อ่านเรื่อยๆ มาเรียง ๆ ทุกวันของ หนี่งหน่อง นะครับ

พลังงานเสืยง

พลังงานเสียง (sound energy) เป็นพลังงานรูปหนึ่งไม่มีตัวตน เรามองไม่เห็น เกิดจาก การสั่นสะเทือนของวัตถุ เสียงจะเคลื่อนที่ออกจากแหล่งกำเนิดของเสียงทุกทิศทาง ผ่านตัวกลาง 3 ชนิด คือ ของแข็ง, ของเหลว, และก๊าซ ไปยังอวัยวะรับเสียงคือ หู (ear)

พลังงานเสียง (sound energy) เป็นพลังงานรูปหนึ่งไม่มีตัวตน เรามองไม่เห็น เกิดจาก การสั่นสะเทือนของวัตถุ เสียงจะเคลื่อนที่ออกจากแหล่งกำเนิดของเสียงทุกทิศทาง ผ่านตัวกลาง 3 ชนิด คือ ของแข็ง, ของเหลว, และก๊าซ ไปยังอวัยวะรับเสียงคือ หู (ear) ส่วนประกอบของหู แบ่งได้ 3 ชั้น ได้แก่ • หูชั้นนอก (ใบหู, รูหู ,และเยื่อแก้วหู) • หูชั้นกลาง (กระดูค้อน, กระดูกทั่ง, กระดูกโกลน) • หูชั้นใน (คอเคลีย มีลักษณะเป็นท่อเหมือนเปลือกหอยโข่ง) เสียงที่เราได้ยินนั้นมาจากวัตถุต่างๆ ที่อยู่รอบตัวเรา วัตถุที่ทำให้เกิดเสียงเรียกว่า แหล่งกำเนิดเสียง เสียงที่ได้ยินมีทั้งเสียงดัง เสียงค่อย บางเสียงเป็นเสียงที่เราเคยได้ยิน และบางเสียงเราไม่เคยได้ยินมาก่อน แสดงว่าแหล่งกำเนิดเสียงรอบๆ ตัวมีอยู่มากมายหลายชนิด เสียงเกิดขึ้นเมื่อวัตถุที่เป็นเหล่งกำเนิดเสียงสั่น ถ้าวัตถุสั่นด้วยพลังงานมาก เราจะได้ยินเสียงจากวัตถุนั้นได้ เช่น ลำโพงสั่น เราจะได้ยินเสียงจากลำโพง เส้นเสียงในลำคอสั่น ทำให้เราออกเสียงได้ เสียงมาถึงหูได้อย่างไร เสียงเกิดจากวัตถุที่สั่นสะเทือน ขณะที่วัตถุสั่นสะเทือนจะทำให้ อากาศ และสิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบข้างเกิดการสั่นสะเทือนไปด้วย ซึ่งเป็นได้ทั้งของแข็ง ของเหลว และก๊าซ เราเรียกสิ่งที่อยู่รอบๆ วัตถุต้นกำเนิดเสียงเหล่านี้ว่า ตัวกลางของเสียง ตัวอย่าง เราอาจให้ ส้อมเสียง หรือวิทยุเทปอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นแหล่งกำเนิดเสียง โดยให้ผู้ถือวิทยุอยู่บนโต๊ะกลางห้องเรียน ส่วนน้องๆ คนอื่นๆ นั่งหรือยืนให้สูงกว่า หรืออยู่ในระดับเดียวกัน หรือต่ำกว่าระดับของวิทยุเทป จากนั้นให้เปิดวิทยุเทป สังเกตเสียงที่ได้ยิน แหล่งอ้างอิง //school.obec.go.th/jomplan/web/Sound54.html




 

Create Date : 12 กันยายน 2557    
Last Update : 12 กันยายน 2557 8:32:58 น.
Counter : 1161 Pageviews.  

บ้านเดื่ยวหลังใหญ่ บรรยากาศสบาย ใกล้ชิดธรรมชาติ

บ้านเดี่ยวหลังใหญ่ บรรยากาศสบาย ใกล้ชิดธรรมชาติ

บ้านเดี่ยวหลังใหญ่ บรรยากาศสบาย ใกล้ชิดธรรมชาติ
บ้านเดี่ยวหลังใหญ่เล่นระดับ


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก Joeb Moore & Partners LLC
ถ่ายภาพโดย David Sundberg

แบบบ้านเดี่ยวหลังใหญ่ ที่ตกแต่งเล่นระดับ บรรยากาศสบาย ๆ ห้อมล้อมด้วยต้นไม้ มีกระจกใสรอบบ้านให้มองวิวธรรมชาติเพลิน ๆ

          สภาพแวดล้อมเป็นอีกหนึ่งส่วนสำคัญที่คนสร้างบ้านไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะบริเวณที่ล้อมรอบด้วยต้นไม้และธรรมชาติอันสวยงาม แบบบ้านหลังใหญ่เล่นระดับ จาก Joeb Moore & Partners LLC ซึ่งสร้างขึ้นบนพื้นที่โล่งกว้าง พร้อมรายล้อมด้วยไม้ใหญ่ตลอดทุกทิศ จึงออกมาผสมกลมกลืนไปกับธรรมชาติได้อย่างลงตัว ภายใต้โครงสร้างบ้านเก่าที่สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2

