อ่านเรื่อยๆ มาเรียง ๆ ทุกวันของ หนี่งหน่อง นะครับ
การศึกษาสร้างทุกข์ มากกว่าสูข เปิดความคิด " หมอประเวศ " รื้อระบบการศึกษาไทยทั้งหมด

เป็นหนึ่งใน "หัวเรือใหญ่" และ "สมอง" เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทย โดยเฉพาะด้านการปฏิรูปประเทศ ทำให้ที่ผ่านมา "ศ.เกียรติคุณ นพ.ประเวศ วะสี" หรือที่รู้จักในนาม "ราษฎรอาวุโส" ได้รับคำเชิญจากองค์กรต่างๆ มากมาย หนึ่งในนั้น คือ การเข้ามามีบทบาททางการเมือง หลังการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาชนต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือ คนเสื้อแดง เมื่อปี 2553 จบสิ้นลง ด้วยการทำหน้าที่ประธานคณะสมัชชาปฏิรูปประเทศ เพื่อรวบรวมข้อมูล รับฟังความคิดเห็น และนำไปสู่นโยบายในการปฏิรูปประเทศไทย...


"ไทยรัฐออนไลน์" ได้รับโอกาสสัมภาษณ์พิเศษ "หมอประเวศ" เพื่อพูดคุยถึงการปฏิรูปประเทศที่กำลังจะเกิดขึ้น (อีกครั้ง) ใน 3 ประเด็น ได้แก่ การกระจายอำนาจ ในส่วนแนวคิดของ "จังหวัดจัดการตัวเอง" ปัญหาการปฏิรูปการศึกษา และการปฏิรูประบบสุขภาพ แต่วันนี้ หมอประเวศซึ่งเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี ขอพูดเพียงเรื่อง "การปฏิรูปการศึกษา" เท่านั้น

โรงพยาบาลศิริราช คือ พื้นที่พูดคุยในครั้งนี้ โดยหมอประเวศมาตรงเวลานัดเป๊ะ พร้อมกับข้อมูลที่ต้องการสื่อสาร ผลักดัน และฝากไปยังสภาปฏิรูปแห่งประเทศไทย (สปช.​) และสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) นำไปพิจารณา เพื่อเริ่มต้นเดินหน้าปฏิรูปการศึกษา

"ไทยรัฐออนไลน์" เปิดคำถามแรกว่า ประเทศไทยมียุทธศาสตร์ มีแผนในการปฏิรูปการศึกษามามากมาย แล้วเพราะเหตุใด มันยังหยุดนิ่ง เคลื่อนตัวน้อยมาก มันเกิดอะไรขึ้น?

"เป็นคำถามใหญ่ที่เรามองเข้ามาตรงกัน อย่างเราไปดูกลุ่มที่สมัคร สปช. จะพบว่า มีกลุ่มการศึกษามากที่สุด แสดงว่าคนสนใจมาก และคำถามมีมาก เหมือนเดิม ทำไมขยับอะไรไม่ได้นั้น มันไม่ใช่เพราะไม่มีคนตั้งใจทำนะ เรามีคนเก่งๆ ดี ทำอยู่เยอะ คนเก่งคนหนึ่ง คือ ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.สิปปนนท์ เกตุทัต อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ซึ่งสนใจเรื่องการศึกษามาก แล้วยังเป็นเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ แล้วการศึกษาไทยนั้น ทำอะไรไปก็ไม่ตอบสนองเลย เหมือนกดปุ่มอะไรไปก็ไม่ตอบกลับมา"

