อ่านเรื่อยๆ มาเรียง ๆ ทุกวันของ หนี่งหน่อง นะครับ

แก่นตะวัน ช่วยลดความอ้วน และสรรพคุณดีๆ อีกเพืยบ

หลายคนอาจจะเคยได้ยินสมุนไพรที่ชื่อว่า แก่นตะวัน มาบ้าง แต่บางคนก็อาจจะยังไม่รู้จัก แก่นตะวัน ถือเป็นเทรนด์ใหม่ของคนรักสุขภาพเลยทีเดียว เพราะมีสรรพคุณที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ทั้งช่วยลดความอ้วนที่เหมาะกับสาวๆ และยังช่วยลดน้ำตาลในเลือด ลดคอเรสเตอรอล ซึ่งเหมาะกับผู้ป่วยโรคเบาหวาน และยังมีสรรพคุณดีๆอีกเพียบ health.mthai ของเราเลยไม่พลาดที่จะมาแนะนำให้ทุกคนได้รู้จักกับสรรพคุณดีๆของ แก่นตะวัน กันค่ะ ไปดูกันเลย…

แก่นตะวัน หรือ Jerusalem Artichoke มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Helianthus tuberous  มีถิ่นกำเนิดอยู่ในทวีปอเมริกาเหนือ เป็นพืชล้มลุกตระกูลเดียวกับทานตะวัน เมื่อโตเต็มที่มีความสูงประมาณ 1.5-2 เมตร  สามารถปลูกและปรับตัวได้ดีในสภาพเพาะปลูกของประเทศไทย เมื่อปลูกได้ประมาณ 2 เดือน จะออกดอกสีเหลืองคล้ายดอกบัวตอง และเมื่ออายุประมาณ 120 วัน ดอกโรย ต้นเริ่มแห้งก็สามารถขุดเก็บหัวใต้ดินนำมาใช้ประโยชน์  รศ.ดร.สนั่น จอกลอย อาจารย์จากคณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้นำพันธุ์แก่นตะวันจากต่างประเทศมาทดลองปลูกและศึกษาวิจัย และได้มีการตั้งชื่อภาษาไทยขึ้นมา เนื่องจากมีถิ่นกำเนิดในเขตหนาว แต่สามารถปลูกในแถบร้อนได้ดี มีความสามารถปรับตัวในสภาพภูมิอากาศที่แตกต่างกันมาก มีความแข็งแกร่ง ทนทาน  จึงให้ชื่อนำหน้าพืชนี้ว่า”แก่น” และเนื่องจากเป็นพืชที่ใกล้ชิดกับทานตะวัน จึงตั้งชื่อพืชชนิดใหม่นี้ว่า“แก่นตะวัน”

แก่นตะวัน2 copy

1. ลดความอ้วน

อินนูลิน ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของหัวแก่นตะวัน เป็นใยอาหารชนิดละลายน้ำได้ (Soluble Fiber) ซึ่งร่างกายของเราไม่มีเอนไซม์ที่จะย่อยได้

  • ใยอาหารที่ละลายน้ำได้ของอินนูลิน เมื่ออยู่ในกระเพาะอาหาร   จะมีลักษณะเป็นเจล  ทำให้อาหารอยู่ในกระเพาะนานขึ้น ( delay gastric emptying time)  จึงรู้สึกอิ่ม ทานอาหารได้น้อยลง
  • อินนูลินซึ่งเป็นใยอาหารจะดูดซับน้ำตาลและไขมันในอาหารที่เราทานเข้าไป    ทำให้ร่างกายดูดซึมน้ำตาลและไขมันในระบบทางเดินอาหารได้น้อยลง ร่างกายจึงได้รับพลังงานน้อยลง

