อ่านเรื่อยๆ มาเรียง ๆ ทุกวันของ หนี่งหน่อง นะครับ

เลือกกินอาหารถนอมเต้า ลดเสื่ยง มะเร็งเต้านม

ทุกวันนี้การเกิด มะเร็งเต้านม มีอัตราสูงขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากพฤติกรรมความเป็นอยู่เปลี่ยนไป บริโภคอาหารที่มีไขมันสูงขึ้น และขาดการออกกำลังกาย ซึ่งถือเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สามารถควบคุมได้ ผู้หญิงจึงมีทางเลือกมากมายที่จะป้องกันการเสียเต้าและรวมถึงการป้องกันโรคหัวใจด้วย ถ้ารู้จักปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคและออกกำลังกายเสียบ้างตามข้อแนะนำต่อไปนี้

iStock_000017732823_Small

ดูแลน้ำหนักตัว อย่าอ้วน

น้ำหนักตัวที่วิ่งตามอายุในวัยผู้ใหญ่มีความสัมพันธ์กันอย่างชัดเจนกับกับความเสี่ยงการเกิด มะเร็งเต้านม ในวัยหมดประจำเดือน  ยิ่งอ้วนเท่าไร ความเสี่ยงก็ยิ่งสูงขึ้นเป็นเงาตามตัว

บริเวณที่ไขมันสะสมตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายสามารถบ่งชี้ความเสี่ยงของ มะเร็งเต้านม ได้ หญิงที่มีรูปร่างแบบลูกแอ๊ปเปิ้ล คืออ้วนลงพุง จะมีไขมันสะสมในส่วนหน้าท้องมาก จึงมีระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนสูงขึ้น และเรียกร้องให้ มะเร็งเต้านม มาเยือน ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนที่มีรูปร่างแบบนี้มีความเสี่ยง มะเร็งเต้านม มากกว่าหญิงที่อ้วนแบบรูปชมพู่หรือลูกแพร์ ถึง 43 เปอร์เซ็นต์

เลือกชนิดไขมัน

โดยทั่วไปนักวิจัยเชื่อว่าอาหารไขมันจะเพิ่มระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนในเลือดซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยง โดยกระตุ้นให้เกิด มะเร็งเต้านม ได้

แต่ผู้เชี่ยวชาญบางท่านเชื่อว่าเนื้อแดงและผลิตภัณฑ์นมที่มีไขมันสูง โดยเฉพาะไขมันอิ่มตัว มีองค์ประกอบอื่นที่เพิ่มความเสี่ยง มะเร็งเต้านม เช่น อาหารเนื้อแดงที่ปรุงสุกโดยใช้ความร้อนสูงๆ โดยเฉพาะวีธีการปิ้งย่างจะมีสารก่อมะเร็งเกิดขึ้น ซึ่งกระตุ้นการเจริญของ มะเร็งเต้านม ในสัตว์ทดลอง และผลิตภัณฑ์นมไขมันสูงมีฮอร์โมนที่ละลายในไขมันหรือสารเร่งการเจริญการเติบโตที่อาจก่อมะเร็ง

กินอาหารพืชถนอมเต้า

ผักผลไม้ประกอบด้วยสารพฤกษเคมี สารต้านอนุมูลอิสระ เบต้าแคโรทีน และวิตามินซีสูง ซึ่งวิตามินทั้งสองเป็นสารแอนติออกซิแดนท์ ช่วยป้องกันมะเร็งโดยการลดอนุมูลอิสระ ทำให้ดีเอ็นเอ (DNA) ไม่ถูกทำลาย

ผักที่มีสีส้ม สีเขียวจัด และผักตระกลูครูซิเฟอรัส (กะหล่ำปลี บร็อคเคอลี ดอกกะหล่ำ คะน้า กวางตุ้ง และแขนงผัก) ให้ผลในการป้องกัน มะเร็งเต้านม มาก

กินถั่วเหลืองพอประมาณ

ถั่วเหลืองมีสารไอโซฟลาโวนส์ หรือฮอร์โมนพืช ซึ่งเป็นพฤกษเคมีที่มีฤทธิ์น้อยกว่าฮอร์โมนเอสโตรเจนของคน ก่อนหน้านี้พบว่าให้ผลมากที่สุดในการต่อต้าน มะเร็งเต้านม  นักวิจัยเชื่อว่าฮอร์โมนพืชสามารถจับกับตัวรับของฮอร์โมนเอสโตรเจน ยับยั้งเอสโตรเจนเข้าไปในเซลล์เต้านม ซึ่งอาจจะกระตุ้นการเจริญของเซลมะเร็ง งานวิจัยเพื่อดูผลของไอโซฟลาโวนส์ต่อการเกิด มะเร็งเต้านม พบผลที่ไม่แน่นอนจากผลิตภัณฑ์เสริมไอโซฟลาโวนส์มากกว่าจากอาหารถั่วเหลือง บางงานวิจัยพบว่าผลิตภัณฑ์เสริมไอโซฟลาโวนส์อาจกระตุ้นเซลมะเร็ง โดยเฉพาะในผู้หญิงที่มีประวัติการเป็น มะเร็งเต้านม มาก่อน

