อ่านเรื่อยๆ มาเรียง ๆ ทุกวันของ หนี่งหน่อง นะครับ

คอมพิวเตอร์แอปเปิ้ลเครื่องแรกของโลก


คอมพิวเตอร์แอปเปิ้ลเครื่องแรกของโลก


teen.mthai จะพาเพื่อนๆ ไปดู คอมพิวเตอร์แอปเปิ้ลเครื่องแรกของโลก กันคะ เพื่อนๆ รู้ไหมว่า?คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเครื่องแรกๆ ของโลก ที่ผลิตโดยบริษัทแอปเปิ้ลนั้น?ไม่ได้มีหน้าตาเหมือน iMac อย่างที่เราเห็นในปัจจุบันเลย! เพราะวางจำหน่ายในรูปแบบ แผงวงจรพร้อมใช้แบบประกอบ

คอมพิวเตอร์แอปเปิ้ลเครื่องแรกของโลก teen.mthai

คอมพิวเตอร์แอปเปิ้ลเครื่องแรกของโลก

  • คอมพิวเตอร์แอปเปิ้ลเครื่องแรกของโลก?ที่วางจำหน่ายในรูปแบบแผงวงจรพร้อมใช้นี้ ประกอบโดย Steve Wozniak (หนึ่งในหุ่นส่วนบริษัท) แต่ก็นับว่าก้าวหน้ากว่าคอมพิวเตอร์แบรนด์อื่นในตอนนั้นที่ส่วนใหญ่จะวางขายเป็นชุดคิท ส่วน Steve Jobs?เป็นผู้รับผิดชอบงานขายและระดมทุนเป็นหลัก
  • ?ในปีต่อมา Apple ได้รับการจัดตั้งให้เป็นนิติบุคคลอย่างสมบูรณ์แบบ และในปีเดียวกันนี้ Ronald Wayne ผู้ก่อตั้งร่วมก็ได้ตีจาก Apple ไปโดยได้ขายหุ้นในส่วนของตนให้กับ Jobs และ Woz เป็นมูลค่าเพียง 800 เหรียญสหรัฐเท่านั้น และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเขาก็ไม่ค่อยได้รับการพูดถึงอีกเลย

คอมพิวเตอร์แอปเปิ้ลเครื่องแรกของโลก teen.mthai

คอมพิวเตอร์แอปเปิ้ลเครื่องแรกของโลก

คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะรุ่นแรกของแอปเปิลถูกนำออกมาประมูล???ซึ่งถูกประมูลไปในราคา 20 ล้าน 2 แสนบาท

Apple I และ II

  • ในปี 1976 หนึ่งปีหลังจากที่วางจำหน่าย Apple I ทางบริษัทก็ได้เริ่มต้นวางขาย Apple II ซึ่งมีจุดเด่นเหนือคู่แข่งในตอนนั้นมาก เช่น สามารถแสดงกราฟิกสีและมีสถาปัตยกรรมแบบเปิด จึงทำให้ผู้สนใจสามารถพัฒนาซอฟท์แวร์เพื่อนำมาใช้งานร่วมกันได้
  • ที่โดดเด่นตอนนั้นก็เห็นจะไม่มีอะไรเกิน VisiCalc ซอฟท์แวร์เสปรดชีทที่ทำให้ Apple II กลายเป็นคอมพิวเตอร์สำหรับภาคธุรกิจและ Home Office ไปโดยปริยาย จึงทำให้พูดได้อย่างเต็มปากว่าซอฟท์แวร์นี้เปรียบเหมือนกับ killer app ตัวแรกของ Apple เลยทีเดียว

คอมพิวเตอร์แอปเปิ้ลเครื่องแรกของโลก teen.mthai

คอมพิวเตอร์แอปเปิ้ล?(Apple I)

