อ่านเรื่อยๆ มาเรียง ๆ ทุกวันของ หนี่งหน่อง นะครับ

แบบบ้านฟรี เพื่อประชาชน

แบบบ้านฟรี เพื่อประชาชน

แบบบ้านฟรี แบบบ้านสวยคละสไตล์เพื่อประชาชน จากสำนักการโยธา เป็นแบบบ้านที่ถูกต้องตามหลักวิศวกรรม และสามารถนำไปสร้างจริงได้ทันที โดยถือว่าเป็นแบบบ้านที่ได้รับอนุญาติจากสำนักการโยธาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เรามาดูแบบบ้านสวยๆ กันดีกว่าคะ

– แบบบ้านชั้นเดี่ยว —

1.แบบบ้านคัณฑมาลา

แบบบ้านฟรี

แบบบ้านคัณฑมาลา มี 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ
มีพื้นที่ใช้สอยประมาณ 90 ตร.ม. กว้าง 7.50 เมตร ยาว 23.10 เมตร

2. แบบบ้านจุฑามาศ

แบบบ้าน2

แบบบ้านจุฑามาศ มี 2 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ
มีพื่นที่ใช้สอยประมาณ 100 ตร.ม. กว้าง 11.60 เมตร ยาว 14.50 เมตร

3. แบบบ้านชะมวง

แบบบ้าน3

แบบบ้านชะมวง มี 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ
มีพื้นที่ใช้สอยประมาณ 120 ตร.ม. กว้าง 16.50 เมตร ยาว 14.40 เมตร

4.แบบบ้านชุมแสง

แบบบ้าน4

แบบบ้านชุมแสงมี 1 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ
มีพื้นที่ใช้สอยประมาณ 142.80 ตร.ม. กว้าง 13.20 เมตร ยาว 16.60 เมตร

5.แบบบ้านดินเเดง

แบบบ้าน5

แบบบ้านดินเเดงมี 2 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ
มีพื้นที่ใช้สอยประมาณ 166 ตร.ม. กว้าง 17.50 เมตร ยาว 19.00 เมตร

– แบบบ้านสองชั้น –

6.แบบบ้านทับทิม

แบบบ้าน6

แบบบ้านทับทิมมี 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ
มีพื้นที่ใช้สอยประมาณ 110 ตร.ม. กว้าง 10.00 เมตร ยาว 14.00 เมตร

7.แบบบ้านพราวชมพู

แบบบ้าน7

แบบบ้านพราวชมพู มี 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ
มีพื้นที่ใช้สอยประมาณ 150 ตร.ม. กว้าง 10.50 เมตร ยาว 15.50 เมตร

8.แบบบ้านพลับดง

แบบบ้าน8

แบบบ้านพลับดงมี 2 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ
มีพื้นที่ใช้สอยประมาณ 150 ตร.ม. กว้าง 11.50 เมตร ยาว 12.50 เมตร

9. แบบบ้านวิสูตร

แบบบ้าน9

แบบบ้านวิสูตรมี 3 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ
มีพื้นที่ใช้สอยประมาณ 302 ตร.ม. กว้าง 17.10 เมตร ยาว 18.00 เมตร

10. แบบบ้านสาละลังกา

แบบบ้าน10

แบบบ้านสาละลังกามี 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ
มีพื้นที่ใช้สอยประมาณ 315 ตร.ม. กว้าง 17.05 เมตร ยาว 20.95 เมตร

แบบบ้านฟรี เพื่อประชาชน แบบบ้านดีๆ สวยๆจากสำนักการโยธา ถ้าท่านสนใจแบบบ้านหลังไหนสามารถไปขอไฟล์ก่อสร้างจริง
ได้ที่สำนักเขตทุกพื้นที่ในกรุงเทพ และปริมณฑลค่ะ

ขอบคุณแบบบ้านดีๆ จาก : สำนักการโยธา ( //www.bangkok.go.th )




 

Create Date : 30 กันยายน 2557    
Last Update : 30 กันยายน 2557 9:59:45 น.
Counter : 3592 Pageviews.  

" ดอกอัญชัน" สมุนไพรบํารุงสายตา ดูแลเส้นผมให้เงางาม

"ดอกอัญชัน" สมุนไพรบำรุงสายตา ดูแลเส้นผมให้เงางาม

 รู้จักดอกอัญชัน  

ก่อนที่เราจะไปทำความรู้จักกับสรรพคุณและประโยชน์ของดอกอัญชัน เรามาทำความรู้จักกับอัญชันกันให้มากขึ้นหน่อยดีกว่าค่ะ เผื่อใครที่ยังไม่รู้จักเวลาไปเห็นที่ไหนจะได้ทราบกันค่ะ อัญชัน มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Butterfly pea, Blue pea, หรือ Asian pigeonwings มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Clitoria ternatea L. เป็นพืชตระกูลถั่ว (Fabaceae) อยู่ในวงศ์ Leguminosae เป็นพืชที่มีต้นกำเนิดอยู่ในประเทศแถบอเมริกาใต้ โดยทั่วไปนิยมปลูกในเขตร้อน อัญชันเป็นพืชล้มลุก 

