อ่านเรื่อยๆ มาเรียง ๆ ทุกวันของ หนี่งหน่อง นะครับ

รุ้ยัง? 5 ผลไม้ เด่น ที่น่าปลูกในอนาคตมีอะไรบ้าง



ลำไยยักษ์ พันธุ์ “จัมโบ้”

ลำไยสายพันธุ์ใหม่ ที่กรมวิชาการเกษตร ได้มีหนังสือรับรองพันธุ์ขึ้นทะเบียนกรมวิชาการเกษตร จัดเป็นลำไยอีกสายพันธุ์หนึ่งที่ได้จากการกลายพันธุ์มาจากการเพาะเมล็ด (คาดว่าน่าจะกลายมาจากพันธุ์อีดอ) เป็นพันธุ์ที่เหมาะต่อการบริโภคสด


ผลมีขนาดใหญ่มาก มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 4 เซนติเมตร มีขนาดผลใหญ่กว่าลำไยเกรด A ที่ส่งขายยัง ต่างประเทศถึง 2 เท่า 


เป็นลำไยที่เนื้อหนาแข็งและแห้ง ไม่แฉะน้ำ มีความหวานเฉลี่ย 13-15 เปอร์เซ็นต์บริกซ์


ที่น่าสนใจคือ เมล็ดลีบ 100 เปอร์เซ็นต์ และได้มีการตั้งชื่อว่า พันธุ์ “จัมโบ้” (JUMBO) 


เจ้าของลำไยพันธุ์จัมโบ้นี้คือ คุณสุทัศน์ อินต๊ะ อำเภอเมือง จังหวัดลำพูน เป็นต้นที่ได้จากการปลูกด้วยเมล็ดและกลายพันธุ์มาดี จากลำไยต้นหนึ่งในเขตอำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ 


ลักษณะของการติดผลของลำไยพันธุ์นี้ ถ้าดูแลดี ดกไม่แพ้พันธุ์อีดอ โดยเฉพาะในช่วงออกดอกและติดผล ลักษณะผลจะกลมแป้น ผิวเปลือกเรียบ มีสีน้ำตาลปนเหลือง เปลือกหนาประมาณ 1.3 มิลลิเมตร 


ในธรรมชาติจะออกดอกในช่วงเดือนมกราคม และเก็บเกี่ยวผลผลิตในเดือนสิงหาคม-กันยายน 


จัดเป็นลำไยที่มีลักษณะเป็นพันธุ์หนักกว่าพันธุ์อื่น ทำให้ผลผลิตแก่กว่าลำไยที่ออกในฤดูทั่วไป เนื่องจากเป็นลำไยที่พบเปอร์เซ็นต์เมล็ดลีบ 100 เปอร์เซ็นต์ ที่ “สวนคุณลี” จังหวัดพิจิตร และได้ผลผลิตในช่วงต้นเดือนกันยายน พบว่าใน 1 ช่อ ผลลำไยมีเมล็ดลีบ 100 เปอร์เซ็นต์ 


ถือเป็นพันธุ์ลำไยที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก คือรสชาติ ลักษณะเหมือนลำไยพันธุ์อีดอผสมเบี้ยวเขียว คือมีเนื้อแห้งและกรอบ แต่ได้ขนาดที่ผลใหญ่มาก และที่สำคัญ “เมล็ดลีบ 100 เปอร์เซ็นต์ และเนื้อหนามาก” 


มีเกษตรกรผู้ปลูกลำไยส่งออกได้มาดูผลผลิตยอมรับว่าดีจริง และส่งขายต่างประเทศได้ราคาสูงแน่นอน 


โดยผู้ส่งออกได้มาดูผลผลิตลำไยพันธุ์จัมโบ้ที่สวนคุณลีบอกว่า ลักษณะคล้ายกับพันธุ์อีดอ เนื้อมีสีขาว แต่โดดเด่นตรงที่เนื้อหนามากและเมล็ดลีบ ทำให้ได้เปรียบลำไยสายพันธุ์อื่น 


สำหรับพื้นที่ที่จะปลูกลำไยพันธุ์จัมโบ้สามารถปลูกได้ทั่วประเทศ ขอให้มีแหล่งน้ำที่อุดมสมบูรณ์เท่านั้น 
เนื่องจากปัจจุบันมีเทคโนโลยีในการใช้สารโพแทสเซียมคลอเรต หรือโซเดียมคลอเรต บังคับให้ออกนอกฤดูได้ 
การปลูกลำไยแบบสมัยใหม่ ถ้าเป็นพื้นที่ที่เคยปลูกพืชอื่นมาก่อน ให้ไถดินลึก ประมาณ 30 เซนติเมตร ตากดินไว้ 20-25 วัน พรวนย่อยดินอีก 1-2 ครั้ง และปรับระดับดินให้สม่ำเสมอตามแนวลาดเอียง


วิธีการปลูก เริ่มจากการเตรียมพันธุ์โดยวิธีการตอนกิ่ง ซึ่งควรเตรียมไว้ล่วงหน้า 1 ปี เพื่อจะได้ต้นกล้าที่แข็งแรง หรือเลือกใช้ต้นพันธุ์ลำไยที่ขยายพันธุ์แบบเสียบยอด หรือทาบกิ่งก็ได้ เพราะจะได้ต้นพันธุ์ที่มีรากแก้ว ทำให้ต้นแข็งแรง หากินเก่ง ทนต่อสภาพดินไม่ดีได้ ต่อมาก็เป็นเรื่องของระยะปลูก 6x6 เมตร แล้วใช้วิธีควบคุมทรงพุ่ม

ฝรั่ง พันธุ์ “พิจิตร 1”


ผู้เขียนได้นำเมล็ดพันธุ์ฝรั่งฮ่องเต้มาบริโภค และได้นำเมล็ดมาเพาะโดยมีวัตถุประสงค์แรกเพื่อจะใช้ทำต้นตอ และนำไปทาบกิ่งกับฝรั่งพันธุ์ฮ่องเต้ เพื่อจะได้ต้นพันธุ์ที่มีรากแก้ว เมล็ดส่วนหนึ่งได้นำไปปลูกแซมในสวนมะนาวแป้นดกพิเศษ เพื่อตรวจสอบดูว่าจะมีฝรั่งต้นใดกลายพันธุ์มาดีกว่าพันธุ์ฮ่องเต้หรือไม่


ผลปรากฏว่า มีฝรั่งอยู่ต้นหนึ่งปลูกด้วยเมล็ดไปเพียง 4-5 เดือนเศษ เริ่มออกดอกและติดผลดกมาก ที่สวนคุณลีได้ทดลองผลเหมือนกับการห่อฝรั่งในไต้หวัน เมื่อผลแก่พบว่า ฝรั่งมีผลเป็นทรงกลมคล้ายพันธุ์กลมสาลี่ มีผิวขาวนวล เนื้อละเอียดมาก และเนื้อไม่แข็งมาก เมล็ดน้อยมาก รสชาติหวานมาก ความหวานน่าจะไม่ต่ำกว่า 14 เปอร์เซ็นต์บริกซ์ ถ้ามีการบำรุงรักษาที่ดี ผลจะมีน้ำหนักได้ถึง 1 กิโลกรัม ต่อผล 


ที่สำคัญ เมื่อผลฝรั่งพันธุ์พิจิตร 1 แก่จัด เนื้อจะมีกลิ่นหอมเฉพาะตัวคล้ายกลิ่นของแอปเปิ้ล และเนื้อล่อนหลุดง่ายจากเมล็ด จัดเป็นฝรั่งที่มีรสชาติอร่อยมากอีกพันธุ์หนึ่ง และได้ตั้งชื่อพันธุ์ว่า “พันธุ์พิจิตร 1” เพราะต้นแม่เกิดที่จังหวัดพิจิตร 
คาดว่า ฝรั่งพันธุ์พิจิตร 1 จะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของการปลูกฝรั่งไทยในอนาคตอย่างแน่นอน 


การปลูกฝรั่งให้ความสำคัญในเรื่องของสภาพดินปลูกที่จะต้องเป็นดินที่มีการระบายน้ำที่ดีและมีอินทรียวัตถุสูงเป็นที่สังเกตว่าการนำกากอ้อยมาใช้เป็นปุ๋ยหมักในการปรับโครงสร้างของดินและที่เน้นเป็นพิเศษคือจะต้องมีการตรวจเช็กค่าความเป็นกรด-ด่างของดิน เมื่อดินเป็นกรดจะแนะนำให้ใส่ปูนโดโลไมท์ ระยะการปลูก 4x4 เมตร หรือ 6x6 เมตร 


