อ่านเรื่อยๆ มาเรียง ๆ ทุกวันของ หนี่งหน่อง นะครับ

ศัพท์สุดฮา ภาษาหญิง ๆ ไว้เรืยก แทน การช่วยตัวเอง

ตัวเอง ไม่อยากจะเม้าท์ อ่านแล้วห้ามขำนะ  …นี่คือ ตัวอย่าง ศัพท์สุดฮา ภาษาหญิงๆ ไว้เรียกแทน การ ช่วยตัวเอง ของผู้หญิง ซึ่งกำลังจัดโหวตเป็นประชามติขึ้นใน สวีเดน และต่อไปนี่คือคำที่เข้ารอบบางส่วน

- She’boppin    = ปั่นนวล
– Spelunking   =  ระเบิดถ้ำ
– Muffin Buffin’  = ขัดมัฟฟิน
– Jilling Off  =  …น้อง
– Pearl Twirls  =  ตวัดมุก
– Sexercise  = เพศบริหาร
– Slapping Susie  = ตบซูซี่
– Touring Tasmania  = ตะลอนทุ่งแทสมาเนีย

ก็ในเมื่อผู้ชายเขามีศัพท์เฉพาะไว้ใช้กัน สำหรับเรียก การช่วยตัวเองว่า …ว่าว สำหรับสาวๆ อย่างเราล่ะ ไม่เห็นเคยมีศัพท์เฉพาะที่ดูฟรุ้งฟริ้ง จริตหญิง ไว้เรียกใช้กันบ้างเลย เป็นผู้หญิงยิงเรือ ให้ใช้พูดตามผู้ชายมันก็ออกเชยๆ กระดากปาก ดูอี๋ๆ นิดๆ เนอะๆๆ ว่าม่ะ แล้วจะเรียกยังไงให้มันได้ฟิลลิ่ง ดีล่ะเธอ

ผู้หญิง

ในประเทศสวีเดน จึงมีแคมเปญ คิดคำเก๋ๆ เพื่อใช้เรียกแทน การ ช่วยตัวเอง ของผู้หญิงโดยเฉพาะขึ้นมา โครงการนี้ก็ไม่ใช่ไก่กานะจ๊ะ มีองค์กรจัดทำขึ้นเป็นเรื่องเป็นราว โดย เครือข่ายชาวสวีเดนเพื่อเพศศึกษา  ทีเดียวเชียว เอาซี๊ ซึ่งแคมเปญนี้ จัดขึ้นเพื่อสร้างทัศนคติที่ดี และมุมมองที่เปิดกว้างมากขึ้นเกี่ยวกับเรื่องความสัมพันธ์รวมไปถึงเรื่องเพศ จึงได้จัดให้มีการประกวดคิดคำสร้างสรรค์  ไว้ใช้เรียกแทน การช่วยตัวเองของเพศหญิง ขึ้นมา  ทางโฆษกของเครือข่าย ได้ให้สัมภาษณ์ว่า “หากพูดถึงการช่วยตัวเอง ก็มักจะมีภาพในความคิดว่า ต้องเป็นเพศชายเท่านั้น ทำไมไม่คิดบ้างว่า อาจจะเป็นผู้หญิงก็ได้ ถ้าเราไม่มีคำเรียก ไม่มีภาษาที่บ่งบอก แล้วเราจะสามารถพูดคุยกันถึงเรื่องเพศกันได้อย่างไร ”  ทั้งหมดนี้ก็เพียงเพื่อการพัฒนามุมมองทางสังคมครั้งใหญ่ไปอีกก้าวนั่นเอง

ผู้หญิง

ขณะนี้มีคำที่ทางองค์กรเจ้าของแคมเปญได้ คัดคำศัพท์เฉพาะมาแล้ว และจะเปิดโหวตเพื่อรับฟังเสียงจากประชาชนทั่วไปทาง Facebook  ต่อไป ซึ่ง คำเรียกเหล่านั้น ก็ช่าง ฟรุ้งฟริ้ง มุ้งมิ้งประสาหญิงได้อีกด้วยล่ะ อย่างเช่น ‘klittra’, ‘pulla’ , ‘selfa’ ซึ่งแตกต่างจากคำเรียก ของเพศชายแน่นอนอยู่แล้ว ลองมาดูคำศัพท์อื่นๆ ที่เข้ารอบกันดูสิแล้วคุณล่ะ ชอบคำไหนเอ่ย ถ้าให้แปลเป็นไทยนี่จะฮามากเลยล่ะคุณผู้ชม

