อ่านเรื่อยๆ มาเรียง ๆ ทุกวันของ หนี่งหน่อง นะครับ

สูตรแกงเผ็ดไก่ พร้อมวิธีทํานํ้าพริกแกงเผ็ด แบบไทยๆ



สูตรแกงเผ็ดไก่
สูตรแกงเผ็ดไก่ พร้อมวิธีทำน้ำพริกแกงเผ็ด แกงไทยเด็ด ๆ ที่คุณคู่ควร

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณ RinS Cook Book สมาชิกเว็บไซต์ยูทูปดอทคอม และ เฟซบุ๊ก Rin Silpachai

แกงเผ็ดไก่ แกงไทยกลิ่นหอมสีสันสดใสกินกับข้าวสวยร้อน ๆ ไข่ดาวสักฟอง ฟินสุโค่ย แม่ศรีเรือนมือใหม่ต้องไม่พลาด

          แกงเผ็ดหรือแกงแดง ที่ฝรั่งเรียกว่า Red Curry แกงไทยกลิ่นหอมฉุยที่ใคร ๆ ก็ชอบกิน จะเลือกใส่เนื้อสัตว์อะไรก็ได้ หรือเป็นผักก็ดี เต้าหู้ก็เริ่ด แล้วยิ่งถ้าใช้น้ำพริกแกงที่โขลกเองลงไปด้วยแล้วล่ะก็ กลิ่นคงจะหอมฟุ้งไปทั้งบ้าน วันนี้กระปุกดอทคอมก็นำวิธีทำแกงเผ็ดไก่จาก คุณ RinS Cook Book สมาชิกเว็บไซต์ยูทูปดอทคอม ที่ควงคู่มาพร้อมกับวิธีโขลกน้ำพริกแกงเผ็ดเองแบบง่าย ๆ มาฝาก รับรองว่าต้องโดนใจคออาหารไทยแน่ ๆ

ส่วนผสม

น้ำพริกแกงเผ็ด 2 ช้อนโต๊ะ

กะทิ 1 1/4 ถ้วย

เนื้อไก่หั่นเป็นชิ้นพอดีคำ (หรือเนื้อสัตว์อื่น ๆ ตามชอบ) ประมาณ 142 กรัม

น้ำซุปหรือน้ำเปล่า 1/2 ถ้วย

ใบมะกรูด 3-4 ใบ

น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ

น้ำตาลทราย 3-4 ช้อนชา

หน่อไม้ (หั่นเป็นชิ้น) 1/2 ถ้วย

ใบโหระพา 1/4 ถ้วย

พริกเบลหรือพริกชี้ฟ้าสีแดงและสีเขียว (หั่นเฉียง)1/3 ถ้วย

น้ำมันพืชเล็กน้อย สำหรับผัด

วิธีทำ

1. ใส่น้ำมันพืชเล็กน้อยลงในกระทะ นำขึ้นตั้งไฟปานกลางพอร้อน ใส่น้ำพริกแกงเผ็ดลงไปผัดจนหอม ตามด้วยกะทิ ผัดให้เข้ากัน

2. ใส่เนื้อไก่ลงไปผัด เติมน้ำซุปลงไปคนผสมให้เข้ากัน รอจนเดือดแล้วลดไฟอ่อนลง พักทิ้งไว้ประมาณ 10 นาทีจนเครื่องแกงซึมเข้าเนื้อไก่และเปื่อยเล็กน้อย

3. ใส่ใบมะกรูดลงไป ปรุงรสด้วยน้ำปลาและน้ำตาลทราย เติมกะทิที่เหลือลงไป คนผสมให้เข้ากัน ชิมรสตามชอบ

4. ใส่หน่อไม้ลงไปคนผสมให้เข้ากัน ตามด้วยพริก รอจนเดือดอีกครั้ง ใส่ใบโหระพาลงไปคนให้เข้ากัน ยกลงจากเตา ตักใส่ถ้วย พร้อมเสิร์ฟ


น้ำพริกแกงเผ็ด

สูตรแกงเผ็ดไก่

ส่วนผสม

พริกแห้ง 3 ชนิด ประมาณ 113 กรัม (พริกขี้หนู พริกชี้ฟ้า และพริกหยวก)

ลูกผักชี 2 ช้อนโต๊ะ

เม็ดพริกไทยขาว 10 เม็ด

รากผักชีหรือก้านผักขีสับละเอียด 2 ช้อนโต๊ะ

ตะไคร้ปั่นละเอียด 2 ต้น (เฉพาะโคน)