มีคำแนะนำเพิ่มเติมว่า การใช้ระยะปลูกที่ห่างพอสมควรมีส่วนช่วยในเรื่องของระบบการถ่ายเทอากาศที่ดี มีส่วนช่วยลดปัญหาโรคและแมลงได้ 


ฝรั่งพันธุ์ “พิจิตร 1” จัดเป็นไม้ผลที่น่าปลูก เนื่องจากสามารถสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรผู้ปลูกได้เร็ว กล่าวคือ ปลูกเพียง 6 เดือน ต้นสามารถออกดอกและติดผลแล้ว และเก็บผลผลิตขายได้ภายใน 1 ปี

ชมพู่พันธุ์ “สตรอเบอรี่”


สวนคุณลีได้ยอดพันธุ์ชมพู่สตรอเบอรี่มาเสียบยอดกับต้นชมพู่ทับทิมจันท์ ตั้งแต่เดือนมกราคม 2557 ต้นชมพู่สตรอเบอรี่ใหญ่เต็มที่ เริ่มออกดอกและติดผลพบว่า ให้ผลผลิตดกมาก มีลักษณะติดผลเป็นพวงและผลร่วงน้อยกว่าชมพู่พันธุ์อื่นๆ เมื่อผลชมพู่แก่สีของผลมีสีแดงเลือดนก โดดเด่นมาก มีน้ำหนักผลไม่ต่ำกว่า 200 กรัม และรสชาติหวาน กรอบ อร่อยมาก ที่สำคัญเมื่อปล่อยชมพู่ให้แก่จัดบนต้นพบว่า เน่าเสียได้ยากกว่าชมพู่ทุกพันธุ์ที่ปลูกในบ้านเรา


สรุปได้ว่า เป็นพันธุ์ชมพู่ที่ทนต่อการขนส่ง ชมพู่พันธุ์สตรอเบอรี่จะมีความแตกต่างจากชมพู่การค้าพันธุ์อื่นๆ ตรงที่ลักษณะของใบจะใหญ่มาก 


ปัจจุบันชมรมเผยแพร่ความรู้ทางการเกษตรมีปลูกอยู่รายเดียวเท่านั้นในประเทศไทย 


ผู้เขียนคาดว่า ชมพู่พันธุ์สตรอเบอรี่ จะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของการปลูกชมพู่ในอนาคตของชาวสวนผลไม้ไทย เนื่องจากเป็นชมพู่ที่มีเนื้อละเอียด เวลากัดจะไม่รู้สึกปวดฟัน เหมาะสำหรับผู้สูงอายุและวัยรุ่นที่ชอบชมพู่ที่มีสีสันสวยงาม สีแดงสด และรสชาติหวาน กรอบ จัดเป็นชมพู่ที่ติดผลดกมาก น้ำหนักผลที่ใหญ่สุดมีน้ำหนักไม่ต่ำกว่า 250 กรัม

มะม่วงพันธุ์ “งาช้างแดง” ของแท้


ช่วงระหว่าง วันที่ 29 กรกฎาคม-2 สิงหาคม 2557 ที่ผ่านมา ผู้เขียนได้มีโอกาสไปดูงานที่เกาะไต้หวันอีกครั้งหนึ่ง เป็นครั้งที่ 5 และในครั้งนี้ได้เข้าชมแปลงปลูกมะม่วงของศูนย์ปรับปรุงพันธุ์ไม้ผลเมืองไทนันอีกครั้งหนึ่ง ได้มีโอกาสได้เห็นมะม่วงพันธุ์ “งาช้างแดง” 


ซึ่งมีขนาดผลใหญ่และยาวมาก วัดความยาวผลได้ถึง 25 เซนติเมตร มีน้ำหนักผลเฉลี่ย 1.5-2 กิโลกรัม เนื้อสุกมีรสชาติหวาน หอม เนื้อหนามาก เมล็ดลีบบาง เพียง 1 เซนติเมตร เท่านั้นเอง 


ทางสวนคุณลี ได้ต้นพันธุ์ มะม่วง “งาช้างแดง” มาปลูกในประเทศไทยแล้ว ปัจจุบันได้มีการเผยแพร่มะม่วงพันธุ์งาช้างแดงกันอย่างแพร่หลาย อาจจะทำให้มีหลายคนเกิดความสับสนทั้งรูปภาพที่นำมาเผยแพร่ 


ในการไปดูงานในไต้หวันในครั้งนี้ ผู้เขียนได้รับความกระจ่างว่า สวนคุณลีได้มะม่วงพันธุ์งาช้างแดงของแท้มาปลูก และได้ทดลองชิมผลผลิตแล้วต้องยอมรับว่า เมื่อผลสุกรสชาติหวาน หอม ไม่มีกลิ่นเหม็นขี้ไต้ ที่สำคัญปริมาณเนื้อมากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ และเมล็ดลีบเล็กมาก มะม่วงพันธุ์งาช้างแดง ผลใหญ่และยาวมาก วัดความยาวผลได้ถึง 25 เซนติเมตร เนื้อสุกมีรสชาติหวานหอม เนื้อหนามาก เมล็ดลีบบางเพียง 1 เซนติเมตร เท่านั้นเอง น้ำหนักของเมล็ดไม่ถึง 100 กรัม มีเฉพาะเนื้อมากกว่า 1 กิโลกรัม

มะม่วงลูกผสม “ไต้หวัน T1”


ในแปลงปลูกมะม่วงของศูนย์ปรับปรุงพันธุ์ไม้ผลเมืองไทนัน เกาะไต้หวัน มีการพัฒนาสายพันธุ์มะม่วงให้สีผิวมีสีแดงมากขึ้น มีพันธุ์มะม่วงลูกผสมพันธุ์ใหม่หลายสายพันธุ์ มะม่วงลูกผสมพันธุ์ใหม่บางสายพันธุ์ของศูนย์แห่งนี้ได้ปรับปรุงพันธุ์ให้ผลมีสีแดงออกม่วงตั้งแต่ระยะผลอ่อน


ชมรมเผยแพร่ความรู้ทางการเกษตรได้ยอดมะม่วงพันธุ์ลูกผสมพันธุ์ใหม่จากแปลงทดลองของศูนย์แห่งนี้มาหลายสายพันธุ์และเมื่อกลับมาถึงเมืองไทยได้นำยอดพันธุ์มะม่วงเหล่านั้นมาเสียบฝากไว้กับต้นมะม่วงR2E2เวลาผ่านไป 3 ปี มะม่วงลูกผสมของไต้หวันหลายสายพันธุ์ได้เจริญเติบโตและพร้อมที่จะให้ผลผลิต 


โดยหนึ่งในนั้นทางชมรมเผยแพร่ความรู้ทางการเกษตร ได้ตั้งชื่อมะม่วงลูกผสมว่า T1 (T ย่อมาจาก Taiwan) ฤดูกาลที่ผ่านมา มะม่วง T1 ได้มีการออกดอกและติดผล 


สิ่งที่สังเกตได้อย่างชัดเจนว่า ในระยะที่ผลมะม่วง T1 มีการติดผลเท่ากับนิ้วก้อย ผิวที่ผลจะเริ่มเปลี่ยนจากสีเขียวมาเป็นสีม่วงแดง โดยเมื่อผลมีขนาดใหญ่ขึ้น สีของผิวจะออกสีม่วงเข้มขึ้น และเมื่อผลแก่จะมีสีม่วง ทั้งผล มีน้ำหนักผลเฉลี่ย 1.5-2 กิโลกรัม จัดเป็นมะม่วงกินสุกที่รสชาติอร่อย เนื้อมีสีเหลืองละเอียดเนียน ไม่มีเสี้ยน  


มะม่วงพันธุ์ T1 (TAIWAN เบอร์ 1) เมื่อผลแก่และนำมาวางขายด้วยผิวผลที่มีสีม่วงเข้มจะดึงดูดผู้ซื้อได้เป็นอย่างดี และคาดว่าจะเป็นมะม่วงอีกสายพันธุ์หนึ่งที่มีชาวสวนมะม่วงไทยขยายพื้นที่ปลูกกันมากขึ้นในอนาคต 


