แก่นตะวัน ช่วยลดความอ้วน และสรรพคุณดีๆ อีกเพืยบ
หลายคนอาจจะเคยได้ยินสมุนไพรที่ชื่อว่า แก่นตะวัน มาบ้าง แต่บางคนก็อาจจะยังไม่รู้จัก แก่นตะวัน ถือเป็นเทรนด์ใหม่ของคนรักสุขภาพเลยทีเดียว เพราะมีสรรพคุณที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ทั้งช่วยลดความอ้วนที่เหมาะกับสาวๆ และยังช่วยลดน้ำตาลในเลือด ลดคอเรสเตอรอล ซึ่งเหมาะกับผู้ป่วยโรคเบาหวาน และยังมีสรรพคุณดีๆอีกเพียบ health.mthai ของเราเลยไม่พลาดที่จะมาแนะนำให้ทุกคนได้รู้จักกับสรรพคุณดีๆของ แก่นตะวัน กันค่ะ ไปดูกันเลย
แก่นตะวัน หรือ Jerusalem Artichoke มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Helianthus tuberous มีถิ่นกำเนิดอยู่ในทวีปอเมริกาเหนือ เป็นพืชล้มลุกตระกูลเดียวกับทานตะวัน เมื่อโตเต็มที่มีความสูงประมาณ 1.5-2 เมตร สามารถปลูกและปรับตัวได้ดีในสภาพเพาะปลูกของประเทศไทย เมื่อปลูกได้ประมาณ 2 เดือน จะออกดอกสีเหลืองคล้ายดอกบัวตอง และเมื่ออายุประมาณ 120 วัน ดอกโรย ต้นเริ่มแห้งก็สามารถขุดเก็บหัวใต้ดินนำมาใช้ประโยชน์ รศ.ดร.สนั่น จอกลอย อาจารย์จากคณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้นำพันธุ์แก่นตะวันจากต่างประเทศมาทดลองปลูกและศึกษาวิจัย และได้มีการตั้งชื่อภาษาไทยขึ้นมา เนื่องจากมีถิ่นกำเนิดในเขตหนาว แต่สามารถปลูกในแถบร้อนได้ดี มีความสามารถปรับตัวในสภาพภูมิอากาศที่แตกต่างกันมาก มีความแข็งแกร่ง ทนทาน จึงให้ชื่อนำหน้าพืชนี้ว่าแก่น และเนื่องจากเป็นพืชที่ใกล้ชิดกับทานตะวัน จึงตั้งชื่อพืชชนิดใหม่นี้ว่าแก่นตะวัน 1. ลดความอ้วน อินนูลิน ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของหัวแก่นตะวัน เป็นใยอาหารชนิดละลายน้ำได้ (Soluble Fiber) ซึ่งร่างกายของเราไม่มีเอนไซม์ที่จะย่อยได้ - ใยอาหารที่ละลายน้ำได้ของอินนูลิน เมื่ออยู่ในกระเพาะอาหาร จะมีลักษณะเป็นเจล ทำให้อาหารอยู่ในกระเพาะนานขึ้น ( delay gastric emptying time) จึงรู้สึกอิ่ม ทานอาหารได้น้อยลง
- อินนูลินซึ่งเป็นใยอาหารจะดูดซับน้ำตาลและไขมันในอาหารที่เราทานเข้าไป ทำให้ร่างกายดูดซึมน้ำตาลและไขมันในระบบทางเดินอาหารได้น้อยลง ร่างกายจึงได้รับพลังงานน้อยลง
2. ลดน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวาน - อินนูลิน จะดูดซับน้ำและน้ำตาล จนมีลักษณะเป็นเจล ทำให้ร่างกายดูดซึมน้ำตาลได้ช้าลงและน้อยลง
- ร่างกายของเรา ไม่มีเอนไซม์ที่จะย่อยอินนูลิน ดังนั้นเมื่อเราทานหัวแก่นตะวัน เข้าไป จึงไม่ไปเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือด บวกกับเมื่อทานแก่นตะวันจะรู้สึกอิ่มจากคุณสมบัติการเป็นใยอาหารของอินนูลิน ทำให้ทานอาหารอย่างอื่นได้น้อยลง ทำให้ร่างกายได้รับน้ำตาลน้อยลง
3. ลดคอเลสเตอรอลในเลือด - อินนูลินดูดซับไขมันในอาหารที่เราทานเข้าไป ทำให้ร่างกายดูดซึมไขมันได้น้อยลง
- น้ำดีซึ่งผลิตจากตับ มีคอเลสเตอรอลเป็นส่วนประกอบ มีบทบาทในกระบวนการย่อยไขมันในลำไส้เล็ก ซึ่งปกติจะถูกร่างกายดูดซึมและนำกลับมาใช้ใหม่ได้อีก แต่เมื่อมันถูกดูดซึมไปโดยใยอาหารละลายน้ำ (อินนูลิน) มันก็จะกลายเป็นของเสียถูกขับออกจากร่างกาย ทำให้ตับต้องผลิตน้ำดีใหม่ โดยการดึงคอเลสเตอรอลในเลือดมาผลิตเป็นน้ำดี ระดับคอเลสเตอรอลในเลือดจึงลดลง
- กรดไขมันสายสั้น (Short-chain fatty acid) ช่วยยับยั้งการสร้างคอเลสเตอรอล โดยตับ
