อ่านเรื่อยๆ มาเรียง ๆ ทุกวันของ หนี่งหน่อง นะครับ

ประวัติ เกมเศรษฐี Monopoly เกมกระดานสุดฮิต

ประวัติ เกมเศรษฐี Monopoly เกมกระดานสุดฮิต

ประวัติเกมเศรษฐี (Monopoly) เกมสุดฮอตฮิตที่ครองใจคนทั่วโลกมาอย่างยาวนาน มารู้จักเรื่องราวและที่มาของ เกมเศรษฐี กันดีกว่า

ชั่วโมงนี้เชื่อว่าเกมที่กลายเป็นที่ฮอตฮิตอันดับหนึ่งของชาวโซเชียลเน็ตเวิร์กไทยคงหนีไม่พ้น เกมเศรษฐี (LINE Lets Get Rich) อย่างแน่นอน เพราะไม่ว่าไปที่ไหนเป็นต้องเห็นทุกคนก้มหน้าก้มตาทอยลูกเต๋า สร้างแลนด์มาร์ก กันอย่างเมามันส์ แต่ใครเล่าจะเชื่อว่า เกมเศรษฐีนี้จะเกิดขึ้นมาเป็นเวลานานถึง 100 ปีแล้ว แต่ยังคงความคลาสิคที่คนทุกเพศทุกวัยยังนิยมเล่นอยู่จนถึงทุกวันนี้ และวันนี้ก็มีประวัติของเกมเศรษฐี (Monopoly) มาฝากเพื่อน ๆ กันค่ะ



สำหรับเกมเศรษฐีเกิดขึ้นโดยหญิงสาวชาวอเมริกันนามว่า อลิซาเบ็ธ แม็กกี ฟิลลิปส์ (Ellizabeth Magie Phillips) ขณะนั้นเธอต้องการแบบจำลองเพื่อให้คนทั่วไปเห็นว่า คนที่เป็นเจ้าของที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ร่ำรวยจากค่าเช่าได้อย่างไรและค่าเช่าทำให้ผู้เช่าจนลงได้อย่างไร ซึ่งการเล่นเกมจำลองสถานการณ์แบบนี้ทำให้เข้าใจง่าย โดยเธอได้ตั้งชื่อเกมว่า แลนด์ลอร์ด (The Landlord’s Game) และนำไปจดสิทธิบัตรไว้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1904 (พ.ศ. 2447) แม้ว่าตัวเกมจะมีความสนุกแต่ก็นิยมเล่นกันในวงแคบ ๆ  ยังไม่มีการผลิตออกมาอย่างจริงจัง

จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1910 (พ.ศ. 2453) บริษัทผู้ผลิตเกมชื่อ Economic Game ได้ผลิตเกมนี้ออกมา ความนิยมในตัวเกมเกิดจากการบอกต่อกันของผู้ที่เคยเล่น และเกิดการดัดแปลงเกม เช่น เปลี่ยนแปลงกฎกติกาบางอย่างเพื่อทำให้เกมสั้นลงและใช้ชื่อว่า อ็อกชั่น โมโนโพลี (Auction Monopaly) เปลี่ยนแปลงชื่อสถานที่เพื่อให้สอดคล้องกับบริเวณที่ผู้เล่นอาศัยอยู่จริง เป็นต้น ก่อนที่ในช่วงปลายของทศวรรษที่ 1920 (พ.ศ. 2463) ผู้คนก็รู้จักเกมในชื่อ โมโนโพลีเกม (Monopoly Game)



ความแพร่หลายของเกมทำให้เกิดปมประวัติศาสตร์ของเกมขึ้น โดยในปี ค.ศ. 1933 (พ.ศ. 2476) ชาร์ลส บี.ดาร์โรว (Charles B. Darrow) ได้ทำเกมเศรษฐีไว้เล่นเองในบ้าน ซึ่งเนื้อหาของเกมมีทั้งการซื้อ การขาย การเช่าอสังหาริมทรัพย์ต่าง ๆ ไม่นานนักเพื่อน ๆ ก็ขอลอกแบบเกมเพื่อนำกลับไปเล่นที่บ้านตัวเอง  ทำให้ชาร์ลสเริ่มผลิตเกมนี้ออกจำหน่ายในราคาชุดละ 4 เหรียญ โดยนำไปฝากขายที่ห้างสรรพสินค้าในเมืองฟิลาเดลเฟีย และด้วยความสนุกของเกมทำให้ยอดการสั่งซื้อเกมเพิ่มมากขึ้น จนชาร์ลสนำเกมนี้เสนอขายกับบริษัทพาร์คเกอร์ บราเธอร์ (Parker Brother) ซึ่งเป็นบริษัทผลิตของเล่น