ผู้เชี่ยวชาญด้านการวิจัยถั่วเหลืองและโรคมะเร็งจึงแนะว่า สำหรับผู้หญิงที่ไม่มีความเสี่ยง มะเร็งเต้านม การบริโภคถั่วเหลืองไม่เกินวันละ 2 ที่เสิร์ฟ ปลอดภัยไม่กระตุ้นเซลล์มะเร็ง แต่หญิงที่มีความเสี่ยงสูงควรบริโภคถั่วเหลืองไม่เกินสัปดาห์ละ 2-3 ที่เสิร์ฟ และงดการเสริมสารไอโซฟลาโวนส์ซึ่งมีปริมาณมากกว่าในถั่วเหลืองหลายเท่า

ระวังแอลกอฮอล์ทำลายเต้า

เครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพิ่มความเสี่ยง มะเร็งเต้านม สำหรับผู้หญิงที่ดื่มเฉลี่ยวันละดริ๊งค์มีความเสี่ยงน้อย ในขณะที่การดื่มมากขึ้น ความเสี่ยงก็เพิ่มขึ้นตาม  นอกจากนี้แอลกอฮอล์ยังมีผลเสียกับสุขภาพของหญิงที่กำลังย่างเข้าสู่วัยหมดประจำเดือนอีกด้วย นั่นก็คือทำให้กระดูกบาง สำหรับผู้ที่นานๆดื่มทียังไม่ค่อยมีผลต่อ มะเร็งเต้านม นัก

ปริมาณแอลกอฮอล์ 1 ดริ๊งค์มาตรฐานคือ เบียร์ 1 กระป๋อง หรือ 1 แก้ว ขนาด  360 ซี.ซี.หรือไวน์ 1 แก้ว 150 ซี.ซี. หรือวิสกี้  45 ซี.ซี.

และสำหรับผู้ที่ดื่มสม่ำเสมอ  ควรจะรับประทานอาหารที่มีโฟเลตสูงๆ (ผักในเขียว น้ำส้มคั้น ถั่วต่างๆ วิตามินเสริม) จะช่วยลดความเสี่ยงจากผลของแอลกอฮอล์ ปริมาณโฟเลตที่ให้ผลในการป้องกันมากที่สุดคือ วันละ 600 ไมโครกรัม

หมั่นออกกำลังกายถนอมเต้า

งานวิจัยรายงานไว้ว่า การออกกำลังกายสม่ำเสมอลดความเสี่ยง มะเร็งเต้านม ถึง 40  เปอร์เซ็นต์ และความแรงของการออกกำลังกายมีผลมากกว่าระยะเวลาการออกกำลังกาย และการออกกำลังกายจะให้ผลมากที่สุดในคนที่ไม่อ้วน

ข้อสรุปในการป้องกันมะร้งเต้านม ณ ขณะนี้คือ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการดำเนินชีวิตให้ดีขึ้นทั้งการเลือกบริโภค และการออกกำลังกาย ยิ่งเริ่มเร็วเท่าไรก็รับผลประโยชน์เร็วเท่านั้น เพราะนอกจากจะป้องกันโรคมะเร็งแล้วยังช่วยป้องกันโรคเรื้อรังอื่นๆ เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดและความดัน โรคเบาหวาน โรคกระดูกพรุน และสารพัดโรคอีกมากมายเมื่อวัยมากขึ้น

ขอบคุณที่มาจาก : Health&Cuisine มกราคม, Issue 48




 

Create Date : 08 มกราคม 2558    
Last Update : 8 มกราคม 2558 10:35:34 น.
Counter : 5675 Pageviews.  

มองคําขวัญ วันเด็กแห่งชาติ ผ่านยุดสมัยทางการเมือง จากอดีตถึงปัจจุบัน

มองคำขวัญ’วันเด็กแห่งชาติ‘ ผ่านยุคสมัยทางการเมือง จากอดีตถึงปัจจุบัน

เป็นธรรมเนียมทุกปีที่นายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้ารัฐบาลบริหารประเทศจะเป็นผู้มอบ คำขวัญวันเด็กแห่งชาติ ซึ่งธรรมเนียมนี้มีมาตั้งแต่วันเด็กแห่งชาติครั้งที่ 1 จัดขึ้นวันที่  3 ตุลาคม พ.ศ. 2498 ตรงกับยุคสมัยของรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม โดยในตอนนั้นกำหนดวันจันทร์แรกของเดือนตุลาคมเป็นวันเด็กแห่งชาติซึ่งจอมพล ป.พิบูลสงคราม ได้มอบคำขวัญวันเด็กแห่งชาติครั้งแรก ว่า “จงบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นและส่วนรวม” ซึ่งสอดคล้องนโยบายรัฐนิยมของท่านผู้นำที่มุ่งหวังให้คนไทยคิดถึงประโยชน์ส่วนรวมและชาติเป็นสำคัญ