ลักษณะต้นเป็นไม้เถาเลื้อยขนาดเล็ก ใบเป็นใบประกอบ ดอกอัญชัน เป็นดอกเดี่ยว มีสีน้ำเงินเข้ม หรือน้ำเงินอมม่วง และสีขาว ดอกชั้นในแบ่งเป็น 5 กลีบ กลีบนอกมีสีเขียวมีผลเป็นฝัก ลักษณะแบนคล้ายฝักถั่ว ขนาดยาวประมาณ 5-10 ซม. ดอกอัญชันมีชื่อเรียกตามท้องถื่นที่แตกต่างกันไป อย่างเช่น ในภาคเหนือจะเรียกดอกอัญชันว่า เอื้องชัน แต่ในจังหวัดเชียงใหม่จะเรียกว่าแดงชัน 

 สรรพคุณดอกอัญชันอันน่าทึ่ง

ดอกอัญชันมีคุณสมบัติในการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ โดยในดอกอัญชันนั้นมีสารตัวหนึ่งที่ชื่อว่าแอนโทไซยานิน (Anthocyanin) ซึ่งสารชนิดนี้สามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของดวงตา เพิ่มความสามารถในการมองเห็น แก้อาการตาฟาง ตามัว หรือภาวะการเสื่อมของดวงตาที่มาจากโรคเบาหวาน โรคต้อหิน โรคต้อกระจก และมีหน้าที่ไปช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต ทำให้เลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ได้ดีมากขึ้น 

          แถมยังมีฤทธิ์ต้านการออกซิเดชั่นของไขมัน ชะลอการเกิดโรคที่เกิดจากคอเลสเตอรอลชนิดที่ไม่ดี (LDL) อุดตันในหลอดเลือด และโรคหลอดเลือดหัวใจแข็งตัวอีกด้วย และคุณสมบัติที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือดอกอัญชันนั้นยังช่วยยับยั้งการรวมตัวของเกล็ดเลือด ช่วยขับปัสสาวะ และช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อ 


 แต่ใช่ว่าดอกอัญชันจะมีสรรพคุณเพียงเท่านี้ ไปดูกันต่อเลยว่าสรรพคุณที่เหลือมีอะไรกันบ้าง

รากอัญชัน

 นำมาปรุงเป็นเป็นยาขับปัสสาวะและยาระบายได้ 
 แก้อาการปวดฟัน และทำให้ฟันแข็งแรง โดยการนำรากมาถูที่ฟัน
 ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการมองเห็นให้ดียิ่งขึ้น โดยนำรากไปถูกับน้ำฝน แล้วนำมาที่หยอดตาและหู

ใบอัญชัน

 ช่วยขับปัสสาวะ 
 ช่วยบำรุงสายตาและอาการตาแฉะได้

ดอกอัญชัน

 ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานให้ร่างกายและเพิ่มพลังทำให้ร่างกายมีแรงขึ้น 
 สารต้านอนุมูลอิสระในดอกอัญชันช่วยในการชะลอวัยและริ้วรอยแห่งวัย 
 ช่วยบำรุงสมอง 
 ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและภาวะหลอดเลือดหัวใจอุดตัน 
 ช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดโรคมะเร็ง
 ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดในผู้ป่วยโรคเบาหวาน 
 ช่วยล้างสารพิษและขับของเสียออกจากร่างกาย 
 แก้อาการปัสสาวะพิการ
 แก้อาการฟกช้ำ
 ช่วยป้องกันและบรรเทาอาการเหน็บชาตามนิ้วมือนิ้วเท้า 

 ประโยชน์ของดอกอัญชัน ที่ใช้กันแพร่หลาย

นอกจากสรรพคุณทางยาแล้ว ดอกอัญชันยังมีประโยชน์ในด้านอื่น ๆ อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการนำสีจากดอกอัญชันไปผสมอาหารและขนมให้มีสีสันสวยงาม การนำดอกสดมารับประทานเป็นเครื่องเคียงคู่กับน้ำพริกชนิดต่าง ๆ นำมาต้มดื่ม หรือนำไปปลูกเพื่อเป็นไม่ประดับตามรั้ว แต่ที่สำคัญที่สุดคงก็เป็นการนำมาใช้บำรุงผมให้ดกดำเงางาม และรักษาอาการผมร่วงหรือผมบางได้อีกด้วยละค่ะ

 การทำน้ำดอกอัญชัน

ส่วนผสม 

 ดอกอัญชัน 100 กรัม
 น้ำสะอาด 2 ถ้วย
 น้ำเชื่อม 4 ช้อนโต๊ะ
 น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ

 นำดอกอัญชันล้างน้ำให้สะอาด แล้วไปต้มกับน้ำสะอาดจนเดือด ปิดฝาทิ้งไว้ ประมาณ 2-3 นาที แล้วกรองดอกอัญชันขึ้นจากหม้อต้ม
 นำน้ำดอกอัญชันที่ได้ผสมน้ำเชื่อม และน้ำผึ้งผสมรวมกัน ชิมรสตามชอบ และเมื่อทำเสร็จควรรีบดื่มให้หมดเพื่อให้ได้สารอาหารที่มีคุณค่า


 พันช์น้ำดอกอัญชัน

ส่วนผสม

 โซดาแช่เย็น 1 ขวด
 น้ำดอกอัญชัน 1/2 ถ้วย
 น้ำเชื่อม 6 ช้อนโต๊ะ
 น้ำผึ้ง 4 ช้อนโต๊ะ
 น้ำมะนาว  1/2 ถ้วย