ปัจจุบัน ทางสวนคุณลี ได้ขยายพื้นที่ปลูกมะม่วง T1 มากขึ้น ด้วยมั่นใจว่าจะปลูกและสามารถบังคับให้ออกนอกฤดูในประเทศไทยได้เป็นอย่างดี และเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของการบริโภคมะม่วงในประเทศไทย 


ที่สำคัญพบว่า มะม่วงลูกผสม T1 สามารถยืดอายุการเก็บเกี่ยวได้บนต้นนานนับเดือน ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อผลมะม่วงแก่จัดนำมาบริโภคเป็นมะม่วงกินดิบ เนื้อสีเหลือง รสชาติหวานมัน และอร่อยไม่แพ้มะม่วงพันธุ์ “แก้วขมิ้น” ของกัมพูชา


สนใจรายละเอียดเกี่ยวกับพันธุ์ ติดต่อได้ที่ สวนคุณลี โทร. (081) 901-3760

ข้อมูล : นิตยสารเทคโนโลยีชาวบ้าน www.technologychaoban.com




 

Create Date : 27 ตุลาคม 2557    
Last Update : 27 ตุลาคม 2557 9:55:20 น.
Counter : 2637 Pageviews.  

กินเค็ม เรื่องใกล้ตัวที่ไม่ใช่เล่นๆ

เชื่อเถอะว่า ถ้วยพริกน้ำปลาบนโต๊ะอาหาร มีอานุภาพทำลายล้าง สามารถถล่มประเทศชาติให้ล่มจมกันได้ง่ายๆ หนุ่มสาวผู้นิยมความเค็มอาจร้องทักว่า “เว่อร์” ไปเปล่าเนี่ย แต่นี่เป็นเรื่องจริงค่ะ ผู้ช่วยศาสตราจารย์นายแพทย์สุรศักดิ์ กันตชูเวสศิริ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี เล่าให้ฟังถึงปัญหาการ กินเค็ม ที่ระบาดไปทั่วโลกว่า เค็มจัดกันทั้งโลก

กินเค็ม

ตามปกติ ร่างกายต้องการโซเดียมเพียงวันละ 2 กรัม แต่ถ้าอยู่ในรูปโซเดียมคลอไรด์ (Sodium Chloride) หรือเกลือแกงจะอยู่ที่ 5 กรัม ซึ่งจากการศึกษาพบว่า คนทั่วโลก กินเค็ม มากกว่าที่ควรกินถึง 2 เท่า เช่นเดียวกับคนไทย สำรวจพบข้อมูลว่า เรากินเกลือเฉลี่ยวันละ 10 กรัม มากกว่าที่ควรกินถึง 2 เท่าเช่นกัน

เมื่อลองคำนวณปริมาณเกลือที่กินในแต่ละวันหลายคนเป่าปากโล่งใจ เพราะทบทวนพฤติกรรมแล้วยืนยันว่า ยังไงๆ ก็กินเกลือไม่ถึง 5 กรัมแน่นอน อย่าชะล่าใจไปนะคะ เพราะคุณๆ อาจกำลังเข้าใจผิดอย่างแรง คุณหมอสุรศักดิ์อธิบายว่า ต้องเข้าใจก่อนว่า ” โซเดียมมีหลายรูปแบบ เช่น เกลือแกงซึ่งมีความเค็มจัดเป็นโซเดียมคลอไรด์ ที่อาจไปผสมอยู่ในน้ำปลา ซีอิ๊วขาว บะหมี่สำเร็จรูป “

ผงชูรสจัดเป็นโซเดียมอย่างหนึ่ง เรียกว่า โซเดียมโมโนกลูตาเมต (Sodium Monoglutamate) แต่ไม่มีรสเค็ม รวมถึงผงฟูก็เป็นโซเดียมเรียกว่า โซเดียมไบคาร์บอเนต (Sodium Bicarbonate) จึงอาจบอกได้ว่า วันๆ หนึ่งเรามีโอกาสได้รับโซเดียมและเกลือเกิน เนื่องจากผสมอยู่ในอาหารหลายชนิด

อายุน้อยร้อยโรค… ประเทศชาติล่มจม

อาจารย์สุรศักดิ์ไม่ได้ขู่ให้กลัวเล่นๆ นะคะ เพราะจากการศึกษาในประเทศไทยพบว่า ผู้ป่วยความดันโลหิตสูงมีอายุน้อยลงเรื่อยๆ จากเคยพบที่อายุ 35 ปี ลดลงมาเป็น 20 ปี ซึ่งอนาคตอีก 10 ปีข้างหน้า ผู้ป่วยกลุ่มนี้อาจเกิดโรคแทรกซ้อน เช่น ไตวาย อัมพฤกษ์อัมพาต ท่านเล่าต่ออีกว่า “พบผู้ป่วยความดันโลหิตสูงอายุน้อยลง วัย 20 ปีก็เป็นแล้ว พออีก 10 ปีข้างหน้า อายุแค่ 30 ปี อาจป่วยเป็นไตวาย เป็นหัวใจ เบาหวาน ทำให้ประเทศชาติต้องสูญเสียหลายด้าน ทั้งส่วนทรัพยากรบุคคลวัยทำงานซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศเสียงบประมาณแผ่นดินเพื่อรักษาพยาบาล ตอนนี้งบรักษาผู้ป่วยเฉพาะไตวายซึ่งต้องทำการฟอกเลือดเฉลี่ยปีละหมื่นล้านบาท ซึ่งแนวโน้มผู้ป่วยจะเพิ่มขึ้นอีกปีละ 20 เปอร์เซ็นต์ คิดดูว่าในอีก 20 ปีข้างหน้าเราต้องเสียงบประมาณไม่รู้กี่แสนล้านบาทเพื่อรักษาผู้ป่วยโรคไต นี่ยังไม่นับรวมโรคหัวใจ เบาหวาน ซึ่งมีสาเหตุมาจากความดันโลหิตสูงด้วยเช่นกัน”

โรคเรื้อรังหรือโรควิถีชีวิตซึ่งได้แก่ ความดันโลหิตสูง หัวใจ เบาหวาน ไตวาย ล้วนเกิดจากพฤติกรรมเป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะการกินเค็ม องค์การอนามัยโลก หรือ WHO (World Health Organization) จึงรณรงค์ให้ทุกประเทศสมาชิกลดการกินเค็มลง 30 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งมีเป้าหมายว่าจะต้องทำให้สำเร็จใน 30 ปีข้างหน้า องค์การอนามัยโลกชี้แจงว่า หากทำสำเร็จจะช่วยชีวิตคนไว้ได้ปีละหลายแสนคนทีเดียว ทั้งยังประหยัดงบค่ารักษาพยาบาลปีละหลายล้านดอลลาร์ เพราะช่วยลดค่ายาที่ต้องจ่ายให้คนไข้ในกลุ่มโรคดังกล่าวซึ่งต้องกินยาไปตลอดชีวิต

How to ลดเค็ม ลดโรค

เห็นผลเสียจากการกินเค็มแล้วใช่ไหมคะว่า ทำให้ประเทศชาติเราเกิดความสูญเสียหลายด้าน ดังนั้น เรามาหาวิธีบอกลาความเค็มกันดีกว่าคุณหมอสุรศักดิ์แนะนำเคล็ดลับดังนี้

1. ถ้าคุณเป็นคนกินเค็มมาก พยายามลดการกินเกลือลงเดือนละ 10 เปอร์เซ็นต์ เช่น จากที่ต้องใช้น้ำปลา 5 ช้อนโต๊ะปรุงอาหาร ให้ใช้เพียง 4 ช้อนโต๊ะในเดือนแรก แล้วค่อยๆ ปรับลดลงมาเป็น 3 และ 2 ช้อนโต๊ะ ในเดือนต่อๆ มา เนื่องจากถ้าเราลดการกินน้ำปลาหรือเกลือลงทันที จะทำให้ผู้กินหรือคนในครอบครัวรู้สึกว่ารสชาติอาหารเปลี่ยนไป และจะต่อต้านไม่กินอาหารที่ทำ แต่การค่อยๆ ลดปริมาณน้ำปลาลงจะทำให้ผู้กินไม่รู้สึกว่ารสชาติอาหารเปลี่ยนไป เพราะลิ้นค่อยๆ ปรับการรับรสเค็มได้น้อยลง จนไม่รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลง

2. ใช้เครื่องเทศต่างๆ ในการปรุงอาหาร เช่น พริกไทย น้ำมะนาว อบเชย ฯลฯ เพื่อทำให้รสชาติอาหารกลมกล่อมขึ้นโดยใส่น้ำปลาหรือเกลือให้น้อยลง

3. กินอาหารโดยไม่ต้องปรุง โดยเฉพาะอาหารนอกบ้านซึ่งพ่อค้าแม่ค้าจะปรุงมาให้อร่อยกำลังดีอยู่แล้ว การใส่น้ำปลาลงไปอีกเท่ากับเป็นการเพิ่มความเค็มโดยไม่จำเป็น

4. ใช้น้ำปลาสูตรพิเศษซึ่งลดปริมาณโซเดียมลง แล้วใช้เกลือโพแทสเซียมใส่ลงไปเพื่อให้ความเค็มแต่อาจจะมีรสชาติเฝื่อนเมื่อนำไปต้ม ช่วยกันลดการกินเค็มลงสักครึ่งหนึ่งของที่กินอยู่ จะช่วยประเทศชาติให้พ้นภัย ตัวเองพ้นโรค สังคมไทยจะได้อยู่กันอย่างมีความสุขชั่วนิรันดร์ค่ะ”

ขอบคุณที่มาจาก : นิตยสารชีวจิต ปักษ์แรก กันยายน 2556




 

Create Date : 24 ตุลาคม 2557    
Last Update : 24 ตุลาคม 2557 9:04:49 น.
Counter : 1207 Pageviews.  

เผย 14 รอยเลื่อนมีพลังในไทย ที่อาจเกิดแผ่นดินไหว

ขอขอบคุณภาพประกอบจาก กรมทรัพยากรธรณี


          แผ่นดินไหวภาคเหนือที่เกิดขึ้น เมื่อเย็นวันที่ 5 พฤษภาคม 2557 เกิดจากรอยเลื่อนพะเยา แต่ยังต้องเฝ้าระวังรอยเลื่อยอื่น ๆ ที่มีโอกาสขยับตามได้ด้วยเช่นกัน ลองมาดูกันว่า ในประเทศไทยมีรอยเลื่อนอะไรที่ต้องเฝ้าระวังอีกบ้าง

เหตุการณ์แผ่นดินไหว ขนาด 6.3 แมกนิจูด (อ้างอิงจากกรมอุตุนิยมวิทยา) ที่เกิดขึ้นในภาคเหนือเมื่อช่วงเย็นวันที่ 5 พฤษภาคม 2557 สร้างความตื่นตระหนกให้คนไทยอีกครั้ง เพราะแผ่นดินไหวครั้งนี้ถือว่ามีขนาดความรุนแรงมากที่สุดในรอบหลายสิบปีที่ประเทศไทยเคยประสบมา และคาดว่าจะสร้างความเสียหายต่อทรัพย์สินเป็นจำนวนไม่น้อย

          ทั้งนี้ จากการตรวจสอบพบว่า จุดศูนย์กลางแผ่นดินไหวครั้งนี้มาจากรอยเลื่อนพะเยา ที่พาดผ่านอำเภองาว จังหวัดลำปาง และอำเภอเมือง จังหวัดพะเยา ในแนวทิศตะวันตกเฉียงเหนือ-ตะวันออกเฉียงใต้ ทางด้านทิศเหนือของรอยเลื่อนท่าสี มีความยาวประมาณ 23 กิโลเมตร

          อย่างไรก็ตาม ในประเทศไทยไม่ได้มีเพียงแค่รอยเลื่อนพะเยาเท่านั้น เพราะแหล่งกำเนิดของแผ่นดินไหวนั้นมาจากรอยเลื่อนที่มีพลัง ซึ่งเมื่อรอยเลื่อนใดรอยเลื่อนหนึ่งขยับ ก็มีโอกาสที่รอยเลื่อนอื่น ๆ จะขยับตามและทำให้เกิดแผ่นดินไหวในจุดอื่น ๆ ตามมาได้อีกเช่นกัน ซึ่งรอยเลื่อนมีพลังในประเทศไทย เคยเกิดขึ้นแล้ว 9 แห่งด้วยกันและจากการรายงานของกรมทรัพยากรธรณีวิทยา พบว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีรอยเลื่อนที่มีพลังทั้งหมด 14 รอยเลื่อน  โดยกระจายอยู่ใน 22 จังหวัด ได้แก่




1. รอยเลื่อนแม่จัน พาดผ่านอำเภอฝาง อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ อำเภอแม่จัน อำเภอเชียงแสน และอำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ในแนวทิศตะวันออกเฉียงเหนือ-ตะวันตกเฉียงใต้ มีความยาวประมาณ 101 กิโลเมตร

2. รอยเลื่อนแม่อิง พาดผ่านอำเภอเทิง อำเภอขุนตาล และอำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย  ในแนวทิศตะวันออกเฉียงเหนือ-ตะวันตกเฉียงใต้ มีความยาวประมาณ 57 กิโลเมตร       

3. รอยเลื่อนแม่ฮ่องสอน พาดผ่านอำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน จังหวัดแม่ฮ่องสอน ในแนวทิศเหนือ-ใต้ มีความยาวประมาณ 29 กิโลเมตร

4. รอยเลื่อนเมย วางตัวในแนวตะวันตกเฉียงเหนือ พาดผ่านตั้งต้นจากลำน้ำเมย ชายแดนพม่า ต่อไปยังห้วยแม่ท้อ ลำน้ำปิง จังหวัดตาก ไปถึงจังหวัดกำแพงเพชร นครสวรรค์ และสิ้นสุดที่จังหวัดอุทัยธานี ในแนวทิศตะวันตกเฉียงเหนือ มีความยาวประมาณ 250 กิโลเมตร             

5. รอยเลื่อนแม่ทา พาดผ่านอำเภอแม่ทา จังหวัดลำพูน และอำเภอแม่ออน จังหวัดเชียงใหม่ ในแนวโค้งไปทางทิศตะวันออก มีความยาวประมาณ 61 กิโลเมตร    

6. รอยเลื่อนเถิน พาดผ่านอำเภอแม่พริก อำเภอเถิน จังหวัดลำปาง และอำเภอวังชิ้น จังหวัดแพร่ ในแนวโค้งในไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ มีความยาวประมาณ 103 กิโลเมตร

7. รอยเลื่อนพะเยา พาดผ่านอำเภองาว จังหวัดลำปาง และอำเภอเมือง จังหวัดพะเยา ในแนวทิศตะวันตกเฉียงเหนือ-ตะวันออกเฉียงใต้ ทางด้านทิศเหนือของรอยเลื่อนท่าสี มีความยาวประมาณ 23 กิโลเมตร

8. รอยเลื่อนปัว พาดผ่านพื้นที่อำเภอสันติสุข อำเภอท่าวังผา อำเภอปัว อำเภอเชียงกลาง และอำเภอทุ่งช้าง ของจังหวัดน่านในแนวเหนือ-ใต้  ด้วยความยาวประมาณ  130 กิโลเมตร    

9. รอยเลื่อนอุตรดิตถ์ พาดผ่านอำเภอเมือง อำเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์ อำเภอนาหมื่น อำเภอนาน้อย อำเภอเวียงสา และอำเภอแม่จริม จังหวัดน่าน ในแนวทิศตะวันออกเฉียงเหนือ-ตะวันตกเฉียงใต้ มีความยาวประมาณ  150 กิโลเมตร

10. รอยเลื่อนเจดีย์สามองค์ พาดผ่านอำเภอทองผาภูมิ และอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี ในแนวทิศตะวันตกเฉียงเหนือ-ตะวันออกเฉียงใต้ มีความยาวประมาณ 60 กิโลเมตร

11. รอยเลื่อนศรีสวัสดิ์ พาดผ่านอำเภอบ้านไร่ จังหวัดอุทัยธานี อำเภอศรีสวัสดิ์ และอำเภอหนองปรือ จังหวัดกาญจนบุรี ในแนวโค้งเล็กน้อยไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ มีความยาวประมาณ 62 กิโลเมตร

