อ่านเรื่อยๆ มาเรียง ๆ ทุกวันของ หนี่งหน่อง นะครับ

พบวิธีการใหม่ ทํา "คนอัมพาต" เดินได้อีกครั้ง

เทคนิคใหม่ในทางการแพทย์ที่นำมาใช้จนได้ผลในการทำให้ผู้ป่วยอัมพาตท่อนล่างโดยสิ้นเชิงสามารถกลับมาเดินและใช้ชีวิตตามปกติได้อีกครั้งหนึ่งนี้เป็นผลงานของทีมแพทย์ภายใต้การนำของเจฟฟรีย์เรสแมนศาสตราจารย์ประจำสถาบันประสาทวิทยามหาวิทยาลัยคอลเลจ ลอนดอนส์ (ยูซีแอล)


กระบวนการเยียวยาแบบใหม่ซึ่งถูกรายงานไว้ในวารสารการปลูกถ่ายเซลล์ครั้งนี้ เป็นการนำเอา เซลล์เส้นประสาทรับกลิ่น (ออลแฟคทอรี เอนชีธติ้ง เซลล์-โออีซี) จากจมูกของผู้ป่วยเองมาปลูกถ่ายให้ทำหน้าที่เป็นเหมือน "สะพานเส้นประสาท" เพื่อเชื่อมต่อระหว่างส่วนของกระดูกสันหลังที่ถูกตัดขาดออกจากกันของผู้ป่วย ซึ่งศาสตราจารย์เรสแมนเชื่อว่า หากได้รับการพัฒนาต่อเนื่อง จะกลายเป็นกรรมวิธีที่จะพลิกโฉมหน้าของชีวิตผู้ป่วยอัมพาตที่เกิดจากอาการบาดเจ็บของกระดูกสันหลัง ที่ตอนนี้ไม่มีหวังให้กลับมาเคลื่อนไหวได้อีกครั้งหนึ่ง

การผ่าตัดปลูกถ่ายเซลล์ประสาทจนประสบความสำเร็จดังกล่าวเป็นการทดลองในผู้ป่วยอาสาสมัครวัย38ปีชาวโปแลนด์ชื่อ ดาเรค ฟิดีกา ที่ถูกแทงบริเวณกระดูกสันหลังจนเป็นอัมพาตท่อนล่างเมื่อปี 2010 ทีมวิจัยใช้วิธีการดังกล่าวรักษาฟิดีกาต่อเนื่องเป็นเวลา 19 เดือน ภายใต้การสนับสนุนทางการเงินจา มูลนิธินิโคลส์เพื่อผู้ได้รับบาดเจ็บบริเวณไขสันหนัง หลังจากนั้นผู้ป่วยสามารถเคลื่อนไหวบางส่วนได้เอง และขาบางส่วนเกิดความรู้สึกได้อีกครั้ง และยังคงฟื้นฟูสภาพร่างกายได้มากกว่าที่คาดหมายไว้อย่างต่อเนื่อง จนขณะนี้สามารถขับรถและใช้ชีวิตอย่างเป็นอิสระ ไม่จำเป็นต้องมีผู้ช่วยเหลือได้

ศาสตราจารย์เรสแมน ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญอาการกระดูกสันหลังได้รับบาดเจ็บจากยูซีแอล ทำงานร่วมกับทีมศัลยแพทย์ของโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยโวรคอฟ จัดการผ่าตัดนำเซลล์ประสาทรับกลิ่น (โออีซี) ของฟิดีกาออกมาจาก ส่วนของสมองที่เรียกว่า "ออลแฟคทอรี บัลบ์" ที่อยู่ด้านหน้าสุดของสมองส่วนหน้าเหนือจากช่องจมูกขึ้นไปเล็กน้อยและเป็นศูนย์รวมของประสาทรับกลิ่นของคนเราบวกกับเซลล์สร้างเส้นใยเส้นประสาทรับกลิ่น(ออลแฟคทอรีเนิฟไฟโบรบลาสต์-โอเอ็นเอฟ)ซึ่งเป็นกลุ่มเส้นประสาทที่โยงจากช่องจมูกไปยังกลุ่มเซลล์ประสาทรับกลิ่น นำไปปลูกถ่ายให้กับผู้ป่วยในบริเวณที่เส้นประสาทไขสันหลังเสียหาย โดยใช้ปลูกถ่ายเป็น "สะพาน"ระหว่างส่วนของกระดูกไขสันหลัง 2 ส่วนซึ่งถูกตัดขาดจากกันด้วยคมมีด