"ตอนสมัยคุณทักษิณ (พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร) เป็นนายกฯ ใหม่ๆ มาบอกว่า อยากทำเรื่องปฏิรูปการศึกษาจริงๆ เพราะมันสำคัญ แต่ไม่รู้จะจับอย่างไร ขอช่วยหาผมช่วยหารัฐมนตรีดีๆ ให้หน่อย กินรัฐมนตรีไปหลายคน ก็ยังไม่ดีขึ้น ซึ่งเราต้องทำความเข้าใจตรงนี้ว่า ตอนนี้จะปฏิรูปอีกแล้ว ถ้าไม่เข้าใจ ก็ปฏิรูปไม่สำเร็จ เราไปจับแต่อาการของมัน ครูไม่เก่ง นักเรียนไม่เก่ง คะแนนโอเน็ตไม่ดี จับปลายเหตุ เหมือนคนมีโรค และมีอาการออก เราจับอาการมารักษา ไปไม่ถึงสาเหตุสักที มันก็รักษาไม่หาย"

การศึกษาไทยสร้างทุกข์-ทำให้คนจนลง?

หมอประเวศ เริ่มอธิบายถึงสาเหตุของ "ปัญหาการศึกษาไทย" ที่ฝังรากลึก จนต้องพูดกันแบบซ้ำๆ ย้ำกันบ่อยๆ เช่นนี้ว่า ระบบการศึกษาไทยวันนี้ เป็นระบบที่ "สร้างทุกข์ มากกว่าสร้างสุข" เพราะโฟกัสผิดจุดไปหมด ทำให้พ่อแม่ผู้ปกครอง และเด็กนักเรียนต้องตะเกียกตะกาย เพื่อเข้าสถานศึกษาที่ดีตามค่านิยม โดยเฉพาะการติว ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ที่สุด และเป็นการเรียนรู้ที่ผิวเผินมาก เพราะเรียนไปเพื่อสอบเท่านั้น! ขณะเดียวกัน ก็ทำให้กลุ่มคนจนต้องจนลงไปอีก เพราะต้องหาเงินเพื่อให้ลูกได้เรียนที่ดีๆ

"ท่องจำว่าข้อสอบออกอะไร จะได้เข้าที่ดีๆ ก็เริ่มวิ่งเต้นเส้นสาย จ่ายแป๊ะเจี๊ยะ บางทีลูกอยู่ในชนบท ต้องติวในเมือง พ่อแม่กลัวลูกเข้าไม่ได้ ก็เสียเงินทองหาหอพัก เกิดปัญหาวัยรุ่นขึ้นมาอีก มีปราญช์ชาวบ้านคนหนึ่ง ชื่อ คำเปรื่อง อยู่ที่ จ.บุรีรัมย์ เรียกการศึกษาไทยว่า โจรเสื้อขาว เพราะมันปล้นชาวบ้านให้จนลง ไม่มีอะไรดีขึ้น ลูกต้องจากบ้าน ไม่มีใครช่วยทำอาชีพ แล้วเข้าระบบการศึกษา ซึ่งก็ไม่ดี จบมาทำงานไม่เป็น ไม่อดทน ไม่รับผิดชอบ ภาคธุรกิจก็บ่น แล้วพวกค่านิยม สอบเข้ามหาวิทยาลัย เหมือนประตูนรก-สวรรค์ เด็กที่สอบไม่ได้ ก็ตกนรกไปเลย ทำไมเราไปทำแบบนั้นล่ะ เราไปยกย่องการเข้ามหาวิทยาลัยได้ มันก่อความทุกข์ยากให้คนทั้งแผ่นดิน มันไม่ช่วยให้เศรษฐกิจดีขึ้น มันเป็นการศึกษาที่อยู่นอกสังคม"

หมอประเวศขยายความ "การศึกษานอกสังคม" ว่า เพราะการศึกษาไทยเอาการท่องวิชาเป็นตัวตั้ง สอบเพื่อเลื่อนชั้นจากประถมศึกษา ไปมัธยมศึกษา และอุดมศึกษา จนแยกตัวออกจากสภาพสังคมจริง ที่มีทั้งการเมือง เศรษฐกิจ วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม ประเพณี ภูมิปัญญา ทำให้เมื่อเด็กอยู่ในระบบเช่นนั้น จึงไม่ต้องร่วมทุกข์ร่วมสุข ไม่ร่วมแก้ปัญหา ไม่รู้ร้อนรู้หนาว ส่งผลให้เด็กเติบโตแบบอ่อนแอ ช่วยประเทศชาติแก้ไขปัญหาไม่ได้