ภาพจาก IG parfemme
ที่มาจาก oystermag
รายงานโดย Women Mthai Team




 

Create Date : 01 ธันวาคม 2557    
Last Update : 1 ธันวาคม 2557 8:49:56 น.
Counter : 1727 Pageviews.  

เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกื่ยวกับดวงจันทร์

วิมุติ วสะหลาย (wimut@hotmail.com)



คนแรกที่เสนอความคิดว่าดวงจันทร์เต็มไปด้วยภูเขาคือ ดีโมครีตัส นักปราชญ์ชาวกรีก มีอายุในช่วงปี 460-370 ปีก่อนคริสต์กาล

คนแรกที่เขียนแผนที่ของดวงจันทร์คือ ดับเบิลยู กิลเบิร์ต ในช่วงราว ๆ ปี พ.ศ.2143 ซึ่งได้รับการตีพิมพ์ในปี พ.ศ.2194 แผนที่นี้เขียนโดยการสังเกตการณ์ด้วยตาเปล่า เนื่องจากในขณะนั้นยังไม่มีการประดิษฐ์กล้องโทรทรรศน์ขึ้น


ในปี 2535 พรรคนิวคาสเซิล กรีน ในอังกฤษ มีการกำหนดปฏิทินการประชุมพรรคโดยใช้ปฏิทินจันทรคติ โดยกำหนดให้ประชุมกันทุกวันจันทร์ดับ และปฏิบัติงานตามแผนทุกวันจันทร์เพ็ญ


คำว่า lunatic ในภาษาอังกฤษ ซึ่งมีความหมายว่า คนเพี้ยน คนไม่สมประกอบ เริ่มใช้ในประเทศอังกฤษตั้งแต่ปี ค.ศ. 1290 แต่มีการใช้มาตั้งแต่ยุคโรมันแล้ว คำนี้มีรากศัพท์เกี่ยวกับดวงจันทร์เนื่องจากคนในยุคนั้น (รวมถึงยุคนี้บางคน) เชื่อว่าดวงจันทร์มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมประหลาด ๆ ของมนุษย์


คนดังอย่าง เจมส์ วัตต์, เบนจามิน แฟรงคลิน และอีกหลายคน เคยถูกเรียกว่า lunatic มาก่อน ทั้งนี้ไม่ใช่เพราะว่าเป็นคนเพี้ยน แต่เป็นสมาชิกของสมาคมดวงจันทร์ (Lunar Society) ซึ่งเรียกสมาชิกของสมาคมว่า lunatic และสมาคมนี้ก็ไม่ได้ดำเนินงานเกี่ยวกับดวงจันทร์ แต่เป็นสมาคมสำหรับอภิปรายและแลกเปลี่ยนข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ มีการจัดประชุมทุกคืนวันจันทร์ก่อนวันเพ็ญ ด้วยเหตุผลที่ว่าแสงจันทร์ใกล้เพ็ญจะช่วยส่องทางยามค่ำคืนเมื่อสมาชิกกลับบ้าน จึงมีชื่อสมาคมว่า Lunar Society


แผนที่ดวงจันทร์ชิ้นแรกที่เขียนโดยการสังเกตการณ์ผ่านกล้องโทรทรรศน์เขียนโดย โธมัส แฮริออต ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ.2262 ซึ่งแสดงรายละเอียดต่าง ๆ บนผิวดวงจันทร์ได้อย่างละเอียดและแม่นยำกว่าแผนที่ที่เขียนโดยกาลิเลโอในปี พ.ศ.2263 เสียด้วยซ้ำ


ภูเขาลูกแรกบนดวงจันทร์ที่มีการวัดความสูงกันคือ อัลเพนไนนส์ โดยกาลิเลโอ ในปี พ.ศ.2263