เส้นประสาทที่ถูกนำออกมานั้น จะถูกแทนที่ด้วยเส้นประสาทใหม่ซึ่งจะงอกเข้าหาศูนย์รับกลิ่นของสมอง หรือ "ออลแฟคทอรี บัลบ์" อีกครั้ง โดยทีมแพทย์ช่วยเสริมกระบวนการดังกล่าวด้วยการเปิดช่องที่ "ออลแฟคทอรี บัลบ์" เพื่อให้เส้นประสาทใหม่ได้เชื่อมต่อเข้าไป ทีมวิจัยเชื่อว่า การปลูกถ่ายเซลล์ประสาทรับกลิ่น (โออีซี) เข้าไปยังบริเวณที่ไขสันหลังเสียหายจะช่วยให้เส้นใยประสาทที่เสียหายอย่างหนักสามารถเติบโตใหม่ได้อีกครั้ง

ศาสตราจารย์เรสแมนชี้ว่าดูเหมือนโออีซีและโอเอ็นเอฟจะทำงานร่วมกันแต่กลไกลที่ทำให้เซลล์ประสาทรับกลิ่นและเส้นประสาทรับกลิ่้นมีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกันนั้นยังไม่เป็นที่แน่ชัด

ผู้เชี่ยวชาญซึ่งตรวจสอบรายงานดังกล่าวแต่ไม่ได้เกี่ยวข้องอยู่กับการศึกษาวิจัยโดยตรงชี้ว่าผลลัพธ์ดังกล่าวถือว่าสร้างความหวังใหม่ขึ้นโดยต้องมีการศึกษามากขึ้นต่อไปว่าเพราะเหตุใดการทดลองครั้งนี้จึงประสบผลและจำเป็นต้องใช้กรรมวิธีนี้กับผู้ป่วยมากคนขึ้นเพื่อให้การประเมินผล ถูกต้องแม่นยำมากขึ้น

ทั้งนี้ ทีมวิจัยเตรียมดำเนินการแบบเดียวกันนี้ต่อผู้ป่วยอัมพาตอีก 5 คนในอีก 3-5 ปีข้างหน้าเพื่อการศึกษาเรื่องนี้อย่างต่อเนื่องต่อไป

ขอบคุณที่มาจาก มติชนออนไลน์ วันที่ 05 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557




 

Create Date : 05 พฤศจิกายน 2557    
Last Update : 5 พฤศจิกายน 2557 9:40:42 น.
Counter : 830 Pageviews.  

ชี้การอ่านช่วยลดปัญหาสังคม

ชี้การอ่านช่วยลดปัญหาสังคม


สสค.จัดเวทีปฏิรูปการเรียนรู้ หมอประเวศ แนะต้องปฏิรูปสังคมไทยไปสู่สังคมแห่งการอ่าน ชี้คนไทยอ่านหนังสือน้อยทำให้เข้าใจเรื่องซับซ้อนได้ยาก ส่งผลให้เกิดปัญหาสังคม ทะเลาะเบาะแว้งกันสูง ย้ำครอบครัวมีบทบาทสำคัญในการปลูกฝังให้เด็กรักการอ่าน ซึ่งจะช่วยพัฒนาสมอง สติปัญญาควบคู่กับเรื่องของศีลธรรม

