ชี้เหตุพ่อแม่เลี้ยงไม่เป็น ทำเด็กไทยไอคิวต่ำ
โตขึ้นหนูจะเป็นเด็กไอคิวสูงหรือไม่ ขึ้นอยู่กับพ่อแม่ที่จะดูแลในช่วง 6 ปีแรก โดยเฉพาะการฝึกฝนสมองของเด็กให้ได้รับการกระตุ้นอยู่เสมอ เผยเหตุผลเด็กไทยไอคิว ต่ำ เพราะขาดการกระตุ้นสมองที่ต้องทำตั้งแต่แรกเกิด ช่วง 6 ขวบปีแรกเป็นโอกาสทอง ขณะที่สังคมไทยตามใจเด็กจนเกินไป ค้านนโยบายขยายโอกาสศึกษาคลุมถึงเด็กอายุต่ำกว่า 3 ปี หวั่นส่งถึงมือครูเร็วกระทบความสัมพันธ์ระหว่างลูกกับพ่อแม่ ผลวิจัยระยะยาวในเด็กไทย พบครอบครัวไทยไม่ได้เตรียมตัวทั้งด้านร่างกายและจิตใจ ค่านิยมคลุมถุงชนยังอยู่ คณะผู้วิจัย โครงการวิจัยระยะยาวในเด็กไทย เปิดเผยผลการศึกษาในรอบ 3 ปี ของการทำวิจัย โดย พญ.จันทร์เพ็ญ ชูประภาวรรณ ผู้อำนวยการโครงการวิจัยฯ กล่าวว่า จากการเฝ้าติดตามครอบครัวไทย ตลอดช่วง 3 ปีของการดำเนินโครงการพบว่า สภาพครอบครัวของไทยยังโยงยึดอยู่กับความเชื่อเดิม ๆ ในการเลี้ยงลูก แม้จะมีบางครั้งที่จะพัฒนาให้เข้ากับยุคสมัย แต่พบว่าเป็นการดำเนินการที่ผิด และทำให้เกิดผลลบมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ พญ.จันทร์เพ็ญ ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการวิจัยระยะยาวถึง 24 ปีว่า เป็นการศึกษาเพื่อให้ได้สภาพที่เป็นจริงของเด็กและครอบครัวไทย โดยคัดเลือกจากพื้นที่ 4 ภาคของประเทศและกรุงเทพมหานคร รวม 4,200 ครอบครัว “เราเริ่มศึกษาตั้งแต่แม่ตั้งครรภ์ เด็กคลอด เด็กอายุ 21 วัน 3 เดือน 6 เดือน ต่อไปเรื่อย ๆ จนครบอายุ 24 ปี คือเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว และการติดตามอย่างใกล้ชิดเช่นนี้จะทำให้ได้สภาพที่แท้จริง นำไปสู่การคิดค้น วิธีการพัฒนาเด็กและครอบครัวไทยให้มีคุณภาพทัดเทียมประเทศอื่น ๆ และเหมาะสมกับการเปลี่ยนแปลงของโลก” พญ.จันทร์เพ็ญ กล่าว สมองเด็กพัฒนาการช้า เพราะพ่อแม่ ด้าน ผศ.ดร.นิตยา สินสุกใส คณะพยาบาลศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล หนึ่งในทีมวิจัย เปิดเผยว่า การพัฒนาสมองของเด็กต้องเริ่มทำตั้งแต่แรกเกิด ความรักความผูกพันจะมีผลต่อการพัฒนาสมอง และเหตุผลที่ทำให้เด็กไทยพูดช้าเพราะพ่อแม่ไม่ค่อยพูดกับลูก คิดว่าลูกฟังไม่รู้เรื่อง ทั้งที่ความจริงการพูดกับลูกเป็นการกระตุ้นสมองให้เกิดพัฒนาการ นอกจากนี้ในเรื่องของอาหารพบว่า ขณะตั้งครรภ์แม่ไม่ค่อยรับประทานเนื้อสัตว์ นม และผัก ยกตัวอย่างพื้นที่ใน จ.