วิธีทำ

 นำน้ำดอกอัญชัน น้ำเชื่อม น้ำผึ้ง และน้ำมะนาวผสมให้เข้ากัน ชิมรสตามใจชอบแล้วเติมโซดา ชิมและปรับรสชาติตามชอบ 
 เสิร์ฟโดยการเติมน้ำแข็งเกล็ดละเอียดลงในแก้ว


 อาหารสีสวยด้วยอัญชัน

สารแอนโทไซยานินในดอกอัญชัน เป็นสารที่มีสีม่วงคราม และเป็นสีที่ละลายได้ในน้ำ และไม่คงตัวไม่ละลายในกรด ทำให้คนไทยตั้งแต่สมัยโบราณนิยมนำสีจากดอกอัญชันมาผสมในอาหารและขนมต่าง ๆ เพื่อให้มีสีสันสวยงาม โดยหากนำมาผสมในขนมหรืออาหารจะได้สีน้ำเงิน แต่หากบีบน้ำมะนาวลงไปด้วยสีที่ได้จะกลายเป็นสีม่วงแดงค่ะ



 คิ้วดกดำด้วยอัญชัน

ส่วนผสม

 ดอกอัญชัน ประมาณ 6 ดอก
 น้ำสะอาด 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ

 นำดอกอัญชันมาคั้นหรือขยี้ให้ได้น้ำ ระหว่างคั้นเติมน้ำลงไปประมาณ 1 ช้อนโต๊ะเพื่อจะได้คั้นง่ายขึ้น จากนั้นแยกกากออกกรองเอาแต่น้ำ
 ใช้คอตตอนบัดจุ่มน้ำอัญชันที่ได้ แล้วนำมาทาบริเวณคิ้วทั้งหมด ทาทิ้งไว้อย่างน้อย 3 ชั่วโมง หลังจากนั้นล้างออก ทำซ้ำบ่อย ๆ ก็จะทำให้คิ้วหนาและดกดำขึ้นได้


 ​ผมสวยด้วยอัญชัน

ส่วนผสม

 ดอกอัญชัน 7 – 8 ดอก
 น้ำสะอาด 1 ถ้วย

วิธีทำ

 เลือกเอาเฉพาะกลีบของดอกอัญชันมาบดแล้วรวมกับน้ำสะอาดตามด้วยน้ำเปล่า บดจนละเอียดแล้วกรองโดยใช้ผ้าขาวบางแยกเอากากออกให้เหลือเพียงแต่น้ำ 
 นำน้ำดอกอัญชันที่ได้มาหมักผมทิ้งไว้ 15–20 นาที ล้างออกด้วยน้ำสะอาด หากทำบ่อยก็จะทำให้ผมดกดำและเป็นเงางาม แถมยังช่วยให้ผมยาวเร็วได้อีกด้วย



 ​ปลูกผมด้วยอัญชัน

ส่วนผสม

 ดอกอัญชัน 10 ดอก
 เหล้าขาว

วิธีทำ 

 นำดอกอัญชันแช่ลงในเหล้าขาวสักครู่
 ขยี้ดอกอัญชันผสมกับเหล้าขาวที่แช่ไว้จนเข้ากัน จากนั้นนำมาชโลมศีรษะทิ้งไว้ 4-5 ชั่วโมง แล้วล้างออก
 ทำซ้ำบ่อย ๆ ประมาณ 2-3 สัปดาห์จะเริ่มเห็นผล

นอกจากสูตรการบำรุงผมด้วยดอกอัญชันที่บอกกันไปแล้ว ในปัจจุบันก็ได้มีการนำดอกอัญชันมาเป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ อย่างเช่น แชมพู ครีมนวดผม และครีมหมักผมต่าง ๆ เพื่อให้สะดวกต่อการใช้มากขึ้น และยังมีการนำดอกอัญชันไปตากแห้ง แล้วนำมาชงดื่มเป็นชาบำรุงสุขภาพอีกด้วย ซึ่งก็แล้วแต่คนจะเลือกว่าอยากจะใช้แบบดอกสดหรือแบบแห้ง เพราะทั้งสองอย่างก็ได้ประโยชน์ทั้งคู่เลย


โทษของดอกอัญชันและข้อควรระวัง

แม้ว่าดอกอัญชันจะเป็นสมุนไพร แต่ก็ยังมีโทษถ้าหากใช้มากเกินไปค่ะ โดยอย่าดื่มน้ำอัญชันที่มีสีเข้มมากเกินไป เพราะจะทำให้ไตทำงานหนักขึ้นในการขับสารสีจากอัญชันออกมา และผู้ที่ป่วยด้วยโรคโลหิตจางก็ไม่ควรจะรับประทานดอกอัญชันรวมทั้งอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีส่วนประกอบของอัญชันด้วย เพราะในดอกอัญชันนั้นมีสารที่มีฤทธิ์ในการละลายลิ่มเลือด อาจเป็นอันตรายต่อผู้ป่วยโลหิตจางได้ 