เมื่อวันที่ 4 พ.ย.ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ นายแพทย์ประเวศ วะสี ได้กล่าวในการเสวนาวิชาการเวทีปฏิรูปการเรียนรู้สู่การศึกษาเพื่อคนทั้งมวล ครั้งที่ 33 จัดโดยสำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน(สสค.)ว่า สังคมไทยเป็นสังคมที่อ่านหนังสือน้อยจึงทำให้เกิดปัญหาหลายอย่างตามมา เพราะคนที่อ่านน้อยจะไม่ค่อยเข้าใจเรื่องที่ซับซ้อน เมื่อได้รับข่าวสารทางสื่อโทรทัศน์ หรือวิทยุที่ผ่านไปเร็วก็จะไม่เข้าใจ ไม่เหมือนการอ่านที่ยังสามารถอ่านทบทวนหลายครั้งได้จนกว่าจะเข้าใจ ยิ่งในปัจจุบันสังคมเต็มไปด้วยปัญหาที่ซับซ้อน เมื่อคนเข้าใจความซับซ้อนไม่ได้จึงเกิดปัญหา มีการทะเลาะเบาะแว้งกันสูง เราจึงต้องปฏิรูปไปสู่สังคมแห่งการอ่านให้ได้ เพราะการอ่านจะช่วยพัฒนาสมอง เกี่ยวข้องกับสติปัญญาและการใช้เหตุผล ซึ่งก่อให้เกิดศีลธรรมไปพร้อมกันด้วย


นพ.ประเวศ กล่าวต่อไปว่า ในการกระตุ้นให้คนไทยอ่านหนังสือมากขึ้นนั้น ตนเชื่อว่าทุกหมู่บ้านต้องมีคนที่รักการอ่านอยู่บ้าง ดังนั้นทุกจังหวัดควรส่งเสริมให้มีการรวมตัวกันเป็นชมรมรักการอ่านของหมู่บ้าน และสนับสนุนการจัดสร้างห้องสมุดหมู่บ้าน โดยให้คนเหล่านั้นเป็นผู้ดูแล เชื่อว่าจะทำให้มีความสุขกับการอ่านและจะเชิญชวนคนอื่นให้มาอ่านมากขึ้นด้วย ในขณะเดียวกันทุกครอบครัวก็ต้องมีบทบาทส่งเสริมการอ่านของเด็ก โดยพ่อแม่ต้องอ่านนิทานให้ลูกฟัง ซึ่งเด็กเล็กๆจะชอบฟังนิทานมาก แม้ยังไม่รู้เรื่องแต่ก็จะตื่นตาตื่นใจกับรูปภาพสีสันสดใส และไม่ว่าพ่อแม่จะอ่านให้ฟังซ้ำๆ กี่ครั้งก็ยังชอบ การอ่านนิทานให้ฟังจึงเป็นกระบวนการทางจิตที่ทำให้เด็กมีความสุขมาก และจะช่วยให้มีพัฒนาการที่ดี เติบโตเป็นคนที่มีคุณภาพ


รศ.ดร.จิราภรณ์ ศิริทวี อดีตอาจารย์รร.สาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า บ้านคือตัวแปรสำคัญในการส่งเสริมการอ่านให้แก่เด็ก และการอ่านก็มีความสำคัญเพราะจะเป็นเครื่องมือในการเรียนรู้สิ่งต่างๆต่อไป


ด้านศ.ดร.สุมาลี ตั้งประดับกุล กรรมการปฏิรูปหลักสูตรฯ ม.มหิดล กล่าวว่า เราสามารถเริ่มพัฒนาการอ่านได้ตั้งแต่อยู่ในครรภ์ แต่หากพ่อแม่ไม่รักการอ่าน คงยากที่จะหวังให้ลูกรักการอ่าน ซึ่งต้องยอมรับว่าในปัจจุบันยังมีคนที่เป็นพ่อแม่จำนวนมากที่ขาดโอกาสทางการศึกษา และมีความรู้ไม่มากพอในการเป็นพ่อแม่ ตนจึงไม่คาดหวังให้พ่อแม่เหล่านั้นอ่านหนังสือให้ลูกฟัง แต่คิดกลับกันว่าอยากเห็นลูกอ่านหนังสือให้พ่อแม่ฟังก็ได้ ซึ่งน่าจะช่วยให้พ่อแม่เหล่านั้นเห็นคุณค่าของการอ่านมากขึ้น ในขณะเดียวกันเด็กก็ต้องฝึกเขียนด้วย

ที่มา เดลินิวส์ วันอังคาร 4 พฤศจิกายน 2557




 

Create Date : 05 พฤศจิกายน 2557    
Last Update : 5 พฤศจิกายน 2557 9:35:54 น.
Counter : 999 Pageviews.  