ข่าปั่นละเอียด 2 ช้อนชา

ผิวมะกรูดสับละเอียด 2 ช้อนชา

หอมแดงสับละเอียด 2 ช้อนโต๊ะ

กระเทียมสับ 1/4 ถ้วย

กะปิ 2 ช้อนชา

เกลือทะเล 2 ช้อนชา

เคล็ดลับ : พริกแห้งที่ใช้ถ้าเป็นพริกขี้หนูแห้งจะมีรสเผ็ด ถ้าใช้พริกชี้ฟ้าแห้งจะเผ็ดน้อยลง และพริกหยวกแห้งจะไม่เผ็ดแต่ได้สีที่สวย

วิธีทำ

1. ตัดขั้วพริกแห้งแล้วกรีดฝักเพื่อนำเม็ดออก จากนั้นตัดพริกเป็นชิ้นบาง ๆ เล็ก ๆ แล้วนำไปแช่น้ำทิ้งไว้ประมาณ 10 นาทีจนนุ่ม

2. ใส่ลูกผักชีและเม็ดพริกไทยขาวลงไปโขลกในครกให้ละเอียด ตามด้วยรากผักชี ตระไคร้ ข่า ผิวมะกรูด หอมแดง กระเทียม กะปิ เกลือทะเล และพริกแห้งที่แช่น้ำไว้ลงไปโขลกให้เข้ากันจนเนียนละเอียด ประมาณ 5 นาที (หรือนำส่วนผสมทั้งหมดไปปั่นในเครื่องปั่นให้ละเอียด)

3. เก็บใส่ภาชนะ นำเข้าแช่เย็น เก็บไว้ใช้ได้นานเป็นอาทิตย์

   เห็นแกงเผ็ดไก่ถ้วยนี้แล้วก็หิวเลยสิคะแบบนี้ ขอตัวเข้าครัวไปโขลกน้ำพริกก่อนนะคะ อยู่ไม่ไหวจริง ๆ อยากจะเป็นแม่ศรีเรือน




 

Create Date : 20 ธันวาคม 2557    
Last Update : 20 ธันวาคม 2557 10:54:59 น.
Counter : 2502 Pageviews.  

ว้าว ! ทําผนังปูนเปลื่อยสุดเจ๋ง

ว้าว ! ทำผนังปูนเปลือยสุดเจ๋ง แบบไม่ต้องใช้ปูนเลยสักนิด

ว้าว ! ทำผนังปูนเปลือยสุดเจ๋ง แบบไม่ต้องใช้ปูนเลยสักนิด

ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณ David Minho Khamyan สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม

ไอเดียสร้างผนังปูนเปลือย แบบไม่ต้องใช้ปูนจริง รีวิวเจ๋ง ๆ ที่คนงบน้อยก็เปลี่ยนบ้านให้เป็นผนังปูนเปลือยได้ง่าย ๆ แถมยังทำเองได้สบาย

ผนังปูนเปลือย เป็นเทรนด์แต่งบ้านยอดฮิตที่หลายคนอยากจะมีไว้เก๋ ๆ ในบ้านบ้าง แต่การจะขัดสีผนังใหม่เพื่อทำเป็นปูนเปลือย ก็ไม่ได้ง่ายดายอย่างที่คิดสักเท่าไร แถมยังต้องใช้ช่างมืออาชีพมาทำให้อีกด้วย ดังนั้นวันนี้เราจึงมีรีวิวเจ๋ง ๆ จาก คุณ David Minho Khamyan สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ในการทำผนังปูนเปลือยด้วยตัวเอง ชนิดที่ไม่ต้องใช้ปูนจริง แถมยังไม่ต้องจ้างช่างให้เปลืองตังค์ด้วยล่ะ อยากรู้ไหมว่าทำได้อย่างไร .. งานนี้ต้องไปพิสูจน์กันจ้า






รีวิว สร้างผนังปูนเปลือย แต่ไม่ได้ใช้ปูนเปลือยเลยสักนิด โดย คุณ David Minho Khamyan

สวัสดีครับ เพื่อน ๆ ทุกท่าน หลังจากอ่านรีวิวการตกแต่งบ้านคนอื่นมาเยอะ.. วันนี้เลยลองมารีวิววิธีการทำผนังปูนเปลือย โดยใช้สีสร้างลวดลายบ้างครับ เผื่อเป็นแรงบันดาลใจในการตกแต่งบ้านให้กับคนอื่น ๆ เหมือนที่เราได้รับแรงบันดาลใจมาจากคนอื่น

จริง ๆ ก่อนหน้าที่จะรู้จักสีสร้างลวดลายนี้ ผมก็เคยอ่านรีวิวการใช้สีสร้างลวดลายจากพันทิปนี่แหละครับ จำกระทู้ไม่ได้แล้ว หลังจากเห็นกระทู้นั้น ผมเลยลองมาทำดูบ้างครับ เริ่มกันเลยเนอะ!!