คนแรกที่อธิบายแสงจาง ๆ บนดวงจันทร์ด้านมืดในคืนจันทร์เสี้ยวคือ ลีโอนาร์โด ดา วินชี เขาอธิบายว่าแสงนั้นเกิดจากแสงอาทิตย์ที่สะท้อนจากผิวโลกอีกทีหนึ่ง ซึ่งถูกต้องทุกประการ


ภาพถ่ายภาพแรกของดวงจันทร์ เป็นผลงานของ เจ ดับเบิลยู แดรเปอร์ ถ่ายเมื่อวันที่ 23 มีนาคม พ.ศ.2383 ใช้กล้องโทรทรรศน์หักเหแสงขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 5 นิ้ว เปิดหน้ากล้องนาน 20 นาที


การวัดอุณหภูมิพื้นผิวของดวงจันทร์เกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2412 ผลของการวัดครั้งนั้นคือ 100 องศาเซลเซียส (ตัวเลขที่แท้จริงในปัจจุบันคือ -163 ถึง 117 องศาเซลเซียส)


การวัดการสะท้อนเรดาร์ของดวงจันทร์เพื่อวัดระยะห่างเกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 1946 โดย แซด เบย์ ที่ฮังการี


การวัดระยะทางของดวงจันทร์ที่แม่นยำที่สุดในขณะนี้คือการวัดการสะท้อนของแสงเลเซอร์ ระยะทางเฉลี่ยที่วัดได้คือ 353911.218 กิโลเมตร


ทะเลที่ใหญ่ที่สุดบนดวงจันทร์ชื่อ ทะเลแห่งฝน(Mare Imbrium) มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 1300 กิโลเมตร ลึก 7 กิโลเมตร


ด้านไกลของดวงจันทร์มีทะเลขนาดใหญ่เพียงแห่งเดียวเท่านั้นคือ ทะเลตะวันออก (Mare Orientale) มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 300 กิโลเมตร


แอ่งที่ใหญ่ที่สุดบนดวงจันทร์คือ South Pole-Aiken มีเส้นผ่านศูนย์กลางถึง 2500 กิโลเมตร ลึก 13 กิโลเมตร ค้นพบโดยยานคลีเมนไทน์ ในปี พ.ศ.2537 เชื่อว่าแอ่งนี้มีอายุถึง 3800 ถึง 4300 ล้านปี เกิดจากอุกกาบาตที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 200 กิโลเมตร


เครเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดบนดวงจันทร์คือ เบลลี(Bailly) เส้นผ่านศูนย์กลาง 295 กิโลเมตร ลึก 3.96 กิโลเมตร


ยานสำรวจดวงจันทร์ลำแรกของโลกคือ เอเบิล 1 เป็นของสหรัฐอเมริกา ปล่อยจากฐานวันที่ 17 สิงหาคม 2501 แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ


ยานสำรวจดวงจันทร์ลำแรกที่ประสบผลสำเร็จคือ ลูนาร์ 1 ยานนี้ไม่ได้ลงจอด เพียงแต่ผ่านดวงจันทร์ไปและส่งข้อมูลกลับมายังโลก


ยานลำแรกที่ลงจอดบนดวงจันทร์คือ ยานลูนา 2 ซึ่งลงจอดบนดวงจันทร์เมื่อวันที่ 13 กันยายน พ.ศ.2502


ภาพถ่ายดวงจันทร์ด้านไกลภาพแรกถ่ายโดยยาน ลูนา 3 ในเดือนตุลาคม พ.ศ.2502


ภาพยานอวกาศที่โคจรรอบดวงจันทร์ที่สามารถถ่ายได้จากโลกคือ ภาพของยานออร์บิเตอร์ 5 ถ่ายเมื่อวันที่ 21 มกราคม พ.ศ.2511 โดย J. Fountain, S. Larson และ G. Kuiper ถ่ายด้วยกล้องโทรทรรศน์สะท้อนแสงขนาด 100 นิ้วที่แคตาลีนา จุดของยานมีอันดับความสว่างประมาณ 12 ถึง 15


เที่ยวบินอวกาศเที่ยวบินแรกที่นำมนุษย์ไปโคจรรอบดวงจันทร์คือ อะพอลโล 8 ในเดือน ธันวาคม พ.ศ.2511