ซึ่งหลังจากที่เห็นภาพบรรยากาศของ บ้านเล่นระดับ หลังนี้แล้ว แทบไม่อยากจะเชื่อว่าเป็นบ้านเก่าที่ผ่านการรีโนเวทมา เพราะดีไซน์ใหม่ที่นำมาตกแต่งทำให้บ้านมีความทันสมัยขึ้นมากทีเดียว โดยเดิมประกอบไปด้วย 5 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ ห้องสมุด และห้องอเนกประสงค์ แต่ได้ปรับเปลี่ยนพื้นที่ให้เป็นห้องต่าง ๆ ที่ครอบคลุมการใช้งานมากขึ้น พร้อมกับนำไม้อัด โลหะ และผนังบุกระเบื้องหินบนผนังเดิมที่เป็นแกรนิต

          ความหลากหลายของสีสันกับผิวสัมผัส จากวัสดุที่แตกต่างทั้ง 3 ชนิด ทำให้รู้สึกได้ถึงการเป็นที่พักอาศัยที่สมบูรณ์แบบมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อบ้านถูกล้อมด้วยต้นไม้ใหญ่ อีกทั้งยังเข้ากันได้ดีเนื่องจากเป็นสิ่งมีส่วนที่เป็นธรรมชาติเหมือนกัน ซึ่งทั้งภายในและรอบนอกต่างก็กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน โดยมีผนังกระจกเป็นตัวเชื่อม

   อีกทั้งยังมีความน่าสนใจตรงที่การปรับพื้นบางส่วนให้มีระดับแตกต่างออกไปจากบริเวณอื่น ๆ ดังนั้นแม้จะใช้คอนเซ็ปต์เดียวกันตกแต่งทั่วตลอดทั้งหลัง แต่วิธีการดังกล่าวก็ทำให้ภาพรวมภายในบ้านน่าสนใจขึ้นไม่น้อย ในขณะเดียวกันก็ยังสร้างอาณาเขตไปในตัว โดยไม่ต้องใช้ผนังเข้ามาปิดกั้นในบริเวณพื้นที่ส่วนรวมด้วย

บ้านเดี่ยวหลังใหญ่ บรรยากาศสบาย ใกล้ชิดธรรมชาติ

บ้านเดี่ยวหลังใหญ่ บรรยากาศสบาย ใกล้ชิดธรรมชาติ

บ้านเดี่ยวหลังใหญ่ บรรยากาศสบาย ใกล้ชิดธรรมชาติ

บ้านเดี่ยวหลังใหญ่ บรรยากาศสบาย ใกล้ชิดธรรมชาติ

บ้านเดี่ยวหลังใหญ่ บรรยากาศสบาย ใกล้ชิดธรรมชาติ

บ้านเดี่ยวหลังใหญ่ บรรยากาศสบาย ใกล้ชิดธรรมชาติ

บ้านเดี่ยวหลังใหญ่ บรรยากาศสบาย ใกล้ชิดธรรมชาติ

บ้านเดี่ยวหลังใหญ่ บรรยากาศสบาย ใกล้ชิดธรรมชาติ

บ้านเดี่ยวหลังใหญ่ บรรยากาศสบาย ใกล้ชิดธรรมชาติ

บ้านเดี่ยวหลังใหญ่ บรรยากาศสบาย ใกล้ชิดธรรมชาติ

บ้านเดี่ยวหลังใหญ่ บรรยากาศสบาย ใกล้ชิดธรรมชาติ

บ้านเดี่ยวหลังใหญ่ บรรยากาศสบาย ใกล้ชิดธรรมชาติ




 

Create Date : 11 กันยายน 2557    
Last Update : 11 กันยายน 2557 5:21:08 น.
Counter : 1794 Pageviews.  

ปรับพฤฒิกรรมเสี่ยงเลื่ยง ออฟฟิคซินโดรม


การดำเนินชีวิตของคนในสังคมเมือง มีการแข่งขันกันสูงมากขึ้น ทำให้คนเรามองข้ามการดูแลสุขภาพร่างกาย แพทย์ชี้ 10 เปอร์เซ็นต์ของคนเมือง มีภาวะเสี่ยงต่อการเป็นออฟฟิศซินโดรมเพิ่มขึ้น

นายแพทย์อดุลย์ บัณฑุกุล รองผู้อำนวยการด้านอาชีวเวชศาสตร์และเวชศาสตร์สิ่งแวดล้อม โรงพยาบาลนพรัตนราชธานี กล่าวว่า คนส่วนใหญ่มีความเข้าใจผิดว่า ออฟฟิศซินโดรมเป็นโรค และเวลาพูดถึงออฟฟิศซินโดรม คือคนที่ทำงานกับเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยเน้นหนักในเรื่องท่าทางการทำงาน แต่ที่จริงแล้วออฟฟิศซินโดรมนั้นเป็นกลุ่มของอาการที่เกิดจากโรคหลายชนิด มีสาเหตุมาจากอากาศในออฟฟิศ กระบวนการทำงาน ท่าทางการทำงาน เครื่องมือที่มีอยู่ในออฟฟิศ เป็นต้น

ความเป็นจริงออฟฟิศซินโดรมเกิดจากหลายปัจจัย เช่น อากาศที่อับทึบ การระบายอากาศไม่ดีทำให้มี ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์คั่งค้าง ส่งผลให้เกิดอาการปวดมึนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ง่วงนอน หากแสงสว่างจ้าเกินไป หรือมีแสงสะท้อนจากหน้าจอจนเกิดอาการแสบตาต้องหยีตา ปวดกล้ามเนื้อตา จะทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ และหากแสงสว่างน้อยเกินไป

