อาการปวดท้องประจำเดือนเริ่มพบตั้งแต่วันที่มีประจำเดือนครั้งแรกในชีวิต คือ อายุประมาณ 12 ปีขึ้นไป โดยร้อยละ 50 ของเด็กหญิงจะมีอาการปวดท้องเล็กน้อย และร้อยละ 40 มีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง ขณะที่ร้อยละ 10 เป็นอาการปวดที่เกิดจากภาวะผิดปกติในช่องท้อง อาทิ เนื้องอก ผังผืดในมดลูก เยื่อบุมดลูกเจริญผิดที่ และมะเร็ง
เป็นต้น
ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ปัญหาร้ายแรง แต่ก็เป็นที่น่ารำคาญ และทรมานไม่น้อยเลยทีเดียวสำหรับผู้ป่วยบางคน สาเหตุของอาการ ปวดประจำเดือน นั้น เข้าใจว่าเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเพศในช่วงมีประจำเดือน ทำให้มีการคั่งของเลือดภายในมดลูก รังไข่ และผนังอุ้งเชิงกราน
อาการปวดท้องประจำเดือน
ผู้ป่วยจะมีอาการปวดเริ่มต้นบริเวณท้องน้อย ปวดร้าวไปยังบริเวณบั้นเอว ส่วนใหญ่มักปวดในช่วงก่อนประจำเดือนจะมาสัก 1-2 วัน และปวดอยู่ตลอดในช่วงที่ยังมีประจำเดือนอยู่ จนกระทั่งประจำเดือนหยุด อาการปวดจึงค่อยทุเลาหายไป อาการปวดจะกำเริบทุกเดือนคล้าย ๆ กัน ความรุนแรงของอาการปวดในผู้ป่วยแต่ละรายอาจแตกต่างกันไป บางรายปวดแค่หน่วง ๆ พอทนได้ บางคนต้องกินยาแก้ปวดร่วมด้วย และบางรายปวดรุนแรงมากจนไม่สามารถไปทำงานได้ หรือมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย อาทิ ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน เป็นต้น
การรักษาอาการ ปวดประจำเดือน โดยทั่วไป
อาศัยการประคบอุ่นบริเวณท้องน้อย รับประทานยาแก้ปวดเพื่อบรรเทาอาการเป็นครั้งคราว ในรายที่รุนแรง อาจต้องใช้ยาฮอร์โมนเพศรักษา ซึ่งก็ยังได้ผลไม่ดีเท่าที่ควร
ทำไมถึงแนะนำการฝังเข็มมากกว่าการทานยา
เพราะการใช้ยาที่ออกฤทธิ์กดสมองส่วนกลางไม่ให้รู้สึกถึงความปวดที่เกิดขึ้น แต่ไม่สามารถทำให้การไหลเวียนของเลือดสะดวกขึ้น ดังนั้น เมื่อหมดฤทธิ์ยาก็จะกลับมาปวดอีก ทำให้ต้องทานยาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดผลข้างเคียงจากยาแก้ปวด ขณะที่การฝังเข็มจะช่วยกระตุ้นการทำงานของจุดต่างๆ ในร่างกาย ทำให้เลือดไหลเวียนสะดวก มดลูกคลายตัวจากการบีบรัดโดยไม่ต้องใช้ยา
การฝังเข็มช่วยลดอาการ ปวดประจำเดือน ได้อย่างไร