นักบินคนแรกที่เหยียบพื้นผิวดวงจันทร์คือ นีล อาร์มสตรอง ซึ่งเดินทางไปกับยานอะพอลโล 11 เขาได้เหยียบดวงจันทร์ในวันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ.2512 คนถัดมาก็คือเอ็ดวิน อัลดริน


ยานอวกาศลำแรกที่นำตัวอย่างหินจากดวงจันทร์กลับมายังโลกโดยไม่มีนักบินคือ ลูนา 16 ปล่อยจากฐานในวันที่ 12 กันยายน พ.ศ.2513


ศาสตราจารย์ทางธรณีวิทยาคนแรกที่เดินทางไปเหยียบดวงจันทร์คือ แฮริสัน ชมิทท์ เดินทางไปกับยานอะพอลโล 17 ในวันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ.2515


นักบินอวกาศคนล่าสุดที่ได้เหยียบดวงจันทร์คือ ยูจีน เซอแนน นักบินอวกาศยานอะพอลโล 17


ยานสำรวจดวงจันทร์ลำแรกของญี่ปุ่นคือ ฮะโกะโมะโระ ปล่อยจากฐานไปเมื่อวันที่ 24 มกราคม พ.ศ.2533

การสังเกตการณ์ดวงจันทร์ในขณะดวงจันทร์เป็นเสี้ยวบางที่สุด เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 15 มีนาคม พ.ศ.2515 โดยนาย อาร์. มอแรน จากแคลิฟอเนีย ด้วยกล้องสองตาขนาด 10 x 50 ในขณะนั้นดวงจันทร์มีอายุคาบเพียง 14 ชั่วโมง 53 นาที เท่านั้น




 

Create Date : 01 ธันวาคม 2557    
Last Update : 1 ธันวาคม 2557 8:40:58 น.
Counter : 989 Pageviews.  

แกงเขืยวหวานไก่ รสกลมกล่อมจัดจ้าน

แกงเขียวหวานไก่ รสกลมกล่อมจัดจ้าน

แกงเขียวหวานไก่เป็นอีกเมนูหนึ่งที่ได้รับความนิยมกันมาก ในหมู่ผู้บริโภคไม่ว่าจะเป็นข้าวราดแกง หรือรับประทานกับขนมจีนก็อร่อยไม่น้อย ซึ่งเนื้อสัตว์ที่จะนำมาทำแกงเขียวหวาน ก็สามารถทำเปลี่ยนไปได้เรื่อยๆไม่ว่าจะเป็น เนื้อวัว เนื้อหมู ไก่ ปลา กุ้ง ลูกชิ้นปลากราย หรือเมนูผักเพื่อสุขภาพก็ได้เช่นเดียวกัน แกงเขียวหวาน มีความหอมของพริกแกง และความหอมของเครื่องเทศ มีรสหวานมันของกะทิ นิยมรับประทานกับข้าวสวยหรือขนมจีนก็จะเพิ่มความอร่อยยิ่งขึ้น…ดังนั้น วันนี้เราจึงมีสูตรแกงเขียวหวานไก่รสชาติกลมกล่อมจัดจ้านมาฝากครับ ที่มีสูตรอร่อยๆดังนี้


เครื่องปรุงแกงเขียวหวานไก่

  • พริกแกงเขียวหวานผสมพริกแกงเผ็ดนิดนึง (ซื้อที่ตลาด…เดี๋ยวว่างๆจะเอาสูตรทำพริกแกงเด็ดๆมาฝากนะครับ)
  • สะโพกไก่ 500 กรัม
  • เครื่องในไก่ 500 กรัม (หรือมากกว่าได้ตามชอบ)
  • เลือดไก่ 1 ก้อน (ใส่หรือไม่ใส่ก็ได้)
  • มะเขือเปราะ 500 กรัม
  • มะเขือพวง 500 กรัม
  • พริกขี้หนูสวน 100 กรัม (โขลกหรือบด ให้พอละเอียด)
  • กะทิสด 1½ เอาเฉพาะหัว หรือจะใช้แบบกล่องก็เอากล่องขนาด 1000 มิลลิลิตร
  • ใบโหรพา 200 กรัม
  • พริกแดงเพื่อตกแต่ง 1 เม็ด (ใส่หรือไม่ก็ได้)
  • น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ
  • เกลือ หรือ น้ำปลา
  • น้ำตาลปิ๊ป 2 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ

1. นำเนื้อไก่ เครื่องในและเลือดไก่ มาล้างทำความสะอาด จากนั้นนำเนื้อไก่ต่างๆมาหั่นให้ได้ชิ้นพอดีคำ
2. เตรียมผักต่างๆสำหรับปรุงอาหาร
  • มะเขือเปราะล้างและ ผ่าครึ่งหั่น สี่ ชิ้น แช่ในน้ำผมสมเกลือเพื่อไม่ให้มะเขือดำ จากนั้นก็เด็ดมะเขือพวงลงไปแช่รวมกันด้วย
  • ใบโหรพาเด็ดเอาแต่ใบล้างน้ำแล้วผึ่งในตระกร้าไว้
3. นำหัวกะทิมาผัดกับพริกแกงให้หอม คือเริ่มจากเอาน้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ ลงกระทะ จากนั้นนำพริกขี้หนูสวนที่โขลกแล้วลงไปเจียวให้หอมด้วยไฟอ่อน ตามด้วยพริกแกงลงไปผัดตาม ค่อยๆเติมหัวกะทิ ทีละทัพพี ให้ได้ 3 ทัพพี เคี่ยวให้กะทิแตกมัน (เหตุที่ใช้พริกขี้หนูด้วยก็เพื่อเพิ่มความเผ็ดหอม และไม่ให้น้ำแกงข้นเกินไปจากพริกแกงที่ใส่เยอะ)
4. จากนั้นให้ใส่ไก่ลงผัดให้พอสุก ตามด้วยเครื่องใน เติมเกลือ 1/2 ช้อนชา (ถ้าเกลือปรุงทิพย์ ให้ใส่ครึ่งช้อนชา หรือถ้าเป็นเกลือป่นสมุทร 1 ช้อนชา) ผัดให้พอสุก
5. จากนั้นให้เติมหัวกะทิส่วนที่เหลือลงไป เปิดไฟแรงให้เดือดสักพัก
6. ใส่มะเขือเปราะ และมะเขือพวงลงไป หมั่นคนให้มะเขือจมน้ำแกงเพื่อมะเขือจะได้ไม่ดำ ทำให้น่าทาน จนมะเขือเริ่มสุก เติมน้ำปลา น้ำตาลปิ๊ป ลงไป ชิมให้ได้รสตามต้องการ ใส่ใบโหรพา เป็นลำดับสุดท้าย คนให้ทั่ว ปิดไฟ ยกลง
7. ตักเสิร์ฟรับประทานได้เลย…ที่เป็นแกงเขียวกวานไก่รสกลมกล่อมและจัดจ้าน สามารถทานกับขนมจีนหรือข้าวสวยร้อนๆได้แล้ว

คำแนะนำ
  • พริกขี้หนู พริกแกง เพิ่มลดตามความเหมาะสม กับวัตถุดิบ และความพอใจได้
  • ควรแช่มะเขือในน้ำที่ใส่เกลือเล็กน้อยเพื่อไม่ให้มะเขือดำ
  • มะเขือพวงควรบุบบ้างเล็กน้อย เพื่อให้น้ำแกงเข้าไปในเนื้อมะเขือได้




 

Create Date : 29 พฤศจิกายน 2557    
Last Update : 29 พฤศจิกายน 2557 11:18:20 น.
Counter : 2295 Pageviews.  