          สมุนไพรอย่างดอกอัญชัน นอกจากจะมีสีที่สวยแปลกตาแล้ว ยังเป็นสมุนไพรที่หาง่ายอีกด้วยนะคะ และเราสามารถปลูกได้เองที่บ้าน แต่ก็ควรใช้ให้พอดี เพราะสมุนไพรทุกชนิด ใช้มากเกินไปก็เป็นโทษได้เช่นกัน ถ้าใครกำลังหนักใจกับคิ้วที่บางเกินไป หรือผมที่ไม่ดกดำนุ่มสลวย ลองมองหาดอกอัญชันแถว ๆ บ้าน แล้วนำมาใช้ดูนะคะ รับรองว่าปัญหาเหล่านั้นจะหมดไปแน่นอนเลย



ขอขอบคุณข้อมูลจาก
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสุพรรณบุรี
rspg.or.th
frynn.com
lasik-healthyforeyes.blogspot.com
foodnetworksolution.com




 

Create Date : 30 กันยายน 2557    
Last Update : 30 กันยายน 2557 9:54:41 น.
Counter : 1219 Pageviews.  

การได้สารพิษ สารานุกรมไทยสําหรับเยาวชนไทย เล่มที่ 8

การได้สารพิษ โดย พันตำรวจโท นายแพทย์พิพัฒน์ ชูวรเวช


การได้รับสารพิษ (poisonings) หมายถึงการที่สารพิษเข้าสู่ร่างกายโดยรับประทาน สูดหายใจ สัมผัสทางผิวหนัง หรือโดยการฉีดผ่านผิวหนังทำให้เกิดโรคเป็นอันตราย พิการ หรือถึงแก่ชีวิต ทั้งนี้อาจเกิดขึ้นด้วยความจงใจ หรือด้วยอุบัติเหตุก็ได้
กาการที่ปรากฏออกมานั้น มักแตกต่างออกไปตามประเภทและปริมาณของสารพิษ ระยะเวลาที่สารพิษเข้าสู่ร่างกาย ตลอดจนสภาวะของร่างกายที่สามารถทนทานต่อสารพิษนั้นๆ มากน้อยเพียงใด

สารพิษที่เข้าสู่ร่างกายโดยการรับประทาน

          สารพิษที่เข้าสู่ร่างกายด้วยการรับประทาน (ingested poisonings) แบ่งตามผลที่เกิดขึ้นได้ ๔ ประเภท คือ
๑. สารกัดกร่อน (corrosives) คือสารที่กัดทำลายเนื้อเยื่อของร่างกายโดยเร็ว  เช่น กรด ด่าง ฟีนอล (phenol) ไอโอดีน (iodine) เป็นต้น สารเหล่านี้ทำให้เกิดแผลไหม้บริเวณปาก ลิ้น หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร เจ็บปวดรุนแรง อาเจียนออกมาเป็นเลือดสีดำ
๒. สารระคายเคียง (irritants) เป็นสารที่ไม่ได้ทำลายเนื้อเยื่อโดยตรง แต่ทำให้อักเสบ ทำให้ผู้ที่รับประทานสารนี้เข้าไปเกิดคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ถ่ายอุจจาระเป็นเลือด ปวดท้อง หน้ามืดเป็นลม ได้แก่พวก โพแทสเซียมไนเทรต (potassium nitrate) สังกะสีคลอไรด์ (zinc chloride) สารหนู (arsenic) และ กำมะถัน (phosphorus)
๓. สารกดประสาท (depressants) เป็นสารที่ผู้ป่วยรับประทานเข้าไปในระยะแรกๆ จะมีอาการตื่นเต้นชั่วคราว ต่อมาปรากฏอาการเซื่องซึม หายใจช้า มีเสียงกรน ผิวหนังเย็นชื้นหน้าและมือเขียวคล้ำ กล้ามเนื้อหย่อยยานปวกเปียก ได้แก่พวก ฝิ่น มอร์ฟีน ยานอนหลับ แอลกอฮอล์
๔. สารกระตุ้นประสาท (excitants) เป็นสารที่ทำให้ผู้ป่วยเพ้อกระวนกระวาย หายใจลำบาก ผิวหนังแห้งและร้อน ชีพจรเต้นเร็วแต่อ่อนแรง มีอาการหดเกร็งของกล้ามเนื้อมีอาการชักเช่น สตริกนิน (strychnine) อะโทรปิน (atropine)การบูร (camphor) และฟลูออไรด์ (fluoride) เป็นต้น