คอมพิวเตอร์แอปเปิ้ลเครื่องแรกของโลก teen.mthaiappleii

1977 – Apple II

คอมพิวเตอร์แอปเปิ้ลเครื่องแรกของโลก teen.mthaiApple3small

1980 – Apple III

คอมพิวเตอร์แอปเปิ้ลเครื่องแรกของโลก teen.mthaiapplelisaad

1983 – Lisa

คอมพิวเตอร์แอปเปิ้ลเครื่องแรกของโลก teen.mthaioriginalmac

1984 – Macintosh

คอมพิวเตอร์แอปเปิ้ลเครื่องแรกของโลก teen.mthaise30webserver

1989 – Macintosh SE/30

คอมพิวเตอร์แอปเปิ้ลเครื่องแรกของโลก teen.mthaimacportable

1989 – Macintosh Portable

คอมพิวเตอร์แอปเปิ้ลเครื่องแรกของโลก teen.mthaipb100

1991 – PowerBook 100

คอมพิวเตอร์แอปเปิ้ลเครื่องแรกของโลก teen.mthaiquadra

1991 – Macintosh Quadra

คอมพิวเตอร์แอปเปิ้ลเครื่องแรกของโลก teen.mthaiperforma

1992 – Macintosh Performa

คอมพิวเตอร์แอปเปิ้ลเครื่องแรกของโลก teen.mthainewton2ksmall

1993 – MessagePad and Newton OS

คอมพิวเตอร์แอปเปิ้ลเครื่องแรกของโลก teen.mthaiquicktakesmall

1994 – QuickTake

คอมพิวเตอร์แอปเปิ้ลเครื่องแรกของโลก teen.mthaipowermac_9500

1995 – Power Macintosh 9500

คอมพิวเตอร์แอปเปิ้ลเครื่องแรกของโลก teen.mthainetwork_server

1996 – Network Server

คอมพิวเตอร์แอปเปิ้ลเครื่องแรกของโลก teen.mthaitwentiethann

1997 – Twentieth Anniversary Mac

คอมพิวเตอร์แอปเปิ้ลเครื่องแรกของโลก teen.mthaiimac

1998 – iMac

คอมพิวเตอร์แอปเปิ้ลเครื่องแรกของโลก teen.mthaiapple_displays

2000 – Apple flat panels

คอมพิวเตอร์แอปเปิ้ลเครื่องแรกของโลก teen.mthaiPower_Macintosh_G4cube

2000 – Power Mac G4 Cube

คอมพิวเตอร์แอปเปิ้ลเครื่องแรกของโลก teen.mthaiflower_power

2001 – Flower Power iMac

คอมพิวเตอร์แอปเปิ้ลเครื่องแรกของโลก teen.mthaipb_g4

2001 – PowerBook G4

คอมพิวเตอร์แอปเปิ้ลเครื่องแรกของโลก teen.mthaiipods

2001 – iPod

คอมพิวเตอร์แอปเปิ้ลเครื่องแรกของโลก teen.mthaimacbook_pro

2006 – MacBook Pro

เรียบเรียง teen.mthai ข้อมูลจาก i3.in.th, ดูเพิ่มเติม //www.engadget.com




 

Create Date : 08 กันยายน 2557    
Last Update : 8 กันยายน 2557 4:20:58 น.
Counter : 1356 Pageviews.  

การให้อภัย....เป็นคุณแก่ผุ้ให้ ยี่งกว่าแก่ผุ้รับ

สังคมไทยในปัจจุบัน มีให้เห็นมากมายกับเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นจากความโกรธจนนำมาซึ่งความสูญเสียหลายๆสิ่ง แม้กระทั่งชีวิต Horoscope.Mthai.com จึงนำข้อมูลดีๆ เกี่ยวกับการฝึกจิตใจตนเองให้รู้จักการให้ อภัย ซึ่งเป็นคุณแก่ผู้ให้ ยิ่งกว่าแก่ผู้รับ และยังสามารถช่วยให้สังคมไทยน่าเป็นอยู่มากขึ้นอีกด้วย