กล้วยสุกงอมจนเปลือกคลํ้า ช่วยต้านมะเร็งได้จริงหรือ






    มาร่วมกันไขข้อสงสัยที่ว่า กล้วยสุกงอมจนเปลือกเป็นสีคล้ำสามารถช่วยต้านมะเร็งได้จริงอย่างที่แชร์กันอยู่บนสังคมออนไลน์หรือเปล่า

    จากที่มีข้อความที่แชร์กันบนสังคมออนไลน์ว่า กล้วยที่สุกงอมมาก ๆ จนเปลือกเปลี่ยนเป็นสีคล้ำนั้นสามารถช่วยต้านมะเร็งได้ ทำให้เกิดความสงสัยกันไปว่า ข้อความเหล่านั้นเป็นเรื่องจริงหรือไม่ แล้วถ้ามันเป็นเรื่องจริง เจ้ากล้วยสุกงอมนี้สามารถช่วยต้านมะเร็งได้อย่างไร วันนี้เราจะพาไปไขข้องใจกับอาจารย์เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ นักวิชาจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กันค่ะ มาดูกันสิว่าเจ้ากล้วยที่สุกงอมมาก ๆ จนดูเหมือนไม่น่ากินนั้น มันประโยชน์จริงหรือไม่

              อาจารย์เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ ได้ให้ข้อมูลถึงเรื่องนี้เอาไว้ในเฟซบุ๊กส่วนตัว Jessada Denduangboripantว่า ข้อความที่แชร์ต่อกันมาเกี่ยวกับประโยชน์ของกล้วยสุกงอมที่ช่วยต้านมะเร็งนั้น ไม่เป็นความจริง เนื่องจากเรื่องนี้เป็นข่าวลือที่มีในต่างประเทศกันมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2555 แล้ว โดยอ้างถึงผลงานการวิจัยของนักวิจัยชาวญี่ปุ่น ซึ่งระบุกันในข้อความที่ถูกส่งต่อกันไปว่า "กล้วยที่สุกเต็มที่ จะสร้างสาร TNF (Tumor Necrosis Factor) ซึ่งเป็นสารที่ช่วยในการต้านมะเร็ง โดยเฉพาะในกล้วยไข่จะมีสารดังกล่าวมากที่สุด และยิ่งถ้าเปลือกมีสีดำคล้ำก็จะยิ่งดีต่อสุขภาพ"
    แต่จริง ๆ แล้ว สาร TNF ที่พูดถึงกันนั้นมีอยู่แต่ในระบบภูมิคุ้มกันของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเท่านั้น ไม่มีทางที่พืชชนิดอื่น ๆ หรือกล้วยจะสามารถสร้างขึ้นมาเองได้ นอกจากนี้ในงานวิจัยก็ไม่ได้ระบุว่าให้คนรับประทานกล้วยสุก แต่แค่เพียงนำสารสกัดจากกล้วยฉีดเข้าไปในท้องของหนูเพื่อศึกษาการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกัน โดยอาศัยการวัดระดับของ TNF ในร่างกายหนู เพื่อบ่งบอกการทำงานเม็ดเลือดขาวเท่านั้น ซึ่งผลที่ได้ก็ไม่ได้บ่งบอกว่าเมื่อรับประทานกล้วยสุกงอมแล้วจะทำให้ร่างกายสร้างสารดังกล่าวมากขึ้นแต่อย่างใด 

              นอกจากนี้อาจารย์เจษฎา ยังได้ชี้แจงเพิ่มเติมอีกว่า จริง ๆ แล้วกล้วยเป็นผลไม้ที่มีประโยชน์สูง แต่ก็ควรเลือกรับประทานให้ดี เพราะกล้วยที่สุกมาก ๆ นั้นมีน้ำตาลสูง หากรับประทานเข้าไปก็อาจจะทำให้ได้รับน้ำตาลมากเกินไปได้ค่ะ

    เป็นอย่างไรกันบ้างพอจะหายสงสัยกันแล้วใช่ไหมคะ ฉะนั้นใครที่ชอบรับประทานกล้วยที่สุกงอมมาก ๆ ก็น่าจะเพลา ๆ ลงเนอะ เพราะนอกจากจะไม่ได้ช่วยต้านมะเร็งแล้วยังมีน้ำตาลสูงอีกด้วย ทานเข้าไปเยอะ ๆ ระวังอ้วนไม่รู้ตัวนะจะบอกให้





 

Create Date : 29 พฤศจิกายน 2557    
Last Update : 29 พฤศจิกายน 2557 11:16:26 น.
Counter : 1330 Pageviews.  