วิธีปฐมพยาบาล
๑. พยายามเสาะหาชนิดของสารที่ผู้ป่วยรับประทานเข้าไปให้แน่ชัด เก็บไว้ให้แพทย์ตรวจเมื่อต้องการ
๒. พยายามเอาสารพิษออกจากกระเพาะอาหารให้มากและโดยเร็วด้วยวิธีทำให้ผู้ป่วยอาเจียน มีข้อห้ามมิให้ทำให้ผู้ป่วยอาเจียนในกรณีที่สารพิษซึ่งรับประทานเข้าไปเป็นสารกัดกร่อน เช่น น้ำกรดหรือน้ำด่าง เพราะอาจทำให้กระเพาะอาหารหรือหลอดอาหารทะลุ  และกรณีที่ผู้ป่วยรับประทานน้ำมันจำพวกปิโตรเลียม เช่น น้ำมันเบนซิน น้ำมันก๊าด เข้าไป เพราะหากผู้ป่วยอาเจียน สารนี้จะสำลักเข้าไปทางปอด ทำให้เกิดปอดอักเสบภายหลัง
๓. เมื่อเอาสารพิษออกจากกระเพาะอาหารได้แล้วให้ผู้ป่วยรับประทานยาต้านพิษ (antidotes) หรือให้ยาเคลือบกระเพาะอาหารเพื่อลดการดูดซึมของสารพิษ (demulcents) เช่น ไข่ขาวผสมในน้ำ น้ำมันหมู น้ำมันพืช แป้งมันผสมน้ำจางๆ เป็นต้น
๔. ถ้าผู้ป่วยไม่รู้สึกตัว ให้นอนศีรษะตะแคงข้างระวังทางเดินหายใจไม่ให้อุดตัน ถ้าผู้ป่วยมีอาการชัก ให้ระวังจะกัดลิ้น ใช้ด้ามแปรงสีฟันหรือช้อนแทรกไว้ระหว่างฟันบนกับฟันล่าง อย่าใช้มือหรือนิ้วงัดปาก
๕. ให้รีบนำส่งแพทย์โดยด่วน

วิธีทำให้ผู้ป่วยอาเจียน
๑. ใช้นิ้วชี้หรือช้อนล้วงกวาดลำคนผู้ป่วยลึกๆ หรือให้ดื่มน้ำอุ่นมากๆ ก่อนแล้วจึงล้วงคอ
๒. ใช้เกลือแกง ๒ ช้อนชาผสมน้ำอุ่น ๑ แก้ว หรือผงมาสตาร์ด ๒ ช้อนชา ผสมน้ำอุ่น ๑ แก้ว ให้ผู้ป่วยดื่มให้หมดแก้ว
๓. ใช้น้ำอุ่นละลายสบู่พอสมควร (ห้ามใช้ผงซักฟอก)ใช้ได้ผลดีในกรณีที่รับประทานสารปรอท
๔. ขณะผู้ป่วยอาเจียนให้ศีรษะต่ำ หรือนอนตะแคงหน้า อย่าให้สำลักเข้าปอด ควรเก็บสิ่งที่อาเจียนออกมาไว้ให้แพทย์ตรวจ

สารพิษที่เข้าสู่ร่างกายโดยการฉีด

 มักเกิดจากสาเหตุต่อไปนี้

งูพิษกัด

          เมื่อถูกงูพิษกัด จะปรากฏรอยเขี้ยวงูเป็น ๒ จุด และมักมีอาการของพิษงูภายใน ๑๐ นาที ถ้างูไม่มีพิษ รอยฟันบนผิวหนังจะเรียงเป็นแถว อาการของผู้ป่วยที่แสดงออกนั้นสุดแล้ว แต่ชนิดของงู เช่น พิษจากงูเห่ามักทำอันตรายต่อระบบประสาท ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง ผู้ป่วยซึมและหายใจลำบาก ส่วนงูแมวเซาทำอันตรายต่อระบบเลือดและหลอดเลือด มีเลือดไหลซึมออกจากแผลตลอดเวลา

วิธีปฐมพยาบาล
                    ๑. ให้พยายามตรวจดูว่าถูกงูอะไรกัด ถ้าจับงูได้ให้เก็บไว้นำส่งแพทย์ด้วย เพื่อจะได้เลือกฉีดเซรุ่มต้านพิษงูได้ถูกประเภท
                    ๒. ให้ผู้ป่วยนั่งหรือนอน ใช้สายยางหรือผ้ารัดแขนหรือขาเหนือรอยแผลประมาณ ๑ ฝ่ามือ ให้แน่นพอสมควร เพื่อลดอัตราการดูดซึมของพิษงูที่เข้าสู่ร่างกายโดยกระแสเลือด ควรคลายสายรัดชั่วครู่ทุกๆ ๑๐ นาที เพื่อให้เลือดไปเลี้ยงแขนขาส่วนนั้นสักครู่แล้วรัดให้แน่นใหม่
๓. ใช้มีดที่ทำควรสะอาดแล้วกรีดเป็นรูปกากบาทเล็กๆ ลงบนรอยแผลของเขี้ยวงู ผู้ช่วยเหลือดูดเอาเลือดออกจากแผลแล้วบ้วนทิ้งเสีย ถ้าผู้ป่วยบ้านอยู่ใกล้โรงพยาบาล สามารถนำไปฉีดเซรุ่มต้านพิษงูได้ภายในเวลา ๑ ชั่วโมง ไม่จำเป็นต้องกรีดแผล หรือผู้ป่วยที่ถูกงูกัดมานานเกิน ๑ ชั่วโมง การกรีดและดูด เอาเลือดออกจากแผลมักไม่ได้ประโยชน์
๔. ทำการผายปอดเมื่อผู้ป่วยหยุดหายใจ หากมีอาการช็อก ในปฐมพยาบาลระหว่างนำส่งโรงพยาบาล
                    ๕. หากถูกงูพิษอ่อนๆ กัด หรือถูกงูไม่มีพิษกัด ผู้ป่วยจะมีอาการบวมของผิวหนังเพียงเล็กน้อยเท่านั้น  ไม่ปรากฏอาการทั่วไปที่รุนแรง ควรทำความสะอาดแผล ให้ยาระงับปวด ไม่จำเป็นต้องฉีดเซรุ่มต้านพิษงู ทั้งนี้อยู่ในการวินิจฉัยของแพทย์