อภัยทาน คือ การยกโทษให้ไม่ถือความผิดหรือการล่วงเกินกระทบกระทั่งว่าเป็นโทษ อภัยทาน นี้เป็นคุณแก่ผู้ให้ ยิ่งกว่าแก่ผู้รับ เช่นเดียวกับทานทั้งหลายเหมือนกัน คือ อภัยทาน หรือการให้ อภัย นี้ เมื่อเกิดขึ้นในใจผู้ใด จะยังจิตใจของผู้นั้นให้ผ่องใสพ้นจากการกลุ้มรุมบดบังของโทสะ อันใจที่แจ่มใส กับใจที่มืดมัว ไม่อธิบายก็น่าจะทราบกันอยู่ทุกคน ว่าใจแบบไหนที่ยังความสุขให้เกิดขึ้นแก่เจ้าของ ใจแบบไหนที่ยังความทุกข์ให้เกิดขึ้น และใจแบบไหนที่เป็นที่ต้องการ ใจแบบไหนที่ไม่เป็นที่ต้องการเลย

ความจริงนั้น ทุกคนที่สนใจบริหารจิต จะต้องสนใจอบรมจิตให้รู้จัก อภัย ในความผิดทั้งปวง ไม่ว่าผู้ใดจะทำแก่ตน แม้การให้ อภัย จะเป็นการทำได้ไม่ง่ายนัก สำหรับบางคนที่ไม่เคยอบรมมาก่อน แต่ก็สามารถจะทำได้ด้วยการอบรมไปทีละเล็กละน้อย เริ่มแต่ที่ไม่ต้องฝืนใจมากนักไปก่อนในระยะแรก

อภัยทาน

ตัวอย่างเช่น เวลาขึ้นรถประจำทางที่มีผู้โดยสารคอยขึ้นรถอยู่เป็นจำนวนมาก หากจะมีผู้เบียดแย่งขึ้นหน้า ทั้งๆ ที่ยืนอยู่ข้างหลัง ถ้าเกิดโกรธขึ้นมา ไม่ว่าน้อยหรือมาก ก็ให้ถือเป็นโอกาสอบรมจิตใจให้รู้จัก อภัย ให้เขาเสีย เพราะเรื่องเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องที่ควรถือโกรธกันหนักหนา ซึ่งเป็นเรื่องเล็กน้อยเหลือเกิน ควรจะอภัยให้กันได้ แต่บางทีไม่ตั้งใจ คิดเอาไว้ก็จะไม่ทันให้อภัยจะเป็นเพียงโกรธแล้วจะหายโกรธไปเอง

โกรธแล้วหายโกรธเอง กับโกรธแล้วหายโกรธเพราะให้ อภัย ไม่เหมือนกัน โกรธแล้วหายโกรธเองเป็นเรื่องธรรมดา ทุกสิ่งเมื่อเกิดแล้วต้องดับ ไม่เป็นการบริหารจิตแต่อย่างใด แต่โกรธแล้วหายโกรธเพราะคิดให้ อภัย  เป็นการบริหารจิตโดยตรง จะเป็นการยกระดับของจิตให้สูงขึ้น ดีขึ้น มีค่าขึ้น

ให้อภัย

ผู้ดูแลเห็นความสำคัญของจิต จึงควรมีสติทำความเพียรอบรมจิตให้คุ้นเคยต่อการให้ อภัย ไว้เสมอ เมื่อเกิดโทสะขึ้นในผู้ใด เพราะการปฏิบัติล้วงล้ำก้ำเกินเพียงใดก็ตาม พยายามมีสติพิจารณาหาทางให้ อภัย ทานเกิดขึ้นในใจให้ได้ ก่อนที่ความโกรธจะดับไปเสียเองก่อน ทำได้เช่นนี้จะเป็นคุณแก่ตนเองมากมายนัก ไม่เพียงแต่จะทำให้มีโทสะลดน้อยลงเท่านั้น และเมื่อปล่อยให้ความโกรธดับไปเอง ก็มักหาดับไปหมดสิ้นไม่ เถ้าถ่านคือความผูกโกรธมักจะยังเหลืออยู่ และอาจกระพือความโกรธขึ้นอีกในจิตใจได้ในโอกาสต่อไป