คนที่สายตายาวหรือสายตาสั้นต้องเพ่งตามากขึ้นจะส่งผลให้เกิดอาการปวดกล้ามเนื้อตาเช่นกัน รวมทั้งการมีเครื่องคอมพิวเตอร์หรือเครื่องถ่ายเอกสารภายในสำนักงานมากจะส่งผลให้มีสารเคมีในห้องเพิ่มขึ้น เพราะนอกจากคาร์บอนไดออกไซด์จากตัวคนทำงานแล้ว ยังมีสารระเหยบางประเภททำให้มีอาการแสบตา แสบจมูก แสบคอ ไอ แน่นหน้าอก

นอกจากนี้สารเคมีเหล่านี้ยังเกิดโรคผื่นคันตามตัวอีกด้วย โดยเฉพาะถ้ามีใครในออฟฟิศสูบบุหรี่ ก็จะยิ่งเกิดมลพิษในห้องมากขึ้น ด้วยเหตุนี้พนักงานออฟฟิศจึงต้องไปพบแพทย์บ่อยครั้งด้วยเรื่องเจ็บคอและเป็นหวัด สาเหตุสำคัญมาจากพฤติกรรมการทำงาน คือ มีอิริยาบถในการทำงานไม่เหมาะสมเป็นเวลานาน าทิ การนั่งหลังค่อม การทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานมากกว่า 6 ชั่วโมงต่อวัน โดยไม่ได้เปลี่ยนอิริยาบถ และยังส่งผลให้เกิดความเครียดสะสม สิ่งเหล่านี้ส่งผลให้เกิดอาการกล้ามเนื้ออักเสบ และปวดเมื่อยตามอวัยวะต่างๆ อาทิ หลัง ไหล่ บ่า แขน หรือข้อมือและสายตา โดยท่าทางการทำงานที่ถูกวิธี คือ เวลานั่งพิมพ์งานกับเครื่องคอมพิวเตอร์นั้น ควรนั่งเก้าอี้ที่มีพนักพิง มีที่รองแขน เท้าสามารถแตะพื้นได้ หลังสามารถพิงลงไปโดยตัวอยู่ในท่านั่ง หลังตรง คอตรง มองตรง

นอกจากนี้ยังมีความจำเป็นต้องพักสายตา คือมองไปทางอื่นเป็นระยะหลังทำงานสักพักหนึ่ง และบางคนจะทำงานเพลินจนลืมกระพริบตาทำให้ตาแห้ง เมื่อทำงานสัก 15 นาที ถึงครึ่งชั่วโมง ควรมีการยืนขึ้น บิดหรือเหยียดตัวเพื่อแก้อาการเมื่อย และควรปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือโน้ตบุ๊คทุกครั้งที่ไม่ได้ใช้งาน เพื่อลดระยะเวลาในการรับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า และถ้ามีความจำเป็นต้องใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน จะต้องเงยหน้าขึ้นมองออกไปไกลๆ ทุก 20 นาที เพื่อบรรเทาความเมื่อยล้าของสายตา และควรหาต้นไม้ในร่ม มาปลูก เพื่อช่วยดูดซับสารพิษและเป็นที่พักสายตาที่อ่อนล้า

ดังนั้น เพื่อป้องกันกลุ่มอาการออฟฟิศซินโดรม ควรปรับพฤติกรรม ลดความเครียดจากการทำงานให้มีความพอดี รับประทานอาหารให้ตรงเวลาและครบ 5 หมู่ ออกกำลังกายและตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี เพื่อสุขภาพที่แข็งแรงส่ง ผลให้งานออกมามีประสิทธิภาพตามไปด้วย


ขอขอบคุณบทความจาก สสส.




 

Create Date : 11 กันยายน 2557    
Last Update : 11 กันยายน 2557 5:06:57 น.
Counter : 1195 Pageviews.  

แจ็กเดอะริปเปอร์ ปริศนาฆาตกรโหดโด่งดังที่สุดในประวัติศาสตร์โลก

แจ็กเดอะริปเปอร์ ปริศนาฆาตกรโหดโด่งดังที่สุดในประวัติศาสตร์โลก


คงไม่มีใครไม่รู้จักกับ แจ็กเดอะริปเปอร์ (Jack the Ripper) ชายผู้ที่อยู่ติดชาร์จในหน้าประวัติศาสตร์อังกฤษและทั่วโลก ชื่อนี้เรียกได้ว่าเป็นตำนานหนึ่งของโลกเลยก็ว่าได้ ซึ่ง แจ็ก เดอะ ริปเปอร์ เป็นฆาตกรต่อเนื่องที่ก่อคดีสะเทือนขวัญมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ทุกคนยังไม่เคยเห็นใบหน้าของเขา ยังคงเป็นปริศนาว่าใคร คือฆาตกรตัวจริง! จนถึงปัจจุบันโด่งดังมากว่า 100 ปีแล้ว! วันนี้ทีนเอ็มไทยเลยนำเรื่องราวของ แจ็ก เดอะ ริปเปอร์ (Jack the Ripper) นี้มาบอกเล่าต่อ เป็นเกร็ดความรู้ให้เพื่อนๆ ได้อ่านกันนะคะ ^^ แจ็กเดอะริปเปอร์ ปริศนาฆาตกรโหดโด่งดังที่สุดในประวัติศาสตร์โลก