ในด้านการแพทย์ทางเลือกนั้นเราสามารถใช้การฝังเข็มมารักษาอาการ ปวดประจำเดือน ได้ เนื่องจากการฝังเข็มมีฤทธิ์ปรับการทำงานของฮอร์โมนเพศภายในร่างกายให้กลับสู่สภาพสมดุล ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดในบริเวณอุ้งเชิงกราน ซึ่งมีมดลูกและรังไข่อยู่ภายในให้ไหลเวียน ดีขึ้น ลดการคั่งของเลือด และทำให้กล้ามเนื้อผนังมดลูกและรังไข่คลายตัว จึงช่วยลดอาการ ปวดประจำเดือน ได้ กระทั่งทำให้ผู้ป่วยส่วนหนึ่งสามารถหายเป็นปกติได้
บริเวณจุดสำคัญและขั้นตอนหลัก ที่ใช้ในการฝังเข็มเพื่อบรรเทาอาการ ปวดประจำเดือน
ในการรักษานั้น แพทย์จะใช้เข็มเล็กๆ ปักกระตุ้นจุดรับสัญญาณประสาท บริเวณแขนขาและท้องน้อย กระตุ้นประมาณ 30 นาที โดยทั่วไปจะทำการรักษาในช่วงก่อนประจำเดือนจะมาประมาณ 2 สัปดาห์ กระตุ้นสัปดาห์ละ 2 ครั้ง เพื่อยับยั้งมิให้เกิดอาการ ปวดประจำเดือน ขึ้นมาหรือบรรเทาอาการไม่ให้รุนแรง อย่างไรก็ตาม จำนวนเข็มและจำนวนครั้งในการฝังเข็มรักษานั้น ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค หากอาการปวดเพียงเล็กน้อยใช้วิธีฝังเข็ม 1-2 ครั้ง อาการก็จะดีขึ้น แต่หากเป็นอาการปวดจากโรคร้ายจะต้องรักษาด้วยวิธีการให้ยาปรับฮอร์โมน หรือผ่าตัดส่องกล้อง จึงจะเป็นการดีที่สุด
ผลการรักษาอาการ ปวดประจำเดือน ด้วยการฝังเข็มนั้น ได้ผลดีเป็นที่น่าพอใจอย่างยิ่ง ผู้ที่ต้องการแก้ปัญหา ปวดประจำเดือน จึงสามารถพิจารณาทางเลือกใหม่โดยการฝังเข็มรักษาได้
การเตรียมตัวของผู้ป่วยก่อนและหลังรับการรักษาด้วยการฝังเข็ม
- การเตรียมตัวก่อนการรักษา
- นอนหลับให้เต็มที่ในคืนก่อนมารับการฝังเข็ม
- ควรรับประทานอาหารก่อนมารับการรักษา แต่อย่าให้อิ่มเกินไป
- สวมเสื้อผ้าหลวมๆ สบายๆ เพื่อความสะดวกในการฝังเข็ม
ระหว่างการปักเข็มผู้ป่วยอาจเกิดความรู้สึกได้ 2 แบบ ดังนี้
- รู้สึกหนักๆ หน่วง ๆ ตื้อๆ ในจุดฝังเข็มในระหว่างที่เข็มปักคาอยู่
- มีความรู้สึกเหมือนมีกระแสไฟฟ้าแล่นแปลบๆ ไปตามเส้นลมปราณ เนื่องจากแพทย์จะปักเข็มไว้ข้างๆเส้นประสาทบางเส้น เพื่อผลการรักษาที่ดีแพทย์จะปักเข็มไว้ประมาณ 20-30 นาที โดยอาจกระตุ้นด้วยมือหรือกระแสไฟฟ้า (ไฟฟ้าที่ใช้มีต่างศักย์ต่ำ จึงไม่มีโอกาสเกิดไฟซ๊อตจนเกิดอันตราย) จากนั้นจะถอนเข็มออก ในระหว่างการคาเข็ม ผู้ป่วยต้องพยายามอย่าขยับกล้ามเนื้อบริเวณที่ฝังเข็มเพราะเข็มจะบิดในกล้ามเนื้อ แม้ไม่เกิดอันตรายแต่อาจทำให้เจ็บมากขึ้นและมีเลือดออกตอนถอนเข็ม ผู้ป่วยสามารถขยับตัวได้บ้างเล็กน้อย พยายามผ่อนคลายกล้ามเนื้อจะสบายที่สุด แต่ถ้าหากมีอาการผิดปกติใดๆ เช่นรู้สึกหวิวๆ หน้ามืดจะเป็นลม แน่นหน้าอก หายใจไม่สะดวก ให้แจ้งแพทย์ที่รักษาทราบทันที