ว้าว ! ทำผนังปูนเปลือยสุดเจ๋ง แบบไม่ต้องใช้ปูนเลยสักนิด

เริ่มจากมาดูอุปกรณ์ที่จะใช้ในวันนี้ก่อน พระเอกของเรา เป็นสีสร้างลวดลาย Nippon Momento : Elegant หากใช้พวก Sparkle Silver/Gold สีที่ออกมาจะเป็นเหลือบเงิน ๆ ทอง ๆ ครับ ดังนั้นเราจึงใช้ Elegant ซึ่งสีที่เราจะใช้ในวันนี้เป็น สีเทาเข้ม ราคาประมาณ 1,000 บาท (กับอีกนิด ๆ ไม่ถึงร้อยครับ)


ว้าว ! ทำผนังปูนเปลือยสุดเจ๋ง แบบไม่ต้องใช้ปูนเลยสักนิด

โดยเราจะได้อุปกรณ์ในการสร้างลวดลายแถมมาอีก 1 กล่อง ประกอบไปด้วย แปรงแบน ๆ, เกรียงพลาสติก, และที่คน (หรือเปล่า)


ว้าว ! ทำผนังปูนเปลือยสุดเจ๋ง แบบไม่ต้องใช้ปูนเลยสักนิด


หลังจากเปิดฝากระป๋องมาแล้ว ก็พร้อมที่จะลงมือวาดลวดลายลงบนผนัง ซึ่งเนื้อสีที่เราจะได้จะเป็นแบบนี้ครับ หนืด ๆ และมีเหมือนตัวเม็ดสี เอาไว้ทำลวดลาย


ว้าว ! ทำผนังปูนเปลือยสุดเจ๋ง แบบไม่ต้องใช้ปูนเลยสักนิด

ทีนี้เราก็มาดูกันที่ผนังครับ โดยผนังที่จะทำการลงลายปูนเปลือยในคราวนี้ เป็นสีขาวพื้นธรรมดา ๆ เลยครับ ซึ่งการใช้สี Nippon Momento ตัวเนื้อสีจริง ๆ จะไม่ได้ทึบมาก หากทาลงไปแล้วจะเป็นการเบลนดิ้ง ผสมระหว่างสีพื้นเดิมและสีสร้างลายครับ


ว้าว ! ทำผนังปูนเปลือยสุดเจ๋ง แบบไม่ต้องใช้ปูนเลยสักนิด

เอาล่ะ..ได้เวลาละเลงแล้วครับ !! จุ่มสีแล้วทำการใส่ร้ายป้ายสีเข้าไปเลยครับ ปาด ๆ ถู ๆ ตามสบายใจเลย


ว้าว ! ทำผนังปูนเปลือยสุดเจ๋ง แบบไม่ต้องใช้ปูนเลยสักนิด

สังเกตว่าจะมีตัวเนื้อสีที่เป็นก้อน ๆ อยู่นะครับ


ว้าว ! ทำผนังปูนเปลือยสุดเจ๋ง แบบไม่ต้องใช้ปูนเลยสักนิด

ขั้นตอนสำคัญในการสร้างลวดลายคล้าย ๆ ปูนนะครับ..ให้ใช้เกรียงพลาสติกที่แถมมาทำการ ปาด ขูด ป้าย สีที่เราทาไปเมื่อกี้ (อย่าทิ้งไว้นานจนสีแห้ง เดี๋ยวจะปาดไม่ไปครับ)


ว้าว ! ทำผนังปูนเปลือยสุดเจ๋ง แบบไม่ต้องใช้ปูนเลยสักนิด

ปาด บี้ สี ให้เม็ดสีก้อน ๆ แตกกระจายไปเลยครับ.. ขูด ๆ ปาด ๆ แล้วจะได้พื้นผิวเดิมของปูนเดิมที่เขาฉาบไว้ขึ้นมาด้วย


ว้าว ! ทำผนังปูนเปลือยสุดเจ๋ง แบบไม่ต้องใช้ปูนเลยสักนิด

ซึ่งมันจะได้ลักษณะแบบนี้


ว้าว ! ทำผนังปูนเปลือยสุดเจ๋ง แบบไม่ต้องใช้ปูนเลยสักนิด

ว้าว ! ทำผนังปูนเปลือยสุดเจ๋ง แบบไม่ต้องใช้ปูนเลยสักนิด

เอาล่ะ ทีนี้ก็สนุกกับการละเลงให้เต็มพื้นที่ไปเลย !!!