อย่างไรก็ตาม ในเวลานั้นทางบริษัทได้ปฏิเสธเกมของชาร์ลสโดยบอกว่าเกมของเขามีจุดบกพร่องถึง 52 จุด เช่น เกมใช้เวลาเล่นนานเกินไป กติกาซับซ้อนเกินไป เป้าหมายการเป็นผู้ชนะไม่ชัดเจน ชาร์ลสจึงกลับมาจ้างเพื่อนเขาผลิตเกมออกมาจำหน่ายเองจำนวน 5,000 ชุด ซึ่งความสนุกของเกมได้รับการบอกเล่ากันปากต่อปาก จากเพื่อนลูกสาวผู้ก่อตั้งบริษัทพาร์คเกอร์ เรื่อยมาจนถึงหูภรรยาของ โรเบิร์ต บี.เอ็ม.บาร์ตัน (Robert B.M.Barton) ประธานบริษัทพาร์คเกอร์ ทำให้ประธานต้องซื้อเกมนี้มาทดลองเล่นด้วยตัวเอง

หลังจากที่ค้นพบความสนุกของเกมโมโนโพลีเกม โรเบิร์ต บาร์ตัน จึงเปิดการเจรจาธุรกิจกับชาร์ลสอีกครั้งโดยเสนอขอซื้อสิทธิ์การผลิตและจำหน่ายเกม อีกทั้งเสนอค่าสวนแบ่งลิขสิทธิ์เกม (royalty) ตามยอดขายออกไปให้ ซึ่งชาร์ลสตอบรับทุกข้อเสนอด้วยความยินดี พร้อมกับสัญญาว่าจะพัฒนาเกมเศรษฐีที่เล่นจบในเวลาสั้นกว่าเดิมให้ทางบริษัทด้วย

จนในที่สุดบริษัทพาร์คเกอร์ฯ ก็ผลิตเกมเศรษฐีออกมาจำหน่ายครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน ค.ศ. 1935 (พ.ศ. 2478) แม้ภายหลังบริษัทจะพบว่ามีเกมที่มีรูปแบบลักษณะการเล่นเดียวกันนี้วางจำหน่าย บริษัทก็ได้ไล่ซื้อลิขสิทธิ์เกมอื่น ๆ เพื่อปกป้องเกมโมโนโพลีไว้ และทำให้เกมนี้กลายเป็นสินค้าที่ขายดีที่สุดของบริษัทพาร์คเกอร์ฯ

ทั้งนี้ สำหรับเกมโมโนโพลี (Monopaly) เป็นเกมที่ได้รับความนิยมมาก มีการบันทึกสถิติลงในหนังสือกินเนสส์เวิลด์เรคคอร์ดว่า เกมนี้เป็นเกมกระดานที่มีคนเล่นมากที่สุดในโลกประมาณ 500 ล้านคน โดยถูกนำไปผลิตเป็นภาษาต่าง ๆ มากถึง 26 ภาษา และจำหน่ายในประเทศต่าง ๆ ประมาณ 80 ประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย โดยในไทยนั้นเรียกเกม Monopaly ว่า เกมเศรษฐี ซึ่งปัจจุบันกำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก




 

Create Date : 19 สิงหาคม 2557    
Last Update : 19 สิงหาคม 2557 3:33:18 น.
Counter : 5797 Pageviews.  