2. ลดน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวาน

  • อินนูลิน จะดูดซับน้ำและน้ำตาล จนมีลักษณะเป็นเจล ทำให้ร่างกายดูดซึมน้ำตาลได้ช้าลงและน้อยลง
  • ร่างกายของเรา ไม่มีเอนไซม์ที่จะย่อยอินนูลิน ดังนั้นเมื่อเราทานหัวแก่นตะวัน  เข้าไป จึงไม่ไปเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือด บวกกับเมื่อทานแก่นตะวันจะรู้สึกอิ่มจากคุณสมบัติการเป็นใยอาหารของอินนูลิน ทำให้ทานอาหารอย่างอื่นได้น้อยลง ทำให้ร่างกายได้รับน้ำตาลน้อยลง

3. ลดคอเลสเตอรอลในเลือด

  • อินนูลินดูดซับไขมันในอาหารที่เราทานเข้าไป ทำให้ร่างกายดูดซึมไขมันได้น้อยลง
  • น้ำดีซึ่งผลิตจากตับ มีคอเลสเตอรอลเป็นส่วนประกอบ มีบทบาทในกระบวนการย่อยไขมันในลำไส้เล็ก ซึ่งปกติจะถูกร่างกายดูดซึมและนำกลับมาใช้ใหม่ได้อีก  แต่เมื่อมันถูกดูดซึมไปโดยใยอาหารละลายน้ำ (อินนูลิน) มันก็จะกลายเป็นของเสียถูกขับออกจากร่างกาย ทำให้ตับต้องผลิตน้ำดีใหม่ โดยการดึงคอเลสเตอรอลในเลือดมาผลิตเป็นน้ำดี   ระดับคอเลสเตอรอลในเลือดจึงลดลง
  • กรดไขมันสายสั้น (Short-chain fatty acid) ช่วยยับยั้งการสร้างคอเลสเตอรอล โดยตับ
    กรดไขมันสายสั้น (Short-chain fatty acid) เช่น โปรไพโอนิก แอซิด (Propionic acid) เป็นผลลัพธ์จากกระบวนการหมัก (Fermentation)     ซึ่งเกิดขึ้นในลำไส้ใหญ่ โดยจุลินทรีย์ที่ดีต่อสุขภาพ  เช่น แลคโตบาซิลลัส (Lactobacillus)  ไบฟิโดแบคทีเรีย (Bifidobacteria) ย่อยสลายใยอาหารที่ละลายน้ำได้ (อินนูลินจากหัวแก่นตะวัน)

แก่นตะวัน4 copy

4. ลดความเสี่ยงความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ และหลอดเลือด

มีการศึกษาผลของ Fructooligosaccharide (FOS) ในผู้ป่วยที่มีระดับไขมันในเลือดสูงโดยให้บริโภค FOS เป็นระยะเวลา 5 สัปดาห์ พบว่า ความดันโลหิตลดลง โดยเฉลี่ย 6 mmHg และยังพบว่าความดันโลหิตแปรผกผันกับจำนวนของBifidobacteria ในลำไส้ (Bifidobacteria มากขึ้น ความดันโลหิตลดลง) ซึ่งจากหลายๆการศึกษาพบว่า อินนูลินและ FOS ทำให้ Bifidobacteria มีจำนวนมากขึ้น นอกจากนี้ใน100กรัมของหัวแก่นตะวันมีโปแตสเซี่ยมอยู่ถึง429มิลลิกรัม คิดเป็นร้อยละ9 ของความต้องการของร่างกายในแต่ละวัน โปแตสเซี่ยมเป็นมิตรกับหัวใจโดยการยับยั้งการทำงานของเกลือโซเดียม ซึ่งเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดความดันโลหิตสูง

โรคหัวใจที่พบบ่อย เกิดจากหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจตีบตัน ทำให้เกิดภาวะหัวใจขาดเลือด  ซึ่งเกี่ยวข้องกับระดับคอเลสเตอรอล และโฮโมซิสเตอีน(homocysteine)  ในเลือด สำหรับคอเลสเตอรอลเป็นที่รับทราบกันโดยทั่วไปอยู่แล้ว  และเราก็ทราบว่าแก่นตะวันช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด ดังนั้นจึงลดความเสี่ยงภาวะหัวใจขาดเลือด   แต่สำหรับโฮโมซิสเตอีน(homocysteine) ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ความเสี่ยงต่อโรคหัวใจขาดเลือด ที่มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าคอเลสเตอรอล  ยังเป็นที่รู้จักกันน้อยมาก   ดูรายละเอียด เกี่ยวกับโฮโมซิสเตอีนได้ ที่นี่  มีรายงานการศึกษาซึ่งระบุว่าแก่นตะวันทำให้ระดับโฮโมซิสเตอีนในเลือดลดลง ซึ่งจะทำให้มีความเสี่ยงต่อภาวะหัวใจขาดเลือดน้อยลง

5. ลดอาการท้องผูก

ด้วยคุณสมบัติของใยอาหาร ซึ่งจะเพิ่มน้ำหนักของอุจจาระ ทำให้อุจจาระชุ่มน้ำ นอกจากนี้ กรดไขมันสายสั้น (Short-chain fatty acid)  ซึ่งผลิตโดยไบฟิโดแบคทีเรีย (Bifidobacteria) จะช่วยกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ ทำให้ขับถ่ายง่ายขึ้น

6. ลดความเสี่ยงมะเร็งลำไส้ใหญ่

  • การขับถ่ายที่ดีขึ้น ช่วยลดการสะสมของเสีย หรือสารพิษก่อมะเร็งในลำไส้ใหญ่
  • อินนูลิน และ FOS จากแก่นตะวันเป็นอาหารให้กับจุลินทรีย์ที่ดีต่อสุขภาพ เช่น Lactobacillus , Bifidobacteria ทำให้จุลินทรีย์ดังกล่าว มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นและทำให้ภายในลำไส้ใหญ่มีสภาวะความเป็นกรด ซึ่งจะทำให้จุลินทรีย์ก่อโรค เช่น Clostridium , E.coli มีจำนวนน้อยลง (จุลินทรีย์ก่อโรคในลำไส้ไม่ชอบภาวะเป็นกรด) จุลินทรีย์ก่อโรคเหล่านี้ผลิตสารพิษ (Toxic metabolites)  ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง เช่น Nitrosoamines , Indole ดังนั้น เมื่อจุลินทรีย์ก่อโรคน้อยลง สารก่อมะเร็งดังกล่าวก็ลดน้อยลงด้วย

แก่นตะวัน1 copy

7. เพิ่มการดูดซึมแคลเซียม

สภาวะความเป็นกรดในลำไส้ใหญ่ จากการได้รับอินนูลินและFOS ทำให้การดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่ร่างกายเพิ่มมากขึ้น ลดความเสี่ยงโรคกระดูก

8. เพิ่มการผลิตวิตามินบางชนิด

Bifidobacteria สามารถผลิตวิตามิน B1 , B2 , B6 , B12 , nicotinic acid และ folic acid  อินนูลินและ FOS จากแก่นตะวันทำให้จำนวน Bifidobacteria มากขึ้น ร่างกายจะได้รับวิตามินเหล่านี้เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิตามิน B6 , B12 และnfolic acid มีความสำคัญในการทำให้ระดับโฮโมซิสเตอีน(homocysteine)ลดลง ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงภาวะหัวใจขาดเลือด

9. หัวแก่นตะวัน ใช้เสริมในอาหารสัตว์

มีผลต่อการเจริญเติบโต ลดจุลินทรีย์ที่เป็นโทษในระบบทางเดินอาหาร สร้างภูมิคุ้มกัน ทำให้ลดการใช้สารเคมีปฏิชีวนะและมูลสัตว์มีกลิ่นเหม็นน้อยลง

ขอบคุณที่มาจาก : //www.raipiriya.com




 

Create Date : 14 พฤศจิกายน 2557    
Last Update : 14 พฤศจิกายน 2557 8:39:51 น.
Counter : 1294 Pageviews.  