ว้าว ! ทำผนังปูนเปลือยสุดเจ๋ง แบบไม่ต้องใช้ปูนเลยสักนิด

เป็นอย่างไรกันบ้างครับ ไม่ยากเลยใช้ไหม กับการสร้างผนังปูนเปลือยสไตล์ลอฟท์ง่าย ๆ โดยที่ไม่ได้แตะปูนเลยสักนิดเดียว ลองทำกันดูนะครับ





 

Create Date : 20 ธันวาคม 2557    
Last Update : 20 ธันวาคม 2557 10:51:58 น.
Counter : 3672 Pageviews.  

เมื่อต้อง ผ่าฟันคุด ทําไมไม่ใช้ยาสลบ

หลายๆคนคงเคยมีประสบการณ์การ ผ่าฟันคุด หรือบางคนที่ยังไม่ได้ผ่าแต่มักจะได้ยินเรื่องเล่าจากเพื่อนๆมาไม่น้อยว่าการ ผ่าฟันคุด มันช่างเจ็บปวดทรมานเหลือเกิน เลือดไหลเยอะ น่ากลัว ผ่าเสร็จแล้วก็กินอะไรไม่ค่อยได้ กว่าจะหายก็นาน ทำให้บางคนไม่กล้าไปตรวจและ ผ่าฟันคุด หรือบางคนก็อยากให้คุณหมอวางยาสลบจะได้ไม่ต้องรู้สึกอะไร แต่การวางยาสลบนั้น คุณหมอจะไม่ค่อยทำให้ เหตุผลเพราะอะไร ไปดูกันเลยค่ะ

170549187

ถาม : คุณหมอคะ หนูมีฟันคุด แต่กลัวฉีดยาชา ขอดมยาสลบเลยได้ไหมคะ ?

ตอบ : ได้ครับแต่โดยทั่วไปการ ผ่าฟันคุด ก็ไม่จำเป็นต้องผ่าพร้อมกันทุกซี่ สามารถทยอยผ่าออกทีละ 1 หรือ 2 ซี่ โดยใช้ยาชาเฉพาะที่ก็สามารถทำได้แล้ว ความเสี่ยงก็น้อยกว่าการดมยาสลบ แต่สำหรับการดมยาสลบ ทันตแพทย์จะพิจารณาจากตัวผู้ป่วยเป็นสำคัญ อาทิ ผู้ป่วยแพ้ยาชาเฉพาะที่ ผู้ป่วยเด็กหรือบุคคลปัญญาอ่อนที่ไม่ให้ความร่วมมือในการผ่าตัด ผู้ป่วยที่ไม่สามารถฉีดยาชาเฉพาะที่แล้วระงับความรู้สึกได้อย่างสมบูรณ์ ผู้ป่วยที่กลัว วิตกกังวล จนไม่สามารถทนต่อการผ่าตัดได้ และผู้ป่วยอัมพาต ที่ไม่รู้สึกตัวหรือไม่ตอบสนองต่อความรู้สึก นอกจากนี้ยังรวมถึงผู้ป่วยที่มีฟันคุดหลายซี่ การผ่าตัดฟันคุดไม่ได้เจ็บหรือน่ากลัวอย่างที่คิด แต่การปล่อยให้มีฟันคุดแล้วเกิดอาการปวดนี่สิน่ากลัวกว่า ฉะนั้นเมื่อทราบว่ามีฟันคุด หรือ อายุอยู่ในช่วง 18 – 25 ปี ควรไปพบทันตแพทย์เพื่อตรวจและเอกซเรย์ จะได้ทราบว่ามีฟันคุดอยู่ทั้งหมดกี่ซี่ หลังจากนั้นก็ทยอยผ่าตัดเอาฟันคุดออกให้เสร็จภายใน 6 เดือน เพื่อป้องกันอาการปวดหรือภาวะแทรกซ้อนอื่นๆที่จะเกิดขึ้นจากฟันคุด ที่สำคัญ แม้การใช้ยาสลบร่วมกับการผ่าตัดจะมีข้อดี เพราะสามารถทำได้ภายในครั้งเดียวโดยที่ผู้ป่วยไม่รู้สึกตัว แต่ก็ต้องคำนึงถึงความเสี่ยงของการดมยาสลบด้วย โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคทางสมอง และอื่นๆ ซึ่งเสี่ยงต่อการดมยาสลบ ดังนั้น ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ทันตแพทย์จะไม่ใช้ยาสลบเพื่อระงับความรู้สึกเป็นทางเลือกแรกในผู้ป่วยที่ ต้องผ่าตัดฟันคุดครับ