ผู้อบรมจิตให้คุ้นเคยอยู่เสมอกับการให้ อภัย แม้จะไม่ได้รับการขอขมา ก็ย่อม อภัย ให้ได้ ในทางตรงกันข้าม ผู้ไม่เคยอบรมจิตใจให้คุ้นเคยกับการให้ อภัย เลย โกรธแล้วก็ให้หายเอง แม้ได้รับการขอขมาโทษ ก็อาจจะไม่อภัยให้ได้ เป็นเรื่องของการไม่ฝึกใจให้เคยชิน อันใจนั้นฝึกได้ ไม่ใช่ฝึกไม่ได้ ฝึกอย่างไดก็จะเป็นอย่างนั้น ฝึกให้ดีก็จะดี ฝึกให้ร้ายก็จะร้าย

ขอบคุณข้อมูลจาก board.palungjit

Tags: , , ,




 

Create Date : 08 กันยายน 2557    
Last Update : 8 กันยายน 2557 4:17:15 น.
Counter : 944 Pageviews.  

เด็กมหาวิทยาลัยใช้เวลาอยุ่กับโทรศัพท์มือถือในแต่ละวันมากจนน่าตกใจ

เด็กมหาวิทยาลัยใช้เวลาอยู่กับโทรศัพท์มือถือในแต่ละวันมากจนน่าตกใจ

Written by faceoffact on . Posted in ชีววิทยา, วิทยาศาสตร์, สุขภาพ, อื่นๆ, เทคโนโลยี, โรคภัยไข้เจ็บ

ekvuupxduzf67pgklc0o

งานวิจัยชิ้นใหม่จาก Baylor University พบว่าเด็กมหาวิทยาลัยทุกวันนี้นั้นใช้เวลาอยู่กับโทรศัพท์มือถือของตัวเองมากจน “น่าตกใจ” และนักวิจัยก็ได้กล่าวเตือนระวังการ “เสพติด” โทรศัพท์มือถืออีกด้วย

แน่นอนว่าตัวเลขที่ได้มานี่เป็นตัวเลขที่ “น่าตกใจ” สำหรับนักวิจัยวัยกลางคนที่เป็นคนทำการวิจัยในครั้งนี้ แต่คงเป็นตัวเลขที่ดูธรรมดาสำหรับตัวเด็กมหาวิทยาลัยเอง ซึ่งหลายๆคนเห็นตัวเลขนี้แล้วก็คงจะไม่ได้รู้สึกอะไร แล้วก็คงก้มน่าก้มตามองโทรศัพท์มือถือของตัวเองต่อไปเสียด้วยซ้ำ

สำหรับข้อมูลในงานวิจัยดังกล่าวนั้นพบว่า

 - “สำหรับผู้หญิงที่เรียนมหาวิทยาลัยนั้นใช้เวลาโดยเฉลี่ยประมาณ 10 ชั่วโมงต่อวันกับโทรศัพท์มือถือของตัวเอง ส่วนผู้ชายนั้นใช้เวลาประมาณ 8 ชั่วโมง” ซึ่งข้อความดังกล่าวนั้นขัดแย้งกับมุมมองที่มีมาแต่เดิมว่าผู้ชายจะใช้เวลาอยู่กับเทคโนโลยีมากกว่าผู้หญิง โดยนักวิทยาศาสตร์ได้ให้เหตุผลไว้ว่าผู้หญิงนั้นอาจจะมีแนวโน้มสูงกว่าที่จะใช้โทรศัพท์มือถือด้วยเหตุผลทางสังคมต่างๆอย่างเช่นการส่งข้อความหรืออีเมล์เพื่อสร้างความสัมพันธ์และอีกทั้งยังมีการสนทนาในเชิงลึกมากกว่า ส่วนสำหรับผู้ชายเองนั้นถึงแม้จะใช้มือถือเพื่อการใช้งานและการบันเทิงอื่นๆมากกว่า แต่พวกเขาก็ไม่ได้ปราศจากอิทธิพลจากโซเชียลมีเดียแต่อย่างใด พวกเขาก็ยังใช้งาน Facebook, Instragram หรือ Twitter อยู่ดี