เตรียมพบ"ซุเปอร์บานาน่า" -กล้วยตัดต่อพันธุกรรมเร็วๆนี

เตรียมพบ”ซูเปอร์บานาน่า”-กล้วยตัดต่อพันธุกรรมเร็วๆนี้

Written by Natty_sci on . Posted in ชีววิทยา, วิทยาศาสตร์

07

หลังจากที่การตัดต่อจีโนมของกล้วยก้าวหน้าขึ้นไปเรื่อยๆ ทำให้ตอนนี้มีความเป็นไปได้ที่จะสามารถผลิตกล้วยและพืชอื่นๆให้มีพันธุกรรมที่ดีขึ้นได้โดยไม่ต้องใช้จีนจากพืชสายพันธุ์อื่นเข้ามาเลย

กล้วยและผลไม้ตัดต่อพันธุกรรมใช้เทคโนโลยีชีวภาพที่ใหม่และแตกต่าง นอกจากนี้ นักวิจัยยังเผยว่าอาจจะได้รับการยอมรับจากสมาคมการตัดต่อพันธุกรรม (GMO) โดยเฉพาะในยุโรปอีกด้วย

นับเป็นความก้าวหน้าของวงการตัดต่อพันธุกรรม ซึ่งเราจะได้เห็น "ซูเปอร์บานาน่า" หรือกล้วยที่อุดมไปด้วยวิตามินเอ หรือแอปเปิ้ลที่ปอกเปลือกแล้วไม่ดำ หรือพืชชนิดอื่นๆในท้องตลาด

"ความก้าวหน้าครั้งนี้คือเราพยายามจะหลีกเลี่ยงการนำยีนจากพืชสายพันธุ์อื่นเข้ามาตัดต่อ ซึ่งจะทำให้วิธีการของเราจะได้พืชผลที่เป็นธรรมชาติกว่าพืชผลที่นำยีนจากที่อื่นมา" ชินดานานดา นากาแมงกาลา คานชิสวามี แห่งสถาบัน Istituto Agrario San Michele ในอิตาลีเผย

วิธีการเปลี่ยนแปลงพืชนี้อาจจะทำที่ยีนเพียงเล็กๆ เช่นการเพิ่มหรือลดจำนวนยีนที่พืชนั้นมีอยู่แล้ว ผลไม้ที่ตัดแต่งยีนนั้นมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นในเร็ววันนี้เพราะปัจจุบันมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีตัดต่อยีนมากมาย ไม่ว่าจะเป็น CRISPR TALEN และอื่นๆ และนักวิทยาศาสตร์ยังเข้าใจความรู้เกี่ยวกับจีโนมของผลไม้มากขึ้นกว่าเดิมมากอีกด้วย

นอกจากนี้ วิธีการนี้ยังไม่ต้องใช้เครื่องมือในการตัดต่อยีนอีกด้วย ขณะที่การตัดต่อยีนจากสายพันธุ์อื่นเข้ามาส่วนใหญ่นั้นจะต้องใช้แบคทีเรียของพืชในการนำยีนสายพันธุ์อื่นเข้าไป และผลิตภัณฑ์ที่ออกมาจำหน่ายในเชิงพาณิชย์ก็มีเพียงแค่มะละกอเท่านั้น เพราะสหภาพยุโรปค่อนข้างเข้มงวดกับเรื่องนี้

ครั้งนี้ นักวิจัยเชื่อว่า พืชที่ตัดต่อพันธุกรรมโดยการใส่เพิ่ม ลดออก หรือเปลี่ยนยีนที่มีอยู่แล้วนั้นไม่น่าจะเรียกว่าเป็นการตัดต่อยีน และมีโอกาสที่จะได้รับการยอมรับจากสหภาพยุโรป แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการตีความของสมาชิกของสหภาพยุโรป

ผลไม้ที่สามารถปรับกระบวนการนี้ไปใช้ได้มีอีกมากมาย อาจจะเรียกได้ว่าเป็นวิธีการ genetically edited organisms (GEOs) โดยคานชิสวามีและทีมงานเชื่อว่า งานวิจัยนี้เป็นการเปิดประตูสู่การพัฒนาพันธุ์พืชที่ยอดเยี่ยมและบางทีอาจจะนำมาจำหน่ายในเชิงพาณิชย์ได้ แต่อาจจะต้องเจอกับการวิพากษ์วิจารณ์และโต้เถียงอยู่ระดับหนึ่ง