พอหมดยุครัฐบาลจอมพลป.พิบูลสงคราม โดยการรัฐประหารของจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรียาวนานตั้งแต่ปี พ.ศ.2502-พ.ศ.2506 กินเวลายาวนาน5ปี คำขวัญวันเด็กในสมัยของจอมพลผ้าขาวม้าแดงนี้มีเอกลักษณ์ไปในแบบของยุคทหารปฏิวัติ โดยมีคำขึ้นต้นเหมือนกันคือ “ขอให้เด็กสมัยปฏิวัติของข้าพเจ้า จงเป็นเด็กที่….”  สะท้อนแนวคิดรัฐบาลเผด็จการทหารอย่างเด่นชัดที่สุด

200px-Salit_thanarat

พ.ศ. 2502     ขอให้เด็กสมัยปฏิวัติของข้าพเจ้า จงเป็นเด็กที่รักความก้าวหน้า
พ.ศ. 2503     ขอให้เด็กสมัยปฏิวัติของข้าพเจ้า จงเป็นเด็กที่รักความสะอาด
พ.ศ. 2504     ขอให้เด็กสมัยปฏิวัติของข้าพเจ้า จงเป็นเด็กที่อยู่ในระเบียบวินัย
พ.ศ. 2505     ขอให้เด็กสมัยปฏิวัติของข้าพเจ้า จงเป็นเด็กที่ประหยัด
พ.ศ. 2506     ขอให้เด็กสมัยปฏิวัติของข้าพเจ้า จงเป็นเด็กที่มีความขยันหมั่นเพียรมากที่สุด

หลังจากนั้นในปี พ.ศ.2507 ได้มีการงดจัดงานวันเด็กแห่งชาติและเปลี่ยนการจัดงานวันเด็กแห่งชาติเป็นวันเสาร์ที่2 ของเดือนมกราคม และถูกจัดขึ้นในปีต่อมาในยุครัฐบาลเผด็จการของจอมพล ถนอม กิตติขจร ที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรียาวนานกว่า 9 ปี [พ.ศ.2508-2516] ถึงแม้ว่ารัฐบาลของจอมพลถนอมจะเป็นเผด็จการทหารไม่ต่างจากยุคจอมพลสฤษดิ์ แต่จะเห็นได้ว่าคำขวัญวันเด็กในยุคนี้ดูจะสะท้อนระบอบการเมืองน้อยลงและมุ่งไปที่การให้เด็กไทยมีความเพียรพยายาม การฝึกตนเพื่อเป็นเด็กฉลาด เป็นเด็กผู้มีการศึกษา โดยคำขวัญที่จำขึ้นใจคนไทยหลายคนคือ คำขวัญวันเด็กปีพ.ศ.2516 ที่ว่า “เด็กดีเป็นศรีแก่ชาติ เด็กฉลาดชาติเจริญ”

spd_20091203184908_b

จากนั้นเรื่อยมาก็ผลัดเปลี่ยนรัฐบาลมาเรื่อยๆ ป 2 – 3 เปลี่ยนครั้ง จนกระทั่งมาสู่ยุคของ พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรี 8ปี ที่คำขวัญวันเด็กของป๋าเปรมนี้มุ่งเน้นให้เด็กไทยเป็นผู้มีวินัย ที่สำคัญคือ มีเรื่องของความประหยัดและนิยมความเป็นไทย ดังคำขวัญปี พ.ศ.2530 “นิยมไทย มีวินัย ใช้ประหยัด ใจสัตย์ซื่อ ถือคุณธรรม”

วันเด็กถูกจัดขึ้นอย่างต่อเนื่องจนมาถึงช่วงของพตท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรียาวนาน5ปี มีคำขวัญวันเด็กทื่เก๋ไก๋ ทันสมัย ให้เด็กได้เล่นอย่างมีความรู้และเข้าสู่ยุคของเทคโนโลยี เช่น เรียนให้สนุก เล่นให้มีความรู้ สู่อนาคตที่สดใส,เรียนรู้ตลอดชีวิต คิดอย่างสร้างสรรค์ ก้าวทันเทคโนโลยี ซึ่งคำขวัญของอดีตนายกฯทักษิณ ก็คล้ายน.ส.ยิ่งลักษณ์ น้องสาว ที่มุ่งหวังให้เด็กเรียนรู้เทคโนโลยีเช่นเดียวกัน [สามัคคี มีความรู้ คู่ปัญญา คงรักษาความเป็นไทย ใส่ใจเทคโนโลยี(วันเด็ก:2556)] สุดทายในช่วงของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา  นายกรัฐมนตรีคนล่าสุด ที่ให้คำขวัญง่ายๆ สั้นว่า “ความรู้ คู่คุณธรรม นำสู่อนาคต” 

B32df-SCYAEoTqs

ข้อสังเกตคือ คำขวัญวันเด็กส่วนใหญ่จะยึดเรื่องความรู้เป็นอันดับแรก ตามมาด้วยความมีวินัย คุณธรรม และค่านิยมทางสังคมที่ดี แต่ไม่ได้มุ่งหวังให้เด็กไทยกล้าคิด กล้าทำ อันเป็นจุดเริ่มต้นของความคิดสร้างสรรค์ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยต่อยอดองค์ความคิดของเด็กได้มากที่สุด โดยในคำขวัญที่พูดถึงการแสดงออกทางความคิดของเด็กไทยในคำขวัญวันเด็กแห่งชาติตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน มีเพียงคำขวัญเดียวของพตท.ทักษิณ ที่ว่า เด็กรุ่นใหม่ ต้องขยันอ่าน ขยันเรียน กล้าคิด กล้าพูด