สาวซดกาแฟลดความอ้วนเกินขนาด เปิด CCTV พบดิ้นทุรนทุรายก่อนตาย

สาวซดกาแฟลดความอ้วนเกินขนาด เปิด CCTV พบดิ้นทุรนทุรายก่อนตาย
สาวซดกาแฟลดความอ้วนเกินขนาด เปิด CCTV พบดิ้นทุรนทุรายก่อนตาย

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก ข่าวสด

สุดสลด ลูกจ้างร้านเสื้อผ้าเสียชีวิตอย่างทรมาน ดิ้นทุรนทุรายนานนับชั่วโมง คาดอาจจะเกิดจากการทานกาแฟลดความอ้วน

          เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2557 มีรายงานว่า พ.ต.ท. สมหมาย ชนะพะเนาว์ สารวัตรเวร สภ.เมืองชลบุรี พร้อมเจ้าหน้าที่ ได้รับแจ้งเหตุมีผู้เสียชีวิตที่ร้านจำหน่ายเสื้อผ้าผู้หญิงแห่งหนึ่งใน จ.ชลบุรี พบผู้เสียชีวิตคือ น.ส.อริน หละปี อายุ 29 ปี นอนหงายอยู่ด้านล่างเคาท์เตอร์เก็บเงินภายในร้าน สภาพศพมีน้ำลายปนเลือดไหลเปรอะริมฝีปาก ที่พื้นมีรอยเลือดแห้งกรังใกล้ ๆ ตรวจสอบตามร่างกายไม่พบบาดแผลแต่อย่างใด ในที่เกิดเหตุพบยาแก้ปวดชนิดรุนแรง 1 แผง ถูกกินไปแล้ว 1 เม็ด ตำรวจจึงส่งเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบ

ทั้งนี้ จากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดภายในร้าน พบว่าผู้ตายนั่งอยู่ตรงเก้าอี้หลังเคาท์เตอร์ด้วยท่าทางปกติ แต่จากนั้นก็ล้มลงจากเก้าอี้ ดิ้นทุรนทุรายอยู่บนพื้นคล้ายกับจะเอาชีวิตรอด แต่ไม่สามารถลุกขึ้นไปขอความช่วยเหลือได้ เป็นเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง จนสิ้นใจเสียชีวิต


          ด้านเจ้าของร้านเผยว่า ผู้ตายเป็นลูกจ้างที่อยู่ที่ร้านคนเดียว มีนิสัยชอบเก็บตัว ไม่สุงสิงกับใคร และไม่ค่อยรู้ปูมหลังเท่าไร ซึ่งปกติเจ้าของร้านจะมาปิดร้านในเวลา 21.30 น. จนเมื่อวันนี้ที่เจ้าของร้านมาที่ร้านเวลา 13.30 น. ก็พบผู้เสียชีวิตนอนอยู่ จึงแจ้งเจ้าหน้าที่ให้มาตรวจสอบ

จากการตรวจสอบเบื้องต้นทราบว่า ผู้เสียชีวิตมีโรคประจำตัวอยู่ และอาจจะซื้อยามากินเอง จนเกิดอาการแพ้และชัก ประกอบกับช่วงเวลาดังกล่าวไม่มีใคร จึงไม่สามารถช่วยชีวิตได้ทัน และอีกประการคือ ผู้ตายชอบซื้อกาแฟลดน้ำหนักมาดื่มเป็นประจำ เพราะไม่พอใจที่รูปร่างอวบอ้วน ต้องการเปลี่ยนหุ่นให้ตัวเองดูดีก่อนเดินทางกลับบ้านเดือนหน้า ซึ่งคาดว่า ผู้ตายอาจทานกาแฟลดน้ำหนักอย่างต่อเนื่อง จนไปส่งผลต่อการทำงานของหัวใจ ประกอบกับการอดอาหาร และทานยาแก้ปวดผสม จนทำให้ร่างกายไม่ปกติ แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้จะต้องมีการชันสูตรหาสาเหตุกันต่อไป




 

Create Date : 29 พฤศจิกายน 2557    
Last Update : 29 พฤศจิกายน 2557 11:13:34 น.
Counter : 1889 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  

หนี่งหน่อง
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 33 คน [?]




pub-1485477287124314
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add หนี่งหน่อง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.