบนัสแทรคของลูกในช่วงวันหยุดคือ นอนดึกได้เล่นเกม ดูทีวี ดูซีดีได้ถึงเที่ยงคืน

เช็กลิสต์นี้ไม่มีเฉลยค่ะ แต่มันทำหน้าที่กระตุ้นให้คุณพ่อคุณแม่ทบทวนถึงรูปแบบ และวิธีการเลี้ยงลูกของคุณ
เพราะทุกข้อล้วนเป็นพฤติกรรมที่ทำร้ายสมองน้อยๆ ของลูกได้โดยที่คุณอาจไม่รู้ตัว


พฤติกรรมเสี่ยง ... ทำร้ายสมองลูก
ด้วย รูปแบบพฤติกรรมการเลี้ยงดูของพ่อ แม่ในยุคปัจจุบันนี้
เคยคิดไหมคะว่าเรานี่เองที่เป็นคนเปิดโอกาส สร้างช่องทางให้สมองลูกถูกทำลายมากยิ่งขึ้น
ด้วยรูปแบบการเลี้ยงดูและสภาพแวดล้อมนี่ล่ะ ที่ล้วนส่งผลให้พ่อแม่กลายเป็นผู้ต้องหา
และตัวการที่รักแต่ทำลายไปพร้อมๆ กัน


สมองตายผ่อนส่ง ด้วยความเครียด
ความเครียดของเด็กแต่ละวัยแตกต่างกัน แต่ความเครียดที่เกิดขึ้นกับเด็กนั้น มักจะเกิดจาก
รูปแบบการเลี้ยงดูของพ่อแม่ที่ไม่ยืดหยุ่น เลี้ยงตามกฎเกณฑ์
เปรียบเทียบลูกกับเด็กคนอื่น
ตัดสินใจแทนทุกอย่าง บังคับและไม่ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ

แล้วเจ้าความเครียดนี่ล่ะค่ะ ที่ถึงจะไม่มีอานุภาพทำลายล้างได้ในเสี้ยววินาที แต่หากเป็นการทำลายแบบผ่อนส่ง
เพราะ การสั่งสมความเครียดไปทีละนิดจนมากขึ้นๆ
และหากไม่ได้กำจัดความเครียดออกไป เจ้านี่เองที่จะขัดขวางการทำงานของสมอง ส่งผลให้ไอคิวต่ำลง
ร้ายสุดไปจนถึงขั้นสมองเสื่อม
แล้วการสะสมความเครียดมากๆ ก็ยังเสี่ยงที่จะแปรเปลี่ยนไปเป็นพฤติกรรมก้าวร้าวในตัวเด็กๆ ได้อีกด้วย

Solution: คาถาของการสลายความเครียด คือ
ให้ทำสิ่งตรงกันข้ามกับที่จะทำให้ลูกเครียด คิดเสียใหม่ว่าลูกเราก็คือ
ลูกเราไม่เหมือนใคร หารูปแบบการเลี้ยงดูที่เหมาะสม เป็นไปตามพัฒนาการและธรรมชาติ
แล้วยาแก้เครียดที่ดีที่สุด คือความรัก ความเอาใจใส่จากพ่อแม่ มีเวลาและเล่นกับลูก
ต่อให้เครียดสักเท่าไหร่ก็จะมลายหายไปพลันค่ะ เพี้ยง...


Tips : รู้ได้อย่างไรว่าลูกเครียด
+ เด็กน้อยวัยเบบี๋อาจจะร้องกวน ร้องกลั้นเหมือนมีอาการไม่สบายตัว กินยากอยู่ยาก งอแงง่าย
+ จากเคยเป็นเด็กร่าเริงกลับซึมลงถนัดตา ไม่ยอมพูดคุยกับพ่อแม่หรือเพื่อน
+ ไม่ทำกิจกรรมใดๆ แม้แต่กับกิจกรรมที่เคยชื่นชอบ
+ เบื่ออาหาร นม และน้ำ


ถูกกระแทกทำสมองช้ำ
การกระทบกระเทือนหรือถูกกระแทกอย่าง รุนแรงส่งผลให้เกิดเลือดคั่งในสมอง สมองบวม
หรืออาจจะทำให้ความจำเสื่อม เนื่องจากเซลล์สมองบางส่วนถูกทำลาย
เรียกว่าเป็นการทำลายสมองแบบตรงจุด และเกิดผลเสียหายในสมองอย่างมากนั่นเอง