อย่างไรก็ตามในยุคสมัยที่เปลี่ยนไป เด็กในวันนี้เป็นผู้ใหญ่ในวันข้างหน้าที่เปลี่ยนไปเช่นเดียวกัน เทคโนโลยีเข้ามาแทนที่หลายๆอย่าง ความคิดความอ่านของเด็กสมัยนี้กับยุคก่อนนั้นไม่เหมือนกันอย่างสิ้นเชิง อิสระทางความคิดของเด็กมีเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย คำขวัญวันเด็กจึงไม่ควรแต่สะท้อนเรื่องของค่านิยมแบบเดิมๆ แต่ควรจะก้าวไปพร้อมกับวัยของเด็กที่กำลังหมุนตามโลกยุคที่คนรุ่นเราเรียกว่ายุคโลกาภิวัฒน์ด้วย

ขอบคุณภาพจาก //www.su-usedbook.com

BY Nookkill :P




 

Create Date : 08 มกราคม 2558    
Last Update : 8 มกราคม 2558 10:32:53 น.
Counter : 1410 Pageviews.  

สาเหตุของความดันโลหิตสูง(หมอชาวบ้าน)

สาเหตุของความดันโลหิตสูง (หมอชาวบ้าน) 

โดย นพ.พินิจ ลิ้มสุคนธ์

ปัจจุบันนี้เกือบทุกคนที่เป็นผู้ใหญ่คงคุ้นเคยกับโรคความดันโลหิตสูง ซึ่งประกอบด้วยการมีความดันโลหิตที่มีค่าสูงเกินปกติ และมีผลกระทบต่ออวัยวะต่าง ๆ โดยเฉพาะหัวใจและหลอดเลือด

หัวใจจะทำงานหนักขึ้นเพราะต้องสูบฉีดแรงขึ้น ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจหนาขึ้น หัวใจโตและหัวใจล้มเหลวตามมา หลอดเลือดแดงทั่วทั้งตัวจะมีผนังหนาขึ้น โดยเฉพาะหลอดเลือดแดงขนาดเล็กที่อยู่ในเนื้อเยื่อต่าง ๆ จะได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุด จึงเกิดการเสื่อมของผนังหลอดเลือดเหล่านี้ ซึ่งจะนำไปสู่การตีบตันหรือแตก และอวัยวะที่เกี่ยวข้องเกิดความเสียหายและขาดเลือดหรือมีเลือดออก

ความผิดปกติที่เกิดขึ้นเป็นผลของการเปลี่ยนแปลงทั้งทางฟิสิกส์ คือ ความดันหรือแรงดันในหลอดเลือดสูงขึ้น และการเปลี่ยนแปลงทางชีวเคมี คือ การที่เซลล์ของผนังหลอดเลือดมีความผิดปกติ เกิดการเสื่อมและมีการอักเสบเรื้อรัง ซึ่งจะนำไปสู่การเกิดไขมันจับผนังหลอดเลือด และมีการดื้ออินซูลิน ทำให้เกิดโรคเบาหวาน หรือการควบคุมเบาหวานยากขึ้น เกิดภาวะแทรกซ้อนง่ายขึ้น ซึ่งการเปลี่ยนแปลงทางชีวเคมีนี้เป็นเรื่องที่เข้าใจยากและถูกมองข้ามไป แพทย์ส่วนใหญ่จึงให้ความสนใจเพียงแค่ค่าความดันโลหิตที่วัดได้ซึ่งไม่ถูกต้องนัก




นอกจากการมองข้ามผลกระทบทางชีวเคมี ทั้งแพทย์และผู้ป่วยส่วนใหญ่ยังละเลยการสืบค้นสาเหตุของความดันโลหิตสูง ถึงแม้ว่าผู้ป่วยด้วยโรคความดันโลหิตสูงเกือบทั้งหมดจะไม่มีสาเหตุที่แน่ชัด โดยมากจะมีปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เช่น อายุมาก กรรมพันธุ์ การสูบบุหรี่ การบริโภคเกลือเป็นประจำ เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง และความเครียด แต่มีผู้ป่วยทางรายที่มีสาเหตุและบางอย่างก็สามารถแก้ไขได้ ทำให้ไม่ต้องใช้ยาควบคุมความดันโลหิตไปตลอด ซึ่งสาเหตุต่าง ๆ มีดังนี้

โรคไต ได้แก่ ไตพิการเรื้อรัง หรือหลอดเลือดแดงของไตตีบตัน ซึ่งการตรวจร่างกายจะต้องตรวจหาร่องรอยของไตพิการ และต้องฟังที่ท้องและเอวว่ามีเสียงฟู่ของหลอดเลือดตีบหรือไม่ ต้องตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ และตรวจไตด้วยวิธีพิเศษ เช่น อัลตราซาวนด์ เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ หรือตรวจด้วยสนามแม่เหล็ก