สุนัขบ้ากัด
          สาเหตุของโรคพิษสุนัขบ้า   หรือโรคกลัวน้ำ   (rabies,hydrophobia) มาจากเชื้อไวรัส โดยทำอันตรายต่อระบบประสาทกลาง ติดต่อโดยแพร่เชื้อจากน้ำลายของสัตว์ที่เป็นโรค เข้าทางแผลที่ถูกสุนัขบ้ากัด หรือรอยถลอกที่สัมผัสเชื้อโรค นอกจากสุนัขแล้ว โรคนี้ยังนำโดยแมว หมี วัว ชะนีบางตัว ผู้ที่ถูกสัตว์ที่เป็นโรคกัดควรรีบฉีดวัคซีนป้องกันโรคก่อนที่จะปรากฏอาการ เพราะผู้ป่วยเมื่อเป็นโรคพิษสุนัขบ้าแล้ว ไม่มีทางรักษา ต้องเสียชีวิตอย่างน่าเวทนาทุกรายไป

ข้อควรปฏิบัติเมื่อถูกสุนัขบ้ากัด
                    ๑. ชำระแผลด้วยน้ำและสบู่ แล้วทาแผลด้วยทิงเจอร์ไอโอดีน
                    ๒. อย่าฆ่าสุนัขที่กัด อย่านำไปปล่อย หรืออย่าขับไล่ให้หนีไป ควรกักสุนัขไว้เพื่อดูอาการของโรคพิษสุนัขบ้าเป็นเวลา๑๐ วัน หรือรีบนำสุนัขไปให้สัตวแพทย์ตรวจว่าเป็นโรคหรือไม่ ถ้าตีสุนัขตายหรือสุนัขตายไปเองระหว่างกักขัง ให้รีบนำซากสุนัขไปให้สถานเสาวภาหรือโรงพยาบาลศิริราชตรวจพิสูจน์ว่าเป็นโรคหรือไม่ หากต้องเดินทางหลายวันควรแช่ซากสุนัขในน้ำแข็งสมองจะได้ไม่เน่า
                   ๓. ผู้ที่ถูกสุนัขกัดทุกคน ควรฉีดวัคซีนป้องกันโรคบาดทะยักตั้งแต่แรก ถ้าปรากฏว่าสุนัขที่กัดคนเป็นโรคพิษสุนัขบ้าหรือสุนัขกัดแล้วหนีหายไป ไม่สามารถติดตามได้ ผู้ป่วยควรรับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าให้ครบตามกำหนดทุกราย จากสถานเสาวภา หรือโรงพยาบาลของราชการโดยด่วน

แมลงมีพิษกัดต่อย
           ผู้ที่ถูกแมลงมีพิษกัดต่อย เช่น ผึ้ง แตน ตัวต่อ หมาร่า มด แมลงมุม แมลงป่อง อาจปรากฏอาการอย่างใดอย่างหนึ่ง ได้ ๒ อย่าง คือ อาการจากน้ำพิษ (venom) ของแมลงโดยตรง หรืออาการจากปฏิกิริยาภูมิแพ้ (allergic reactions) ต่อน้ำพิษของแมลงนั้นๆ

วิธีปฏิบัติ
                    ๑. ทำความสะอาดบริเวณแผลด้วยน้ำและสบู่ หรือทาแอลกอฮอล์พยายามดึงเหล็กในของแมลงที่ฝังคาผิวหนังอยู่โดยใช้ปากคีบ
๒. ถ้าผู้ป่วยมีอาการช็อก ให้รักษาอาการช็อกและนำส่งแพทย์โดยด่วน

ปลิงหรือทากกัด
           ปลิงหรือทากตรงกับภาษาอังกฤษว่า "Leech" โดยปลิงเป็นพวกที่อยู่ในน้ำ ส่วนทากนั้นอยู่บนบก เป็นสัตว์ดูดเลือดของสัตว์อื่นๆ เป็นอาหาร เช่น ม้า วัว ควาย กบ เต่า หอย หรือบางครั้งในคน ขณะที่ดูดเลือด มันปล่อยสารที่ไม่ให้เลือดแข็งตัวออกมา สารนี้ เรียกว่า "ฮีรูดิน " (hirudin)

วิธีปฏิบัติ
                    ๑. อย่าพยายามดึงปลิงหรือทากออกจากผิวหนัง เพราะจะทำให้เกิดแผลฉีกขาด เลือดออกมาก ห้ามเลือดได้ยากควรใช้น้ำเกลือ น้ำส้มสายชูหรือแอลกอฮอล์หยอดลงรอบๆ ปากของมัน บางคนอาจใช้ไม้ขีดติดไฟหรือบุหรี่ที่ติดไฟ จี้ที่ตัวปลิงหรือทาก มันจะคลายปากแล้วหลุดออกจากผิวหนังเอง
๒. ทำความสะอาดแผลด้วยน้ำและสบู่ จากนั้นป้ายด้วยขี้ผึ้งทาแผล ให้ยาแก้ปวดรับประทานบาดแผล

ที่มา //guru.sanook.com/encyclopedia/การได้สารพิษ/




 

Create Date : 30 กันยายน 2557    
Last Update : 30 กันยายน 2557 9:46:54 น.
Counter : 1008 Pageviews.  