ทําไมแมลงปอต้องบินไปแตะผิวนํ้า

ในหน้าร้อน เราจะเห็นแมลงปอสองตัวบินอยู่ด้วยกัน ตัวหนึ่งบินอยู่ข้างหน้าและอีกตัวหนึ่งบินอยู่ข้างหลังเสมอ บางครั้งก็จะกัดหางของอีกฝ่าย ที่น่าสนใจไปกว่านั้นก็คือ พวกมันจะบินไปแตะบนผิวน้ำราวกับว่ากำลังเล่นน้ำอยู่ การกัดหางกันนั้นถือว่าเป็นการผสมพันธุ์กันของแมลงปอ เมื่อถึงฤดูขยายพันธุ์แมลงปอตัวผู้และตัวเมียที่บินไปเป็นคู่ก็ผลัดกันกัดหางของอีกฝ่าย เมื่อผสมพันธุ์เสร็จก็จะบินไปแตะผิวน้ำ

แมลงปอก็เหมือนแมลงอื่น เช่น ยุง ตัวต่อ ที่เลือกจะวางไข่ที่ได้รับเชื้อแล้วในน้ำ เพื่อให้ฟักตัวและสืบพันธุ์เป็นรุ่นต่อๆไป

ดังนั้นแมลงปอจะเอาหางแตะบนผิวน้ำเพื่อปล่อยไข่ลงไป เมื่อไข่ลงไปในน้ำแล้วไปติดบนหญ้า ไม่นานก็จะกลายเป็นตัวอ่อน ซึ่งตัวอ่อนนี้แม้ว่าจะมีขา 3 คู่ แต่ก็ยังไม่มีปีกหลังจากตัวอ่อนอาศัยอยู่ในน้ำประมาณ 1-2 ปีแล้ว ก็จะปีนกิ่งไม้ของพืชที่อยู่ในน้ำจนโผล่พ้นผิวน้ำแล้วลอกคราบกลายเป็นแมลงปอกางปีกบินไปในท้องฟ้า


ขอบคุณความรู้จาก ความรู้รอบตัว สนุก.คอม




 

Create Date : 04 พฤศจิกายน 2557    
Last Update : 4 พฤศจิกายน 2557 8:18:18 น.
Counter : 1343 Pageviews.  

เทคนิดการคิดเลขไว

เทคนิคคิดเลขเร็ว

ให้ลองคิดเลขในใจ แค่บวก-ลบ ยังทำให้หลายคนกุมขมับ ถ้าต้องคูณ หาร แถมยกกำลังด้วย คงต้องหบิยเครื่องคิดเลขมากดกันใหญ่ แต่ถ้าได้เรียนรู้เทคนิค "คิดในใจ" ตามเคล็ดลับ "พ่อมดคณิตศาสตร์แห่งอเมริกา” แล้ว หลายคนคงเก็บเครื่องคิดเลขลงลิ้นชักแน่ๆ

การคิดเลขในใจที่ทำได้เร็วกว่าเครื่องคิดเลข จากเคล็ดลับในหนังสือ "กดเครื่องคิดเลขทำไม ในเมื่อคิดในใจได้เร็วกว่า" ผลงานเขียนของ ดร.อาเธอร์ เบนจามิน (Arthur Benjamin) ซึ่งเขาได้ร่วมแปลกับ พูนลาภ อุทัยเลิศอรุณ ว่าผู้เขียนเทคนิคการคิดเลขได้ตั้งข้อสังเกต คนเรามักทำอะไรจาก ซ้ายไปขวา แต่เรากลับคิดเลขจากขวาไปซ้าย ผู้เขียนจึงเสนอวิธีคิดเลขจากซ้ายไปขวาบ้าง

วิธีการบวก

ตัวอย่างการบวกเลข 2 หลัก

95 38 = ?