โรคของต่อมไร้ท่อ โดยเฉพาะต่อมหมวกไต ซึ่งจะผลิตฮอร์โมนบางอย่างทำให้เกิดความดันโลหิตสูง ผู้ป่วยมักจะมีความดันโลหิตสูงมากเป็นพัก ๆ หรือมีความดันโลหิตสูงร่วมกับภาวะโพแทสเซียมในเลือดต่ำ ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนกำลังเป็น ๆ หาย ๆ การตรวจวินิจฉัย คือ การตรวจฮอร์โมนและการใช้อัลตราซาวนด์ เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ หรือการตรวจด้วยสนามแม่เหล็ก

นอกจากนี้ ผู้ที่มีโรคของต่อมหมวกไตอาจเกิดอาการผิดปกติที่มีลักษณะพิเศษ คือ ความดันโลหิตสูง อ้วนบางส่วน คือหน้ากลมคล้ายดวงจันทร์ ท้องโต หลังนูนเป็นหนอก แต่แขนขาลีบเล็กลงอ่อนกำลัง มีหนวดขึ้นหรือมีขนที่ใบหน้ามากขึ้น บวมทั้งตัวแต่ไม่มาก ท้องลายเป็นสีม่วงจาง ๆ ต่างจากคนตั้งครรภ์หรือคนอ้วนทั่วไปที่ลายซีด ๆ

โรคหลอดเลือดแดงใหญ่ในอกตีบแคบมาแต่กำเนิด หรือหลอดเลือดขนาดใหญ่อักเสบเรื้อรังจนตีบตัน ตรวจร่างกายพบชีพจรแขนขาแรงไม่เท่ากัน หรือชีพจรบางแห่งเบาผิดปกติ การวัดความดันโลหิตจึงต้องวัดเทียบกันทั้งแขนขวากับแขนซ้ายและแขนกับขา

สาเหตุจากยา ได้แก่ ยากลุ่มสตีรอยด์ ยาต้านการอักเสบ (เช่น ยาแก้ปวดข้อ ข้ออักเสบ) ยาที่มีฤทธิ์หดหลอดเลือด (เช่น ยาแก้คัดจมูก และยาที่กระตุ้นระบบประสาทอัตโนมัติบางอย่าง) จึงต้องตรวจสอบการใช้ยาของผู้ป่วยด้วย แม้แต่ยาสมุนไพรบางอย่างก็มีสารสตีรอยด์ หรือมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุได้เช่นกัน (เช่น ชะเอม)




ดังนั้น ผู้ป่วยความดันโลหิตสูงทุกคน ควรสอบถามแพทย์ที่ตรวจรักษาตนดังนี้

สาเหตุของความดันโลหิตสูงของตนคืออะไร จะเกิดจากโรคไต โรคต่อมหมวกไต โรคหลอดเลือด หรือเกิดจากยาได้หรือไม่

ผลกระทบที่เกิดจากความดันโลหิตสูงคืออะไร ต่อไปจะมีปัญหากับหัวใจและอวัยวะที่สำคัญอื่น ๆ หรือไม่ จะทราบได้อย่างไร รวมถึงจะป้องกันและแก้ไขอย่างไร

ผู้ป่วยรายหนึ่ง เป็นชายไทยวัยทำงาน มาพบผู้เขียนด้วยอาการปวดศีรษะรุนแรงเป็นพัก ๆ ตรวจพบว่าขณะปวดศีรษะผู้ป่วยจะมีความดันโลหิตสูงขึ้นมาก และลดลงเป็นปกติพร้อม ๆ กับหายปวดศีรษะ ลักษณะเช่นนี้สงสัยว่าอาจจะเป็นเนื้องอกชนิดหนึ่งของต่อหมวกไต จึงได้ตรวจฮอร์โมนและทำอัลตราซาวนด์ท้อง ผลออกมาปกติ

แต่เนื่องจากยังข้องใจอยู่จึงส่งตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ปรากฏว่า มีเนื้องอกของปมประสาทข้างต่อมหมวกไต (เป็นชนิดเดียวกับเนื้องอกของต่อมหมวกไต) ซึ่งจะทำให้ความดันโลหิตสูงเป็นพัก ๆ หลังการผ่าตัดเอาเนื้องอกออก อาการปวดศีรษะ จึงหายสนิทและความดันโลหิตปกติดี

ผู้ป่วยจึงกลับบ้านด้วยความรู้สึกทั้งดีใจที่หายสนิท โดยไม่ต้องกินยาความดันไปหลอด และอีกความรู้สึกหนึ่งคือความประหลาดใจที่ตนเองมาพบแพทย์ด้วยอาการปวดที่ศีรษะ แต่กลับมีสาเหตุอยู่ในท้อง จนต้องผ่าตัดมีแผลที่หน้าท้องยาวมากกว่าคีบ

นี่ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งที่ชี้ให้เห็นว่าสาเหตุของความดันโลหิตสูงอาจเกิดจากสาเหตุอื่นที่คาดไม่ถึงก็ได้

ขอบคุณที่มาจาก นิตยสารหมอชาวบ้าน




 

Create Date : 08 มกราคม 2558    
Last Update : 8 มกราคม 2558 10:29:04 น.
Counter : 1030 Pageviews.  