"ต่างประเทศก็มีปัญหาเหมือนกัน เรียนไปแล้ว ไม่มีงานทำ เพราะเอาการศึกษาแยกจากการทำงาน งานเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เอาชีวิตเป็นตัวตั้งก็จะเรียนรู้ ไม่ว่างงาน เมื่อก่อนไม่มีนะ แต่ตอนนี้มี เพราะบริหารแบบแยกส่วนกัน แยกการศึกษาออกจากชีวิต แยกออกไปสัก 16 ปี แล้วค่อยมาทำงาน ซึ่งอาจไม่เหมาะกันแหละ เพราะสิ่งต่างๆ ก็เคลื่อนไปหมดแล้ว"



3 ปม "แนวคิด-ระบบ-กระบวนการเรียนรู้" สิ่งที่ต้องปฏิรูป!
ร่ายปัญหาในภาพกว้างมาพอสมควร หมอประเวศ จึงเริ่มจับปมปัญหา และสาเหตุของความล้มเหลวของ การศึกษาไทย ให้แคบลง และเข้าใจง่ายขึ้น โดยแบ่งเป็น 3 ส่วนหลักๆ ได้แก่ ปัญหาที่เกิดจากแนวการจัดการศึกษา ระบบการศึกษา และปัญหาของกระบวนการเรียนรู้

การศึกษาไทยเริ่มต้นด้วยการ "ท่องจำ" ผ่านมาเป็นร้อยปี "ยังท่องอยู่"!
หมอประเวศ บอกว่า แนวคิดการศึกษาไทยตอนนี้ มันผิด! เป็นแนวคิดอาณานิคม ซึ่งก่อนหน้านี้ เมื่อสมัยรัชกาลที่ 5 ที่เริ่มมีการศึกษา ตอนนั้นมหาอำนาจยุโรปมาคุกคาม ไทยกลัวมาก เพราะคิดว่าเขามีอำนาจ และยุโรปมีความรู้ และไทยไม่มีความรู้ จึงต้องจัดการศึกษา จากนั้นก็ต่อท่อตรงมาเลย ด้วยการท่องจำ ซึ่งตอนนั้นมีความจำเป็น

"แต่เราทำแบบนั้นนานเกิน และมากเกิน พ่อแม่ก็ถาม ลูกท่องหนังสือหรือยัง เลยมากำหนดแนวคิดการศึกษาไทย แล้วทีนี้ต้องดูว่า การศึกษาไทยเป็นการถ่ายทอด หรือการท่องจำ ท่องจำมันจำกัดมาก เพราะมนุษย์มีศักยภาพในการเรียนรู้มาก ในทุกมิติ จะเรียนรู้อะไรก็ได้ แต่เราเอาการศึกษามาเป็นการท่องจำ มาเป็นตัวตั้งเท่านั้น ก็แยกส่วนออกจากชีวิตไปเลย มันไม่ใช่ ธรรมชาติของสมองมีเซลล์เรื่องมี Mirror Neuron เห็นคนทำอะไร ก็ทำได้เลย เรียนรู้จากการเห็นคนอื่นทำ และทำเอง ท่องหนังสือยากจะตาย จำไม่ได้ แล้วครูก็ว่าเด็กเรียนไม่เก่ง อะไรที่ทำบ่อยๆ ก็ทำได้เอง นักศึกษาแพทย์ที่ศิริราช มีหอพักแถวนี้ เวลาสอบทีก็มีเสียงโหยหวน เครียด พวกนักเรียนผู้หญิงประจำเดือนหยุดเลย เครียดมาก"