แซทนาน เสี่ยง! โรคซีวีเอส

นายแพทย์สุพรรณ  ศรีธรรมมา  อธิบดีกรมการแพทย์  เปิดเผยว่า  การติดต่อสื่อสารปัจจุบันในรูปแบบสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ  ผ่านโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟน แท็บเล็ตและคอมพิวเตอร์  ซึ่งมีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นและคนทำงาน เนื่องจากมีความทันสมัยและสะดวกรวดเร็ว แต่การใช้งานที่มากเกินความจำเป็น  อาจส่งผลเสียต่อร่างกายอย่างไม่รู้ตัว ซึ่งหนึ่งในโรคที่อาจส่งกระทบต่อสุขภาพ คือ“คอมพิวเตอร์วิชั่นซินโดรม” (Computer Vision Syndrome) หรือ “โรคซีวีเอส” คนที่ทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ติดต่อกันเป็นเวลานานๆ เช่น เกินสองถึงสามชั่วโมง มักจะมีอาการปวดตา แสบตา ตามัว และบ่อยครั้งที่จะมีอาการปวดหัวร่วมด้วย อาการทางสายตาเหล่านี้เกิดจากการจ้องดูข้อมูลบนคอมพิวเตอร์ติดต่อกันเป็นเวลานานเกินไป อาการเหล่านี้พบได้ถึงร้อยละ 75  ของบุคคลที่ใช้คอมพิวเตอร์ โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุมากกว่า40 ปี อาการในบางคนอาจเป็นเล็กๆ น้อยๆ ไม่บั่นทอนการทำงาน หรือพักการใช้คอมพิวเตอร์สักครู่ก็หายไป บางคนอาจต้องว่างเว้นการใช้เป็นวันก็หายไป บางรายอาจต้องใช้ยาระงับอาการ

โรคซีวีเอส หรือ คอมพิวเตอร์วิชั่นซินโดรม

โรคซีวีเอส หรือ คอมพิวเตอร์วิชั่นซินโดรม

สาเหตุของโรค คอมพิวเตอร์วิชั่นซินโดรม เกิดจากการใช้คอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือนานๆ และไม่ค่อยกระพริบตา  หากเราอ่านหนังสือหรือนั่งจ้องคอมพิวเตอร์ อัตราการกระพริบจะลดลง ประกอบกับแสงสะท้อนจากจอคอมพิวเตอร์  ทำให้ตาเมื่อยล้า  ทั้งแสงจ้าและแสงสะท้อนมายังจอภาพ อาจเกิดจากแสงสว่างไม่พอเหมาะ มีไฟส่องเข้าหน้าหรือหลังจอภาพโดยตรง หรือแม้แต่แสงสว่างจากหน้าต่างปะทะหน้าจอภาพโดยตรง ก่อให้เกิดแสงจ้าและแสงสะท้อนเข้าตาผู้ใช้ ทำให้เมื่อยล้าตาง่าย ระยะทำงานที่ห่างจากจอภาพไม่เหมาะสม   มีสายตาผิดปกติ เช่น สายตายาวไม่มากโดยการทำงานตามปกติไม่ก่อให้เกิดอาการ แต่ถ้ามาทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์จะก่ออาการเมื่อยล้าตาได้ โรคตาบางอย่างประจำตัวอยู่ เช่น ต้อหินเรื้อรัง ม่านตาอักเสบ เยื่อบุตาอักเสบเรื้อรัง ตลอดจนโรคทางกาย เช่น ไซนัสอักเสบ โรคหวัด ภูมิแพ้เรื้อรัง หรือ ร่างกายอ่อนเพลีย เมื่อต้องปรับสายตามากเวลาใช้คอมพิวเตอร์ จึงก่อให้เกิดอาการเมื่อยตาได้ง่าย การทำงานจ้องจอภาพนานเกินไป ย่อมเกิดอาการทางตาได้ง่ายจากการเกร็งกล้ามเนื้อตาตลอดเวลาบางรายมี