เรียบเรียงโดย teen.mthai.com

แจ็กเดอะริปเปอร์ ปริศนาฆาตกรโหดโด่งดังที่สุดในประวัติศาสตร์โลก

แจ็กเดอะริปเปอร์ ปริศนาฆาตกรโหดโด่งดังที่สุดในประวัติศาสตร์โลก

เรื่องราวของ แจ็กเดอะริปเปอร์ (Jack the Ripper) ชายผู้ที่อยู่ติดชาร์จในหน้าประวัติศาสตร์อังกฤษและทั่วโลกที่รู้จักกันดีคนนี้ เขาเป็นฆาตกรต่อเนื่อง ฆ่าหญิงโสเภณีในย่านสลัม ไวต์ชาเปล ของลอนดอนช่วงเดือนสิงหาคม-พฤศจิกายน ปี 1888 ฟังดูเหมือนว่า “เขาก็แค่ฆาตกรคนหนึ่งเท่านั้นเอง” ทำไมถึงได้ดัง ทั้งที่ฆาตกรโหด ที่โดดเด่นและฆ่าเหยื่อมากกว่าเขาก็มีมาก 

คำตอบก็คือ ชายผู้นี้ยังไม่เคยโดนจับได้เลยตั้งแต่เขาก่อคดีสะเทือนขวัญในลอนดอนมา ทั้งยังการฆ่าที่โหดและสยดสยอง ไม่ว่าจะเป็นการฆ่าเหยื่อโดยการผ่าท้อง และลากเอาไส้มาแขวนไว้ที่เสาไฟฟ้า การแขวนศพเหยื่อไว้บนกำแพง ฯลฯ และ ที่สำคัญไม่มีข่าวรายงานเลยว่ามีคนที่เคยเห็นหน้าแจ๊คด้วยซ้ำไป กระทั่งผู้ที่อาศัยอยู่ละแวกใกล้ๆ แม้แต่ตอนที่แจ๊คลงมือยังแทบไม่ได้ยินเสียงอะไร ที่ผิดปกติเลยโดยเหยื่อนั้นเสียชีวิตจากการถูกของมีคมแทงหรือไม่ก็ชำแหละ คมมากจนถึงขนาดตัดกระดูกออกมาได้ จนกระทั้ง แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ หยุดการกระทำหฤโหด ทิ้งปริศนาไว้ตลอดกาลว่าเขาคือใครกันแน่?

อีกหนึ่งอย่างที่ทำให้ แจ็กเดอะริปเปอร์ (Jack the Ripper)  ยังคงปริศนาอันดับ 1 สร้างชื่อกระฉ่อนถึงความน่าสะพรึงกลัว ที่ยังคงค้างคาใจหลายๆ คนมาจนถึงทุกวันนี้ อาจจะมาจากเหตุผลที่ว่าในสมัยนั้นการพิสูจน์หรือทดสอบด้านนิติวิทยาศาสตร์ยังไม่พัฒนาเท่าที่ควร จึงไม่มีเหตุผลหรือหลักฐานหนักแน่นในการมัดฆาตกรก็เป็นได้ .. แต่ถ้าเรื่องนี้ถูกผุดขึ้นมาภายหลัง จะเป็นไปได้มั้ย ที่จะสืบสาวหาฆาตกรตัวจริงได้ แม้ฆาตกรคนนั้นอาจไม่มีชีวิตอยู่ให้จับแล้วก็ตาม แต่ก็ยังดีที่ได้รู้ว่าฆาตกรตัวจริง ผู้นั้นคือใคร ? ต่อจากนี้ไปเรามารับรู้เรื่องราวอันเป็นตำนานนี้ไปพร้อมๆ กันนะคะ ..

แจ็กเดอะริปเปอร์ ปริศนาฆาตกรโหดโด่งดังที่สุดในประวัติศาสตร์โลก

แจ็กเดอะริปเปอร์ ปริศนาฆาตกรโหดโด่งดังที่สุดในประวัติศาสตร์โลก

แจ็กเดอะริปเปอร์ ปริศนาฆาตกรโหดโด่งดังที่สุดในประวัติศาสตร์โลก

     แจ็กเดอะริปเปอร์ ( Jack the Ripper) เป็นสมญาของฆาตกรต่อเนื่องที่ฆ่าคนในย่าน “ไวต์ชาเปล” ถิ่นยากจนใกล้นครลอนดอน ในช่วงครึ่งปีหลังของ ค.ศ. 1888  โดยฉายานี้ได้มาจากข่าวที่ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ต่าง ๆ ที่ลงข่าวจดหมายลึกลับที่เขียนถึงสำนักข่าวกลางโดยผู้เขียนที่อ้างตนว่าเป็นฆาตกร ถึงแม้จะมีการสืบสวนและมีทฤษฎีที่น่าเชื่อถือมากมาย แต่ก็ไม่สามารถบ่งบอกโฉมหน้าที่แท้จริงของฆาตกรได้เลย

