อ่านเรื่อยๆ มาเรียง ๆ ทุกวันของ หนี่งหน่อง นะครับ

ซีททอด วิธีทํา ซีสทอดกรอบ

จัดไป ! ชีสทอดกรอบ ทำได้ไง เห็นแล้วหัวใจจะวาย
จัดไป ! ชีสทอดกรอบ ทำได้ไง เห็นแล้วหัวใจจะวาย

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก Mrs Happy Homemaker

เมนูชีสทอดนี่ไม่เข้าใครออกใครจริง ๆ วันนี้กระปุกดอทคอมก็เลยจัดให้ มีสูตรชีสทอดกรอบมาฝาก เห็นแล้วน้ำลายไม่ไหลให้มันรู้ไป โดยเฉพาะสาวกคนชอบกินชีสต้องไม่พลาด ทอดกรอบ ๆ ชีสเยิ้ม ๆ แถมยังทำง่าย ๆ ด้วย เป็นสูตรมาจากเว็บไซต์ Mrs Happy Homemaker แหม ! มันน่าลองนัก 

สิ่งที่ต้องเตรียม

จัดไป ! ชีสทอดกรอบ ทำได้ไง เห็นแล้วหัวใจจะวาย
ส่วนผสม


แป้งครัวซองต์หรือแป้งพายสำเร็จรูป

ชีสเวลวีต้า สไลซ์เป็นแผ่นบาง (Velveeta Cheese)

น้ำมันสำหรับทอด

แป้งสาลีอเนกประสงค์สำหรับโรยกันติด

วิธีทำ

          1. แบ่งแป้งพายออกเป็น 2 ส่วน แล้วใช้มือค่อย ๆ แผ่แป้งออกเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมผืนผ้า

จัดไป ! ชีสทอดกรอบ ทำได้ไง เห็นแล้วหัวใจจะวาย

          2. วางชีสเวลวีต้าสไลซ์เรียงทับลงไปบนแผ่นแป้งส่วนที่ 1 จนเต็ม

จัดไป ! ชีสทอดกรอบ ทำได้ไง เห็นแล้วหัวใจจะวาย

          3. ปิดทับด้วยแป้งส่วนที่ 2 ใช้มือกดขอบแป้งและบีบตะเข็บแป้งเบา ๆ เพื่อให้แป้งทั้ง 2 แผ่นปิดสนิท

จัดไป ! ชีสทอดกรอบ ทำได้ไง เห็นแล้วหัวใจจะวาย

          4. ใช้ไม้คลึงแป้งเบา ๆ ให้เรียบเป็นเนื้อเดียว

จัดไป ! ชีสทอดกรอบ ทำได้ไง เห็นแล้วหัวใจจะวาย

          5. พับครึ่งแผ่นแป้งตามขวาง (จากซ้ายไปขวา) มาประกบกัน แล้วคลึงแป้งให้เรียบ

จัดไป ! ชีสทอดกรอบ ทำได้ไง เห็นแล้วหัวใจจะวาย

          6. จากนั้นพับครึ่งแป้งตามยาว (จากด้านบนลงล่าง) มาประกบกัน แล้วใช้ไม้คลึงแป้งให้เรียบอีกครั้ง

จัดไป ! ชีสทอดกรอบ ทำได้ไง เห็นแล้วหัวใจจะวาย

          7. คลึงแป้งไปเรื่อย ๆ จนเห็นว่าแป้งและชีสเป็นเนื้อเดียวกัน

จัดไป ! ชีสทอดกรอบ ทำได้ไง เห็นแล้วหัวใจจะวาย

จัดไป ! ชีสทอดกรอบ ทำได้ไง เห็นแล้วหัวใจจะวาย

          8. ตัดแผ่นแป้งออกเป็นเส้น ๆ (เพื่อความสะดวกให้ใช้มีดตัดพิซซ่า)

          9. นำไปทอดในน้ำมันที่ร้อนจัดจนสุกเหลืองกรอบ ทอดประมาณ 20-30 วินาทีเท่านั้น (หมั่นเช็กความสุกอยุ่เสมอและระวังไหม้) ตักขึ้นสะเด็ดน้ำมัน พร้อมเสิร์ฟ

จัดไป ! ชีสทอดกรอบ ทำได้ไง เห็นแล้วหัวใจจะวาย

จัดไป ! ชีสทอดกรอบ ทำได้ไง เห็นแล้วหัวใจจะวาย

  โอ้โห้ ! ชีสทอดกรอบสุด ๆ แบบนี้ ใครเห็นแล้วยังอดใจกันไหวอยู่ไหมน้า ป่ะ ! เย็นนี้รีบไปซูเปอร์มาร์เกตกันเลยดีกว่า




 

Create Date : 26 ธันวาคม 2557    
Last Update : 26 ธันวาคม 2557 10:33:25 น.
Counter : 2814 Pageviews.  