ฟันคุด คือ ฟันที่ไม่สามารถโผล่พ้นเหงือกขึ้นมาในช่องปากได้ตามปกติ อาจจะฝังอยู่ในกระดูกขากรรไกรทั้งซี่ หรือโผล่ขึ้นมาเพียงบางส่วน จะเป็นฟันซี่ใดก็ได้ในช่องปาก แต่ที่พบมาก คือ ฟันกรามล่างซี่สุดท้าย การรักษา คือ การผ่าตัดเอาฟันคุด

ขอบคุณที่มาจาก : ทพ.นิวัฒน์ พันธ์ไพศาล
งานทันตกรรม คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล




 

Create Date : 20 ธันวาคม 2557    
Last Update : 20 ธันวาคม 2557 10:48:14 น.
Counter : 1332 Pageviews.  

ดร.เสรี ถามกระต่ายแม็กซิม แต่งตัวแบบนี้เอาก้านสมองไหนคิด?

ดร.เสรี ถามกระต่ายแม็กซิม  แต่งตัวแบบนี้เอาก้านสมองไหนคิด?

วันนี้(19ธ.ค.) หลังจากที่ “กระต่าย-ทรรศิกา ยุติมิตร” หรือกระต่าย Miss Maxim ปี 2013 ที่แต่งตัวหวิวในชุดเอี๊ยมกระโปรงสั้น เสื้อสูทดำยาวคลุมทับ ไร้บรามีเพียงสายเอี๊ยมพาดผ่านเนินหน้าอกปิดจุกไว้ จนกลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์อยู่ในขณะนี้

กระต่ายโชว์เต้า

กระต่ายโชว์เต้า

ล่าสุดรองศาสตราจารย์ ดร.เสรี วงษ์มณฑา นักวิชาการด้านสื่อสารมวลชนและการตลาด ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการแต่งตัวของกระต่าย ว่า  เห็นแล้วสงสารพ่อแม่ คนพวกนี้ลืมไปว่าชีวิตคนเราทุกคน ไม่สามารถมีแค่ชื่อตัวเองแล้วจบได้ หลังชื่อทุกคนจะตามด้วยพื้นเพที่มา ชื่อพ่อแม่ เคยเรียนที่ไหน จบสถาบันอะไร เคยมีอาจารย์ชื่ออะไร ทำงานในองค์กรไหน เราทุกคนต้องรับผิดชอบต่อประวัติของตัวเอง

ถ้าเราออกมาจากรูกระบอก ไม่ได้ทำงาน ไม่เคยเรียน ไม่มีครูบาอาจารย์ก็ว่าไปอย่าง แม่คนนี้ออกมาจากรูกระบอกหรือไง กำพร้าพ่อแม่ตั้งแต่เกิดหรือเปล่า ญาติพี่น้องตายหมดแล้วหรือ ถึงไม่มีใครคอยสั่งสอน นี่ถ้าไม่มีกฎหมายกำกับไว้ว่า โชว์หัวนมแล้วผิดฐานอนาจาร

เธอก็คงจะโชว์ไปแล้ว ไม่ทราบว่าแต่งกายด้วยชุดแบบนี้ เอาก้านสมองก้านไหนคิด พ่อแม่อยู่ที่ไหน เคยคิดไหมว่าทำแบบนี้คนอื่นจะคิดอย่างไร เข้าใจนะว่าพ่อแม่บางคนไม่ชอบสั่งสอนลูก ตามใจในเรื่องไม่สมควร แบบนี้เธอคงจะเป็นพวกลูกบังเกิดเกล้า ประเภทที่พ่อแม่ยอมแพ้ลูก ส่วนตัวเคยเจอลูกแบบนี้นะ คือชอบเที่ยวมาก พ่อแม่ดุด่าไม่ฟัง สุดท้ายพ่อยอมแพ้ บอกแม่ไม่ต้องด่ามัน เอาถุงยางใส่กระเป๋าไปให้มันก็พอ คือพ่อแม่จำนนต่อความชั่วร้ายของลูก

MThai News

ขอบคุณข้อมูลข่าวจาก เดลินิวส์ออนไลน์ 




 

Create Date : 20 ธันวาคม 2557    
Last Update : 20 ธันวาคม 2557 10:45:34 น.
Counter : 1154 Pageviews.  

76 ปีผ่านไป ชาตินิยม ที่ยังหลงเหลือจากนโยบาย จอมพลป.

76ปีผ่านไป ชาตินิยม ที่ยังหลงเหลือจากนโยบาย จอมพลป.