-  ตำนานเล่าขาน ฆาตกรแจ็กเดอะริปเปอร์ นี้ทำให้เกิดการค้นคว้าวิจัยอย่างจริงจังทางประวัติศาสตร์ ทฤษฎีสมรู้ร่วมคิดและนิทานพื้นบ้าน การขาดหลักฐานยืนยันที่แน่ชัดทำให้เกิดคำว่า “นักริปเปอร์วิทยา” มาใช้เรียกนักประวัติศาสตร์และนักสืบสมัครเล่นที่ศึกษาคดีอันโด่งดังนี้เพื่อกล่าวหาหรือพาดพิงถึงบุคคลต่าง ๆ ว่าคือตัวริปเปอร์

-  หนังสือพิมพ์ซึ่งมียอดขายเพิ่มสูงมากในช่วงนี้โทษว่าเป็นเพราะความล้มเหลวของตำรวจที่ไม่สามารถจับกุมคนร้ายได้ ทำให้ฆาตกรได้ใจและท้าทาย เหตุการณ์จึงเกิดต่อเนื่องเรื่อยมา บางครั้งตำรวจมาถึงที่เกิดเหตุหลังเกิดการฆ่าเพียง 2-3 นาที แต่กลับไม่ได้ตัวคนร้าย

-  เหยื่อเกือบทั้งหมดเป็นโสเภณี ฆาตกรรมส่วนใหญ่เกิดในที่สาธารณะหรือกึ่งสาธารณะ เหยื่อทุกรายถูกเชือดคอ หลังจากนั้นซากศพจะถูกหั่นตรงช่วงท้องและบางครั้งที่อวัยวะเพศ คาดกันว่าเหยื่อจะถูกรัดคอให้เงียบเสียงก่อนลงมือฆ่า มีหลายกรณีที่มีการตัดอวัยวะภายในออก จึงมีผู้อนุมานว่าฆาตกรอาจเป็นศัลยแพทย์หรือไม่ก็คนขายเนื้อ ซึ่งยังหาข้อสรุปไม่ได้

แจ็กเดอะริปเปอร์ ปริศนาฆาตกรโหดโด่งดังที่สุดในประวัติศาสตร์โลก

เหยื่อรายแรก แมรี่ แอนน์ นิโคลส์

เหตุการณ์ฆาตกรรมโหด โดย แจ็กเดอะริปเปอร์ ( Jack the Ripper

-  31 สิงหาคม ค.ศ. 1888 ฆาตกรรมเหยื่อรายแรก แมรี่ แอนน์ นิโคลส์ (เวลา 03:45 น.  Whitechapel , London)

ย่านสลัมที่แออัดเขต Whitechapel ของลอนดอน ศพของแมรี่ แอนน์ นิโคลส์ ถูกปาดคอเข้ามาที่ทั้งสองด้านจนศรีษระเกือบจะหลุด และที่ส่วนท้องก็ถูกชำแหละด้วยมีดยาวอย่างโหดเหี้ยม ตรอกตรงที่เกิดเหตุทั้งเปลี่ยวและมืด และไม่มีใครสัญจรไปมาในช่วงเช้าตรู่ มันเหมาะอย่างยิ่งสำหรับพวกโจรหรือฆาตกร มีหญิงโสเภณีมากมายที่มาหาลูกค้าอยู่ และทุกคนก็รู้ว่ามีจุดที่เงียบสงบตรงไหนบ้างที่จะทำธุระส่วนตัว ฆาตกรน่าจะเป็นคนที่รู้จักพื้นที่นี้ดี ฆาตกรผู้นี้มุ่งเป้าหมายไปยังพวกผู้หญิงหากิน และรู้ว่าเหยื่อของเขาน่าจะพาไปยังที่ๆ เหมาะที่สุด หรือจุดที่แทบไม่มีใครสังเกตเห็น รูปแบบและพฤติกรรมของฆาตกรค่อยๆ ปรากฏขึ้น ดูเหมือนเขาจะโกรธและเกลียดพวกผู้หญิงนี้อย่างมาก

เมื่อเกิดคดีฆาตกรรม ความแตกตื่นจึงเกิดขึ้นทั่วพื้นที่ เมื่อผู้หญิงกลายเป็นศพทั่วลอนดอน หนังสือพิมพ์พากันประโคมข่าว และเกิดความบ้าคลั่งในการแย่งกันเพื่อระบุรายละเอียดของฆาตกรและข้อมูลที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ หนังสือพิมพ์ลงรูปวาดต่างๆที่เกี่ยวกับการฆาตกรรม นั่นยิ่งทำให้ภาพลักษณ์ของแจ๊คเดอะริปเปอร์ดูน่ากลัว ซึ่งบางส่วนก็เป็นการแต่งเติมของสื่อส่วนหนึ่ง จดหมายที่อ้างว่ามาจากฆาตกรรายนี้เริ่มปรากฏอยู่บนหนังสือพิมพ์ โดยนักหนังสือพิมพ์ที่ไร้จรรยาบรรณบางคน