มาม่าปลาสลิด เปลื่ยนเมนูมาม่าให้มีสาระแบบง่ายๆ

มาม่าปลาสลิด เปลี่ยนเมนูมาม่าให้มีสาระแบบง่าย ๆ

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก iCooK และ เฟซบุ๊ก iCook by KuCook

สาวกมาม่าอย่ารอช้า มาจับสูตรมาม่าปลาสลิดจานนี้ไปหม่ำกันเร็ว เมนูมาม่าดูดีที่ไม่จำเป็นต้องทำยาก มีสาระแถมอร่อยเว่อร์ !

          เมนูมาม่าไม่ใช่แค่เป็นเมนูสำหรับสิ้นเดือนเท่านั้นนะคะ มาม่าหรือบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปสามารถนำมาทำเป็นเมนูอร่อย ๆ ได้อีกตั้งเยอะแยะ เช่นเดียวกับเมนู มาม่าปลาสลิด จานนี้ ที่เปลี่ยนเมนูมาม่าธรรมดาให้ดูดีมีสาระขึ้น แถมทำง่ายมาก ใส่ปลาสลิดทอดกรอบ ๆ เข้าไปเพิ่มความอร่อยสักหน่อย ดูหรูหราน่าตาดีขึ้นเยอะเลย เป็นสูตรมาจาก iCooK มาถึงตรงนี้แล้วใครที่สนใจก็ลงมือกันเลย !

ส่วนผสม

มาม่ารสชาติตามชอบ 1 ซอง

หน่อไม้ฝรั่ง (หรือผักอื่น ๆ ตามชอบ)

พริกชี้ฟ้าแดงหั่น

ปลาสลิดทอดกรอบ

วิธีทำ

1. ลวกมาม่ากับหน่อไม้ฝรั่งจนสุก ตักขึ้นสะเด็ดน้ำจนแห้ง

2. ใส่ผงปรุงรสมาม่าและพริกชี้ฟ้าแดงลงไป คลุกเคล้าให้เข้ากัน ตักใส่จาน

3. วางปลาสลิดทอดกรอบบนเส้นมาม่า แต่งด้วยใบโหระพาให้สวยงาม พร้อมเสิร์ฟ

   ง่าย ๆ ไม่ยุ่งยาก จากมาม่าธรรมดาก็มีสาระประโยชน์มากขึ้น นำไปลองทำกันดูนะคะ




 

Create Date : 07 มกราคม 2558    
Last Update : 7 มกราคม 2558 9:46:55 น.
Counter : 1417 Pageviews.  

สยอง! ศัลยกรรม ทําพิษ สาวบั้นท้ายงาม Miss Bum Bum

ศัลยกรรม ทำพิษ นางแบบสาวชาวบราซิล ผู้ครองตำแหน่งรองอันดับ 1  การประกวดสาวบั้นท้ายงาม Miss BumBum ในบราซิล เปิดเผยรูปภาพสุดสยองหลังรอดตาย

 แอนเดรสซ่า อูราช เมื่อครั้งฉีดฟิลเลอร์บั้นท้ายแล้ว
แอนเดรสซ่า อูราช  รองอันดับ 1  การประกวดสาวบั้นท้ายงาม Miss BumBum ในบราซิล อวด บั้นท้ายงอนงาม

คำเตือน : โปรดทานข้าว ก่อนเปิดชมภาพต่อไปนี้ 

นางสาว แอนเดรสซ่า อูราช วัย 27 ปี นางแบบสาวชาวบราซิล ใช้เวลาเป็นเดือนในการรักษาตัวอย่างใกล้ชิดในโรงพยาบาล ด้วยความกลัวว่าเธออาจจะเสียเรียวขาของเธอไปตลอดกาล หลังจาก สารฟิลเลอร์ที่ฉีดเข้าไปเพื่อเพิ่มขนาดบั้นท้าย ได้กัดกินกล้ามเนื้อขาของเธอจนติดเชื้ออย่างหนักจนเน่า ต้องรักษาตัวด้วยการดูดสารฟิลเลอร์ออก และนั่นก็ส่งผลใหญ่หลวงต่อชีวิตของเธอ

นี่คือภาพสุดช็อคสำหรับประเทศบราซิล (เราแน่ใจว่า มันก็ช็อคสำหรับผู้พบเห็นทั่วโลกแน่นอน) ประเทศซึ่งกำลังเป็นที่นิยมการศัลยกรรมเพื่อความงามอีกประเทศหนึ่งของโลก

แพทย์ต้องเจาะเอาไฮโดรเจลออก เพื่อรักษาชีวิต

นางสาว แอนเดรสซ่า อูราช สาวงาม ผู้ครองตำแหน่งรองอันดับ 1 การประกวดความงาม Miss BumBum ในบราซิลเธอได้ผ่านการศัลยกรรมไม่ต่ำกว่า 9 ครั้ง เมื่อ 5 ปีก่อน ทั้ง ศัลยกรรมจมูก ทำไบโอพลาสตี้เพื่อแก้ไขรูปหน้า ตัดกราม เพิ่มขนาดหน้าอก ดูดไขมัน และกระชับช่องคลอด อุ๊แม่เจ้า!!!!