วันนี้ถ้าย้อนกลับไปเมื่อ 76 ปีที่แล้ว  ใครจะยังจำได้ว่า ประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่การเปลี่ยงแปลงครั้งใหญ่ที่สุดนับหลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองปี2475   โดยชายที่ชื่อว่า แปลก ขีตตะสังคะ หรือ พันตรีหลวงพิบูลสงคราม ต่อมาคือ “จอมพล ป. พิบูลสงคราม” นายกรัฐมนตรีที่ได้รับการขนานนามว่า นายกฯตลอดกาล และจอมพลกระดูกเหล็ก

จอมพล ป. พิบูลสงคราม

จอมพล ป. พิบูลสงคราม

วันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2481 ถือว่าเป็นวันที่จอมพล ป.ก้าวขึ้นสู่อำนาจนายกรัฐมนตรีคนที่ 3ของประเทศไทย และเป็นนายกรัฐมนตรีถึง 2 สมัยครั้งแรก 16 ธันวาคม พ.ศ. 2481 – 1 สิงหาคม พ.ศ. 2487 (5 ปี 228 วัน)และครั้งที่2 คือ 8 เมษายน พ.ศ. 2491 – 16 กันยายน พ.ศ. 2500 (9 ปี 161 วัน) ถือว่ายาวนานมาก เด็กรุ่นนี้คงจำภาพของท่านจอมพลป.ในแง่ของชาตินิยมและการปลุกระดมในการคลั่งชาติ แต่ลืมไปว่าอีกภาพหนึ่งของจอมพลป. พิบูลสงคราม คือผู้พลิกโฉมประเทศไทยให้เข้าสู่ยุคใหม่อย่างเต็มตัว

MThai News ขอถือโอกาสนี้ยกเกร็ดประวัติศาสตร์การเมืองในอดีตเกี่ยวกับ รัฐนิยมของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่ตกทอดมาจนถึงยุคปัจจุบัน ให้คนรุ่นหลังได้ลองอ่านและเห็นถึงอีกมุมของคุณูปการของท่าน รวมไปถึงรู้ว่าแท้จริงวัฒนธรรมบางอย่างที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้ก็เริ่มมาจาก จอมพลป. นายกฯคนนี้เอง

นโยบายยุคจอมพล ป. พิบูลสงคราม

นโยบายยุคจอมพล ป. พิบูลสงคราม

 การเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมดนตรี

จอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีผู้นำที่มาพร้อมกับนโยบายสร้างชาติเปลี่ยนวัฒนธรรม มุ่งส่งเสริมอัตลักษณ์ให้ประเทศไทยเป็นที่ยอมรับในอารยประเทศ การเปลี่ยนแปลงนั้นรวมถึงวัฒนธรรมดนตรีที่ส่งผลกระทบต่อดนตรีไทยในปัจจุบัน
มีแบบแผนให้มีการพัฒนาปรับปรุงทั้งระบบเสียงให้มีความเทียบเท่ากับดนตรีสากล ปรับปรุงมาตรฐานของนักดนตรีให้มีความสามารถตามที่กรมศิลปากรเป็นผู้กำหนด รวมถึงการบันทึกโน๊ตในรูปของบรรทัด 5 เส้น ​ โดยมีการตราเป็นพระราชกฤษฎีกากำหนดวัฒนธรรมทางศิลปกรรมเกี่ยวกับการบรรเลง การขับร้องและการพากย์ พุทธศักราช 2486 หากไม่ทำตามมีโทษตามกฎหมาย เหตุนี้สร้างความยุ่งยากจากเรื่องของดนตรีไทยนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่เป็นข้อจำกัด ดังเช่นปรากฎในภาพยนตร์โหมโรง กลายเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ดนตรีไทยในยุคนั้นมาถึงยุคปัจจุบันเสื่อมความนิยมลงไปเรื่อยๆ บวกกับกระแสวัฒนธรรมต่างชาติที่รุนแรงและแพร่หลายมากยิ่งขึ้น

A8692274-3

สวัสดี เป็นคำทักทายประจำชาติ

สมัยของจอมพล ป.พิบูลสงคราม ได้กำหนดให้คนไทยใช้คำว่าสวัสดีเป็นคำทักทาย นอกจากนี้ยังมีการใช้การทักทายแบ่งตามช่วงเวลาเลียนแบบชาวตะวันตกด้วย เช่น

ตอนเช้า “อรุณสวัสดิ์” มาจากคำว่า “good morning”
“ทิวาสวัสดิ์” มาจากคำว่า “good afternoon”
“สายัณห์สวัสดิ์” มาจากคำว่า “good evening”
“ราตรีสวัสดิ์” มาจากคำว่า “Good Night”