วิธีคิดในใจ คือ แยกตัวเลขเป็น 2 กลุ่ม คือ (90 30) และ (5 8) แล้วนำมารวมกัน ได้ 133

ตัวอย่างการบวกเลข 3 หลัก

763 854=?

วิธีคิดในใจ คือ 800 700 =1,500 แล้วบวก 60 50 ได้ 1,610 แล้วนำไปบวกกับ 3 4 ที่เหลือ ได้คำตอบของโจทย์นี้เท่ากับ 1,617

วิธีการลบ

ส่วนวิธีลบ น่าจะเป็นวิธีที่คนทั่วไปไม่รู้ เพราะปกติเราจะตัวเลขตั้งแล้วลบ แต่วิธีของ ดร.เบนจามินคือ เปลี่ยนจากตัวเลขลบเป็นบวก (complement)

เช่น -23 มี complement เป็น 77

ตัวอย่าง คือ 138-68 ให้เปลี่ยนเป็น (138 32) – 100 จะคิดได้ง่ายกว่า

หรืออีก ตัวอย่าง 857-192 = ? มีวิธีคิดง่ายๆ คือ เปลี่ยนเป็น 857-200 = 657 แล้วบวกด้วย 8 ที่ลบเกินไป จะได้คำตอบ 665

วิธีการคูณ

สำหรับวิธีคูณก็คิดจากซ้ายไปขวาเช่นกัน

อาทิ 13x14=? ให้แยกเป็น (13x10) (13x4) = 130 52 = 182

หรือ 68x49 ให้คิดเป็น 68x50 = 3,400 แล้วลบ 68 ที่คูณเกินมา หรือ 84x21 = ? ให้คิดเป็น 84x20=1,680 แล้วบวกด้วย 84 ที่ยังคูณไม่ครบ

วิธีคิดเลขยกกำลัง

มาถึงเลขยกกำลัง ยกตัวอย่างการยกกำลัง 2 โดยระบุว่า ให้ปัดตัวเลขเพื่อให้เหลือตัวคูณเพียง 1 หลัก

อาทิ 232 ซึ่งแยกได้เป็น 23x23 ให้ปัดตัวเลขขึ้น-ลงเป็น 26x20 = 520 แล้วบวกเข้ากับจำนวนยกกำลังสองของค่าที่ปัดขึ้น-ลง ซึ่งในตัวอย่างนี้คือ 32 จะได้คำตอบเป็น 529

อีกตัวอย่างคือ 782 ปัดได้เป็น (80x76) 22 = 6,084

วิธีการหาร

ส่วนการหารเลขยกกำลังนั้น ไม่แตกต่างจากที่วิธีคิดเดิมเท่าไหร่ เนื่องจากปกติเราหารจากซ้ายไปขวาอยู่แล้ว

มีหลายวิธีเช่น

1. ใช้ตัวหน้าคูณของทั้งสองจำนวนคูณกันแล้วเอาเลขที่เป็นตัวหลังมาบวกแล้วตั้งไว้

2. ต่อท้ายด้วยตัวหลังคูณตัวหลัง (ต้องเป็นเลขสองหลักเท่านั้น)

(หน้า x หน้า หลัง แล้วต่อท้ายด้วย หลัง x หลัง)

ตัวอย่าง ที่ 1 จงหาผลคูณของ49 x 69

วิธีคิด 49 x 69 = 4 x 6 แล้วบวกด้วย 9

= 33

ต่อท้ายด้วย (9 x 9) = 81

เพราะฉะนั้นคำตอบเท่ากับ 3381

ตัวอย่าง ที่ 2 จงหาผลคูณของ32 x 72

วิธีคิด 32 x 72 = 3 x 7แล้วบวกด้วย 2

= 23

ต่อท้ายด้วย (2 x 2) = 4 (แต่จากที่ต้องเป็นเลข 2 หลักจึงต้องต่อท้ายด้วย 04)