"เราอยากให้คนเข้าใจว่าพืชผลที่ได้มาด้วยกระบวนการทางเทคโนโลยีชีวภาพนี้ไม่ได้จำกัดแค่พืช GMOs การตัดต่อยีนจากสายพันธุ์อื่นเป็นก้าวแรกของการปรับปรุงพันธุ์พืช แต่วิธีการ GEOs นี้ก็จะเป็นวิธีธรรมชาติที่จะใช้เทคโนโลยีเพื่อการเกษตรที่ยั่งยื่นต่อไปในอนาคต"

อ้างอิง: Cell Press. (2014, August 13). Coming soon: Genetically edited 'super bananas' and other fruit?. ScienceDaily. Retrieved August 13, 2014 from //www.sciencedaily.com/releases/2014/08/140813131044.htm

งานวิจัย: Chidananda Nagamangala Kanchiswamy, Daniel James Sargent, Riccardo Velasco, Massimo E. Maffei, Mickael Malnoy. Looking forward to genetically edited fruit cropsTrends in Biotechnology, August 2014 DOI:10.1016/j.tibtech.2014.07.003





 

Create Date : 19 สิงหาคม 2557    
Last Update : 19 สิงหาคม 2557 3:26:15 น.
Counter : 1361 Pageviews.  

ไอเดียแต่งห้อง ให้สวย ด้วยโทนสีแสนอบอุ่น

วันนี้ Decor.Mthai ได้นำ ไอเดียแต่งห้อง ให้สวยด้วยสีโทนอบอุ่น ออกแบบโดย “Cordialaty Design Studio” มาฝากเพื่อนๆ กันค่ะ  การตกแต่งภายในบ้านให้ดูอบอุ่นนั้น ปัจจัยหลักที่สำคัญ นั่นคือ แสงไฟ และ การเลือกสีทาห้อง โดยสี ต้องไม่ดูจืดหรือแรงเกินไป โทนสีห้องที่ดี ควรให้อยู่ในระดับสีที่ดู นุ่มนวล มองแล้วเย็นสบายตา เช่น หากเป็นสีน้ำตาล ให้เป็นสีน้ำตาลออกโทนผสมขาวแกมทองนิดๆ และเลือกพื้นผิวกระเบื้อง หรือไม้ที่ดูมันวาว เพื่อที่จะส่งผลให้มีการสะท้อนของแสงได้เป็นอย่างดี เรามาดูตัวอย่างห้องสวยๆ กันดีกว่า

ไอเดียแต่งห้อง ให้สวย ด้วยโทนสีแสนอบอุ่น

ไอเดียแต่งห้อง

หน้าต่างบานใหญ่ ช่วยให้ห้องโทนสีน้ำตาลเทาแลดูสว่างขึ้น
และเพิ่มความมีสีสันให้ห้องด้วยเก้าอี้ปลายเตียงลายธงชาติอังกฤษ

ไอเดียตกแต่งบ้าน

วอลเปเปอร์เป็นอีกตัวเลือกนึงในการตกแต่งห้อง
เพราะนอกจากจะเปลี่ยนได้ง่ายแล้วยังสามารถเพิ่มลวดลายให้กับห้องได้อีกด้วย

ไอเดียตกแต่งบ้าน

ไอเดียตกแต่งบ้าน

ตกแต่งห้องด้วยสีขาวและสีน้ำตาลเป็นหลักทำให้ห้องดูเป็นห้องของผู้ใหญ่ เรียบง่าย สะอาดตา แถมยังดูหรูมีระดับอีกด้วย 
แต่หากไม่อยากให้ห้องนอนดูจืดจนเกินไป ก็หาเฟอร์นิเจอร์ไม้สีเข้ม มาเสริมให้ห้องดูดีขึ้นด้วยก็ได้

ไอเดียตกแต่งบ้าน

ตู้เสื้อผ้าสีเข้ม กับแสงไฟอ่อนๆ สาดเข้าไปที่ตู้ ตกกระทบที่พื้นไม้ ทำให้ห้องดูสง่างามขึ้น