นอกจากนี้ยังมีการวางระเบียบการใช้คำแทนชื่อเป็นมาตรฐาน เช่น ฉัน, ท่าน, เรา เปลี่ยนจากสมัยก่อนที่ใช้ กู มึง เอ็ง ข้า

ว่าด้วยรัฐนิยม [ชาตินิยม]

รัฐนิยมเป็นประกาศ 12 ฉบับของจอมพลป. พิบูลสงคราม ลักษณะคล้ายกฎหมายบังคับใช้ทั่วไป มีจุดประสงค์เพื่อปลุกระดมให้รักชาติ โดยประกาศรัฐนิยม ฉบับที่ 1  คือการพลิกโฉมประเทศ เปลี่ยนชื่อจากสยามมาเป็น ประเทศไทย เรียกประชาชนในชาติว่า “คนไทย”

“….รัฐนิยมฉบับที่ 1: เรื่อง การใช้ชื่อประเทศ ประชาชน และสัญชาติ     โดยที่ชื่อของประเทศนี้ มีเรียกกันเป็นสองอย่าง คือ “ไทย” และ “สยาม” แต่ประชาชนนิยมเรียกว่า “ไทย” รัฐบาลเห็นสมควรถือเป็นรัฐนิยมใช้ชื่อประเทศให้ต้องตามชื่อเชื้อชาติและความ นิยมของประชาชนชาวไทย ดั่งต่อไปนี้
ก. ในภาษาไทย  ชื่อประเทศ ประชาชน และสัญชาติให้ใช้ว่า “ไทย”
ข. ในภาษาอังกฤษชื่อประเทศ ให้ใช้ว่า THAILAND ชื่อประชาชน และสัญชาติให้ใช้ว่า THAI…”

ต่อมาก็มีนโยบายให้เรียกทุกคนว่าคนไทย แม้จะมีเชื้อสายอื่นก็ตาม ห้ามมิให้แบ่งแยก เพื่อส่งเสริมความเป็นปึกแผ่น [รัฐนิยมฉบับที่3]

หลังจากเปลี่ยนชื่อประเทศก็มีรัฐนิยมอีกหลายฉบับที่ประกาศตามกันมา เช่น เรื่องเพลงชาติ เพลงสรรเสริญพระบารมี การเคารพธงชาติ ที่ปัจจุบันกลายเป็นแบบแผน เคารพธงชาติเวลา 8.00น. และ 18.00น. ก่อนเข้าเรียนต้องมีการสวดมนต์ไหว้พระ

“…เมื่อได้เห็นผู้ใดไม่แสดงความเคารพดังกล่าวพึงช่วยกันตักเตือนชี้แจงให้เห็นความสำคัญแห่งการเคารพธงชาติ เพลงชาติ และเพลงสรรเสริญพระบารมี…”

คนไทยต้องอ่านออกเขียนได้

รัฐนิยมประกาศให้คนไทยต้องอ่านภาษาไทย เรียนภาษาไทย พูดภาษาไทย โดยระบุว่าเป็นหน้าที่ของพลเมืองไทยที่ดีประการที่หนึ่งนั้น คือ ศึกษาให้รู้หนังสือไทยอันเป็นภาษาของชาติ อย่างน้อยต้องให้อ่านออกเขียนได้ ประการที่สอง ชนชาติไทยจะต้องถือเป็นหน้าที่อันสำคัญในการช่วยเหลือสนับสนุนแนะนำชักจูง ให้พลเมืองที่ยังไม่รู้ภาษาไทย หรือยังไม่รู้หนังสือไทย ให้ได้รู้ภาษาไทย หรือให้รู้หนังสือไทยจนอ่านออกเขียนได้
โปรดช่วยเหลือเด็ก ผู้พิการและผู้สูงอายุ

ในรัฐนิยมฉบับที่ 12 มีการประกาศว่า ในที่สาธารณสถานหรือในถนนหลวง ให้บุคคลทำการช่วยเหลือคุ้มครองโดยลักษณะที่จะยังความปลอดภัยให้แก่เด็ก คนชราหรือคนทุพพลภาพในการสัญจรไปมา หรือในการหลบหลีกภยันตรายผู้ใดสามารถกระทำการช่วยเหลือคุ้มครองดังกล่าวในข้อ 1 ถือว่าผู้นั้นเป็นผู้มีวัฒนธรรม ควรได้รับความนับถือของชาวไทย