12. รอยเลื่อนเพชรบูรณ์ พาดผ่านอำเภอหนองไผ่ อำเภอเมือง อำเภอหล่มสัก และอำเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์ ประกอบด้วยรอยเลื่อนบริวารในแนวทิศตะวันออกเฉียงเหนือ-ตะวันตกเฉียงใต้ กับแนวทิศตะวันตกเฉียงเหนือ-ตะวันออกเฉียงใต้สลับกัน มีความยาวประมาณ 110 กิโลเมตร

13. รอยเลื่อนระนอง พาดผ่านพื้นที่ตั้งแต่ จังหวัดระนอง ชุมพร ประจวบ คีรีขันธ์ และพังงา  มีความยาวประมาณ 270 กิโลเมตร  

  14. รอยเลื่อนคลองมะรุ่ย พาดผ่านอำเภอบ้านตาขุน อำเภอพนม จังหวัดสุราษฎร์ธานี อำเภอทับปุด อำเภอเมือง จังหวัดพังงา พาดผ่านไปตามทะเลอันดามัน ระหว่างอำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต กับอำเภอเกาะยาว จังหวัดพังงา ในแนวทิศตะวันออกเฉียงเหนือ-ตะวันตกเฉียงใต้ มีความยาวประมาณ 148 กิโลเมตร

นอกจาก 14 รอยเลื่อนที่กรมทรัพยากรธรณีได้ประกาศออกมาอย่างเป็นทางการแล้ว สำนักข่าวบางแห่งยังเผยว่า รอยเลื่อนมะยม ก็เป็นอีกหนึ่งรอยเลื่อนที่มีพลัง โดยรอยเลื่อนดังกล่าว จะพาดผ่านอำเภอสอง จังหวัดแพร่ และอำเภอเชียงม่วน จังหวัดพะเยา ในแนวทิศตะวันออกเฉียงเหนือ-ตะวันตกเฉียงใต้ มีความยาวประมาณ 22 กิโลเมตร ดังนั้น ทุกภาคส่วนจึงควรติดตามสถานการณ์ความเคลื่อนไหวของทั้ง 15 รอยเลื่อนดังกล่าวอย่างใกล้ชิด

ขอบคุณที่มาจาก กระปุก.คอม




 

Create Date : 24 ตุลาคม 2557    
Last Update : 24 ตุลาคม 2557 9:01:49 น.
Counter : 1538 Pageviews.  

เรื่องของคาราโอเกะ

คาราโอเกะ (「カラオケ」, Karaoke, – คะระโอะเกะ?)

เป็นความบันเทิงชนิดหนึ่ง ที่อยู่ในรูปแบบของเพลง ที่ไม่มีเสียงร้องของศิลปิน แล้วให้เราร้องผ่านไมโครโฟน โดยเสียงของศิลปินตัวจริงจะถูกปิดเอาไว้ โดยมีเนื้อเพลงขึ้นมาแสดง บ้างครั้งยังมีการเปลี่ยนสีเพื่อทำให้เข้าจังหวะกับเพลงบนมิวสิกวีดิโอ ช่วยในการร้องเดี่ยว

คาราโอเกะเป็นความบันเทิงอย่างหนึ่งที่ได้รับความนิยมสูง โดยเริ่มต้นจากในประเทศญี่ปุ่น จากนั้นก็แพร่หลายไปยังส่วนอื่นๆ ของเอเชียตะวันออก อย่างน้อยก็ตั้งแต่ทศวรรษ 1980 และนับจากนั้นก็แพร่หลายไปยังส่วนอื่นๆ ของโลก รวมทั้งประเทศไทยด้วย คาราโอกะได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมในแต่ละชาติ ซึ่งมีความแตกต่างกันไป

ในประเทศไทย พบได้สองรูปแบบ ได้แก่

  • วีดิโอซีดี (VCD) มักพบได้ตามร้านขายเพลงทั่วไป ออกโดยเจ้าของลิขสิทธิ์เพลง หรือ ค่ายเพลง ปัจจุบันพบว่า มักมีคำออกเสียงภาษาอังกฤษ ใต้คำภาษาไทย
  • มิดิ (MIDI) อยู่ในรูปแบบของซอร์ฟแวร์ นิคคาราโอเกะ ที่มีเพลงอยู่มากมาย

ที่มาของคำ
คำว่า คาราโอเกะ (カラオケ) มาจากคำว่า "คาระ" (空 หรือ カラ) หมายถึง ว่างเปล่า เช่น คาระเต หรือที่รู้จักในชื่อ คาราเต้ คือ การต่อสู้ด้วยมือเปล่า และ "โอเกะ" (オーケ) ซึ่งย่อจากคำว่า "โอเกะซุโตะระ" (オーケストラ) หมายถึง วงออร์เคสตร้า คำว่า "คาราโอเกะ" จึงมีความหมายว่า "วงออร์เคสตร้าเปล่าๆ"

คำนี้ถูกใช้เป็นศัพท์สแลงด้านสื่อ เมื่อการบรรเลงสดถูกแทนที่ด้วยดนตรีที่บันทึกเอาไว้ก่อน และเขียนเป็นตัวอักษรคะตะคะนะ คำว่า "คาราโอเกะ" ยังตีความได้ว่า "วงออร์เคสตร้าเสมือนจริง" เพราะคนคนเดียวก็สามารถควบคุมดนตรีและเริ่มต้นร้องไปได้โดยไม่ต้องมีวงดนตรีจริงๆ ในสหรัฐอเมริกานั้น มักจะเรียกเพี้ยนเป็น "คาริโอกี" ส่วนในภาษาญี่ปุ่นออกเสียง "คะระโอะเกะ"

ประวัติ

คาราโอเกะคัง อาคารคาราโอเกะ ที่ ชินจุกุ ในโตเกียวในญี่ปุ่นนั้นก็เหมือนกับในที่อื่นๆ ทั่วโลก ที่มีความนิยมมาช้านานที่จะมีการเล่นดนตรีในช่วงอาหารค่ำ หรืองานปาร์ตี้ โดยปกติ ธรรมเนียมดังกล่าวปรากฏในปกรณัมญี่ปุ่นสมัยแรกสุด นับเป็นเวลานานมาแล้ว ที่การร้องและการเต้นรำถือเป็นหนึ่งในความบันเทิงของผู้ใหญ่ในพื้นที่ชนบท มีการเล่นละครโน ในปาร์ตี้น้ำชา โดยเชิญแขกให้มาร่วมชมและร้องชมเชยการแสดง การร้องเพลงและเต้นรำยังเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาในหมู่ซามูไรด้วย ทั้งนี้คาดว่าซามูไรทุกคนจะสามารถเต้นรำหรือร้องเพลงได้ ในสมัยไทโชของญี่ปุ่น ร้านอุตะโคะเอะ คิซซา (หมายถึง ร้านกาแฟร้องเพลง) เริ่มเป็นที่นิยมและลูกค้าจะร้องไปกับวงดนตรีที่บรรเลงกันสดๆ

อุตสาหกรรมคาราโอเกะนั้นเริ่มต้นในญี่ปุ่นเมื่อต้นทศวรรษ 1970 เมื่อนักร้องคนหนึ่ง ชื่อ ไดซุเกะ อินุอะเอะ ได้รับคำร้องขอจากแขกอยู่บ่อยๆ ในร้านอุตะโกะเอะ คิซซา ที่เขาไปแสดงดนตรีนั้น ให้ไปบันทึกการแสดง พวกเขาจึงร้องเพลงไปด้วยในช่วงวนหยุดของ เมื่อทราบความต้องการของตลาด เขาจึงทำเครื่องบันทึกเทปที่เล่นเพลงได้เมื่อหยอดเหรียญ 100 เยน นี่คือเครื่องคาราโอเกะเครื่องแรก แต่แทนที่เขาจะขายเครื่องคาราเกะ เขากลับให้เช่าแทน ทำให้ร้านต่างๆ ไม่ต้องซื้อเพลงใหม่ๆ เป็นของตัวเอง