ไอเดียตกแต่งบ้าน

ตกแต่งห้องด้วยสีขาวและสีน้ำตาลเป็นหลักทำให้ห้องดูเป็นห้องของผู้ใหญ่ เรียบง่าย สะอาดตา แถมยังดูหรูมีระดับอีกด้วย 
แต่หากไม่อยากให้ห้องนอนดูจืดจนเกินไป ก็หาเฟอร์นิเจอร์ไม้สีเข้ม มาเสริมให้ห้องดูดีขึ้นด้วยก็ได้

ไอเดียตกแต่งบ้าน

ปิดท้ายด้วยห้องน้ำที่สวยเกินคำบรรยายห้องนี้

หากออกแบบตกแต่งห้องให้ดูอบอุ่นแล้ว ยังส่งผลให้ห้องดูสดใส สบายตา เลือกโทนสีที่อบอุ่นช่วยให้ห้องดูสว่างอย่างกลมกลืน หวังว่าไอเดียตกแต่งหอ้ง ที่เรานำมาฝากเพื่อนๆ ในวันนี้จะเป็นประโยชน์ให้เพื่อนๆ ได้นำไปตกแต่งบ้าน ไม่มากก็น้อยนะคะ

ขอบคุณ : Cordialaty Design Studio




 

Create Date : 18 สิงหาคม 2557    
Last Update : 18 สิงหาคม 2557 2:35:38 น.
Counter : 1891 Pageviews.  

นักวิจัยยืนยันอุปกรณ์ทัชสกรีนทําลายสมาธิคนขับ

นักวิจัยยืนยันอุปกรณ์ทัชสกรีนทำลายสมาธิคนขับ

นักวิจัยยืนยันอุปกรณ์ทัชสกรีนทำลายสมาธิคนขับ  รูปที่ 1

แม้เครื่องเล่นเพลงแบบพกพาหรือโทรศัพท์มือถือจะทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายได้ไม่ว่าจะเดินทางไปที่ไหนของมุมโลก แต่หากนำไปใช้ในขณะขับรถแล้วก็มีโอกาสมากที่รถจะวิ่งไปชนคันอื่น ทีมนักวิจัยออสเตรเลียได้ทำการศึกษาเรื่องนี้จนได้รับการตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ Applied Ergonomics แล้ว โดยได้ทำการวิเคราะห์ผลกระทบของการใช้อุปกรณ์ทัชสกรีนที่มีต่อทักษะในการขับรถ

“ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดข้อหนึ่งของอุปกรณ์พกพาที่นำมาไว้ในรถก็คือ อุปกรณ์เหล่านี้ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อให้คนขับรถได้ใช้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว” คริสตี้ ยัง นักวิจัยศูนย์วิจัยอุบัติเหตุ มหาวิทยาลัยโมนาช กล่าว “คนขับมักจะต้องเพ่งไปที่ข้อความสั้นๆหรือง่วนอยู่กับเมนูที่ค่อนข้างจะซับซ้อน ดังนั้น คนขับจึงใช้เวลานานพอสมควรในการไปที่ไอเท็มที่ต้องการ”

คริสตี้ ยัง และทีมงานได้ใช้แบบจำลองคอมพิวเตอร์แสดงการใช้งานอุปกรณ์เหล่านี้ในขณะขับรถ โดยได้ประเมินความสามารถในการขับรถของคน 37 คนที่กำลังขับรถอยู่ในช่องจราจรของตัวเองและอยู่ห่างจากรถคันอื่นในระยะห่างที่ปลอดภัย แต่ให้คนกลุ่มนี้พยายามค้นหาเพลงในเครื่องเล่นเพลงไอพอดแบบจอทัชกรีน

ผู้ใช้งานอุปกรณ์เหล่านี้จำเป็นต้องใช้ปลายนิ้วสัมผัสเพื่อเลื่อนดูรายการเพลงและเลือกเพลงในหน้าจอ ทำให้คนขับรถจำเป็นต้องมองไปที่อุปกรณ์เหล่านี้ด้วยเพราะดูว่ารายการเพลงเลื่อนมาถึงตรงไหนแล้ว