รัฐนิยมในชีวิตประจำวัน

ต่อมารัฐนิยมเริ่มก้าวล่วงเข้ามาถึงการใช้ชีวิตประจำวันของคนในยุคสมัยนั้น โดยมีการประกาศอย่างจริงจังในรัฐนิยม ฉบับที่10 11  โดยระบุว่า

รัฐนิยม ฉบับที่ 10 เรื่องการแต่งกายของประชาชนชาวไทยและห้ามผิดเพศ ผู้ชายสวมหมวกใส่เสื้อชั้นนอกคอเปิดหรือปิด สวมกางเกงขายาวแบบสากล สวมรองเท้าหุ้มส้นและหรือหุ้มข้อ และถุงเท้า ส่วนผู้หญิงก็ต้อง สวมหมวก ใส่เสื้อนอกคลุมไหล่ สวมผ้าถุง ใส่รองเท้าหรือหุ้มส้นและถุงเท้า เป็นต้น

รัฐนิยมในชีวิตประจำวัน

รัฐนิยมในชีวิตประจำวัน

พักกลางวันไม่เกิน1ชั่วโมง
รัฐนิยม ฉบับที่ 11 เรื่องกิจประจำวันของคนไทย ( ประกาศเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2484 ) โดยชนชาติไทยพึงบริโภคอาหารให้ตรงเวลา ไม่เกินวันละ 4 มื้อ และนอนประมาณ 6-8 ชั่วโมงต้องมุ่งมั่นทำงาน พักกลางวันไม่เกิน 1 ชั่วโมง มีเวลาทำสวนครัว เลี้ยงสัตว์ ปลูกต้นไม้ ทั้งชำระร่างกายแล้วจึงรับประทานอาหารว่าง

ในเวลากลางคืนก็ควรใช้ในการพบปะสนทนาในครอบครัว มิตรสหาย ทั้งใช้ศึกษาหาความรู้ หรือในการมหรสพ ส่วนวันหยุดก็ควรใช้ให้เป็นประโยชน์ ต่อร่างกายและจิตใจ เล่นกีฬา พักผ่อน ทำบุญ ฟังเทศน์ เป็นต้น

สาเหตุที่มีประกาศรัฐนิยมทั้ง2ฉบับ ต้องเข้าใจว่าสมัยก่อนคนไทยไม่ได้ใช้ชีวิตกันแบบนี้ บางกลุ่มเป็นคนป่า คนเรือแพ ใช้เวลาไปกับการทำไร่นา บางคนก็ปล่อยเวลาให้ผ่านเลยไปโดยเปล่าประโยชน์ ไม่ทำมาหากินเพราะถือว่ามีที่ดิน ข้าวปลาที่สมบูรณ์พร้อมอยู่แล้ว ค่อยทำเมื่อไหร่ก็ได้ การกำหนดแบบแผนนี้ ช่วยทำให้คนไทยขยันขึ้นมาบ้าง และเพื่อให้ใช้เวลาอย่างเป็นประโยชน์ รู้จักการจัดสรรเวลาที่ถูกต้อง

ที่สำคัญคือรัฐนิยมที่ประกาศมาเกือบทุกฉบับส่งเสริมภาพลักษณ์ให้คนไทยดูดีขึ้นเปลี่ยนจากพวกบ้านป่าเมืองเถื่อนเป็นผู้ดีศิวิไลซ์  ซึ่งจะเห็นได้ว่าจากรัฐนิยมข้างต้น ปัจจุบันก็ยังคงเป็นมรดกตกทอดมาสู่คนยุคหลังและกลายเป็นชีวิตประจำวัน เป็นแบบแผนที่บางคนเรียกมันว่ากรอบแห่งการดำเนินชีวิต ใครผิดแปลกจากนี้จะกลายเป็นคนนอกกรอบไปทันที ผิดกฎไปในทันที ซึ่งต่อมาแม้จะหมดยุคการบังคับใช้รัฐนิยมไปแล้ว แต่ใครจะไปรู้ว่า รัฐนิยมมันฝังลึกลงไปในวัฒนธรรมของคนไทยไปเป็นส่วนหนึ่งเป็นที่เรียบร้อย เราประพฤติปฏิบัติตามโดยไม่ถือว่ามันเป็นข้อบังคับกันไปแล้ว

By @Nookkill :P

: , , ,
อ่านแล้ว : 37615 ครั้ง
ติดต่อทีมข่าว : news@mthai.com




 

Create Date : 20 ธันวาคม 2557    
Last Update : 20 ธันวาคม 2557 10:41:29 น.
Counter : 1080 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  

หนี่งหน่อง
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 33 คน [?]




pub-1485477287124314
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add หนี่งหน่อง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.