ในช่วงแรกๆ นั้นราคาค่าหยอดตู้คาราโอเกะนับว่าแพงพอสมควร เงิน 100 เยนนั้นพอที่จะซื้ออาหารกลางวันได้ถึง 2 ที่ แต่ไม่นานต่อมาคาราโอเกะก็กลายเป็นความบันเทิงยอดนิยมไปแล้ว เครื่องคาราโอเกะมีบริการในร้านอาหาร ห้องต่างๆ ของโรงแรม และไม่ช้าก็เปิดธุรกิจใหม่ คือ ร้านคาราโอเกะ Karaoke Box ที่มีห้องขนาดเล็ก พร้อมด้วยเครื่องคาราโอเกะให้บริการ ซึ่งเป็นที่นิยมในเวลาไม่นานนัก ในปี 2004 นั้น นายไดซุเกะ อินุอะเอะ ได้รับรางวัลอิกโนเบลสาขาสันติภาพ ในฐานะผู้คิดค้นระบบคาราโอเกะขึ้น "นับเป็นการเสนอทางเลือกใหม่ให้ผู้คนได้ทนซึ่งกันและกันได้"


คาราโอเกะบาร์ ใน ฮัมบูร์ก ประเทศเยอรมนีเครื่องคาราโอเกะแต่ละเครื่องนั้นจะใช้เทปคาสเซ็ตต์ แต่เมื่อเทคโนโลยีก้าวหน้าขึ้น ก็แทนที่ด้วยแผ่น ซีดี เลเซอร์ดิสก์ หรือ ดีวีดี แบบต่างๆ ครั้นถึง ค.ศ. 1992 บริษัทไทโต (Taito Corporation) ก็ได้นำเสนอเครื่อง X2000 ที่สามารถค้นหาเสียงดนตรีโดยผ่านเครือข่ายโทรศัพท์ได้ สำหรับคุณภาพของดนตรีและภาพนั้นยังมีข้อจำกัด แต่ความก้าวหน้าของการสื่อสารมีมากกว่า จึงมีการใช้เทคโนโลยีสื่อสารที่ทันสมัยอยู่เสมอ ทำให้เครื่องคาราโอเกะมีขนาดเล็กลง และมีเครื่องรุ่นใหม่ๆ มาแทนที่เครื่องรุ่นเก่าๆ เสมอ เครื่องคาราโอเกะจะเช่อมต่อผ่านเครืองข่ายไฟเบอร์ออปติก เพื่อให้ได้ภาพและเสียงดนตรีคุณภาพสูงอย่างฉับไว ซึ่งเป็นที่นิยมมากขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่นาน คาราโอเกะก็แพร่หลายไปยังส่วนอื่นๆ ของเอเชียน และแพร่ไปถึงสหรัฐอเมริกาเมื่อทศวรรษ 1990 มีร้านคาราโอเกะ หรือคาราโอเกะบาร์ที่จัดเตรียมอุปกรณ์ต่างๆ ไว้ให้ลูกค้าที่เป็นนักร้องสมัครเล่นได้ร้องเพลง ในบางแห่งนั้นมีแทนที่จะมีเครื่องเล่นคาราโอเกะขนาดเล็ก กลับใช้เครื่องเสียงไฮเอนด์ขนาดใหญ่เลยก็มี เวทีสำหรับเต้นและแสงไฟก็เป็นสิ่งที่พบได้ในคาราโอเกะบาร์ เนื้อร้องนั้นมักจะแสดงอยู่บนจอโทรทัศน์หลายจอที่วางไว้รอบๆ รวมทั้งมีจอฉายภาพขนาดใหญ่ด้วย

เทคโนโลยี

เครื่องเล่นคาราโอเกะอย่างง่ายนั้น ประกอบด้วยอินพุทเสียง เป็นตัวเปลี่ยนระดับเสียงดนตรี (ไม่ใช่เสียงนักร้อง) และเอาท์พุเสียง สำหรับเครื่องที่มีราคาถูกบางรุ่น พยายามจะลดเสียงร้อง โดยสามารถป้อนเสียงร้องปกติเข้าเครื่อง และลดเสียงของนักร้องเดิมลง แต่วิธีนี้ไม่ค่อยจะมีประสิทธิภาพนัก สำหรับเครื่องที่พบเห็นทั่วไปส่วนใหญ่จะเป็นการผสมเสียงด้วยอินพุทไมโครโฟน ที่มีเครื่องเล่น DVD, LD (เลเซอร์ดิสก์), Video CD หรือ CD+G อยู่ในเครื่อง เครื่องเล่น CD+G นั้นใช้แทร็คพิเศษ เรียกว่า ซับโคด (subcode) หรือรหัสย่อย เพื่อเข้ารหัสเนื้อเพลงและภาพที่แสดงบนจอ ขณะที่รูปแบบอื่นๆ นั้นปกติจะแสดงผลทั้งภาพและเสียง ในบางประเทศ คาราโอเกะที่สามารถแสดงเนื้อได้ เรียกว่า KTV

เครื่องเล่นคาราโอเกะส่วนใหญ่จะมีเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงระดับเสียงดนตรีโดยกรรมวิธีทางอิเล็กทรอนิกส์ ทำให้นักร้องสมัครเล่นสามารถร้องเพลงพร้อมกับเปิดเสียงดนตรีเดิมได้ โดยเลือกระดับเสียงที่เหมาะกับช่วงเสียงของตน ขณะเดียวกันก็ยังคงจังหวะเดิมของเพลงเอาไว้ สำหรับระบบเก่ามากๆ บางระบบจะใช้เทปคาสเซ็ต (ยังมีระบบเก่ามากๆ บางระบบที่ใช้เทปคาสเซ็ต และเปลี่ยนแปลงระดับเสียงโดยการเปลี่ยนระดับความเร็วในการเล่น แต่ไม่มีขายแล้วในตลาดปัจจุบัน และไม่มีให้บริการในเชิงพาณิชย์เช่นกัน)

เกมที่ใช้คาราโอเกะนั้น จะมีการพิมพ์หมายเลขเรียกเพลง ซึ่งผู้ใช้จะสามารถร้องได้นานเท่าที่ต้องการ สำหรัยบางเครื่องนั้น เกมนี้มีการตั้งโปรแกรมเอาไว้ก่อน และอาจจำกัดแนวเพลง ทำให้ไม่สามารถเรียกเพลงที่คนอื่นๆ อาจไม่รู้จักได้ เกมนี้ในบางส่วนของอเมริกาและแคนาดา เรียกกันว่า "คามิคาเซ คาราโอเกะ" (Kamikaze Karaoke)

เครื่องบันเทิงราคาถูกจำนวนมาก (อย่างเครื่องบูมบ็อกซ์) ก็มีโหมดสำหรับร้องคาราโอเกะ ที่พยายามจะขจัดเสียงร้องออกจากแผ่นซีดีเพลง (Audio CD) ทั่วไป ที่ไม่ใช้ซีดีคาราโอเกะ ซึ่งทำได้โดยควบคุม center removal จากข้อเท็จจริงที่ว่าเสียงร้องส่วนมากจะมีความถี่อยู่บริเวณกลางช่วงความถี่เสียง และเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็หมายความว่า เสียงร้อง จะมีระดับความดังเท่ากันในช่องสเตอริโอทั้งสองข้าง และไม่มีความต่างเฟส การได้แทร็คโมโนของคาราโอเกะจำลองนี้ ช่องสัญญาณซ้ายของเสียงเดิมจะถูกลบออกจากช่องสัญญาณขวานั่นเอง

วิธีการหยาบๆ ในการขจัดเสียงร้องแบบนี้นี้ปรากฏออกมาให้เห็นว่ามีประสิทธิภาพที่ต่ำมาก ผลกระทบที่พบทั่วไปก็คือได้ยินเสียงก้องของแทร็คเสียงร้อง (อันเนื่องมาจากเอคโค่สเตอริโอ) ที่ป้อนไปยังเสียงร้อง) และเสีงดนตรีอื่นๆ ที่บังเอิญถูกผสมเข้าในช่วงความถี่ตรงกลางถูกกำจกัดออก (ดนตรีโซโล่ กลอง/สแนร์) ทำให้คุณภาพเสียงลดลงมาก

ที่มาข้อมูล WIKIPEDIA




 

Create Date : 24 ตุลาคม 2557    
Last Update : 24 ตุลาคม 2557 8:58:34 น.
Counter : 1086 Pageviews.  