5 อาหารสูขภาพ ที่ต้องมีไว้ติดตุ้เย็น

ตู้เย็นมีไว้เพื่อเก็บอาหาร ไม่ใช่เครื่องสำอางนะจ๊ะสาวๆ ยิ่งเก็บ อาหารสุขภาพ เก็บของดีมีประโยชน์ วันหิวๆ เราจะขอบคุณตู้เย็นเป็นอย่างมาก แต่ของควรเก็บกับของที่ควรกินแต่แรกให้หมดก็มีนะเออ การจัดสรร พื้นที่ในตู้เย็นเป็นวิชาอย่างนึงที่ควรรู้ แต่อาหารที่ควรถูกจัดเก็บก็ยิ่งต้องรู้ไม่น้อยหน้ากัน เพื่อให้อาหารที่มีอยู่ได้เป็นสต็อกให้เราเตรียมทำอาหาร ที่สำคัญควรมีไว้ติดตู้เย็นเลยล่ะ เพราะรับประกันได้ว่าเมื่อวันที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น วันนั้นเราจะรอดตายแน่ๆ

goodfood-1
1.ไข่ไก่ คนไทยชอบอยู่แล้วเพราะทำได้สารพัดเมนู จะเอามาเจียว ต้ม นึ่ง หรือเป็นอาหารเช้าแบบเร่งรัดได้แค่เอามาต้มกินกับซอส สัก 1-2 ฟองก็อิ่มไปทั้งเช้าหรือวันที่เหมือนขาดอะไรไปสักอย่างในจานพิเศษ ไข่ก็ยังนำมาผสมผสานให้น่ากินเข้าไปอีกได้ ไม่ว่าจะเป็นหม้อสุกี้ยากี้ ข้าวไข่ข้นหน้าแฮม (พอดีมีแฮมติดตู้แต่คิดเมนูไม่ออก) ไข่นี่ล่ะไม่มีไม่ได้เลย

goodfood-5
2.นมสด เมื่อหิว หยิบนมมาดื่มสักแก้วก็อยู่ท้องแล้ว หรือวันไหนเกิดอาการปวดกระเพาะขึ้นมาก็ยังนำนมไปอุ่นดื่มได้ นอกจากนี้ ยังสามารถนำไปปรุงอาหารได้หลายอย่าง ไม่ว่าเมนูเบสิกอย่างการกินกับซีเรียล เรื่อยไปถึงต้มยำน้ำข้น เลือกชนิดที่ไร้ไขมันก็ไม่มีใครว่าเพราะยังได้ควบคุมน้ำหนักอีกด้วย เพราะนี่ล่ะแหล่งวิตามินดีและแคลเซียมเชียวนะ

goodfood-4
3.ธัญพืช ของ ขบเคี้ยวตระกูลถั่วนี่ล่ะ ที่ช่วยให้ช่วงเวลาระหว่างมื้อถูกเติมเต็มได้ เพราะแค่หยิบมากินตอนท้องว่างก็ทำให้อยู่ท้อง (หรือจะตบนมหรือนมถั่วเหลืองร้อนตามอีกสักแก้ว) เพราะอุดมด้วยโปรตีน นอกจากนี้ ยังสามารถนำไปโรยในจานซีเรียล ข้าวโอ๊ต โยเกิร์ต ฯลฯ ก็ยิ่งทำให้อร่อยยิ่งขึ้น การเก็บในตู้เย็นยังช่วยลดกลิ่นหืนและการเกิดเชื้อต่างๆ ได้ด้วย