แจ็กเดอะริปเปอร์ ปริศนาฆาตกรโหดโด่งดังที่สุดในประวัติศาสตร์โลก

ฆาตกรรมเหยื่อ ทั้ง 3 ราย

-  8 กันยายน ค.ศ. 1888 ฆาตกรรมเหยื่อรายที่สอง แอนนี่ แชปแมน 

เธอถูกหั่นเป็นชิ้นๆ ส่วนคอก็มีบาดแผลลึกมากไปถึงกระดูกด้านหลัง ส่วนท้องทั้งหมดก็ถูกคว้านออกมา สิ่งที่หายไปก็คือมดลูก มันไม่ใช่แค่การคว้านไส้และนำอวัยวะออกมาเท่านั้น จุดเด่นก็คือมันเป็นความพยายามกระทำกับสิ่งที่บ่งบอกเพศของเหยื่อ มันเป็นความพยายามและต้องใช้เวลาอย่างมาก มีการระบุว่าพบมีดที่อาจเป็นของฆาตกร มันมีความคมและถูกออกแบบมาโดยเฉพาะ และมีความคล้ายคลึงกับมีดผ่าตัดของแพทย์ ซึ่งเป็นสิ่งบ่งบอกลักษณะของฆาตกรรายนี้ได้ รายละเอียดของการฆาตกรรมระบุว่าฆาตกรต้องมีความรู้ด้านการแพทย์ กายวิภาค สรีระร่างกาย

-  25 กันยายน ค.ศ. 1888 จดหมายส่งถึงสำนักงานเซ็นทรัล ลงนาม “แจ๊ก เดอะ ริปเปอร์”

-  30 กันยายน ค.ศ. 1888 ฆาตกรรมเหยื่อรายที่สาม Elizabeth Stride กับสี่  Catherine Eddowes  ในเวลาไล่เลี่ยกัน

บนถนน Birners ศพของเธอถูกปาดคอ และมีรอยฟกช้ำที่หัวไหล่ ดูเหมือนว่าอาจมีใครสักคนมาขัดจังหวะฆาตกร ศพของเธอจึงไม่ถูกชำแหละเหมือนรายอื่น ไม่เกิน 1 ชั่วโมงหลังจากนั้นเมื่อเวลา 01:45 น. ก็มีคนพบศพ Catherine Eddowes เหยื่อรายที่ 4 ศพของเธอถูกหั่นไม่มีชิ้นดี โดนควักลูกตา เฉือนจมูก ลำคอถูกเชือด ช่องท้องถูกกรีดเป็นบาดแผลเหวอะ ไม่มีไต ไตข้างซ้ายของเธอและมดลูกถูกตัดออก โดยมีข้อความเขียนไว้บนกำแพงในละแวกที่พบศพว่า “The Juwes are the men that Will not be Blamed for nothing.” แปลความได้ว่า “ชาวยิวเป็นกลุ่มคนที่จะไม่ถูกกล่าวโทษ ไม่ว่าเรื่องใดๆ ก็ตาม”

-  1 ตุลาคม ค.ศ. 1888 ไปรษณีย์บัตร์ “แจ๊คจอมซ่าส์”ถึงสำนักข่าวเดิม

-  16 ตุลาคม ค.ศ. 1888 พัสดุลงชื่อ “จากนรก” ส่งไตครึ่งซีก ไปให้จอร์ชประธานคระกรรมการป้องกันภัยไวต์แซพเพล

แจ็กเดอะริปเปอร์ ปริศนาฆาตกรโหดโด่งดังที่สุดในประวัติศาสตร์โลก Mary Jane Kelly

เหยื่อรายที่ห้าคาดว่าเป็นรายสุดท้าย แมรี่ เจน เคลลี่

-  9 พฤศจิกายน ค.ศ. 1888 เหยื่อรายที่ห้าคาดว่าเป็นรายสุดท้าย แมรี่ เจน เคลลี่

เกิดการฆาตกรรมเหยื่อรายสุดท้าย ที่เชื่อกันว่าเป็นฝีมือ แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ คราวนี้เหยื่อเป็นโสเภณีที่อายุอานามครบวัยเบญจเพศพอดี แมรี่ เจน เคลลี่ นอนตายเป็นศพอยู่ ในห้องพักของตนเอง สภาพศพของเธอเละจนไม่มีชิ้นดี อยู่ในสภาพนอนกางขาบนเตียงนอน ผิวหนังโดนถลก มีมดลูกกองอยู่ปลายเท้า มือข้างหนึ่งถูกจับล้วงเข้าไปในท้องที่โดนควักตับไตไส้พุงออก หัวใจถูกปลิดออกจากขั้วหายไป เลือดสาดกระเซ็นไปทั่วห้อง ทั้งนี้เป็นที่รับรู้กันว่าตอนนั้นเคลลีกำลังตั้งครรภ์ บนผนังห้องของเธอปรากฏข้อความ “the juwes are the men that will not be blamed for nothing.” เช่นเดียวกับข้อความที่พบบริเวณของเหยื่อรายที่สี่

-  31 ธันวาคม ค.ศ. 1888 พบศพมองตากู จอห์น ดรูอิทท์ หนึ่งในผู้ต้องสงสัยว่าเป็นแจ๊คจมน้ำตาย สันนิษฐานว่าเป็นการฆ่าตัวตาย

-  ค.ศ. 1890 อารอน โคสมินสกี้ ผู้ส่งเข้าโรงพยาบาลโรคจิตและเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1919

-  ค.ศ. 1892 ปิดคดีแจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ โดยหาผู้กระทำความผิดไม่เจอ