ย้อนรอย 5 โรคร้ายที่เคย ระบาด คร่าชีวิตผุ้คนไปทั่วโลก!

ในปี 2557 นี้ โรคระบาดที่ทำให้ผู้คนทั่วโลกต่างหวาดกลัวคงจะหนีไม่พ้น โรคติดเชื้อไวรัส อีโบลา ที่เริ่ม ระบาด ในทวีปแอฟริกา มาตั้งแต่กลางปีจนถึงปัจจุบันก็ยังมีผู้ติดเชื้ออยู่ และเริ่มหลุดรอดกระจายไปยังทวีปอื่นๆ ซึ่งทำให้เป็นที่วิตกกังวลของผู้คนทั่วโลก เนื่องจากยังไม่มียารักษาที่ได้ผล 100% ทำให้องค์การอนามัยโลกและสาธารณสุขของทุกประเทศเฝ้าระวังกันอย่างต่อเนื่อง นอกจาก โรคติดเชื้อไวรัส อีโบลา ที่เราติดตามกันอยู่ในขณะนี้ ในอดีตก็เคยมีโรค ระบาด ครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้น และได้คร่าชีวิตผู้คนทั่วโลกไปเป็นจำนวนมาก วันนี้เราจะพาไปย้อนรอยโรคร้ายที่เคย ระบาด บนโลกใบนี้กันค่ะ ไปดูกันเลยดีกว่าค่ะ

13965769292342

ไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์สเปน (Spanish flu)

Spanish flu ไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ สเปน ที่ระบาดในปี 1918 คือ การแพร่ ระบาด ของเชื้อไข้หวัดใหญ่ ครั้งใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีสาเหตุมาจาก เชื้อไวรัส (Virulent) ที่มีอันตรายถึงตายสายพันธุ์ A สายพันธุ์ย่อย H1N1 โดยเริ่มมีการ ระบาด ในช่วงแรกเมื่อ เดือนมีนาคม 1918 ถึง มิถุนายน 1920 โดยเริ่มแพร่ระบาดจาก ฝั่งอาร์กติกข้ามมายังฝั่ง แปซิฟิกและมีการประมาณการว่ามีผู้เสียชีวิต จากไข้หวัดใหญ่ ครั้งนี้ไม่น้อยกว่า 50 – 100 ล้านคนทั่วทั้งโลก หรือเท่ากับประชากร 1 ใน 3 ของทวีปยุโรปในยุคนั้น และประมาณ 500 ล้านคน หรือ ประมาณ 1 ใน 3 ของประชากรทั่วทั้งโลกในขญะนั้นเป็นผู้ติดเชื้อ นักวิทยาศาสตร์ได้เก็บกระดาษทิชชู่ที่เปื้ยนเชื้อโรค ทำการแช่แข็งไว้ เพื่อไว้เป็นตัวอย่างสำหรับการศึกษาเชื้อโรค และพัฒนาการรักษาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น นับเป็นหนึ่งในการแพร่ ระบาด ของเชื้อโรคครั้งร้ายแรงที่สุดครั้งหนึ่งในโลกที่สุดสยอง

ลักษณะโรคเป็นการติดเชื้อไวรัสที่ระบบทางเดินหายใจแบบเฉียบพลัน โดยอาการจะมีไข้สูงแบบทันทีทันใด ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ อ่อนเพลีย ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะหายเป็นปกติภายใน 1-2 สัปดาห์ แต่มีบางรายที่มีอาการรุนแรง เนื่องจากมีภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญคือ ปอดบวม ซึ่งอาจทำให้เสียชีวิตได้ ผู้ที่เสี่ยงสูงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนหรือเสียชีวิต ได้แก่ ผู้ที่อายุ 65 ปีขึ้นไป เด็กที่อายุต่ำกว่า 2 ปี ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น โรคปอด โรคหัวใจ โรคไต เบาหวาน ภูมิคุ้มกันบกพร่อง

ความน่ากลัวของโรค : แม้ว่าโรคไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์สเปนจะหายไปนานถึง 96 ปีแล้ว แต่ก็ใช่ว่าจะไม่สามารถกลับมาได้อีก เพราะเคยกลับมา ระบาด ในช่วงปี 1977 เช่นกัน และเพราะเชื้อไข้หวัดใหญ่ไม่ได้มีแค่สายพันธุ์นี้อย่างเดียว ดังเช่นที่ผ่านมามีทั้ง ไข้หวัดนก ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา

กาฬโรค (Plague)

โรคกาฬโรคเป็นโรคติดต่อเกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่ชื่อ Yersinia pestis เกิดจากหมัดหนูที่มีเชื้อกัด เมื่อมีการ ระบาด ของโรคหนูจะตายก่อน หมัดหนูจะกระโดดมายังสัตว์อื่น และกัดทำให้เกิดโรคขึ้นมา การดูแลเรื่องความสะอาด และควบคุมการแพร่พันธ์ของหนูทำให้โรคนี้มีการระบาดน้อยลง

โดยอาการของกาฬโรคแบ่งออกเป็นสามกลุ่มคือ ติดเชื้อที่ต่อมน้ำเหลือง ติดเชื้อในกระแสเลือด และติดเชื้อจากการสูดเอาเชื้อที่อยู่ในอากาศเข้าปอด ผู้ป่วยจะมีอาการ ไข้สูง หนาวสั่น ต่อมน้ำเหลืองโต เลือดออกในปาก จมูก ก้น เกิดภาวะช็อก shock ปวดท้อง คลื่นไส้ และท้องเสีย

ความน่ากลัวของโรค : ในอดีตกาล การ ระบาด ของกาฬโรคเกิดขึ้นหลายครั้งในหลายทวีป และทำให้ผู้ป่วยหลายล้านคนเสียชีวิต จึงจัดเป็นโรคติดต่อที่อันตรายร้ายแรงที่สุดโรคหนึ่ง แต่ในปัจจุบันพบผู้ ป่วยเพียงประปรายเฉพาะในพื้นที่แถบชนบทของบางประเทศเท่านั้น และในประเทศไทยก็ไม่พบผู้ป่วยมากว่า 60 ปีแล้ว

หนู

หนู พาหะของกาฬโรค ภาพจาก : wikipedia.org

โรคไทฟอยด์ แมรี่ (Typhoid Mary)

ไทฟอยด์ เป็นโรคติดต่อที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่เรียกว่า Salmonella Typhi และ  และ Samonella paratyphi เชื้อนี้จะอยู่ในน้ำและอาหาร สามารถติดต่อโดยการดื่มน้ำและกินอาหารที่มีเชื้อปนเปื้อนอยู่ หลังจากได้รับเชื้อนี้1-2 สัปดาห์ผู้ป่วยจะเริ่มเกิดอาการเบื่ออาหาร ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย ปวดตามตัว มีไข้สูงไข้จะสูงขึ้นเรื่อยๆสูงได้ถึง 40.5 องศาโดยไข้จะคงที่หลังจากเกิดไข้แล้ว 7 วัน มีอาการท้องร่วง บางรายอาจจะมีผื่นขึ้นตามตัว บางรายอาจจะมีอาการแน่นท้อง หากไม่รักษาผู้ป่วยบางรายหายเองได้ใน3-4 สัปดาห์ แต่ก็มีบางส่วนที่เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ลำไส้ทะลุ หรืออาจแพร่กระจายไปตามอวัยวะเกิดถุงน้ำดีอักเสบ เยื่อบุหัวใจอักเสบ และเกิดภาวะเลือดเป็นพิษในที่สุด