แพร อภิชญา ถ่ายแบบ Palyboy เซ็กซี่ไม่มีวันเบื่อ

ต้องยกให้กับสาวคนนี้จริงๆ แพร อภิชญา ที่เห็นความเซ็กซี่มาตั้งนาน ซึ่งความเซ็กซี่ของเธอไม่มีวันเสื่อมคลายจริงๆ แถมทำไมรู้สึกระยะหลังๆ กลับรู้สึกเธอยิ่งเซ็กซี่มากขึ้นอีกด้วย

pare_p_2

เห็นมานานมาก

pare_p_3

น่ารักจริงๆ เลย

แพร อภิชญา ถ่ายแบบ Playboy เซ็กซี่ไม่มีวันเบื่อ

แพร อภิชญา ถ่ายแบบ Playboy เซ็กซี่ไม่มีวันเบื่อ

เชื่อผมสิ!! รูปร่าง หน้าตา อะไรจะเซ็กซี่ครบได้ขนาดนี้

pare_p_5

ติดตามความเซ็กซี่ของเธอต่อได้ที่

pare_p_1

นิตยสาร Playboy September 2014




 

Create Date : 29 กันยายน 2557    
Last Update : 29 กันยายน 2557 16:50:24 น.
Counter : 3050 Pageviews.  

แป้งฝุ่นใช้ไม่ถูก ระวังเป็นมะเร็ง!

แป้งฝุ่นใช้ไม่่ถูก ระวังเป็นมะเร็ง!

คงไม่มีใครไม่รู้จักแป้งฝุ่นหรอกใช่ไหมคะ เพราะตั้งแต่เด็กจนโตเราต่างก็เคยทาแป้งกันทั้งนั้น เพราะสามารถช่วยลดความอับชื้น ทำให้รู้สึกสบายตัว แถมยังมีกลิ่นหอมอีกด้วย แต่ใครจะไปคาดคิดละคะว่า แป้งฝุ่นที่เราใช้อยู่นั้น หากใช้ไม่ดี ใช้ไม่ระวัง จะทำให้เกิดโรคได้

  หนังสือพิมพ์ เทเลกราฟ ของอังกฤษรายงานว่า การศึกษาของนักวิจัยจากวิทยาลัยแพทยศาสตร์ ฮาร์วาร์ดในบอสตัน พบว่า ผู้ที่ใช้แป้งฝุ่นโรยตัวทาบริเวณจุดซ่อนเร้น มีความเสี่ยงมะเร็งรังไข่กว่าผู้ที่ไม่ใช้แป้งสูงถึง 40 % และพบว่า ผู้หญิงที่มียีน glutathione S-transferase M1 (GSTM1) แต่ไม่มียีน glutathione-S-transferase T1 (GSTT1) มีแนวโน้มเป็นมะเร็งรังไข่สูงกว่ากลุ่มอื่นเกือบ 3 เท่าตัว ซึ่งลักษณะดังกล่าวจะพบในผู้หญิงผิวขาว 1 ใน 10 คน

แป้งฝุ่น (Skin powder) หมายถึง สิ่งปรุงที่มีลักษณะเป็นผงละเอียด หรือคอลลอยด์ของสารอินทรีย์ หรืออนินทรีย์ที่ไม่ละลายน้ำ ผสมเป็นเนื้อเดียวกันและไม่ระคายผิว อาจแต่งกลิ่นหรือสี หรือแต่งทั้งกลิ่นและสี เพื่อใช้แก่ร่างกายหรือเพื่อเสริมความงาม แบ่งเป็น แป้งฝุ่นโรยตัว (body powders) แป้งฝุ่นโรยตัวเด็ก (baby powder) และแป้งฝุ่นผัดหน้า (face powder) ซึ่งมีความละเอียดมากกว่าแป้งฝุ่นโรยตัว ส่วนประกอบหลักของแป้งฝุ่น คือ ทัลคัม (talcum) หรือที่เรียกกันว่า ทัลค์ (talc) ซึ่งเป็นสารอนินทรีย์มีชื่อเคมีว่า hydrated magnesium silicate และอาจมีแคลเซียมคาร์บอเนตชนิดผงเบาละเอียด พิเศษ (micronized calcium carbonate) อาจมีการเติมสารอื่นเช่น สารช่วยป้องกันความชื้น สารฝาดสมาน (astringent) สารช่วยทำให้ผิวเย็น สารกันเสีย สารแต่งกลิ่นและสี แป้งฝุ่นมีคุณสมบัติ ช่วยผสมผสานและดูดซึมซับความชื้นทำให้ผิวหนังเนียนลื่น