แจ็กเดอะริปเปอร์ ปริศนาฆาตกรโหดโด่งดังที่สุดในประวัติศาสตร์โลก

ผู้ต้องสงสัย ฟรานซีส ทัมเบิลตี้

ใครกันคือ แจ็กเดอะริปเปอร์? ( Jack the Ripper) ผู้ต้องสงสัยคดีฆาตกรรม

ข้อมูลที่ผ่านๆ มามีการรายงานเกี่ยวกับการสืบหาฆาตกรในเรื่องนี้ ซึ่งก็มีหลายคนที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัย แต่มีอยู่ 2 รายที่ดูท่าทีว่าอาจจะเป็น ฆาตกร แจ็กเดอะริปเปอร์ ( Jack the Ripper) ตัวจริง! คนหนึ่งเป็นคนที่อ้างว่าเป็นแพทย์ชาวอเมริกัน ส่วนอีกคนเป็นผู้หญิงที่ฆ่าภรรยาและลูกของชายชู้ของเธอ

1. ผู้ต้องสงสัยแพทย์ชาวอเมริกัน ฟรานซีส ทัมเบิลตี้

ก็เป็นคนที่มีความรู้เหล่านี้ หมอทัมเบิลตี้ไม่เคยเป็นที่รู้ของประชาชนทั่วไปว่าตกเป็นผู้ต้องสงสัยจนกระทั่งมีการพบจดหมายฉบับหนึ่งที่มาจากหน่วยงานของสก็อตแลนด์ยาร์ดที่บอกว่าพวกเขากำลังสงสัยชายคนนี้ รายงานนี้ถูกเขียนขึ้นเมื่อปี 1913 หน่วยพิเศษของสก็อตแลนด์ยาร์ดหรือหน่วยข่าวกรองลับ มีข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับฟรานซีส ทัมเบิลตี้ว่าเขามักจะแต่งตัวเป็นทหารและอ้างว่าทำงานให้กับกองทัพ จากรูปถ่ายของเขาเครื่องแบบที่เขาใส่ผิดปกติมากและมันน่าจะเป็นชุดทหารปลอม

ฟรานซีส ทัมเบิลตี้ดูเหมือนศิลปินที่มีเล่ห์เหลี่ยมมาตั้งแต่วัยรุ่น เขาเติบโตขึ้นมาในโรเชสเตอร์ นิวยอร์ค และพอผ่านช่วงวัยรุ่น เขาก็กลายเป็นแพทย์คนหนึ่ง เขาสร้างเรื่องอื้อฉาวด้วยการขายสมุนไพรและยาปลอมไปทั่วอเมริกา และเมื่อปัญหาเริ่มปรากฏ เขาก็รีบย้ายออกจากอเมริกาทันที หลักฐานระบุว่าเขาเดินทางมาอังกฤษเมื่อเดือนมิถุนายนปี 1888 และช่วงเวลาที่เกิดคดีแจ๊คเดอะริปเปอร์ เขาก็อยู่ในลอนดอนด้วย หลักฐานระบุว่าเขาอาศัยอยู่ในย่านถนน Batty Street ซึ่งอยู่ติดกับถนน Birners เป็นที่เกิดเหตุที่เหยื่อรายที่สามและสี่ถูกฆาตกรรมในครั้งเดียวกันที่ถูกเรียกว่าการลงมือฆ่าซ้อน เจ้าของอพาร์ตเม้นท์แจ้งว่าชายอเมริกันที่มาเช่าพักหายตัวไปในคืนวันนั้น

2. แมรี่ เพียร์ซี่

ได้เสียชีวิตไปในปี 1890 หลังจากฆ่าภรรยาและลูกของชายชู้ของเธอ การฆ่าของผู้หญิงคนนี้เต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม เธอปาดคอเหยื่อฆาตกรรมของเธอคนนั้นลึกมากจนมันแทบจะหลุดออกมาเลยทีเดียว ก่อนถูกตัดสิน เพียร์ซี่ได้เขียนจดหมายถึงครอบครัวของเธอ ทำให้ได้เห็นถึงจิตใจของเธอ 

มีข่าวลือว่าจริงๆ แล้วแจ๊คเดอะริปเปอร์อาจจะเป็นผู้หญิงที่จงเกลียดจงชังผู้หญิงหากิน แต่ตำรวจในตอนนั้นไม่คิดว่าผู้ต้องสงสัยจะเป็นผู้หญิง แต่จากการทดสอบในปัจจุบันที่พบว่า DNA ที่อยู่ในน้ำลายที่ปิดผนึกจดหมายที่น่าจะเป็นของฆาตกรนั้นเป็น DNA ของผู้หญิง ทางทีมงานจึงได้ทดสอบว่าเป็นไปได้มั้ยที่ผู้หญิงจะมีแรงพอที่จะฆาตกรรมคนได้อย่างโหดเหี้ยมและรุนแรง ทีมงานได้ทดสอบด้วยการใช้เครื่องวัดแรงกดที่กระทำต่อเหยื่อโดยให้ผู้หญิงที่มีรูปร่างพอๆ กับ  แมรี่ เพียร์ซี่ ผู้ต้องสงสัย ออกแรงบีบคอและกดเหยื่อหุ่นจำลองซึ่งมีเครื่องวัดแรงกดนั้นอยู่ด้านล่าง หลังการทดสอบพบว่าเป็นไปได้ที่ผู้หญิงจะสามารถออกแรงกดและบีบคอเหยื่อให้หมดสติภายในเวลาสั้นๆ เหมือนอย่างที่แจ๊คเดอะริปเปอร์ทำกับเหยื่อ