goodfood-3
4.ขนมปังโฮลวีต มี เนื้อ มีโปรตีนแล้วก็ต้องมีแป้งติดไว้บ้าง ยิ่งเป็นแป้งแบบขนมปังโฮลวีตด้วยแล้ว จะยิ่งช่วยให้เราได้คุณค่าอาหารครบถ้วนขึ้น สามารถเอามาดัดแปลงเมนูง่ายๆ ได้เยอะแยะ ไม่ว่าปิ้งกินกับไข่ดาวสักแผ่นในช่วงเช้า ทำแซนด์วิชในวันที่หิวตาลาย หรือจะเอามาป่นแล้วชุบกับเนื้อสัตว์ก่อนทอด ก็ยิ่งทำให้มีสีสันน่ากินมากขึ้น ที่สำคัญไม่ต้องกลัวอ้วนด้วย

drinks with lemon and lime.
5.มะนาว นี่ ล่ะอาหารชูรสภูมิปัญญาไทย เพราะไม่ใช่แค่การปรุงรสในอาหารให้ได้รสจี๊ดจ๊าด แต่ยังให้คุณค่าสารพัดประโยชน์ ไม่ว่าบีบใส่น้ำอุ่นดื่มตอนเช้าให้ถ่ายท้องง่าย ปรุงอาหารเมนูไทยให้ได้รสกลมกล่อม และยังครอบจักรวาลไปถึงงานบ้านได้ด้วย อย่างเช่น การบีบใส่คราบเหงื่อและน้ำมันชนิดต่างๆ บนเสื้อผ้าก็ช่วยให้ขจัดคราบได้ง่ายขึ้นแล้ว

ที่มาเรื่องจาก www.lisaguru.com




 

Create Date : 26 ธันวาคม 2557    
Last Update : 26 ธันวาคม 2557 10:28:51 น.
Counter : 925 Pageviews.  

ตร. สรุปแล้ว สาวตกตึกอาคารเดอะมอลล์บางกะปิ จาก ขวดนํ้าติดคันเร่งและเบรค จึงไม่สามารถเบรคได้

สรุปสาเหตุ สาวตกตึกอาคารเดอะมอลล์บางกะปิ จาก ขวดน้ำติดคันเร่งและเบรค จึงไม่สามารถหยุดรถได้

พล.ต.อ.จรัมพร สุระมณี ที่ปรึกษา ผบ.ตร.(ด้านนิติวิทยาศาสตร์) เปิดเผยถึงสาเหตุของรถเก๋งตกอาคารจอดรถที่ห้างเดอะมอลล์ บางกะปิ เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ว่า จากการตรวจสอบที่เกิดเหตุอย่างละเอียดในวันนั้น พร้อมทั้งประสานผู้เชี่ยวชาญด้านรถยนต์ร่วมตรวจสอบ พบว่า ระบบต่าง ๆ ของรถยนต์ไม่มีความบกพร่อง

581756-01

แต่พบขวดน้ำดื่มขัดอยู่ใต้แป้นเบรค ขณะที่ด้านหัวของขวดน้ำดื่มอยู่บริเวณคันเร่ง จึงทำให้ไม่สามารถเหยียบแป้นเบรคลงได้ และยังเป็นการกดคันเร่งเพิ่มความเร็วของรถมากขึ้นไปอีก โดยมีวงรอบความแรงของเครื่องยนต์ 5000 รอบ

จากการที่ให้ผู้เชี่ยวชาญด้านพิสูจน์หลักฐานจึงทดลองจำลองเหตุการณ์ขณะเกิดเหตุ ขณะที่การคำนวณความเร็วเฉลี่ยของรถจากจุดชนจนถึงผนังอาคาร ซึ่งมีความยาวของระยะทาง 58.40 เมตร คำนวณเวลาและระยะทางแล้วขณะเกิดเหตุรถคันนี้วิ่งด้วยความเร็วมากกว่า 20 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เป็นไปได้ว่าคนขับพยายามเหยียบเบรค แต่เนื่องจากมีขวดน้ำขัดอยู่จึงเหยียบเบรคไม่ได้ กลับเป็นการเหยียบคันเร่งแทน

ซึ่งจากการตรวจสอบภาพวงจรปิดภายในห้างเพิ่มเติม ที่ตอนแรกคาดว่าจะเป็นการฆาตกรรมหรือไม่ ซึ่งพอตรวจสอบแล้วพบว่าผู้เสียชีวิตหลังจากเลิกงานได้เดินออกจากห้างพร้อมกับเพื่อนสาวอีกคนตามปกติ ไม่มีคนติดตามหรือจ้องจะทำร้าย จึงตัดประเด็นเรื่องการฆาตกรรมทิ้งไป

innnews
: , , , , ,




 

Create Date : 26 ธันวาคม 2557    
Last Update : 26 ธันวาคม 2557 10:26:21 น.
Counter : 1409 Pageviews.  