สำหรับการแก้ไขกันและป้องกัน คอมพิวเตอร์วิชั่นซินโดรม หรือ โรคซีวีเอส คือ ฝึกกระพริบบ่อยๆ ตาขณะทำงานหน้าจอ และหากแสบตามาก อาจใช้น้ำตาเทียมช่วย ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาเสมอ ควรปรับห้องและบริเวณทำงาน อย่าให้มีแสงสะท้อนจากหน้าต่าง หลอดไฟบริเวณเพดานห้อง ไม่ควรให้แสงสะท้อนเข้าตา และไม่หันจอภาพเข้าหน้าต่าง ควรใช้แผ่นกรองแสงวางหน้าจอหรือใส่แว่นกรองแสง จัดวางคอมพิวเตอร์ให้เหมาะสม  ในระยะที่ตามองได้สบายๆ ปรับเก้าอี้นั่งให้พอเหมาะ  โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่ใช้แว่นตา 2ชั้น จะต้องตั้งจอภาพให้ต่ำกว่าระดับตา เพื่อจะได้ตรงกับเลนส์แว่นตาส่วนที่ใช้มองใกล้   ถ้าต้องใช้คอมพิวเตอร์นานๆต่อเนื่อง ควรปรึกษาจักษุแพทย์  ใช้แว่นตาเฉพาะดูได้ทั้งระยะอ่านหนังสือ  ระยะจอภาพ และระยะไกล เป็นกรณีพิเศษ  หากมีสายตาผิดปกติหรือโรคตาบางอย่างอยู่ ควรแก้ไขและรักษาโรคตาที่เป็นอยู่ควบคู่ไปด้วย และหากงานในหน้าที่ต้องอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ทั้งวัน ทุก1–2ชม.ควรมีการพักสายตาโดยละสายตาจากหน้าจอแล้วมองออกไปไกลๆหรือหลับตาสักระยะหนึ่งแล้วค่อยกลับมาทำงานใหม่

ขอบคุณที่มาจาก : ประชาสัมพันธ์ กรมการแพทย์




 

Create Date : 14 พฤศจิกายน 2557    
Last Update : 14 พฤศจิกายน 2557 8:36:06 น.
Counter : 933 Pageviews.  

ข ขวดกับ ต หายไปตั้งแต่เมื่อไหร่

รศ. ดร. คุณหญิงสุริยา รัตนกุล ผู้เขียนหนังสือ ฃ, ฅ หายไปไหน ? ได้ศึกษาความเป็นมาของพยัญชนะทั้งสองตัวนี้ และชี้

ให้เห็นว่า หากเริ่มนับตั้งแต่ที่พบ ฃ, ฅ ในศิลาจารึกสมัยสุโขทัยเป็นครั้งแรก จนถึงการประกาศเลิกใช้ ฃ, ฅ ในปทานุกรม พ.ศ. ๒๔๗๐ และพจนานุกรม พ.ศ. ๒๔๙๓ เป็นเกณฑ์ พยัญชนะทั้งสองมีที่ใช้อยู่ในภาษาไทยนานถึง ๗๐๐ ปี หากแต่อัตราการใช้ และความแม่นยำที่ใช้แตกต่างกันไปตามยุคสมัย

เดิม ฃ, ฅ เป็นพยัญชนะแทนเสียงซึ่งเคยใช้กันมาแต่เดิม(ซึ่งแตกต่างจากเสียง ข และ ค) แต่เสียงนี้ได้หายไปในระยะหลังเป็นเหตุให้พยัญชนะทั้งสองตัวหมดความสำคัญลงในภาษาไทย
ปัจจุบัน

เมื่อครั้งที่มีการประดิษฐ์พิมพ์ดีดภาษาไทยขึ้นเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. ๒๔๓๔ ผู้ประดิษฐ์ได้ตัดตัว ฃ, ฅ ทิ้งไป ด้วยเหตุว่าพื้นที่บนแป้นพิมพ์ดีดไม่เพียงพอ และยังให้เหตุผลว่าเป็นพยัญชนะที่ “ไม่ค่อยได้ใช้และสามารถทดแทนด้วยตัวพยัญชนะอื่นได้”