“เราสนใจจะดูว่า ถ้าคนขับรถใช้เวลาดูที่อื่นที่ไม่ใช่ถนนเยอะเกินไปโดยเฉพาะเวลาใช้อุปกรณ์เหล่านี้ มันจะให้ผลลัพธ์แตกต่างกับการใช้อุปกรณ์ที่ไม่ใช่ระบบสัมผัสอย่างไรบ้าง”

จากการทดลอง นักวิจัยพบว่า คนขับรถนั้นไม่มองถนนเป็นเวลานานอย่างมีนัยสำคัญ และพวกเขาก็ยังจะขับรถเบี่ยงไปจากช่องจราจรของตัวเองอีกด้วย แถมการกะระยะห่างจากรถคันหน้ายังผิดพลาดอีก

“เมื่อสายตาของคนขับรถไม่ได้มองที่ถนน คนขับก็จะไม่รู้สภาพแวดล้อมของถนน จึงทำให้การหมุนพวงมามัยไม่ถูกต้อง และยังทำให้ระยะห่างจากรถคันหน้าไม่ดีอีกด้วย”

นอกจากนี้ คนขับรถมักจะชดเชยการเสียสมาธิจากการใช้อุปกรณ์เหล่านี้ด้วยการขับให้ช้าลง และชำเลืองไปมองอุปกรณ์บ่อยครั้ง แต่ยังกลับยืนยันว่า นี่ไม่ใช่วิธีการขับรถที่ถูกต้องเลย

“แม้ว่าพวกเขาจะมองไปที่อุปกรณ์เป็นระยะเวลาสั้นๆแล้วกลับมามองถนนก่อนจะมองไปที่ไอพอดอีก แต่จำนวนข้อมูลที่พวกเขาได้จากการชำเลืองมองทางเป็นระยะเวลาสั้นๆนั้นไม่เพียงพอหรอก ข้อผิดพลาดมันเกิดขึ้นได้เสมอและมักจะมากขึ้นด้วยเมื่อเวลาผ่านไป เพราะพวกเขาไม่มีเวลาในการปรับพวงมาลัยให้รถเข้ามาในช่องจราจรที่ถูกต้อง”

คริสตี้ ยัง สรุปว่าการใช้อุปกรณ์พกพาชนิดที่ต้องใช้ปลายนิ้วสัมผัส หรือที่เรียกว่า จอทัชสกรีน ในขณะขับรถนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ดีนัก และกำลังจะเป็นปัญหามากขึ้นเรื่อยๆในปัจจุบัน

“การศึกษาคนขับรถของพลเมืองรัฐวิกตอเรียนี้ เราได้ทำการศึกษามากว่าสองปีแล้ว และเราก็ค้นพบว่าคนขับรถ 40 เปอร์เซ็นต์จะมีเครื่องเล่นเพลงแบบพกพาเป็นของตัวเองและมักจะใช้ในขณะขับรถ และครึ่งหนึ่งของกลุ่มนี้เป็นเด็กหนุ่มเสียด้วย”

อย่างไรก็ตาม การศึกษาครั้งนี้ก็ไม่ได้ประเมินว่าความเสี่ยงจะเปลี่ยนไปหรือไม่หากว่าอายุและประสบการณ์ของคนขับมีมากขึ้น แต่ยังก็เชื่อว่าปัจจัยเหล่านี้น่าจะเป็นปัจจัยสำคัญได้เช่นกัน

“จากประสบการณ์ที่ผ่านมาทำให้เรารู้ว่า เด็กหนุ่มมักจะติดกับอุปกรณ์ที่ทำให้เสียสมาธิได้ง่ายกว่าผู้ใหญ่ ผลกระทบของกิจกรรมที่ทำให้เสียสมาธิมักจะกระทบต่อความสามารถในการขับรถมากกว่าผู้ใหญ่ เพราะพวกเขายังขาดประสบการณ์ในการขับรถ และทักษะในการจัดการกับความเสี่ยงเหล่านี้”