"มะละกอ" มีถื่นกําเนิดจากที่ใด?

มะละกอไม่ได้มีถิ่นกำเนิดในไทยแน่นอน

มีเรื่องบอกเล่าต่อๆ"กันมาว่ามะละกอไม่ได้มีถิ่นกำเนิดในเมืองไทย"เป็นเรื่องที่เชื่อได้"

แต่หากบอกว่าต้นประดู่"ต้นมะขาม"ไม่ใช่ของไทย"ต้องคุยกันหน่อย"เพราะหลักฐานมันฟ้องอยู่"อย่างมะขามบางต้นในไทยอายุมากกว่า"200-300"ปี"

แต่ก็ข้องใจอยู่เหมือนกัน"มะขามมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า"Tamarindus"indica"L."ตัว"indicaคืออินเดีย"ฝรั่งคงค้นพบที่อินเดียก่อนจึงตั้งชื่ออินเดียตามท้าย"

มีนักเกษตรตั้งข้อสงสัยว่า"ชื่อพืชพรรณต่างๆ"ไม่ค่อยมีสยามหรือ"siamese"ต่อท้าย"แสดงว่าเมื่อก่อนเมืองไทยแทบไม่มีอะไรขึ้นอยู่เลยหรือ

มะละกอเป็นไม้ต่างแดนแน่นอน

ในหนังสือ"พรรณพืชในประวัติศาสตร์ไทย"ของ"ดร. สุรีย์"ภูมิภมร"บอกไว้ว่า

เอกสารของกระทรวงการต่างประเทศของโปรตุเกสระบุไว้ชัดเจนว่า"มะละกอมีถิ่นกำเนิดเดิมที่เทือกเขาแอนดีส"แต่บางเอกสารอ้างอิงว่ามะละกอมาจากเม็กซิโก"หรือหมู่เกาะอินเดียตะวันตก"บ้างก็ว่ามะละกอมีถิ่นกำเนิดในทวีปอเมริกากลาง"บริเวณเม็กซิโกตอนใต้และคอสตาริก้า

มีเอกสารบางฉบับระบุอีกเช่นกันว่าสเปนได้มะละกอมาจากฝั่งทะเลแคริบเบียนของปานามาและโคลัมเบีย

พระเจ้าอู่ทอง กรุงศรีอยุธยา
พระร่วง กรุงสุโขทัย
ศรีธนญชัย ไทยสยาม
เซียงเมี่ยง ไทยน้อย
ล้วนไม่รู้จักส้มตำมะละกอ และไม่เคยชิมลิ้มรส
เพราะยุคนั้นไม่มีมะละกอ และยังไม่มีส้มตำ 
มีแต่ตำส้มด้วยพืชผักอื่นๆ ที่ไม่มะละกอ
ปีพ.ศ. 2134 ช่วงกรุงธนบุรีเป็นราชธานี "นายลินโซเตน" นักท่องเที่ยวชาวดัตช์ "เขียนรายงานไว้ว่า" คนโปรตุเกสได้นำมะละกอมาปลูกที่มะละกา จากนั้นนำไปปลูกที่อินเดีย"ส่วนอีกทางหนึ่งได้ขยายไปปลูกที่อินโดนีเซีย"มาเลเซีย"และไทย

คาดกันว่า "มะละกอน่าจะเข้ามาทางภาคใต้ทางอ่าวไทย" ในช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์โดยมีเหตุยืนยันว่าผู้คนสมัยกรุงศรีอยุธยาไม่เคยกินส้มตำจากมะละกอ

เอกสารส่วนใหญ่ระบุว่าโปรตุเกสนำมะละกอเข้ามาปลูกในเอเชีย"แต่เอกสารหมอบรัดเลย์ระบุว่า"สเปนนำมะละกอเข้ามาปลูกทั้งนี้มีหนังสือ"PROSEA"สนับสนุน หนังสือเล่มนี้ได้รวบรวมการกระจายพันธุ์พืชในเอเชียไว้