นี่อาจเป็นครั้งแรกที่พยัญชนะ ฃ, ฅ ถูก “ตัดทิ้ง” อย่างเป็นทางการ ส่วนครั้งต่อ ๆ มาก็คือการประกาศงดใช้ ฃ, ฅ สมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม เมื่อครั้งปรับปรุงภาษาไทยให้เจริญก้าวหน้าในยุครัฐนิยม รวมถึงการประกาศเลิกใช้ในปทานุกรมและพจนานุกรมดังกล่าวแล้ว

มีข้อน่าสังเกตว่า แต่ก่อนพยัญชนะ ฅ ไม่ได้ใช้ในคำว่า คน เลย (ฅ ใช้ในคำ ฅอ ฅอเสื้อ เป็นอาทิ) ความสับสนในเรื่องนี้คงเกิดมาจาก ก ไก่ คำกลอน ผลงานของครูย้วน ทันนิเทศ (ในหนังสือแบบเรียนไว เล่ม ๑ ตอนต้น, พ.ศ. ๒๔๗๓) ที่แต่งว่า “ฅ ฅนโสภา” แล้วต่อมาหนังสือ ก ไก่ ฉบับประชาช่าง ก็แต่งว่า “ฅ ฅนขึงขัง” ซึ่งเป็น ก ไก่ คำกลอนฉบับที่คนรุ่นปัจจุบันคุ้นเคยที่สุด แล้วก็เลยพลอยเข้าใจว่า ฅ ใช้ในคำว่า คน

“ข้อมูลสนับสนุนจากหนังสือ ๑๐๘ ซองคำถาม / สำนักพิมพ์สารคดี”




 

Create Date : 14 พฤศจิกายน 2557    
Last Update : 14 พฤศจิกายน 2557 8:31:50 น.
Counter : 1156 Pageviews.  

ยํามะเขือยาวเผากุ้งสด เมนูลดนํ้าหนักสุดแซ๊บแบบคลีนๆ

ยำมะเขือยาวเผากุ้งสด เมนูลดน้ำหนักสุดแซ่บแบบคลีน ๆ

ยำมะเขือยาวเผากุ้งสด

เกริ่นนำโดยกระปุกดอทคอม

  ยำมะเขือยาวเผา ไม่ใช่แค่เป็นเมนูสุดฮิตของรุ่นพ่อรุ่นแม่ของเราเท่านั้นนะคะ เพราะยังลามไปฮิตในหมู่คนที่กำลังไดเอตอยู่ด้วยนะจ๊ะ ถึงหน้าตาจะไม่น่ากินเท่าไหร่ แต่ประโยชน์ครบ !

ถ้าลองถามพ่อแม่ของเรา หรือคนวัยเก๋า ๆ หน่อยว่า เคยกินยำมะเขือยาวเผากันบ้างหรือเปล่า หลายคนอาจจะตอบว่า เป็นเมนูสุดโปรดเลยก็ว่าได้ ก็ยำมะเขือยาวเผาเป็นเมนูอร่อยครบรส กินง่าย เคี้ยวง่าย มีประโยชน์ต่อร่างกาย เต็มไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิดเลยทีเดียว แถมยังเด็ดตรงที่สามารถนำมาเป็นอาหารลดความอ้วนได้ดีด้วย ถือเป็นอีกหนึ่งเมนูอาหารคลีนที่น่า สนใจไม่น้อยเลยทีเดียว เกริ่นมาซะเยอะแล้ว ไปดูวิธีทำยำมะเขือยาวเผากุ้งสด ที่เสิร์ฟมาพร้อมไข่ต้มยางมะตูม หน้าตาน่ากินมาก ๆ จากนิตยสารแม่บ้าน

หมายเหตุ : พลังงานที่ได้รับโดยประมาณ 265 กิโลแคลอรี่

ส่วนผสม (สำหรับ 2 ที่)