- “60% ของนักเรียนมหาวิทยาลัยนั้นยอมรับว่าพวกเขาอาจจะมีพฤติกรรมเสพติดโทรศัพท์มือถือก็เป็นได้”

นอกจากนั้นแล้ว พฤติกรรมการใช้โทรศัพท์ที่กินเวลาในแต่ละวันไปนั้นประกอบไปด้วย การส่งข้อความ ซึ่งมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 94.6 นาทีต่อวัน การส่งอีเมล์ที่ 48.6 นาที การเช็ค Facebook 38.6  นาที และการใช้อินเตอร์เน็ตอื่นๆ 34.4 นาที และการฟังเพลงบนโทรศัพท์มือถือที่ 26.9  นาที ตามลำดับ

แน่นอนว่าการสำรวจครั้งนี้ได้ทำขึ้นที่ Baylor University ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยคริสเตียนในรัฐ Texas ซึ่งไม่ค่อยมีความโดดเด่นด้านภูมิทัศน์เท่าไหร่นัก และอาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เด็กใช้เวลากับโทรศัพท์มือถือของตนเองมากกว่าปกติก็เป็นได้ แต่ถึงอย่างนั้นตัวเลขดังกล่าวก็นับว่าสูงมากกว่าปกอยู่ดี

แล้วคุณล่ะ ใช้เวลาอยู่กับโทรศัพท์มือถือของคุณวันละกี่ชั่วโมง?

ที่มา : //gawker.com/college-students-spend-most-of-college-looking-at-cell-1628455611/





 

Create Date : 08 กันยายน 2557    
Last Update : 8 กันยายน 2557 4:05:25 น.
Counter : 1252 Pageviews.  

5 สี่งในชีวิตดี ๆ ของคนทํางานมือใหม่ที่อันตรายสุดๆ

5 สิ่งในชีวิตดีๆ ของคนทำงานมือใหม่ที่อันตรายสุดๆ


ในเมื่อเรียนจบแล้ว นักศึกษาจบใหม่ทั้งหลายก็ต้องเริ่มต้นชีวิตของการทำงาน ก้าวสู้โลกของความเป็นจริงมาอีกหนึ่งสเตป ซึ่งหลายคนคงคิดว่า จบแล้วทำงานแล้ว มีเงินใช้ตลอดๆ ทุกเดือน ชีวิตแฮปปี้ ชีวิตดี๊ดี! แต่อย่าลืมไปนะคะว่าในโลกของความเป็นจริงมันโหดร้ายกว่าที่คุณมโนไว้หลายเท่า วันนี้ทีนเอ็มไทยมี 5 สิ่งในชีวิตดีๆ ของคนทำงานมือใหม่ที่อันตรายสุดๆ ไปดูกันคะว่าจะมีอะไรบ้าง ..

5 สิ่งในชีวิตดีๆ ของคนทำงานมือใหม่ที่อันตรายสุดๆ

5 สิ่งในชีวิตดีๆ ของคนทำงานมือใหม่ที่อันตรายสุดๆ

1. ราชาเงินผ่อน 

เมื่อเริ่มมีเงินเดือนประจำ บรรดาเหล่าธนาคารต่างๆ ก็พร้อมยินดียื่นข้อเสนอให้คุณมีบัตรเครดิตไว้ใช้ในยามฉุกเฉินด้วยวงเงินที่มากกว่าเงินเดือนหลายเท่า และอาจทำให้หลายคนตื่นตาตื่นใจ เพราะเริ่มเห็นหนทางที่จะได้สิ่งของที่ต้องการมาอย่างง่ายดาย โดยไม่คิดถึงบั้นปลายที่ต้องผ่อนจ่ายด้วยอัตราดอกเบี้ยอันหนักอึ้ง และถ้าคุณใช้เกินตัว รูดปรื้ดๆ กับสิ่งของดับกิเลสแถมผ่อนจ่ายไม่ตรงกำหนด ในที่สุดคุณเองอาจหน้ามืดกับดอกเบี้ยที่บานเบอะ เป็นยอดหนี้รุมเร้าไปชั่วนาตาปีเลยทีเดียว