เพราะฉะนั้นคำตอบเท่ากับ 2304

สูตรบวกกันไปเรื่อย เรื่อย โดยเริ่มจาก 1

ให้ใช้สูตร [ (1 ตัวท้าย) ตัวท้าย] 2 = ผลลัพธ์

หรือใช้สูตรโบราณว่า "เอา 1 บวกเข้า เอาเก่ามาคูณ เอา 2 หารตัด ขาดลงเป็นผลลัพธ์"

ตัวอย่าง เช่น
บวกเลขเรียงจาก 1 ถึง 200

ดังนั้น บวกเลขเรียงจาก 1 ถึง 200 = 20,100

ลองคิดดูเล่นๆ ครับ
1. 1 ถึง 10 = .................. (55)
2. 1 ถึง 80 = ................... (3,240)
3. 1 ถึง 500 = ................... (125,250)

การบวกไป เรื่อย เรื่อยโดยไม่เริ่มจาก 1

1. บวกเลขเรียงจาก 1 ถึงตัวท้ายโดยใช้สูตร (1 ตัวท้าย) ตัวท้าย 2 = ตัวตั้ง
2. บวกเลขเรียงจาก 1 ถึงตัวก่อนเริ่มใช้สูตร คือ (1 ตัวก่อนเริ่ม)ตัวก่อนเริ่ม 2 = ตัวลบ
3. เอาผลลัพธ์ที่ได้จาก ข้อ 1 - 2 เป็นผลบวกเลขเรียงที่ไม่เริ่มต้นจาก 1

ตัวอย่าง เช่น
บวกเลขเรียงจาก 9 ถึง 20
บวกเลขเรียงจาก 1 ถึง 20 ได้ 210 เป็นตัวตั้ง
บวกเลขเรียงจาก 1 ถึง 8 ได้ 36 เป็นตัวลบ
ดังนั้น บวกเลขเรียงจาก 9 ถึง 20 = 210 - 36 = 174

ลองคิดดูเล่นๆ
1. 6 ถึง 10 = .................. (40)
2. 12 ถึง 30 = ................... (399)
3. 55 ถึง 80 = ................... (1,755)

การบวกคี่จำนวน

ให้หาตัวกลางของจำนวนที่บวกกันนั้น คูณกับจำนวนที่ให้บวกกันทั้งหมด

ตัวอย่าง เช่น
97 98 99 100 101 = .............................
สังเกตพบว่่าจำนวนที่ให้บวกกันนั้นทั้งหมดมี 5 จำนวน และตัวกลางของจำนวนเหล่านี้คือ 99
ให้เอา 5 99 = 495
ดังนั้น 97 98 99 100 101 = 495

ลองคิดดูเล่นๆ
1. 15 16 17 = .................. (48)
2. 125 126 127 128 129 = ................... (635)
3. 63 64 65 66 67 68 69 70 71 = ................... (603)

การบวกคู่จำนวน

ให้หาตัวกลางของจำนวนที่บวกกันนั้น คูณกับจำนวนที่ให้บวกกันทั้งหมด ซึ่งตัวกลางมี 2 จำนวน ให้เอาตัวกลาง 2 จำนวนนั้นบวกกันแล้วเอา 2 หารได้ผลลัพธ์เท่าไร คูณกับจำนวนที่ให้บวกกันทั้งหมด ก็จะได้ผลลัพธ์ที่ถูกต้องและรวดเร็ว

ตัวอย่าง เช่น
97 98 99 100 101 102 = .............................
สังเกตพบว่่าจำนวนที่ให้บวกกันนั้นทั้งหมดมี 6 จำนวน และตัวกลางของจำนวนเหล่านี้คือ (99 100) 2 = 99.5
ให้เอา 6 99.5 = 597
ดังนั้น 97 98 99 100 101 102 = 597

ลองคิดดูเล่นๆ
1. 15 16 17 18 = .................. (66)
2. 125 126 127 128 129 130 = ................... (765)
3. 63 64 65 66 67 68 69 70 71 72 = ................... (675)

เเละยังมีอีกมากมายใน

//www.thaigoodview.com/library/teachershow/lopburi/benja_j/easy_math/index.html

https://www.youtube.com/watch?v=zSFLkcutOo8

//www.konmun.com/Clip-Video/id15151.aspx




 

Create Date : 04 พฤศจิกายน 2557    
Last Update : 4 พฤศจิกายน 2557 8:15:17 น.
Counter : 1200 Pageviews.  