มะเขือยาวขนาดกลาง 2 ลูก

กุ้งสด ปอกเปลือกไว้หางลวกสุก 10 ตัว

เนื้ออกไก่สับละเอียด รวนสุก 150 กรัม

กุ้งแห้งเนื้อ 2 ช้อนโต๊ะ

หอมแดงซอย 8 หัว

กระเทียมกลีบใหญ่สับ 8 กลีบ

น้ำกระเทียมดอง 1 ½ ช้อนโต๊ะ

ไข่ไก่ 2 ฟอง

น้ำปลา 3 ช้อนโต๊ะ

น้ำตาลทราย 3 ช้อนชา

น้ำมะนาว 1 ½ ช้อนโต๊ะ

พริกขี้หนูสีแดงซอย 1 ช้อนโต๊ะ

ต้นหอมซอย 1 ช้อนโต๊ะ

ผักชีซอย 1 ช้อนโต๊ะ

น้ำเปล่า

วิธีทำ

1. ต้มไข่ไก่ยางมะตูม โดยนำไข่ไก่ใส่ลงในหม้อ เติมน้ำเปล่า ยกขึ้นตั้งไฟกลาง พอน้ำเริ่มเดือดปุด ๆ จับเวลา 4-5 นาที จากนั้นตักไข่ต้มขึ้นใส่ลงในน้ำเย็น เพื่อหยุดความร้อน ปอกเปลือก เตรียมไว้

2. ย่างมะเขือยาวด้วยเตาถ่าน (ถ้าไม่สะดวกให้ใช้กระทะเทฟลอนตั้งบนเตาให้ร้อน) นำมะเขือยาวลงย่างไฟกลางจนสุกนิ่ม เปลือกมะเขือจะไหม้เล็กน้อย นำขึ้นพักให้เย็น ลอกเปลือกออกหั่นชิ้นหรือฉีกเป็นเส้น เตรียมไว้

3. ผสมน้ำปลา น้ำมะนาว น้ำตาลทราย และน้ำกระเทียมดองเข้าด้วยกัน ชิมรสให้เค็มนำเปรี้ยวตาม นำน้ำยำที่ผสมราดลงในเนื้อไก่และกุ้ง เติมกระเทียม กุ้งแห้ง หอมแดง พริกขี้หนู ต้นหอม และผักชี

4. จัดมะเขือยาวใส่จานให้สวยงาม นำส่วนผสมน้ำยำราดลงบนมะเขือยาวที่เตรียมไว้ เสิร์ฟพร้อมไข่ต้มยางมะตูม

สาว ๆ ที่กำลังลดน้ำหนักอยู่ ลองทำยำมะเขือยาวเผาแบบนี้กินเป็นมื้อเย็นก็น่าจะโอเคนะคะ แถมยังได้รสชาติเปรี้ยวแซ่บ ไม่น่าเบื่ออีกด้วย





 

Create Date : 13 พฤศจิกายน 2557    
Last Update : 13 พฤศจิกายน 2557 8:34:04 น.
Counter : 2957 Pageviews.  

ชาวบ้านโวย'รถตุ้ปลากระป๋อง' จี้จนท. จริงจังแก้ปัญหา

ชาวบ้านโวย'รถตู้ปลากระป๋อง' จี้จนท.จริงจังแก้ปัญหา

12 พ.ย.57 จากกรณี โลกโซเชียลเน็ตเวิร์ก กำลังกล่าวถึงคลิปวิดีโอ ภาพเหตุการณ์บนรถตู้โดยสารประจำทางคันหนึ่ง

ที่ปรากฏให้เห็นภาพผู้โดยสารที่นั่งและยืนเบียดเสียดกันอยู่บนรถตู้ จำนวนกว่า 20 คน ทั้งที่มีที่นั่งรองรับเพียง 14 ที่นั่งเท่านั้น ตามรายงานระบุว่า เพจเฟซบุ๊กชื่อดัง YouLike (คลิปเด็ด) ได้แชร์เผยแพร่คลิปวิดีโอจากผู้ใช้เฟซบุ๊กคนหนึ่ง ภาพบรรยากาศบนรถตู้โดยสารที่เนืองแน่นไปด้วยผู้โดยสารที่เกินกำหนดและผิด กฎหมาย เมื่อวันที่ 11 พ.ย.57นั้น