ขอนแก่นยังนิยมกินอาหารสุก ๆ ดิบ ๆ ขณะที่ภาคกลางนิยมรับประทานเครื่องดื่มที่มีกาเฟอีน ทำให้การดูดซึมธาตุเหล็ก ไปใช้ไม่ดี ส่งผลให้เกิดโรคโลหิตจาง ส่วนภาคใต้ประสบปัญหาน้อยที่สุด ค้านส่งเด็กถึงมือครูตั้งแต่ 3 ขวบ ทำลายความสัมพันธ์กับพ่อแม่ พญ.จันทร์เพ็ญ กล่าวอีกว่า เหตุผลที่ทำให้เด็กไทยไอคิวต่ำเนื่องจากขาดการกระตุ้นสมอง ในต่างประเทศถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ เพราะเขามองศักยภาพของเด็กมาเป็นอันดับ 1 ในขณะที่สังคมไทยตามใจเด็กจนเกินไป และการที่มีผู้ใหญ่บางคนบอกว่าอยากให้เด็กไทยเลิกเสพยา เพื่อพัฒนาสมองให้ดีขึ้นต้องบอกว่า คงสายเกินไปเพราะสมองหยุดเติบโตตอน 6 ขวบ หากไม่เร่งดำเนินการตั้งแต่ช่วงแรกก็จะหมดโอกาส นอกจากนี้พญ.จันทร์เพ็ญยังไม่เห็นด้วยที่กระทรวงศึกษามีนโยบายจะขยาย โอกาสถึงเด็กอายุต่ำกว่า 3 ปี เพราะการส่งเด็กให้ครูที่จะต้องดูแลเด็กหลายสิบคน จะทำให้ความสัมพันธ์ของพ่อ แม่และลูกลดลงไปอย่างน่าเสียดาย ความรู้สึกก่อร่างของครอบครัวต้องสูญเสียไป “ถ้านายกฯอยากเห็นเด็กมีไอคิวสูงพัฒนาการดี ก็ควรจะต้องสนับสนุนแนวคิดนี้ ดีกว่าต้องไปปวดหัวในอนาคตแล้วบอกว่า ข้าราชการถูกสั่งสมมานานเปลี่ยนแปลงยาก นั่นเพราะเขาไม่รู้จะทำอะไร เขาคิดไม่เป็น ต้องแก้กันตั้งแต่แรกเกิดเลย” พญ.จันทร์เพ็ญ กล่าว นอกจากนี้ ยังได้หารือกับ นพ.เกษม วัฒนชัย องคมนตรี แล้วท่านเสนอว่าน่าจะให้คู่สมรสที่คิดจะมีลูก ควรต้องเข้าโรงเรียนเตรียมความ พร้อมก่อนให้รู้ว่าถ้าแต่งงานแล้วต้องปฏิบัติตัวอย่างไร
หญิง-ชายไทยไม่เตรียมพร้อมก่อนแต่งงาน พญ.จันทร์เพ็ญ กล่าวว่า ครอบครัวไทยไม่ได้เตรียมตัวทั้งด้านร่างกายและจิตใจ จากการศึกษาพบว่า คู่สมรสส่วนใหญ่แต่งงานครั้งแรกมีระยะคุ้นเคยกันเฉลี่ย 2 ปี 3 เดือน แต่งงานระหว่างเครือญาติในกลุ่มที่นับถือศาสนาพุทธร้อยละ 8.2 ศาสนาอิสลามร้อยละ 7 ศาสนาคริสต์ร้อยละ 12.3 และกลุ่มที่นับถือวิญญาณร้อยละ 12.1 ตามลำดับ และการแต่งงานในลักษณะเช่นนี้ จะมีปัญหาด้านสุขภาพตามมาภายหลังเนื่องจากมี พันธุกรรมใกล้ชิดกัน นอกจากนี้ยังพบว่า เป็นการตัดสินใจของคู่สมรสเองร้อยละ 82.2 และยังมีลักษณะคลุมถุงชนคือ บิดามารดาตัดสินใจให้ร้อยละ 14.5 โดยร้อยละ 80 พึงพอใจต่อการแต่งงานโดยเฉพาะกลุ่มที่คุ้นเคยกันก่อนแต่งงาน 13-36 เดือน ส่วนคนที่แต่งระหว่างเครือญาติจะไม่ค่อยพึงพอใจ และหญิงที่รายได้ดีจะไม่ค่อยพอใจในการแต่งงาน ขณะเดียวกันลักษณะของครอบครัวในชนบท ยังเป็นครอบครัวขยายมากกว่าอยู่แบบพ่อ แม่ลูก พญ.