    การควบคุมตามกฎหมาย
ตั้งแต่ วันที่ 16 ธันวาคม 2536 ถึงวันที่ 25 กันยายน 2551 แป้งฝุ่นโรยตัวจัดเป็นเครื่องสำอางควบคุม ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข ออกตามในพระราชบัญญัติเครื่องสำอาง พ.ศ. 2535 เรื่อง แป้งฝุ่นโรยตัว ซึ่งผู้ประกอบการต้องจดแจ้งต่อสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ประกาศกระทรวงสาธารณสุข กำหนดว่า
      • ต้องไม่มีวัตถุห้ามใช้ ไม่มีสารปนเปื้อน ใช้สีผสมถูกต้อง ถ้าเป็นแป้งฝุ่นโรงตัวสำหรับเด็กต้องไม่มีกรดบอริก (boric acid) เมนทอล (menthol) การบูร (camphor)
      • ถ้ามีส่วนผสมของกรดบอริก ต้องใช้ในอัตราส่วนไม่เกิน ร้อยละ 3.0 โดยน้ำหนัก
      • ถ้ามีส่วนผสมของเมนทอล ต้องใช้ในอัตราส่วนไม่เกินร้อยละ 1.0 โดยน้ำหนัก
      • ถ้ามีส่วนผสมของการบูร ต้องใช้ในอัตราส่วนไม่เกินร้อยละ 1.5 โดยน้ำหนัก
      • คุณสมบัติของจุลชีววิทยา ของแป้งฝุ่นโรยตัวคือ
        - จำนวนรวมของแบคทีเรีย ยีสต์ และราที่เจริญเติบโตโดยใช้อากาศ (aerobic plate count) ในแป้งฝุ่นโรยตัวสำหรับเด็กและแป้งฝุ่นโรยตัวต้อง น้อยกว่า 500 และ 1,000 โคโลนีต่อกรัม หรือ มิลลิลิตร ตามลำดับ
        - ต้องไม่พบเชื้อจุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดโรคได้แก่ ซูโดโมแนส แอรูจิโนซา (Pseudomonas aerogimosa), สตาฟีโลค็อกคัส ออเรียส (Staphylococcus aureus), แคนดิดา อัลบิแคนส์ (Candida albicans) และ คลอสตริเดียม (Clostridium spp.) (เฉพาะเครื่องสำอางผสมสมุนไพร)

       ตั้งแต่วันที่ 26 กันยายน 2551 เครื่องสำอางทุกชนิดจัดเป็นเครื่องสำอางควบคุมตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง กำหนดเครื่องสำอางควบคุม ตามที่ ปรากฏในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 125 ตอนพิเศษ 157ง ลงวันที่ 25 กันยายน 2551 ซึ่งสอดคล้องกับกฎหมายเครื่องสำอางอาเซียน เป็นผลให้ผู้รับผิดชอบผลิตภัณฑ์ต้องจัดทำแฟ้มข้อมูลผลิตภัณฑ์แสดงต่อสำนัก งานคณะกรรมการอาหารและยา ทำให้การกำกับดูแลเครื่องสำอางได้ครอบคลุมมากขึ้น อันตรายจากการใช้แป้งฝุ่นโรยตัว


      แป้งฝุ่นโรยตัวเป็นที่นิยมใช้กันทั่วไปตั้งแต่แบเบาะจนแก่เฒ่า การทาแป้งโดยเฉพาะตอนโรยแป้ง ผงแป้งจะล่องลอยในอากาศ ถ้าสูดเข้าทางเดินหายใจที่ละเล็กละน้อยเป็นเวลานานๆ ก็จะเกิดการสะสมในปอด โดยที่เซลส์บุผิวปอดจะดักจับแป้งไว้เป็นก้อน เรียกว่า ภาวะ “pneumoconiosis” ทำให้มีปัญหากับการหายใจ ถ้าเป็นเด็กทารกทำให้ปอดอักเสบและตายได้

       สำหรับการใช้แป้งที่ก้นกับอวัยวะเพศซึ่งเป็นที่นิยมใน ยุคปี ค.ศ.1970 มีการศึกษาวิจัยพบว่า ผู้ที่ใช้แป้งกับอวัยวะเพศ มีอัตราเสี่ยงการจะเป็นมะเร็งรังไข่ โดยอาจเป็นไปได้ ที่แป้งสามารถหลงเข้าไปในร่างกายผ่านช่องคลอดมดลูกและท่อนำไข่เข้าไปสู่ช่อง ท้อง และสารทัลค์ ไม่สามารถย่อยสลายได้ในคน การทาแป้งส่วนต่างๆ ของร่างกาย ทั้งของเด็กและผู้ใหญ่ ควรทาแป้งครั้งละน้อยๆ และ ทาในบริเวณที่เหมาะสม พยายามอย่าให้ฟุ้งในอากาศ ไม่ควรทาบริเวณก้นและอวัยวะเพศของเด็กทีละมากๆ เพื่อความปลอดภัยต่อสุขภาพ

ทราบอย่างนี้แล้วต่อไปก็ควรใช้แป้งฝุ่นอย่างระมัดระวัง และใช้ให้ถูกกับประเภทการใช้ หากรู้สึกอับชื้นตรงจุดซ่อนเร้นอย่านำแป้งไปทา เพราะเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ตามที่กล่าวมาแล้ว ทางที่ดีควรเปลี่ยนชุดชั้นในเป็นผ้าที่ทำจากผ้าฝ้าย เพราะสามารถระบายความอับชื้นได้ดี



เกริ่นนำโดยที่นี่ดอทคอม

ขอบคุณข้อมูลจาก :: //www.zabzaa.com




 

Create Date : 29 กันยายน 2557    
Last Update : 29 กันยายน 2557 16:43:31 น.
Counter : 1233 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  

หนี่งหน่อง
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 33 คน [?]




pub-1485477287124314
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add หนี่งหน่อง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.