2. หลงภาพโซเชียล

คนทำงานมือใหม่หลายคนมักติดกับ หลงเชื่อภาพในโลกโซเชียลมีเดียของเพื่อนที่มักโพสต์อวดแต่เรื่องดีๆ หรูๆ ร้านอาหารดัง เสื้อผ้าสวยๆ ยี่ห้อสุดฮิต หรือของแบรนด์เนม โดยไม่คำนึงถึงว่า ภาพที่เห็นนั้นเป็นภาพเรื่องจริงหรือภาพลวงตากันแน่ จึงทำให้เกิดความอยากได้อยากมีและอยากอวดคนอื่นบ้าง ถึงขนาดยอมทุ่มเงินเดือนทั้งเดือนหรือยอมเป็นราชาเงินผ่อน เพื่อจับจ่ายให้ได้ของเหล่านั้น โดยไม่มองว่าเหมาะสมกับรายได้ของตนหรือไม่ จนทำให้เงินที่มีอยู่ชักหน้าไม่ถึงหลัง บ่วงนี้จึงอันตรายยิ่งนัก เพราะคนทำงานมือใหม่สมัยนี้มักมีทัศนคติที่ว่า “เสียเงินไม่ว่า แต่เสีย

3. หน้าไม่ได้”โชว์ชีวิตสุดโก้ 

คนทำงานยุคใหม่จะมีเทรนด์การใช้ชีวิตที่ต่างไปจากคนรุ่นก่อน ด้วยสังคม ค่านิยม และทัศนคติที่เปลี่ยนไป เมื่อชีวิตเพิ่งเริ่มทำงาน บางคนก็อยากจะมีทรัพย์สินเป็นของตนเอง เช่น อยากซื้อบ้าน อยากมีคอนโดมิเนียม อยากถอยรถป้ายแดง อยากถือกระเป๋าแบรนด์เนม ความอยากมีทรัพย์สินเป็นของตนเองถือว่าไม่ใช่สิ่งที่ผิด ถ้าเรารู้จักประมาณตน แต่บางคนอยากได้เพียงแค่โชว์ชีวิตสุดโก้ให้สังคมได้รับรู้และยอมรับในสถานะของตน โดยไม่คำนึงถึงรายได้หรือความมั่นคงในอาชีพที่ทำอยู่ มีรายได้เพียงน้อยนิด แต่คิดซื้อทั้งรถและบ้าน สุดท้ายค่าใช้จ่ายบานปลาย กลับกลายเป็นทั้งบ้านและรถถูกยึดไปเสียต่อหน้าต่อตาเสียเอง

4.สังคมจ๋า ปาร์ตี้จัด 

นี่ก็เป็นอีกหนึ่งบ่วงอันตรายที่ทำร้ายคนทำงานมือใหม่มานักต่อนัก เพราะในสังคมออฟฟิศมักมีการสังสรรค์ เที่ยว ช้อป ชิลล์ร่วมกันเสมอๆ จนบางคนเสพติด ฟิตจัดนัดกันทุกสุดสัปดาห์ และยิ่งหากคุณเป็นคนปฏิเสธเพื่อนไม่เป็นด้วยแล้ว ระวังให้ดี…เงินในกระเป๋าจะฟีบแบนก่อนสิ้นเดือนแน่นอน