การดูแลตนเองหลังจากการฝังเข็ม
- ควรดื่มน้ำอุ่นหลังการฝังเข็ม
- สำรวจร่างกายตนเองบริเวณฝังเข็ม ถ้ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น เช่น มีเลือดออก มีรอยบวม รู้สึกเจ็บปวด ต้องแจ้งให้แพทย์ที่รักษาทราบทันทีเพื่อแก้ไขให้เป็นปกติก่อนกลับบ้าน
- งดการอาบน้ำเป็นเวลา 2 ชั่วโมงหลังการฝังเข็ม
- พักผ่อนให้เต็มที่อีก 1 วัน
- ถ้ามีไข้ให้รับประทานยาลดไข้ตามปกติ อาการจะหายไปเองภายใน 24-48 ชั่วโมงโดยไม่มีอันตรายใดๆ
ข้อควรระวังในการฝังเข็ม
- ผู้ป่วยที่อยู่ในระหว่างตั้งครรภ์ต้องให้การรักษาอย่างระมัดระวัง
- ผู้ป่วยโรคมะเร็ง (ที่ยังไม่ได้รับการตรวจรักษาด้วยการแพทย์แผนปัจจุบัน)
- ผู้ป่วยโรคเลือดที่มีความผิดปกติของระบบการแข็งตัวของเลือด
- ผู้ป่วยที่ต้องรักษาด้วยการผ่าตัด
- โรคที่ยังไม่ได้รับการวินิจฉัยอย่างแน่นอน
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับอาการ ปวดประจำเดือน
1. เมื่อไหร่ถึงจะรู้ว่าผิดปกติ
ตอบ อาการปวดเป็นมากขึ้นกว่าเดิม จากเดิมปวดพอทำงานได้ ต่อมาอาจจะปวดจนทำงานไม่ไหวจนต้องไปฉีดยา
และต่อมาก็ต้องฉีดยาในปริมาณมากขึ้น หรือจากการรับประทานยาแก้ปวดธรรมดา ก็ต้องเพิ่มปริมาณยามากขึ้น
หรือต้องพึ่งยาแรงขึ้น ครับ
2. การฝังเข็มช่วยอาการ ปวดประจำเดือน ได้และสามารถหายขาดได้หรือเปล่า
ตอบ ฝังเข็มมีฤทธิ์ปรับการทำงานของฮอร์โมนเพศภายในร่างกายให้กลับสู่สภาพสมดุล ช่วยกระตุ้นการไหลเวียน
ของเลือดในบริเวณอุ้งเชิงกราน ซึ่งมีมดลูกและรังไข่อยู่ภายในให้ไหลเวียน ดีขึ้น ลดการคั่งของเลือด และทำ
ให้กล้ามเนื้อผนังมดลูกและรังไข่คลายตัว จึงช่วยลดอาการ ปวดประจำเดือน ได้ กระทั่งทำให้ผู้ป่วยส่วนหนึ่ง
สามารถหายเป็นปกติได้
3. การรักษาด้วยการฝังเข็มบ่อยๆ จะเป็นอันตรายหรือเปล่าคะ
ตอบ ไม่เป็นอันตรายครับ
4. การรักษาแต่ละครั้งใช้เวลานานหรือเปล่าคะ
ตอบ ใช้เวลาต่อครั้งประมาณ 20-30 นาทีครับ แต่บาง case อาจจะต้องดูอาการของคนไข้ว่าเป็นมากน้อยเพียงใด
ประกอบด้วยครับ
5. ในระหว่างมีประจำเดือนสามารถรักษาด้วยวิธีฝังเข็มได้หรือเปล่าคะ
ตอบ สามารถฝังเข็มก่อนช่วงประจำเดือนมาสัก 2-3 วันก่อน และมาฝังอีกครั้งในช่วงระหว่างมีประจำเดือนครับ
เพราะจะเป็นการบรรเทาอาการปวดให้ลดน้อยลงได้ครับ
บทความโดย พจ. ธีรวัฒน์ ตั้งอร่ามวงศ์
แพทย์แผนจีนและการฝังเข็ม ศูนย์ไลฟ์เซ็นเตอร์ โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท
ขอบคุณที่มาจาก : โรงพยาบาลสมิติเวช