ติดตั้งสายดินปักขวด อันตราย

จากกรณีโลกโซเชียลมีเดียมีการแชร์ รูปตู้ทำน้ำเย็นของโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ซึ่งเดินสายดินด้วยการตัดขวดน้ำดื่มใส่ดินวางไว้บนพื้นปูน แล้วนำสายดินไปปักไว้ในขวดแทนการติดตั้งสายดินแบบปกติ โดยมีผู้กล่าวอ้างว่าสามารถใช้งานได้จริง เพราะเป็นการแก้ไขปัญหาหน้างานของวิศวกร จนเกิดเป็นข้อโต้เถียงถึงความปลอดภัย เนื่องจากตู้ทำน้ำเย็นดังกล่าว เป็นตู้ทำน้ำเย็นที่ติดตั้งอยู่ในโรงพยาบาล ทั้งยังมีผู้ใช้งานหลากหลายตลอดวัน และเหตุการณ์ดังกล่าว อาจส่งผลให้เกิดพฤติกรรมเลียนแบบตามมา

นายนริศ สุธีธร ผู้อำนวยการฝ่ายวิศวกรรมไฟฟ้าและระบบควบคุม การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดเผยกับ เดลินิวส์ออนไลน์ ว่า วิธีการติดตั้งสายดินปักขวดดังกล่าว เป็นวิธีการแก้ปัญหาชั่วคราวในระดับหนึ่ง สามารถป้องกันกระแสไฟฟ้ารั่วในปริมาณเล็กน้อยได้ แต่ยังไม่มีความแข็งแรงและความปลอดภัยเพียงพอที่จะนำมาใช้งานจริง วิธีการดังกล่าวจึงไม่สามารถนำมาใช้ทดแทนการติดตั้งสายดินแบบปกติจากผู้เชี่ยวชาญได้ อีกทั้ง การติดตั้งสายดินป้องกันกระแสไฟฟ้ารั่ว ควรติดตั้งอย่างถูกวิธีโดยผู้เชี่ยวชาญ คือ ช่างไฟฟ้า เพื่อความปลอดภัยและไม่ประมาท นอกจากนี้ การเลือกซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าบางประเภทสามารถเลือกซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีเต้าเสียบชนิด 3 ขา เพราะมี 1 ขาเป็นสายดินติดตั้งอยู่แล้ว

อย่างไรก็ตาม การติดตั้งสายดิน มีไว้เพื่อทำให้เกิดความปลอดภัยต่อการใช้ไฟฟ้า โดยปลายด้านหนึ่งของสายดินจะต้องมีการต่อลงดิน ส่วนปลายอีกด้านจะต่อเข้ากับวัตถุหรือเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ต้องการให้มีศักย์ไฟฟ้าเป็นศูนย์เท่าพื้นดิน ซึ่งสายดินจะป้องกันไม่ให้มีผู้ถูกไฟฟ้าดูดเมื่อมีไฟรั่วจากเครื่องใช้ไฟฟ้า โดยไฟฟ้าที่รั่วจะไหลลงดินผ่านทางสายดินแทนที่จะไหลผ่านร่างกาย นอกจากนี้ สายดินยังช่วยทำให้เครื่องตัดกระแสไฟฟ้าอัตโนมัติตัดไฟออกทันทีเมื่อเกิดไฟรั่ว

ดังนั้น เพื่อความปลอดภัย ควรติดตั้งสายดินอย่างถูกต้องโดยผู้เชี่ยวชาญจะดีที่สุด

จอมสุดา
@chom_dn
เดลินิวส์ออนไลน์




 

Create Date : 04 พฤศจิกายน 2557    
Last Update : 4 พฤศจิกายน 2557 8:13:21 น.
Counter : 1246 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  

หนี่งหน่อง
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 33 คน [?]




pub-1485477287124314
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add หนี่งหน่อง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.