5. ผีพนันเข้าสิง 

พฤติกรรมนี้อาจติดตัวมาตั้งแต่สมัยเรียน แต่บางคนก็มาเสียคนตอนทำงานก็มีไม่น้อย โดยเฉพาะชายหนุ่มที่โดยพื้นฐานมักชอบการแข่งขัน ท้าทาย รักสนุก ยิ่งทำงานมีรายได้ ก็เกิดอยากรู้อยากลองตามสังคมกลุ่มเพื่อน ตอนแรกอาจคิดว่าลองดูเล่นๆ เพื่อความมันส์สนุกสนาน แต่นานวันเข้ากลับเสพติดการพนันโดยไม่รู้ตัว ประหนึ่งมีอะไรมาเข้าสิงจนสติกระเจิง ไม่สามารถลด ละ เลิกได้ ทั้งโต๊ะบอล โต๊ะม้า การพนันออนไลน์ เล่นทุกนัด พนันทุกแมทช์ ไม่มีคลาดสักสำนัก อย่างนี้กี่คนๆ ก็สิ้นเนื้อประดาตัว…แน่นอน!

ขอบคุณข้อมูล jobsDB.com




 

Create Date : 07 กันยายน 2557    
Last Update : 7 กันยายน 2557 5:52:32 น.
Counter : 1406 Pageviews.  

ดื่ม นํ้าอัดลมไดเอท ช่วยได้จริงหรือ ?

สำหรับผู้ที่ติดน้ำอัดลมแต่ต้องการควบคุมน้ำหนัก น้ำอัดลมปราศจากน้ำตาลหรือ น้ำอัดลมไดเอท เป็นเสมือนเครื่องดื่มจากพระเจ้า แต่ความเชื่อดังกล่าวกำลังถูกสั่นคลอน ด้วยผลการวิจัยใหม่ล่าสุด ที่ทำให้เราพบว่าสมมุติฐานนี้ไม่จริงอีกต่อไป !

ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์เทกซัส ได้ทำการเก็บข้อมูลและทำการวิจัยพฤติกรรมการดื่ม น้ำอัดลมไดเอท จากกลุ่มตัวอย่าง 474 คนในช่วงอายุระหว่าง 65-74 ปี เป็นระยะเวลา 10 ปี พบว่ากลุ่มตัวอย่างที่ดื่ม น้ำอัดลมไดเอท 2 แก้ว (หรือ 2 กระป๋อง) ต่อวันอย่างสม่ำเสมอน้ำหนักจะเพิ่มมากขึ้นถึงร้อยละ 70 เมื่อเทียบกับคนที่ไม่ดื่มน้ำอัดลม เห็นตัวเลขก็น่าตกใจนะครับ ว่าแต่ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น

p17aoe01km7v61kuq1vfsdii1pi5

นักวิทยาศาสตร์พบว่า น้ำตาลเทียมอาจหลอกลิ้นเราได้ แต่มันไม่สามารถหลอก ‘สมอง’ ของเราได้ จากการศึกษาภาพ MRI Scan ของสมอง พวกเขาพบว่าสมองสามารถแยกแยะความแตกต่างและไม่มีความพอใจต่อรสชาติของน้ำตาลเทียม นั่นหมายความว่าเมื่อสมองยังไม่พึงพอใจต่อน้ำตาลเทียมก็มีแนวโน้มที่สมองจะสั่งการให้เรากินอาหารอื่นเพิ่มขึ้นอีกเพื่อสนองความต้องการให้สมบูรณ์ ผลที่ตามก็คือ นอกเหนือจากมันไม่ช่วยลดน้ำหนักแล้ว มันยังเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคอื่นๆ ที่มากับการบริโภคน้ำตาล เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือด ทั้งโรคที่เกี่ยวข้องกับการบวนการเผาผลาญอาหาร ซึ่งส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือด ระดับคอเลสเตอรอล และไขมันรอบเอวของคุณ