แล้วสาเหตุส่วนใหญ่มักจะเกิดจากอุบัติเหตุค่ะ รวมไปถึงการตกจากที่สูง และอุบัติเหตุบนท้องถนน
ซึ่ง สาเหตุนั้นเกิดจากความประมาทเลินเล่อ เลี้ยงลูกแบบทนทายาดจนเกินเหตุ
เช่น เล่นกับลูกแรงๆ ทั้งที่ลูกยังเล็ก จับโยนขึ้นที่สูงบ้าง ต่อสู้ หรือจับลูกหมุนบ้าง
หรือแม้แต่การโมโหระบายความเครียดด้วยการจับตัวลูกเขย่าแรงๆ
เหล่านี้ล้วนอาจทำให้สมองลูกได้รับความกระเทือนทั้งนั้นค่ะ
ซึ่งนอกจาก จะงดการเล่นกับลูกแบบรุนแรงแล้ว
เรื่องอุบัติเหตุในรถยนต์ก็สามารถป้องกันได้ ด้วยการให้ลูกนั่งคาร์ซีตก็จะ ช่วยเพิ่มความปลอดภัยมากขึ้นได้ค่ะ

นอกจากนี้สภาพแวดล้อมที่เลี้ยงดูลูกเล็กแบบปล่อยปละละเลย ลืม หรือไม่ใส่ใจในอันตรายที่อาจเกิดขึ้น
เช่น ให้ลูกนอนเตียงสูง นอนบนโซฟาแบบไม่มีที่กั้น ฯลฯ
เหล่านี้ก็อาจจะทำให้ลูกตกเตียงศีรษะกระแทกสมอง ได้รับการกระทบกระเทือนได้

นอก จากนั้นการปล่อยให้ลูกเล่นคนเดียว ละสายตาจากลูก
แถมยังไม่ได้ป้องกันดีพอ เช่น ไม่มีที่กั้นบันได ซึ่งเป็นจุดเกิดเหตุได้บ่อยที่สุด
เหล่านี้ก็ล้วนเป็นสาเหตุของการที่สมองลูกเกิดอันตรายได้

Solution: คาถา...สำหรับป้องกันสำหรับข้อนี้ คือ
ไม่ประมาทและมีสติ ดูแลลูกอย่างใกล้ชิด พึงนึกเสมอว่าพฤติกรรมที่ปล่อยปละละเลย และสบายๆ จนเกินไป
บางครั้งก็เป็นการเปิดช่องทางให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่ายขึ้น

Concern:
หากเกิดอุบัติเหตุบริเวณศีรษะ
ถึงลูกจะไม่แสดงอาการใดๆ แต่คุณพ่อคุณแม่ควรเฝ้าสังเกตอาการของลูกอย่างใกล้ชิด
หากหลังจากนั้น 24 ชั่วโมงลูกมีอาการปวดศีรษะ อาเจียน ซึม หรือมีไข้สูง ควรรีบพบคุณหมอด่วน



สภาพแวดล้อมแย่ ทำสมองไม่พัฒนา
ไม่ว่าจะเป็นอาหารที่ไม่มีประโยชน์ นั่งดูทีวีทั้งวัน
รวมถึงบ้านที่เต็มไปด้วยควันบุหรี่ สภาพแวดล้อมในบ้านไม่ปลอดโปร่ง
รวมไปถึงขาดการกระตุ้นให้เกิดบรรยากาศเรียนรู้ที่สร้างสรรค์
เหล่านี้ล้วนเป็นการสกัดกั้นและบั่นทอนศักยภาพในสมองให้ลดลงค่ะ

ขาดอาหารพานสมองแย่ การขาดสารอาหารที่เป็นประโยชน์ไปหล่อเลี้ยงเซลล์สมอง
มีส่วนทำให้สมองเจริญเติบโตไม่เต็มที่ พัฒนาไปอย่างไม่เต็มศักยภาพ
บวกกับไลฟ์สไตล์การเลี้ยงดูในยุคปัจจุบัน ที่ทุกคนหันมารับประทานอาหารฟาสต์ฟู้ด
จนบางครั้งกลายเป็นอาหารหลักของลูกน้อยไปแล้ว