มะละกอกำเนิดอยู่ที่ไหน "เป็นประเด็นแรก" ซึ่งก็คงแถวๆ "อเมริกากลาง"

ประเด็นต่อมา" ใครนำเข้ามาในเอเชีย "คงไม่พ้น2 ประเทศ" คือ "สเปน" และ"โปรตุเกส "ในหนังสือดร.สุรีย์ ภูมิภมร สรุปว่าอาจจะนำมาจากทั้ง2ประเทศ เพียงแต่ใครก่อนใครหลังเท่านั้นเอง

ถือว่าเป็นคุณูปการสำหรับการนำพืชพรรณใหม่ๆ"เข้ามา"นอกจากมาค้ามาขาย"หรือมานำทรัพยากรวัตถุดิบออกไปจากประเทศของเขาแล้ว"ยังนำมะละกอมาให้ปลูก"จนการปลูกแพร่ขยายออกไป"

ส่วนวิธีการกิน"ไทยเราพัฒนาไปมาก"แทนที่จะกินสุกอย่างเดียวเหมือนอย่างฝรั่งเขา"แต่นำมาทำส้มตำ"

พอสอบถามจากผู้รู้เรื่องมะละกอ"ซึ่งเรียนจบมาจากต่างประเทศ"เขาบอกว่า"ไทยเราบริโภคมะละกอมากที่สุดในโลก"โดยนำมาทำส้มตำ

มะละกอเรียกต่างกันทั้งไทยและต่างประเทศ"

ภาษาอังกฤษ"คือ"ปาปายา"(papaya)"อังกฤษแต่เดิมเรียก"ปาปอ"(papaw)โปรตุเกสเรียก"มาเมา"(mamoa)"คนฝรั่งเศสเรียก"ปาปาเย"(papaye)"คนเยอรมันเรียกปาปาจา"(papaja)"คนอิตาลีเรียก"ปาปาเอีย(papaia)"คนคิวบาเรียก"ฟรูตาเดอบอมบา(frutade"bomba)"คนเปอร์โตริโกเรียกว่า"เลโชซา (lechosa)"คนเม็กซิกันเรียกว่า" เมลอน"ซาโปเต้"(melon"zapote)


ในเอเชียก็เรียกแตกต่างกัน"คนจีนเรียกว่าเจียะกวยหรือฮวงบักกวย"อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์"เรียกปาปายา"มาเลเซียเรียกเบเต็ก"เมียนมาร์เรียกทิมเบ่า"กัมพูชาเรียกหงลาวเรียกบักหุ่งหรือหมากหุ่ง"คนไทยในแต่ละกลุ่มเรียกแตกต่างกัน

ภาคกลางเรียก"มะละกอ, สุโขทัยเรียก"บนละกอ

ภาคใต้ส่วนใหญ่เรียก"ลอกอ"ยกเว้นสตูลเรียก"แตงตัน"ปัตตานีเรียกมะเต๊ะ ยะลาเรียก"ก๊วยลา

ภาคเหนือเรียก"บะก๊วยเทศ, กะเหรี่ยงแม่ฮ่องสอนเรียก"สะกุ่ยเส่, เงี้ยวเรียก"หมากชาวผอ

อีสานเรียกบักหุ่ง หมากหุ่ง"จังหวัดเลยเรียก"หมากกอ

ส้มตำมะละกอ
กำเนิดจาก "เจ๊กปนลาว" บางกอก
ยุคต้นกรุงเทพฯ แล้วแพร่หลายไปอีสานและลาวสมัยหลังๆ




ส้มตำมะละกอเริ่มมีมาแต่หนไหน


หัวข้อนี้"ตั้งเป้าไว้ว่าจะไปขออัดเสียงสัมภาษณ์"อาจารย์สุจิตต์"วงษ์เทศนักวิชาการอิสระ"เมื่อถึงเวลา"ท่านบอกให้เขียนคำถามแฟกซ์ไป"แล้วท่านก็ตอบมาดังนี้...