อย่างไรก็ดี นักวิจัยระบุว่า การดื่มน้ำอัดลมแบบไดเอทวันละไม่เกิน 2 กระป๋อง ไม่ส่งผลร้ายใดๆ และแน่นอนว่ามันดีกว่าการดื่มน้ำอัดลมธรรมดา และยังไม่พบความเกี่ยวข้องว่าสารทดแทนน้ำตาลเหล่านี้ก่อให้เกิดมะเร็งเหมือนที่มีข่าวลือออกมาก่อนหน้านี้ จริงๆก่อนหน้านี้ 6 ปี ก็มีนักวิทยาศาสตร์ทำการวิจัยในเรื่องนี้พบว่า มีข้อมูลที่ยืนยันผลการวิจัยคล้ายๆกันว่า มีความเกี่ยวข้องกันอย่างน่าประหลาดถึงความสัมพันธ์บางประการระหว่างผู้ดื่ม น้ำอัดลมไดเอท กับการเพิ่มของน้ำหนักตัว โดยพบว่าผู้ที่ดื่มน้ำอัดลมประเภทไดเอทวันละ 1 กระป๋องจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการมีน้ำหนักมากขึ้นในช่วง 7-8 ปีข้างหน้าราวร้อยละ 65 และมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคอ้วนร้อยล่ะ 41 โดยความเสี่ยงเหล่านี้จะเพิ่มขึ้นตามปริมาณการดื่ม น้ำอัดลมไดเอท ที่ดื่มในแต่ละวันคนที่ดื่มเกิน 2 กระป๋องต่อวันก็มีความเสี่ยงมากขึ้นเรื่อยๆ

ขอแนะนำคุณอย่างนี้ครับว่า ทางที่ดีเลิกเลยดีกว่า น้ำอัดลมไม่ใช่เครื่องดื่มที่มีประโยชน์อะไรนอกจากให้ความสดชื่นเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้นเองน้ำตาลเทียมอาจหลอกลิ้นของเราได้ แต่มันไม่สามารถหลอก ‘สมอง’ ของเรา

DID YOU KNOW ?

น้ำตาลเทียมมีกี่ประเภทคนไทยคงคุ้นเคยกับชื่อขัณฑสกร ทว่ามีอย่างอื่นอีกไหมที่ใช้ทดแทนน้ำตาลและดูปลอดภัยกว่านั้น

  • แซคคาริน (Saccharin) หรือขัณฑสกร  จริงๆ มีความเชื่อว่าแซคคารินไม่ค่อยปลอดภัยแต่ปัจจุบันหากใช้ในปริมาณที่ควบคุมถือว่าปลอดภัยแต่ไม่ค่อยนิยมใช้ เพราะให้ความหวานมากเกินไปจนอาจทำให้รสชาติของอาหารเปลี่ยน
  • แอสพาร์เทม (Aspartame) ได้รับความนิยมอย่างมาก เพราะให้รสชาติที่ใกล้เคียงกับน้ำตาลทรายที่สุด และให้ความหวานมากกว่าน้ำตาล 200-300 เท่าในปริมาณเดียวกัน ข้อเสียก็คือจะสลายตัวอย่างรวดเร็วในอุณหภูมิสูง
  • ไซลิทอล (Xylitol) มีประโยชน์หลายอย่าง โดยเฉพาะกระตุ้นการหลั่งน้ำลาย ช่วยลดจำนวนแบคทีเรียในช่องปาก ลดการเกิดหินปูน ลดปริมาณการเกิดคราบฟัน ลดเชื้อสเตรปโตคอคคัสมิวแทนส์ ที่อาศัยอยู่ในคราบฟันลงได้ จึงนิยมผสมในหมากฝรั่ง
  • สตีวิโอไซด์ (Stevioside) นิยมใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร เพราะมันไม่ทำให้อาหารเปลี่ยนสีเมื่อเจอความร้อนสูง ไม่ถูกย่อยสลายโดยจุลินทรีย์ ทำให้อาหารบูดเน่าช้า ให้พลังงานต่ำมากเมื่อเทียบกับน้ำตาล นอกจากในอาหาร สตีวิโอไซด์ ยังถูกใช้ในการผลิตยาสีฟันและบุห

ขอบคุณที่มาจาก : นิตยสาร GM




 

Create Date : 07 กันยายน 2557    
Last Update : 7 กันยายน 2557 5:48:49 น.
Counter : 1132 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  

หนี่งหน่อง
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 33 คน [?]




pub-1485477287124314
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add หนี่งหน่อง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.