หมอประเวศ ระบุว่า การศึกษาต้องมีความสุข ถ้ามีความสุขก็อยากทำอีก แต่เราทำให้การศึกษาเป็นความทุกข์ คนเลยไม่อยากศึกษา และคนไทยไม่ชอบเรียนรู้ เพราะทำให้การเรียนรู้เป็นความทุกข์ นอกจากนี้ คิดว่าเอาวิชาการเป็นฐานแล้วจะดี

"เราเรียนภาษาไทย เอาไวยากรณ์เป็นหลัก ซึ่งมันยาก คนเราพูดในชีวิตมันไม่ได้ตรงเป๊ะ เราเน้นความงาม ความดื่มด่ำ และความสุข คนก็เกลียดภาษาไทยหมด ถ้าเอาชีวิตเป็นตัวตั้งก็พูดเลย ไม่ช้าก็พูดได้ เพราะฉะนั้นจุดตรงนี้ก็ต้องปรับ ชีวิตมีเรื่องมากกมาย และเรียนรู้หลายเรื่อง แนวคิดผิด ก็เลยทำให้ระบบผิด"



ระบบการศึกษาแบบไซโล บีบคั้น-แออัด เหลือเกิน
อีกปมของการศึกษาไทย คือ ระบบไซโล (Xylo) และจัดการแบบรวมศูนย์อำนาจ คือที่ ศธ. ซึ่งกำหนดมาตรการ มาตรฐาน กะเกณฑ์ทั่วทั้งประเทศ จนสุดท้ายเป็นการควบคุมไปโดยปริยาย ซึ่งเห็นว่า ไม่เข้ากัน เพราะการศึกษา ควรเป็นเรื่องความงอกงามอย่างหลากหลายที่ไม่มีจุดสิ้นสุด

"เหมือนเอาต้นไม้มาให้กระถางแล้วเป็นบอนไซเหมือนกันหมด แทนที่จะเป็นป่าที่มีหลากหลายพืชพันธุ์ ควบคุมนู่นนี่ แต่ถ้ามีแนวคิดเรื่องความหลากหลาย ศธ.จะเล็กมาก และมีหน้าที่ไปชื่นชมแทน ส่วนระบบก็มีปัญหา เพราะเป็นแบบไซโล และรวมส่วนอำนาจ มันบีบคั้น และแออัดมาก"
รูปแสดงแท่งไซโลทางการศึกษาที่ลอยตัวจากสภาพเป็นจริงของสังคมไทย ที่หมอประเวศวาดให้ทีมข่าวดู
ระบบไซโลที่ หมอประเวศ พูดนั้น คือ การแยกส่วนการเรียนรู้ในระบบ ออกจากสังคม โดยให้เด็กมุ่งสอบเพื่อนเลื่อนชั้น โดยไม่สนใจความเป็นไปของสังคม

"ทำมาร้อยกว่าปีแยกส่วนจากชีวิต ชีวิตก็สำคัญ แต่การศึกษาไม่ใช่ ชีวิตก็ทิ้งไปเลย เข้าประถมก็มาท่อง เพื่อไปสอบเข้ามัธยม และอุดมฯ เลยเป็นแท่งไซโลทางการศึกษาแบบนี้ ดิ่งเดี่ยว ด้วยการท่องแบบนี้ ทำให้การจราจาทางการศึกษา แออัดมาก มันก็บีบคั้นอย่างที่ว่าต้องสอบ ต้องติว สุดท้ายเป็นการค้า จ่ายครบ จบแน่ คุณภาพต่ำหมด เพราะมันแน่นไปหมดเลย"

ปฎิรูปการเรียนรู้ ก็ต้องทำ!
"กระบวนการเรียนรู้" คือ อีกสิ่งที่ต้องปฏิรูป ไม่ใช่การท่องหนังสือเท่านั้น แต่ หมอประเวศ บอกว่า จะต้องพัฒนากันในทุกมิติ และเต็มศักยภาพตามความเป็นมนุษย์ที่มีศักดิ์ศรี และศักยภาพในการสร้างสรรค์ โดยเฉพาะการส่งเสริมให้คนไทยรู้สึกมีเกียรติ และรู้จักภูมิใจในตัวเอง ก็จะทำให้ประเทศชาติมีพลัง ซึ่งการพัฒนากระบวนการเรียนรู้มีส่วนช่วยให้เกิดสิ่งนี้