ส้มตำ"หมายถึงของกินชนิดหนึ่ง"เอาผลไม้"มีมะละกอ"เป็นต้น"มาตำประสมกับเครื่องปรุง"และมีรสเปรี้ยวนำ

คำว่า"ส้ม"แปลว่าเปรี้ยว

คำว่า"ส้มตำ"น่าจะเริ่มเกิดขึ้นในกรุงเทพฯ"หรือภาคกลางลุ่มน้ำเจ้าพระยา เพราะสลับคำของวัฒนธรรมลาวในอีสาน"ที่มีมาแต่ดั้งเดิมดึกดำบรรพ์เรียกว่า"ตำส้ม" หมายถึงของกินชนิดหนึ่ง"เอาผลไม้ต่างๆ"เช่น"มะม่วง"มาตำประสมกับเครื่องปรุง และมีรสเปรี้ยวนำ"ซึ่งมีความหมายตรงกับส้มตำ


คนกลุ่มแรกๆ"ที่รู้จักกินส้มตำมะละกออยู่ภาคกลางลุ่มน้ำเจ้าพระยา"อาจเป็นพวก"เจ๊กปนลาว"ในกรุงเทพฯ"ยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์ก็ได้"เพราะเพิ่งรู้จักมะละกอที่ได้พันธุ์มาจากเมืองมะละกาในมาเลเซีย

ส้มตำมะละกอ"เริ่มแพร่กระจายจากกรุงเทพฯสู่อีสาน"ราวหลังรัชกาลที่"5"ที่สร้างรถไฟไปอีสาน

แล้วทะลักเข้าอีสานครั้งใหญ่"เมื่อหลัง"พ.ศ.2500หลังสร้างถนนสายมิตรภาพก่อนหน้านั้นมีมะละกอในอีสานแต่ไม่อร่อย"เพราะเป็นยุคแรกๆ"ลูกเล็กๆ"แคระๆ"ผอมๆ เน่าๆ

มะละกอเป็นพืชพื้นเมืองของอเมริกาใต้"ไม่มีในอุษาคเนย์"โคลัมบัสเอามะละกอ มาเผยแพร่"แล้วแพร่หลายมาพร้อมกับการล่าอาณานิคมของสเปนถึงฟิลิปปินส์ แล้วมีคนเอามาปลูกที่เมืองมะละกา สมัยนั้นผลไม้ชนิดนี้ชื่อ" "มะละกา" แล้วออกเสียงเป็น"มะละกอ"พืชชนิดใหม่นี้จึงได้นามตามชื่อเมืองว่า "มะละกอ"แล้วแพร่เข้ามาในภาคกลางลุ่มน้ำเจ้าพระยา"สมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์

ในเอกสารฝรั่งครั้งกรุงศรีอยุธยา"จึงมีแต่ผลไม้อื่นๆ"แต่ไม่มีมะละกอ"เพราะคนยุคนั้นยังไม่รู้จักแต่มีอาหารเปรี้ยวๆ"เรียกว่า"ตำส้ม"กินประจำวัน"เช่น"ตำมะม่วงตำแตงกวา"ตำแตงต่างๆ

ส่วนปลาร้า"ก็คือปลาแดก"มีน้ำเค็มจากเกลือที่ใช้หมัก"เป็นอาหารดั้งเดิมยุคดึกดำบรรพ์"ราว"3,000"ปีมาแล้ว"

ตำส้มใช้ปลาร้า-ปลาแดก"เป็นส่วนผสมมาแต่ดั้งเดิม"เริ่มแรกก่อนมีส้มตำเพื่อให้มีรสเค็มนุ่มนวล"ยิ่งเค็มมากยิ่งดี"ทำให้มีแรงทำไร่ไถนา

คนภาคกลาง กินเผ็ด
คนภาคอีสานและลาว ไม่กินเผ็ด
เพิ่งกินเผ็ดยุคหลัง ตามอย่างคนภาคกลาง
เพราะพริก มีกำเนิดจากทวีปอเมริกา
ชาวยุโรปเอาเข้ามาเป็นอาหารภาคกลางก่อนที่อื่น

 

ทำไม...ส้มตำจึงได้รับความนิยม

อาหารทุกชนิดในโลก"มีการปรับตัวให้ถูกลิ้นถูกปากคนกิน"เช่น"ส้มตำ"เป็นอาหารเกิดใหม่เมื่อต้นกรุงรัตนโกสินทร์"และเป็นอาหารของเจ๊กปนลาวในกรุงเทพฯไม่ใช่ของลาวอีสานมาแต่เดิมตามที่เข้าใจกัน"ฉะนั้นจึงเปลี่ยนแปลงได้ตามความชอบของคนกิน"คนทำ"และคนขาย

ไม่เคยมีส้มตำสูตรดั้งเดิมตายตัว"มีแต่ฝีมือใครฝีมือมัน"ฉะนั้นส้มตำจึงปรับตัวได้คล่องแคล่วและอยู่รอดปลอดภัย

ขอบคุณที่มาจาก มติชน




 

Create Date : 26 ธันวาคม 2557    
Last Update : 26 ธันวาคม 2557 10:18:39 น.
Counter : 1336 Pageviews.  