จนในปี 2012 เธอได้ เข้าร่วมการประกวด Miss BumBum ในบราซิล เพื่อค้นหาสาวบั้นท้ายงาม จนได้ครองตำแหน่งรองอันดับ 1 และแน่นอนว่า บั้นท้ายนี้เธอได้มาจากการฉีดฟีลเลอร์ 2 ครั้ง ด้วยไฮโดรเจล และ PMMA เพื่อเพิ่มขนาดให้ใหญ่ขึ้นและเด่นเด้ง แต่ในเดือนกรกฎาคม ปี ค.ศ. 2014 มันก็ส่งผลต่อสุขภาพและการใช้ชีวิตของเธอ ไฮโดรเจล 400 มิลลิกรัม เริ่มไหลจากต้นขาของเธอ “ร่างกายฉันต่อต้าน ไฮโดรเจล และมันก็เริ่มทำปฏิกิริยาต่อร่างกาย” แอนเดรสซ่า อูราชกล่าว

ภาพถ่ายเมื่อครั้งที่ เริ่มต้นมีอาการ ปวดขา

ภาพถ่ายเมื่อครั้งที่ เริ่มต้นมีอาการ ปวดขา

ในช่วงที่เธอพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล นางมาริสเซ็ทเต้ เดอ ฟาบารี ได้โพสต์ทวิตข้อความ ให้แฟนคลับ 220,000 แอคเคานท์ ผู้ฟอลโลว์ ทวิตเตอร์ลูกสาวเธอร่วมกันสวดมนต์ อวยพรให้เธอหายดี

แอนเดรสซ่า อูราช พักรักษาตัวในโรงพยาบาลแอนเดรสซ่า อูราช พักรักษาตัว ไม่ได้สติ ในโรงพยาบาล

แอนเดรสซ่า อูราชกล่าวต่ออีกว่า “จนกระทั่งฉันได้มารักษาตัว จึงตรวจพบว่า PMMA ได้เกาะติดกับกล้ามเนื้อ กลายเป็นพังผืดที่ทำให้เนื้อเยื่อเน่า “

แพทย์ต้องเจาะเอาไฮโดรเจลออก เพื่อรักษาชีวิต
แพทย์ต้องเจาะเอาไฮโดรเจลออก เพื่อรักษาชีวิต

ถึงแม้เธอจะได้รับการผ่าตัด ดูดเอาสารฟิลเลอร์ออกแล้วถึง 2 ครั้ง แต่เธอก็ยังทุกข์ทรมานจากอาการกล้ามเนื้อเน่า ในเดือนพฤศจิกายน 2014 เธอถูกส่งตัวไปรักษาต่อที่โรงพยาบาล คอนเซียเซา ในเมืองพอร์โต้ อัลเลเกร้ เพื่อรักษาอาการติดเชื้ออย่างหนักที่ขาซ้ายจนช็อค และอยู่ในการดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด นี่คือจุดหักเหของชีวิตเธอ ระหว่างความเสี่ยงต่อการเสียชีวิต และจากอาการติดเชื้อขั้นโคม่า เธออาจเสียขาซ้ายไปด้วย

โพรงตามต้นขา เกิดจากการนำ ฟิลเลอร์ออก
โพรงตามต้นขา เกิดจากการเจาะ เพื่อนำ ฟิลเลอร์ออก

สิ่งเดียวที่ นางมาริสเซ็ทเต้ เดอ ฟาบารี แม่ของสาวงามผู้นี้มีความหวัง ในระหว่างที่ลูกสาวยังไม่ได้สติอยู่ใน I.C.U. ในวันที่ 10 ธันวาคมที่ผ่านมา คือ การล็อกอินเข้าทวิตเตอร์ของลูกสาว และร้องขอให้เหล่าฟอลโลเว่อร์ ร่วมกันสวดมนต์อวยพรให้ลูกสาวเธอฟื้นตัว

 แอนเดรสซ่า อูราช นางแบบสาวชาวบราซิล

ในวันที่ 26 ธันวาคม 2014 นางแบบสาวได้ทวิตข้อความว่า “ถึงที่รักของฉันทุกคน ขอบคุณสำหรับทุกๆ กำลังใจ และคำอวยพร ขอบคุณ พระผู้เป็นเจ้า ท่านกำลังประทานพรให้ฉัน ” (โอ้ว เยส! เธอรู้สึกตัวแล้ว!)