จันทร์เพ็ญ กล่าวว่า ในสังคมปัจจุบันพบสามีทิ้งภรรยาตั้งแต่ลูกยังไม่เกิดร้อยละ 6 เมื่อเกิดแล้วแยกหย่าอยู่กับตายาอีกร้อยละ 5.4 และยังพบอีก 13 ครอบครัวที่หญิงตั้งครรภ์ต้องอยู่ร่วมชายคากับภรรยาคนอื่น ๆ ของสามีในบ้านเดียวกัน ซึ่งพบมากในชนเผ่าและศาสนาอิสลาม นอกจากนี้ยังพบว่าสามีภรรยาที่อยู่ด้วยกันโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสมี ถึงร้อยละ 55.6 ดังนั้นตัวเลขของทะเบียนราษฎร์ที่ว่ามีการหย่าร้างสูงในแต่ละปีนั้น เมื่อรวม กับที่ไม่ได้จดทะเบียนด้วยคาดว่าปีละหลายราย ส่วนประเด็นสุขภาพของมารดาขณะตั้งครรภ์ พญ.จันทร์เพ็ญ กล่าวว่า กลุ่มมารดาในเขตกรุงเทพฯ มีแนวโน้มเป็นโรคโลหิตจางสูงที่สุด ขณะที่ภาคใต้ต่ำสุด ซึ่งภาวะโลหิตจางนี้ เสี่ยงที่จะเป็นโรคธาลัสซีเมียสูงขึ้นด้วย และการเตรียมการตั้งครรภ์ก็ขาดความพร้อมทั้งกายและใจ ทางด้านนางภัทรา สง่า จากคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ผู้ร่วมวิจัย กล่าวว่า จากการศึกษาถึงสัมพันธภาพระหว่างบิดามารดาพบว่า ภาคกลางมีความสัมพันธ์ต่ำสุดในขณะที่ภาคเหนือและภาคอีสาน มีความสัมพันธ์กัน สูง ส่วนปัจจัยทางด้านศาสนานั้นพบว่า ศาสนาอิสลามจะมีความเป็นธรรมนูญในการดำรงชีวิตสูงสุด กล่าวคือ จะเชื่อว่าการคลอดต้องคลอดกับหมอตำแยที่เป็นอิสลาม แม้ทีมแพทย์และพยาบาลจะเตือนว่า หากคลอดกับหมอตำแยที่บ้านอาจทำให้เด็กเสียชีวิต เขาก็ยืนยันเลือกเกิดที่บ้านถ้าไม่รอดก็ถือว่า เป็นพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า “ภาษาก็สำคัญทั้งศาสนาอิสลามและชนเผ่าจะพูดภาษาถิ่น ทำให้ไม่อาจสื่อสารกันได้เข้าใจ เขาก็รับสารข้างเดียวว่า ถ้าคลอดกับแพทย์จะต้องถูกกรีดแล้ว ก็ทำหมันซึ่งเขาไม่สามารถต่อรองอะไรได้ ซึ่งเป็นเหตุให้เด็กเสียชีวิตหลายราย” นางภัทรา กล่าวและว่าอิทธิพลของชุมชนและสังคมยังมีอำนาจสูงโดยเฉพาะชนบท
ที่มา : //www.manager.co.th
สารบัญ เรื่อง แม่และเด็ก คลิกดู ที่นี่ค่ะ
Create Date : 07 เมษายน 2553 |
|
0 comments |
Last Update : 7 เมษายน 2553 21:24:31 น. |
Counter : 1225 Pageviews. |
|
|
|