"การศึกษาทำให้ไม่มีศีลธรรม ทำให้คนส่วนใหญ่ไม่มีเกียรติ ประเทศเราต้องมีหลักใหญ่ คือ คนไทยทุกคนมีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ และมีศักยภาพของความสร้างสรรค์ และเชื่อว่าเราทำอะไรดีๆ ได้ ประเทศจะได้มีพลัง แต่ตอนนี้มายาคติต่างๆ ทางการศึกษาทำให้เหมือน คุกที่มองไม่เห็น หรือ the invisible prison เพราะฉะนั้น มันต้องปลดปล่อยตัวเองออกไป เราจน เราความรู้น้อย พ่อแม่เราไม่ได้ฐานะใหญ่โต พวกนี้เป็นมายาคติทั้งสิ้น ถ้ามีสำนึกตัวนี้ เราจะมีความสุขในตัวอย่างลึกล้ำ การศึกษาต้องเป็นพลังที่ทำให้คนมีเกียรติศักดิ์ศรี"

3 เรื่องที่ควรปฏิรูปของหมอประเวศ ยังไม่จบเพียงเท่านี้ "ไทยรัฐออนไลน์" จะมีตอนต่อไป ที่หมอประเวศจะพูดว่า "แล้วจะปฏิรูปทั้ง 3 เรื่องได้อย่างไร?" ติดตามได้ในวันอังคารที่ 30 ก.ย.นี้.

ที่มา ไทยรัฐออนไลน์ 25 ก.ย. 2557




Create Date : 25 กันยายน 2557
Last Update : 25 กันยายน 2557 11:48:59 น. 1 comments
Counter : 904 Pageviews.

 
สวัสดีนะจ้ะ เราแวะมาเยี่ยมนะจ้ะ ^____^ สักคิ้ว 6 มิติ ลบรอยสักคิ้วด้วยเลเซอร์ ลบรอยสักคิ้ว Eyebrow Tattoo Removal เพ้นท์คิ้วลายเส้น เพ้นท์คิ้ว 3 มิติ
ให้ใจหายใจ สุขภาพ วิธีลดความอ้วน การดูแลสุขภาพ อาหารเพื่อสุขภาพ ออกกำลังกาย สุขภาพผู้หญิง สุขภาพผู้ชาย สุขภาพจิต โรคและการป้องกัน สมุนไพรไทย ขิง น้ำมันมะพร้าว ผู้หญิง ศัลยกรรม ความสวยความงาม แม่ตั้งครรภ์ สุขภาพแม่ตั้งครรภ์ พัฒนาการตั้งครรภ์ 40 สัปดาห์ อาหารสำหรับแม่ตั้งครรภ์ โรคขณะตั้งครรภ์ การคลอด หลังคลอด การออกกำลังกาย ทารกแรกเกิด สุขภาพทารกแรกเกิด ผิวทารกแรกเกิด การพัฒนาการของเด็กแรกเกิด การดูแลทารกแรกเกิด โรคและวัคซีนสำหรับเด็กแรกเกิด เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ อาหารสำหรับทารก เด็กโต สุขภาพเด็ก ผิวเด็ก การพัฒนาการเด็ก การดูแลเด็ก โรคและวัคซีนเด็ก อาหารสำหรับเด็ก การเล่นและการเรียนรู้ ครอบครัว ชีวิตครอบครัว ปัญหาภายในครอบครัว ความเชื่อ คนโบราณ


โดย: peepoobakub วันที่: 16 มีนาคม 2560 เวลา:14:24:56 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

หนี่งหน่อง
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 33 คน [?]




pub-1485477287124314
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add หนี่งหน่อง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.