การศึกษาครั้งนี้เน้นไปที่เครื่องเล่นไอพอด แต่ยังก็เชื่อว่าน่าจะประยุกต์ใช้ได้กับอุปกรณ์ทัชสกรีนเครื่องอื่นอย่างเครื่องเล่น MP3 สมาร์ตโฟน จีพีเอส หรือพีดีเอได้เช่นกัน

ยัง เชื่อว่าในขณะขับรถ อุปกรณ์เหล่านี้ควรจะมีการลดปริมาณฟังก์ชันการทำงานลงเพื่อลดความเสี่ยง ในขณะเดียวกัน ยังก็ได้เสนอเทคนิคง่ายๆที่จะช่วยลดความเสี่ยงเบื้องต้นได้เช่นกัน

“ก็ให้ใส่ข้อมูลของปลายทางไว้ในจีพีเอสก่อนจะเหยียบคันเร่ง โหลดเพลงไว้ในเพลย์ลิสต์ก่อนจะขับ ถ้าทำได้ตามนี้ก็จะช่วยลดความเสี่ยงได้เยอะเลยค่ะ”

ที่มา : //www.vcharkarn.com




 

Create Date : 18 สิงหาคม 2557    
Last Update : 18 สิงหาคม 2557 2:31:52 น.
Counter : 907 Pageviews.  

การรับประทานอาหารจานด่วนหรือในภัตคารเลิศหรูล้วนทําให้ได้รับพลังงานเกินและมีโภชนาการตํ่า

การรับประทานอาหารจานด่วนหรือในภัตตาคารเลิศหรูล้วนทำให้ได้รับพลังงานเกินและมีโภชนาการต่ำ

Written by piyawanee on . Posted in ทั่วไป, วิทยาศาสตร์, วิทย์ทั่วไป, สุขภาพ, อาหารการกิน

จากรายงานของงานวิจัยชิ้นใหม่ มันได้แสดงให้เห็นว่าการรับประทานอาหารทั้งแบบจานด่วนและภัตตาคารที่มีบริการดีเยี่ยมนั้นมีส่วนทำให้ผู้ใหญ่ทั้งหลายได้รับพลังงาน ไขมันอิ่มตัวและโซเดียมในปริมาณที่สูงเกินกว่าปกติอย่างเห็นได้ชัด

การศึกษานี้ได้ถูกเผยแพร่แบบออนไลน์ในวารสาร Public Health Nutrition เมื่อเร็วๆนี้ ซึ่งได้พบว่าเมื่อผู้ใหญ่รับประทานอาหารไม่ว่าจะเป็นตามภัตตาคารดีๆหรืออาหารจานด่วนก็ตาม พวกเขาจะได้รับพลังงานเกินกว่าความต้องการพลังงานในแต่ละวันประมาณ 200 กิโลแคลอรี

จากการศึกษาก่อนหน้านี้ นักวิจัยได้ให้ความสนใจกับการรับประทานอาหารตามภัตตาคารของผู้ใหญ่ ซึ่งพวกเขาพบว่าผู้ใหญ่ที่รับประทานอาหารจานด่วนอยู่แล้วจะได้รับพลังงาน ไขมันและโซเดียมในปริมาณที่สูงกว่าปกติ ในขณะที่พวกเขาได้รับผัก ผลไม้และวิตามินในปริมาณที่น้อยมาก เมื่อเปรียบเทียบกับผู้ใหญ่ที่ไม่รับประทานอาหารจานด่วนเลย การศึกษาเหล่านี้ยังได้แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงของพลังงานที่สูงเกินที่จะได้รับจากอาหารทั้งจากร้านอาหารจานด่วนและภัตตาคารเข้าด้วยกันด้วย

สำหรับการศึกษาครั้งนี้ Binh T. Nguyen จากสมาคมโรคมะเร็งแห่งสหรัฐอเมริกาและ Lisa M. Powell จากมหาวิทยาลัย University of Illinois ในชิคาโก ได้อาศัยข้อมูลที่เพิ่งได้รับมาจากผู้เข้าร่วมการศึกษาทั้งสิ้นมากกว่า 12,000 คน ที่มีอายุระหว่าง 20-64 ปี ในโครงการ National Health and Nutrition Examination Survey 2003 (NHANES) โดยผู้เข้าร่วมได้ไปรับประทานอาหารทั้งในร้านอาหารจานด่วนและภัตตาคารที่มีบริการที่ดีเยี่ยม โดยใช้เวลาทั้งสิ้นสองวัน