ในประวัติศาสตร์ของอเมริกา โรคไทฟอยด์ แมรี่ เป็นที่โด่งดังมาก “แมรี่ มัลลอน” หญิงสาวที่อพยพจากไอร์แลนด์เหนือมาอยู่ที่นิวยอร์ค ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โรคไทฟอยด์ กำลังแพร่ ระบาด ในอเมริกา ครอบครัวที่แมรี่ทำงานด้วยก็ป่วยเป็นโรคนี้เช่นกัน หลังจากนั้นเธอก็เปลี่ยนที่ทำงานไปหลายที่มากๆ ในระหว่างนี้มีผู้ป่วยไทรอยด์เพิ่มขึ้นอีก 22 ราย และจากการตรวจสอบแทบทุกครอบครัวจะป่วยเป็นโรคไทฟอยด์หลังจากที่แมรี่เข้ามา ทำงานได้ไม่นานนัก หลังจากนั้นเธอถูกจับและกักตัวไว้เพื่อตรวจ พบว่าเธอมีเชื้อไทฟอยด์จริง แต่เชื้อกลับไม่แสดงอาการใดใด เธอจึงใช้ชีวิตได้อย่างปกติ แต่เธอคือพาหะของโรคนี้ หลังจากเธอถูกกักตัวอยู่ในโรงพยาบาลประมาณ 3 ปี เธอจึงขอออกมาใช้ชีวิตข้างนอกโดยมีเงื่อนไขว่าจะไม่ทำงานเกี่ยวกับอาหาร และจะรายงานตัวว่าเธออยู่ที่ไหนและทำอะไรอยู่เป็นระยะ แต่ 5 ปีให้หลังเธอก็ขาดการติดต่อไป เธอปลอมชื่อและเข้าไปทำงานที่ฝ่ายการครัว อยู่ในโรงพยาบาลสูตินารีของนิวยอร์ค ทำให้ในโรงพยาบาล มีผู้ป่วยด้วยโรคไทฟอยด์ 25 คนและเสียชีวิต 2 คน ด้วยเหตุนี้ แมรี่จึงถูกกักตัวอีกครั้งและใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ในโรงพยาบาลจนกระทั่งเสีย ชีวิตไปในปี 1938

ความน่ากลัวของโรค : หาก คุณรับประทานอาหารที่ไม่สะอาด ไม่ปรุงสุกและผ่านความร้อนมาแล้ว อาจจะติดเชื้อโรคไทฟอยด์ได้ และการดื่มน้ำหรือรับประทานอาหารร่วมกับผู้อื่นก็มีโอกาสเสี่ยงที่จะได้รับ เชื้อเช่นกันเพราะเราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าใครบ้างที่เป็นพาหะของโรคนี้ดัง เช่น แมรี่ มัลลอน

s01_e0101_06_138911364917___CC___640x360

โรคซาร์ส (Severe Acute Respiratory Syndrome : SARS)

โรคซาร์ส หรือโรคไข้หวัดมรณะ เกิดจากเชื้อไวรัสชนิดใหม่ ที่อยู่ในตระกูลเดียวกับ”โคโรน่าไวรัส” ที่เป็นตัวการก่อไข้หวัด  ผู้ติดเชื้อไวรัสจนเป็นโรคทางเดินหายใจเฉียบพลันร้ายแรงจะมีอาการไข้ขึ้นสูง 38-40 องศาเซลเซียส, ไอแหบแห้ง, หายใจขัดและเป็นช่วงสั้นๆ เมื่อนำตัวผู้ป่วยไปเอกซเรย์ จะพบความผิดปกติที่ปอด ซึ่งดูคล้ายเป็นปอดบวม สามารถติดต่อได้ทางละอองน้ำลาย หรือการไอ จาม เชื้อไวรัสซาร์สยังสามารถลอยตัวอยู่ในอากาศนอกตัวคนไข้ได้นานราว 3-6 ชั่วโมง การรักษาควรแยกผู้ป่วยไว้อีกห้อง และผู้ดูแลควรสวมอุปกรณ์ป้องกัน หน้ากากป้องกันการติดเชื้อ แว่นตา ผ้ากันเปื้อน ผ้าคลุมศีรษะ และถุงมือ เพื่อป้งกันการติดเชื้อ

ความน่ากลัวของโรค : ในปีพ.ศ. 2546 โรคซาร์ส หรือโรคไข้หวัดมรณะ ได้มีการแพร่ ระบาด ไปยัง 29 ประเทศ รวมมีรายงานป่วย 8,098 ราย และเสียชีวิต 774 ราย ถึงแม้ว่าโรคซาร์สจะหายไปนานเป็น 10 ปีแล้ว แต่เมื่อปี 2556 ก็มีผู้ป่วยต้องสงสัยที่มีอาการคล้ายโรคซาร์สเช่นกัน องค์การอนามัยโรคบอกว่า มันคือ “ไวรัสโคโรนาใหม่ 2012” และล่าเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2557 องค์การอนามัยโรคออกมาประกาศว่ามีการระบาดของโรคไวรัสโคโรนาใหม่ 2012 อีกครั้ง ซึ่งมีผู้ติดเชื้อ 896 ราย เสียชีวิต 357 ราย แต่ยังไม่พบการ ระบาด นี้ในประเทศไทย

โรคติดเชื้อไวรัส อีโบลา (Ebola Virus Disease : EVD)

ผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลาจะมีไข้สูงทันทีทันใด อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ และเจ็บคอ ตามด้วยอาการ อาเจียน ท้องเสีย และมีผื่นนูนแดงตามตัว ในรายที่มีอาการรุนแรงและเสียชีวิต จะพบมีเลือดออกง่าย โดยเกิดทั้งเลือดออกภายในและภายนอกร่างกาย มักเกิดร่วมกับภาวะตับถูกทำลาย ไตวาย หรือก่อให้เกิดอาการของระบบประสาทส่วนกลาง ช็อก และเสียชีวิตได้ ไวรัสนี้สามารถติดต่อได้โดยการสัมผัสเลือด หรือสารคัดหลั่งจากผู้ป่วย ได้แก่ เลือด น้ำมูก น้ำลายของผู้ป่วย ของใช้ของผู้ป่วย หรือสัตว์ที่ป่วย รวมทั้งการนำสัตว์ที่ป่วยมาทำเป็นอาหาร โดยผ่านทางเยื่อบุในปากและทางเดินอาหาร, เยื่อบุตา และรอยแยกหรือแผลบนผิวหนัง3 ระยะที่เกิดการติดต่อได้เริ่มตั้งแต่ผู้ป่วยเริ่มมีอาการนำ (ประมาณ 7 วัน) ซึ่งในระยะนี้ยังจัดเป็นความเสี่ยงต่ำ การติดต่อจะติดได้ง่ายขึ้นเมื่อผู้ป่วยเข้าสู่ระยะท้ายของโรค การรักษาไม่มีการรักษาจําเพาะ ในรายที่มีอาการรุนแรงต้องการการดูแลอย่างใกล้ชิด ให้สารนํ้าอย่างเพียงพอ

ความน่ากลัวของโรค : อย่างที่ทราบกันดีว่าโรคติดเชื้อไวรัส อีโบลา ยังไม่มียาป้องกันและรักษาที่มั่นใจได้ 100% ตัวยาต่างๆยังอยู่ในช่วงทดลองใช้ ทำให้โรคนี้น่ากลัวมากหากได้รับเชื้อ ซึ่งมีผู้คนจำนวนมากที่ต้องเสียชีวิต องค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศว่า พบโรคติดเชื้ออีโบลา ระบาด ในวงกว้าง จำนวน 3 ประเทศ ได้แก่ กินี ไลบีเรีย และเซียร์ราลีโอน รวมทั้งสิ้น 9,191 ราย เสียชีวิต 4,546 ราย และพบในประเทศที่มีผู้ป่วยรายแรกหรือมีการ ระบาด ในพื้นที่จำกัด จำนวน 4 ประเทศ ได้แก่ ไนจีเรีย เซเนกัล สเปน และสหรัฐอเมริกา รวมทั้งสิ้น 25 ราย เสียชีวิต 9 ราย ตอนนี้ทางองค์การอนามัยโลกและสาธารณสุขของประเทศต่างๆก็ต่างเฝ้าระวังกันอย่างเข้มงวด เพื่อไม่ให้เชื้อกระจายไปในประเทศต่างๆมากขึ้น

เรียบเรียงโดย : health.mthai.com
ขอบคุณข้อมูลจาก : สำนักระบาดวิทยา

สำนักโรคติดต่ออุบัติใหม่
สารานุกรมเรื่องที่ไม่จำเป็นต้องรู้ก็ได้
www.siamhealth.net/
wowboom.blogspot.com




 

Create Date : 22 ตุลาคม 2557    
Last Update : 22 ตุลาคม 2557 9:21:16 น.
Counter : 1211 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  

หนี่งหน่อง
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 33 คน [?]




pub-1485477287124314
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add หนี่งหน่อง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.