เธอเริ่มจะเดิน เริ่มวางเท้ากับพื้นแล้วนั่งได้บ้าง หลังจากที่เธอนอนสลบมาระยะใหญ่ แน่นอนว่ามันต้องมีอาการปวดระบม เธอได้รับมอร์ฟีนเพื่อระงับอาการปวดตั้งแต่เข้าโรงพยาบาล แต่ตอนนี้ ทีมแพทย์ได้หยุดให้มอร์ฟีนกับเธอแล้ว และเธอต้องทนกับอาการปวดตอนนี้ให้ได้

นอนไม่ได้สติอยู่ในโรงพยาบาล

และเนื่องจากการติดเชื้อ การรักษาจึงต้องทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อหลีกเลี่ยงโอกาสการติดเชื้ออื่นๆ เพิ่ม เธอจึงต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด และมีแต่แพทย์และ คุณแม่เธอเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้เข้าเยี่ยมเธอได้

เมื่อเธอเริ่มฟื้นตัวแล้ว หลังพ้นช่วงวิกฤต
ภาพนี้ถ่ายเมื่อเธอเริ่มฟื้นตัวแล้ว หลังพ้นช่วงวิกฤตครั้งใหญ่ของชีวิต

นางสาว แอนเดรสซ่า อูราช สาวงาม ผู้ครองตำแหน่งรองอันดับ 1 การประกวดความงาม Miss BumBum ในบราซิล ผู้เคยเป็นข่าวคาวอื้อฉาวไปทั่วโลก เมื่อครั้งประกาศตัวว่าได้เคยร่วมหลับนอนกับ นักฟุตบอลชื่อดัง คริสเตียโน่ โรนัลโด้มาแล้ว โดยเธออ้างว่า ทั้งคู่ได้เคยใช้เวลา 48 ชั่วโมงร่วมกันในโรงแรมแห่งหนึ่ง ก่อนการแข่งขันแชมเปี้ยนส์ลีก รอบเซมิ ไฟนอล ซึ่งทีมของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ได้แพ้ให้กับ ทีมโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ จากเยอรมันไป 4 – 1 แต่นักเตะหนุ่มได้ตอบปฏิเสธทาง Facebook อย่างหนักแน่นว่า” ผมเจ็บแค้นกับเรื่องนี้มาก นี่คือเรื่องโกหกคำโต แอนเดรสซ่า อูราช พยายามหาผลประโยชน์จากชื่อเสียงของเขา พร้อมยืนยันว่าในคืนนั้นเขาพักอยู่ที่โรงแรมในแมดริด จึงเป็นไปไม่ได้ที่ทั้งคู่จะไปร่วมหลับนอนกัน”

แอนเดรสซ่า อูราช พักรักษาตัวในโรงพยาบาล

ในปี 2013 บราซิลกลายเป็น ประเทศแห่งการประกอบธุรกิจศัลยกรรมเพื่อความงามมากที่สุดอีกแห่งหนึ่งของโลก เกิด สถานประกอบการด้านศัลยกรรม ถึงเกือบ 1.5 ล้าน และ เพิ่มขึ้นอีก 6 แสนสถานประกอบการ ภายในระยะเวลาเพียง 2 ปี ในจำนวนนี้มี คลินิกศัลยกรรมหน้าอกถึง 226,000 คลินิก และ 64,000 คลินิกที่รับเพิ่มขนาดสะโพกโดยเฉพาะ จัดได้เป็นประเทศที่มีธุรกิจศัลยกรรมมากที่สุดอันดับที่ 5 ของโลก

ข้อมูลจาก สถาบัน International Society of Aesthetic Plastic Surgeons ได้ระบุว่า ประเทศบราซิล มีศัลยแพทย์มากกว่า 5 พันคน ผู้ซึ่งมีความรู้ความชำนาญในด้านการยกกระชับใบหน้า 78,000 คน ศัลยกรรมจมูก 77,000 คน และ ยังสามารถขยายขนาดเจ้าโลกของผู้ชายอีก 219 คน (นี่มัน!!! มีมือมีดกี่คนกันแน่เนี่ย?)

นางสาว เจสสิก้า โลเปส ผู้ครองอันดับ 2 ของการประกวด Miss BumBum เพื่อนสนิทของ แอนเดรสซ่า อูราช ได้เคยให้สัมภาษณ์ว่า ” ฉันกับแอนเดรสซ่า มักจะไปศัลยกรรมด้วยกันเป็นประจำ เหมือนเรานัดกันไปช้อปปิ้งนั่นแหละ เราไม่กลัวเจ็บหรอกนะ เราทั้งคู่เสพติดความสวยน่ะ “

หลังจากได้ดูดเอา ไฮโดรเจล ออกจากต้นขาของเธอ
หลังจากได้ดูดเอา ไฮโดรเจล ออกจากต้นขาของเธอแล้ว

ถ้าความสวยที่คุณไปทำศัลยกรรมกันมา ต้องมา แลก ด้วย ความตาย หรือ สูญเสียอวัยวะ คุณเลือกอะไร

ดูผลโหวต

ที่มาจาก dailymail
เรียบเรียงโดย Women MThai Team




 

Create Date : 07 มกราคม 2558    
Last Update : 7 มกราคม 2558 9:40:41 น.
Counter : 1666 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  

หนี่งหน่อง
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 33 คน [?]




pub-1485477287124314
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add หนี่งหน่อง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.