ในวันที่รับประทานอาหารจานด่วน พวกเขาเหล่านั้นได้รับพลังงานรวมจากการบริโภคทั้งสิ้น 194.49 กิโลแคลอรี ไขมันอิ่มตัว 3.48 กรัม น้ำตาล 3.95 กรัมและโซเดียม 296.38 มิลลิกรัม ในขณะที่การรับประทานอาหารที่ภัตตาคารได้ให้พลังงานทั้งสิ้น 205.21 กิโลแคลอรี ไขมันอิ่มตัว 2.52 กรัม และโซเดียมที่สูงกว่า (451.06 มิลลิกรัม)

นอกจากนี้ลักษณะทางกายภาพของแต่ละบุคคลยังช่วยลดผลกระทบที่จะได้รับจากการรับประทานอาหารตามภัตตาคารอีกด้วย กล่าวคือคนดำจะได้รับพลังงานสุทธิจากอาหารมากกว่าคนขาวและชาวสเปน และคนที่มีรายได้ปานกลางจะได้รับพลังงานมากกว่าคนที่มีรายได้สูง

ดร. Nguyen ได้กล่าวว่า “สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศหนึ่งที่มีคนอ้วนมากที่สุดในโลก ประมาณหนึ่งในสามของผู้ใหญ่ทั้งชายและหญิงจะเป็นโรคอ้วน  ตามรายงานในปี 2007 มันได้แสดงให้เห็นว่าในขณะที่อัตราการเป็นโรคอ้วนได้พุ่งสูงขึ้น การรับประทานอาหารนอกบ้านก็ได้ให้พลังงานจากการบริโภคสุทธิที่สูงมากในระดับที่น่าตกใจ ซึ่งหนึ่งในสี่ของพลังงานที่ว่านี้มาจากการรับประทานอาหารจานด่วนหรืออาหารตามภัตตาคารที่เลิศหรู งานวิจัยของพวกเราได้ยืนยันด้วยว่าการรับประทานอาหารจานด่วนหรือภัตตาคารล้วนเกี่ยวข้องกับการได้รับพลังงานจากการบริโภคต่อวันที่สูงขึ้น และเป็นตัวชี้วัดถึงการได้รับสารอาหารที่ไม่ครบถ้วนอีกด้วย”

นอกจากนี้คณะวิจัยยังได้พูดถึงผลในทางตรงกันข้ามที่กระทบในวงกว้างกว่า กล่าวคือ พวกเขาได้ศึกษาปริมาณพลังงานที่ได้รับจากการบริโภคของกลุ่มคนที่มีสถานะทางสังคมและเศรษฐกิจที่ต่ำกว่าและชนกลุ่มน้อย ที่มีนัยที่เกี่ยวกับการกำหนดนโยบายประเทศ โดยพวกเขาได้พูดถึงความพยายามที่จะปรับปรุงลักษณะนิสัยในการบริโภคและการได้รับสารอาหาร รวมไปถึงลดการได้รับพลังงานจากการบริโภคที่เกินความจำเป็นจากการรับประทานอาหารตามภัตตาคาร ทั้งนี้มันสามารถช่วยลดความแตกต่างของเชื้อชาติและสถานะทางสังคมและเศรษฐกิจได้อย่างจริงจังในการบริโภคอาหารของชาวอเมริกา

ที่มา //www.sciencedaily.com/releases/2014/08/140807105211.htm

เอกสารอ้างอิง

Binh T Nguyen, Lisa M Powell. The impact of restaurant consumption among US adults: effects on energy
and nutrient intakes. Public Health Nutrition, 2014; 1 DOI: 10.1017/S1368980014001153




 

Create Date : 18 สิงหาคม 2557    
Last Update : 18 สิงหาคม 2557 2:19:55 น.
Counter : 738 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  

หนี่งหน่อง
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 33 คน [?]




pub-1485477287124314
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add หนี่งหน่อง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.