ออส่วน( หอยนางรมทอดแป้งนิ่ม) รสเด็ด

ออส่วน (หอยนางรมทอดแป้งนิ่ม) รสเด็ด


สูตรอาหาร วิธีทำออส่วนหรือหอยนางรมทอดแป้งนิ่ม รสเด็ด หลายคนที่ชอบทานหอยนางรม อีกเมนูหนึ่งที่นำหอยนางรมมาผัดใส่ไข่แล้วรสชาติออกมาดีแซ่บเว่อร์ ลองมาดูสูตรเมนูอาหารนี้กันเลย...
ออส่วน
ส่วนประกอบ
  • แป้งท้าวยายม่อม ½  ถ้วย
  • น้ำ 1 ถ้วย
  • น้ำมันหมูหรือน้ำมันพืช 3 ช้อนโต๊ะ
  • เนื้อหอยนางรมตัวอ้วน 250 กรัม
  • ไข่ไก่ตีพอเข้ากัน 2 ฟอง
  • น้ำมันหอย 1 ช้อนโต๊ะ
  • ต้นหอมซอยช้อนโต๊ะ 2 ช้อนโต๊ะ
  • พริกไทยป่นและใบผักชีสำหรับโรย
  • ซอสพริก
วิธีทำ
  1. ผสมแป้งท้าวยายม่อมกับน้ำในอ่างผสมให้เข้ากัน
  2. ตั้งกระทะหอยทอดบนไฟกลาง ใส่น้ำมัน พอร้อนจัด ใส่เนื้อหอยนางรม ตักแป้งที่ผสมราดบนหอย เทใส่ไข่บนแป้ง ใส่น้ำมันหอยและต้นหอม ผัดเร็วๆ พอทั่วให้แป้งและไข่สุก เสร็จแล้วปิดไฟ
  3. ตักใส่จาน โรยพริกไทยป่นและใบผักชี เสิร์ฟกับซอสพริก ( 2 คนรับประทาน) หรืออาจจะทำน้ำจิ้มขึ้นมาพิเศษสำหรับทานกับออส่วนโดยเฉพาะก็ได้ วิธีทำด้านล่างเลยครับ
เครื่องปรุงน้ำจิ้ม
  • ซอสพริก
  • พริกแดงสับละเอียด
  • น้ำตาลทราย
  • เกลือ
  • น้ำส้มสายชู
  • น้ำต้ม
วิธีทำน้ำจิ้ม
  1. เคี่ยวส่วนผสมของน้ำจิ้มทั้งหมดให้เดือดเข้ากัน
  2. พักให้หายร้อน ตักใส่ถ้วย เสิร์ฟกับออส่วนได้เลย
เคล็ดลับ
ออส่วนหรือหอยนางรมทอดแป้งนิ่ม ให้อร่อยก็มีเคล็ดลับ เทคนิคนิดหน่อย การทำออส่วนต้องผสมแป้งให้ใสกว่าแป้งหอยทอด เพราะแป้งออส่วนจะมีความนุ่มเหนียวและใส เวลาผัดต้องผัดเร็วๆ ให้หอยสุกพอดี ไข่และแป้งสุกเกาะเนื้อหอย ยกเสิร์ฟร้อนๆ พอดี หากทิ้งไว้นานๆ น้ำในเนื้อหอยจะออกมาทำให้เสียรสชาติ
(รูปประกอบจาก นายเหลือง.คอม, kroobannok.com




 

Create Date : 25 ธันวาคม 2557    
Last Update : 25 ธันวาคม 2557 9:29:37 น.
Counter : 2627 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  

หนี่งหน่อง
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 33 คน [?]




pub-1485477287124314
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add หนี่งหน่อง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.