กรดไขมันสายสั้น (Short-chain fatty acid) เช่น โปรไพโอนิก แอซิด (Propionic acid) เป็นผลลัพธ์จากกระบวนการหมัก (Fermentation) ซึ่งเกิดขึ้นในลำไส้ใหญ่ โดยจุลินทรีย์ที่ดีต่อสุขภาพ เช่น แลคโตบาซิลลัส (Lactobacillus) ไบฟิโดแบคทีเรีย (Bifidobacteria) ย่อยสลายใยอาหารที่ละลายน้ำได้ (อินนูลินจากหัวแก่นตะวัน) 4. ลดความเสี่ยงความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ และหลอดเลือด มีการศึกษาผลของ Fructooligosaccharide (FOS) ในผู้ป่วยที่มีระดับไขมันในเลือดสูงโดยให้บริโภค FOS เป็นระยะเวลา 5 สัปดาห์ พบว่า ความดันโลหิตลดลง โดยเฉลี่ย 6 mmHg และยังพบว่าความดันโลหิตแปรผกผันกับจำนวนของBifidobacteria ในลำไส้ (Bifidobacteria มากขึ้น ความดันโลหิตลดลง) ซึ่งจากหลายๆการศึกษาพบว่า อินนูลินและ FOS ทำให้ Bifidobacteria มีจำนวนมากขึ้น นอกจากนี้ใน100กรัมของหัวแก่นตะวันมีโปแตสเซี่ยมอยู่ถึง429มิลลิกรัม คิดเป็นร้อยละ9 ของความต้องการของร่างกายในแต่ละวัน โปแตสเซี่ยมเป็นมิตรกับหัวใจโดยการยับยั้งการทำงานของเกลือโซเดียม ซึ่งเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดความดันโลหิตสูง โรคหัวใจที่พบบ่อย เกิดจากหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจตีบตัน ทำให้เกิดภาวะหัวใจขาดเลือด ซึ่งเกี่ยวข้องกับระดับคอเลสเตอรอล และโฮโมซิสเตอีน(homocysteine) ในเลือด สำหรับคอเลสเตอรอลเป็นที่รับทราบกันโดยทั่วไปอยู่แล้ว และเราก็ทราบว่าแก่นตะวันช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด ดังนั้นจึงลดความเสี่ยงภาวะหัวใจขาดเลือด แต่สำหรับโฮโมซิสเตอีน(homocysteine) ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ความเสี่ยงต่อโรคหัวใจขาดเลือด ที่มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าคอเลสเตอรอล ยังเป็นที่รู้จักกันน้อยมาก ดูรายละเอียด เกี่ยวกับโฮโมซิสเตอีนได้ ที่นี่ มีรายงานการศึกษาซึ่งระบุว่าแก่นตะวันทำให้ระดับโฮโมซิสเตอีนในเลือดลดลง ซึ่งจะทำให้มีความเสี่ยงต่อภาวะหัวใจขาดเลือดน้อยลง 5. ลดอาการท้องผูก ด้วยคุณสมบัติของใยอาหาร ซึ่งจะเพิ่มน้ำหนักของอุจจาระ ทำให้อุจจาระชุ่มน้ำ นอกจากนี้ กรดไขมันสายสั้น (Short-chain fatty acid) ซึ่งผลิตโดยไบฟิโดแบคทีเรีย (Bifidobacteria) จะช่วยกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ ทำให้ขับถ่ายง่ายขึ้น 6. ลดความเสี่ยงมะเร็งลำไส้ใหญ่ - การขับถ่ายที่ดีขึ้น ช่วยลดการสะสมของเสีย หรือสารพิษก่อมะเร็งในลำไส้ใหญ่
- อินนูลิน และ FOS จากแก่นตะวันเป็นอาหารให้กับจุลินทรีย์ที่ดีต่อสุขภาพ เช่น Lactobacillus , Bifidobacteria ทำให้จุลินทรีย์ดังกล่าว มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นและทำให้ภายในลำไส้ใหญ่มีสภาวะความเป็นกรด ซึ่งจะทำให้จุลินทรีย์ก่อโรค เช่น Clostridium , E.coli มีจำนวนน้อยลง (จุลินทรีย์ก่อโรคในลำไส้ไม่ชอบภาวะเป็นกรด) จุลินทรีย์ก่อโรคเหล่านี้ผลิตสารพิษ (Toxic metabolites) ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง เช่น Nitrosoamines , Indole ดังนั้น เมื่อจุลินทรีย์ก่อโรคน้อยลง สารก่อมะเร็งดังกล่าวก็ลดน้อยลงด้วย
7. เพิ่มการดูดซึมแคลเซียม สภาวะความเป็นกรดในลำไส้ใหญ่ จากการได้รับอินนูลินและFOS ทำให้การดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่ร่างกายเพิ่มมากขึ้น ลดความเสี่ยงโรคกระดูก 8. เพิ่มการผลิตวิตามินบางชนิด Bifidobacteria สามารถผลิตวิตามิน B1 , B2 , B6 , B12 , nicotinic acid และ folic acid อินนูลินและ FOS จากแก่นตะวันทำให้จำนวน Bifidobacteria มากขึ้น ร่างกายจะได้รับวิตามินเหล่านี้เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิตามิน B6 , B12 และnfolic acid มีความสำคัญในการทำให้ระดับโฮโมซิสเตอีน(homocysteine)ลดลง ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงภาวะหัวใจขาดเลือด 9. หัวแก่นตะวัน ใช้เสริมในอาหารสัตว์ มีผลต่อการเจริญเติบโต ลดจุลินทรีย์ที่เป็นโทษในระบบทางเดินอาหาร สร้างภูมิคุ้มกัน ทำให้ลดการใช้สารเคมีปฏิชีวนะและมูลสัตว์มีกลิ่นเหม็นน้อยลง ขอบคุณที่มาจาก : //www.raipiriya.com
Create Date : 14 พฤศจิกายน 2557 | | |
Last Update : 14 พฤศจิกายน 2557 8:39:51 น. |
Counter : 1294 Pageviews. |
| |
|
|
|