ล่าสุด ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นตรวจสอบ คิวรถตู้โดยสารต่างๆ ในพื้นที่สัตหีบ โดยที่คิวตู้โดยสาร กรุงเทพ-สัตหีบ มีผู้โดยสารมาใช้บริการค่องข้างบางตา พบรถตู้โดยสารจำนวน 3 คัน จอดบริการให้กับผู้โดยสารตามปกติ

โดย นายชาลี จันทร์ศิริ อายุ 56 ปี คนขับรถตู้โดยสาร ได้กล่าวว่ากับเหตุการณ์ดังกล่าวว่า

 กรมขนส่งได้กำหนดมาตการให้รถตู้โดยสาร ใช้ความเร็วไม่เกิน 100 กม/ชั่วโมงและห้ามรับผู้โดยสารเกิน 14 คน  ห้ามใครรับเกินหรือหากถูกร้องเรียนจะถูกปรับเป็นเงินจำนวน 5,000 บาท หากทำผิดเกิน 3 ครั้ง จะถูกถอนใบอนุญาตและห้ามวิ่งในทันที ซึ่งส่วนมากอุบัติเหตุจะเกิดกับรถตู้โดยสารที่ใช้ความเร็วเกินหรือบรรทุกผู้โดยสารเกิน ทำให้น้ำหนักรถเกินที่มาตรฐานกำหนด

นางมาริตา เขื่อนพันธ์ อายุ 42 ปี ผู้โดยสารรถตู้ประจำทางกล่าวว่า รถตู้บางคัน หากคนไม่เต็มรถตู้ก็ยังไม่ออกเดินทาง ซึ่งอยากเรียกร้องให้มีการจัดระเบียบรถตู้โดยสารให้จริงจังยิ่งขึ้น โดยเฉพาะรถตู้โดยสารทางภาคตะวันออก ควรจะมีมาตรการจัดการที่ยั่งยืน ช่วยป้องกันก่อนจะเกิดเหตุอันตรายขึ้นในอนาคต

สอบถามไปยัง พ.ต.อ.ชนพัฒน์ นวลักษณ์ ผกก.สภ.สัตหีบ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี

ทราบว่า พี่น้องประชาชน ปัจจุบันหันมาใช้รถตู้โดยสารกันเป็นจำนวนมาก ประกอบกับที่ผ่านมา มีผู้ร้องเรียนแจ้งถึงพฤติกรรมคนขับที่ไม่เหมาะสม เก็บค่าโดยสารเกินอัตรากำหนด ขับรถหวาดเสียว บรรทุกผู้โดยสารเกินที่อัตรา ซึ่งล้วนสร้างความสูญเสีย และเกิดความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้มีการตั่งด่าน กวดขัน จับกุมอยู่ตลอดเวลา รวมทั้งประชาสัมพันธ์ ให้คนขับรถตู้โดยสาร และผู้ใช้บริการรู้ถึงการปฎิบัติตามกฎหมาย รถยนต์โดยสาร หากพบว่า มีปัญหาการให้บริการ หรือรถโดยสารไม่ปลอดภัย ผิดกฎหมาย สามารถแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทุก สภ.และสามารถโทรศัพท์สายตรงศูนย์คุ้มครองผู้โดยสารสาธารณะ กรมการขนส่งทางบก 1584 เพื่อ ให้โชเฟอร์รถตู้หันมาใส่ใจในชีวิตประชาชนเสมือนดั่งญาติพี่น้อง และสร้างความเชื่อมั่นในความปลอดภัยให้แก่ผู้โดยสาร





 

Create Date : 13 พฤศจิกายน 2557    
Last Update : 13 พฤศจิกายน 2557 8:26:40 น.
Counter : 1006 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  

หนี่งหน่อง
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 33 คน [?]




pub-1485477287124314
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add หนี่งหน่อง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.