ขาดอากาศบริสุทธิ์ไม่ว่าจะเป็นก๊าซพิษ ควันรถ ก๊าซพิษจากโรงงาน หรือกลิ่นบุหรี่
เหล่านี้ล้วนเป็นสาเหตุที่ทำให้สมองได้รับสารพิษ
เพราะสมองเป็นอวัยวะที่ต้องการออกซิเจน และอากาศที่บริสุทธิ์สดชื่น
ไม่เชื่อลองสังเกตเวลาที่ได้อยู่ท่ามกลางธรรมชาติที่สดชื่นกับ เวลาที่อยู่บนท้องถนนซึ่งแต่ฝุ่นและควันรถ
คงไม่ต้องบอกว่าแบบใดจะรู้สึกสดชื่นและปลอดโปร่งมากกว่ากัน เพียงแต่ลูกคุณแม่ยังพูดไม่ได้เท่านั้นเองค่ะ

ได้รับสารพิษและสารเคมี สารเคมีประเภทตะกั่วและปรอทที่ปนเปื้อนมากับของเล่น
หากได้รับการสั่งสมเป็นเวลานานและปริมาณมากก็ส่งอันตรายต่อสมองได้ ซึ่งสารพิษสามารถป้องกันได้
โดยการเลือกของเล่นที่ได้รับเครื่องหมาย มอก. (มาตรฐานอุตสาหกรรม) รับรองว่าปลอดภัย

Solution:
การสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีให้กับลูก
เน้นที่ความสะอาด ปลอดภัยและเลี้ยงลูกให้ถูกตามสุขลักษณะพื้นฐานทั่วไป
ทั้งการออกกำลังกายเป็นประจำ รับประทานอาหารครบ 5 หมู่
ก็ถือเป็นสิ่งแวดล้อมและอาหารสมองที่ดีสำหรับลูกแล้วค่ะ

หากคุณพ่อคุณแม่ดูแลลูกด้วยความใส่ใจ
กระตุ้นส่งเสริมอย่างเหมาะสม และระวังเลือกและไม่ทำสิ่งที่ส่งผลเสียต่อลูก
เพียงเท่านี้ก็คุณก็ได้ชื่อว่า ไม่ได้เป็นพ่อแม่ที่เผลอทำลายสมองลูกแล้วล่ะ ค่ะ


โรคที่สัมพันธ์กับสมอง
นอกจากพฤติกรรมการเลี้ยงดูที่พ่อแม่ เป็นตัวการทำร้ายสมองลูกแล้ว
โรค ภัยไข้เจ็บยังเป็นส่วนหนึ่ง ที่เป็นตัวการในการทำลายสมองแบบได้ผลสุดๆ
โรคทางสมองที่เกิดขึ้น
เช่น เนื้องอกในสมอง เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ไข้ สมองอักเสบ ฝีในสมอง สมองพิการ โรคชัก ฯลฯ
ซึ่งบางโรคเกิดขึ้นตั้งแต่อยู่ในครรภ์ ทั้งจากการติดเชื้อ เช่น ติดเชื้อแบคทีเรีย เป็นต้น

โรคทางสมองนั้นเกิดขึ้นตั้งแต่ลูกอยู่ในครรภ์
สิ่ง ที่คุณพ่อคุณแม่ควรปฏิบัติคือ ดูแลลูกอย่างใกล้ชิดและทำตามคำแนะนำของคุณหมอที่ดูแล
เพื่อป้องกันไม่ให้ลูกเกิดอาการทางสมองเพิ่มขึ้น

ช่างสังเกต
หมั่นสังเกตอาการผิดปกติที่เกิดขึ้น กับลูก เช่น พัฒนาการไม่เป็นตามวัย ร้องกวน ซึม กินนมน้อย
หากลูกมีอาการเหล่านี้ควรรีบพบคุณหมอ เพราะหากเกิดอาการผิดปกติแล้วรีบรักษา
ความเสี่ยงที่ลูกจะป่วย หรือเกิดอาการผิดปกติก็จะมีน้อยลงและรักษาหายได้เร็ว ขึ้นค่ะ


ที่มา //www.igetweb.com/www/thaibabyclub/index.php?mo=3&art=257084



Create Date : 22 พฤศจิกายน 2552
Last Update : 1 ธันวาคม 2552 19:28:43 น. 0 comments
Counter : 987 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 200 คน [?]




Friends' blogs
[Add ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.