การฆาตกรรมโหดสองแม่ลูกของแมรี่ เพียร์ซี่ ก็คล้ายกันมากกับคดีของแจ๊คเดอะริปเปอร์ แมรี่มีความสัมพันธ์กับชายที่แต่งงานแล้ว ด้วยความอิจฉาริษยา เธอฆ่าภรรยาและลูกของเขา เธอหลอกล่อเหยื่อมาที่บ้านของเธอและสังหารเหยื่อด้วยที่เขี่ยไฟในเตาผิง เธอนำทารกใส่เข้าไปในเตา หลังจากนั้นก็นำศพของทั้งสองใส่ลงในรถเข็นเด็กเพื่อนำออกไปทิ้งให้ไกลจากบ้านของเธอ ศพของผู้หญิงคนนั้นถูกพบโดยที่ลำคอมีบาดแผลที่ลึกมากซึ่งเป็นสัญลักษณ์ในการฆ่าของแจ๊คเดอะริปเปอร์ และในคำให้การของแมรี่ เพียร์ซี่ที่เธออ้างว่าเธอไม่มีทางเลือก เธอต้องนำศพของผู้หญิงคนนั้นใส่ลงในรถเข็นเด็ก เพื่อที่จะนำศพยัดลงไปในรถเข็นเด็ก เธอจึงต้องตัดส่วนคอลงไปลึกมากเพื่อให้ศพสามารถยัดลงไปได้

แจ็กเดอะริปเปอร์ ปริศนาฆาตกรโหดโด่งดังที่สุดในประวัติศาสตร์โลก

ปริศนาฆาตกรโหดโด่งดังที่สุดในประวัติศาสตร์โลก

3. เจ้าชายเอ็ดเวิร์ด อัลเบิร์ต วิคเตอร์ หรือเจ้าชายเอดดี ดยุคแห่งแคลเรนซ์ 

หนังสือหลายเล่มอ้างว่าพระองค์เคยเสด็จไปเที่ยวซ่องในย่านอีสต์เอนด์ และสันนิษฐานว่าพระองค์เรียนรู้เทคนิคในการชำแหละมาจากการล่าสัตว์ และทรงติดเชื้อซิฟิลิส (เหมือนลำยอง ทองเนื้อเก้าไง !) ขณะที่สาเหตุอย่างเป็นทางการระบุว่าพระองค์สิ้นพระชนม์จากอาการปอดอักเสบ หนังสือหลายเล่มชี้ว่าพระองค์เป็นผู้ลงมือเองหรือไม่ก็ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับการฆาตกรรมเพื่อปิดปังพฤติกรรมอันเหลวแหลก

ทฤษฎีนี้แพร่หลายมากเพราะนักประวัติศาสตร์มีชื่อ อย่างไรก็ตามสาวกของแจ็คส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย เนื่องจากบันทึกเกี่ยวกับพระกรณียกิจของเจ้าชายยืนยันว่าในขณะที่การฆาตกรรมเกิดขึ้นพระองค์ไม่ได้ประทับอยู่ในลอนดอนเลย อย่างไรก็ตามกลุ่มที่เชื่อทฤษฎีนี้โต้ว่าเจ้าชายเอดดีอาจจะแอบมาลอนดอน หรือมิเช่นนั้นบันทึกของทางการอาจจะเป็นสิ่งที่ “แต่ง” ขึ้นมาก็ได้

4. มอนเทกิว จอห์น ดริตต์ 

เขาเป็นครูและศึกษาด้านการแพทย์ขณะที่สอบได้เนติบัณทิตแล้ว ดริตต์มาจากครอบครัวที่ดีและมีการศึกษาแต่กลับมีอาการวิกลจริต สองวันหลังจากที่เขาถูกไล่ออกจากโรงเรียนแบล็กเฮลท์เขาก็ฆ่าตัวตายด้วยการถ่วงตัวเองให้จมน้ำด้วยหินที่ซุกไว้ตามกระเป๋า และทิ้งข้อความลาตายไว้ว่า “ตั้งแต่วันศุกร์แล้วผมรู้สึกว่ากำลังจะเป็น (บ้า)เหมือนแม่ และการตายคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับผมในตอนนี้”

ตำรวจพบกระดาษโน้ตจากศพของเขาที่ลอยมาตามแม่น้ำเทมส์เมื่อ 31 ธันวาคม ปี 1888 ทั้งนี้ เขาหายตัวไปหลังจากที่พบศพเหยื่อรายที่ 5 ได้ไม่นาน การสอบสวนของตำรวจระบุว่าเขาฆ่าตัวตายเนื่องจากอาการซึมเศร้า และสรุปว่าเขาคือแจ็คเดอะริปเปอร์ ตำรวจปิดคดีได้สำเร็จโดยที่เขาตกเป็นแพะรับบาป มีคนตั้งข้อสงสัยว่าเขาฆ่าตัวตายหรือถูกฆาตกรรมเสียเองกันแน่ ขณะที่การศึกษาเมื่อเร็วๆ นี้ซึ่งแสดงต่อศาลระบุว่าการตายของเคลลีและการตายของดริตต์มีความเกี่ยวโยงกัน บ้างระบุว่าดริตต์มีอาการป่วยทางจิตหลังจากการสังหารเหยื่อรายที่ 5 ของเขา

5. อารอน โคสมินสกี้ 

เป็นผู้ต้องสงสัยของทางการหมายเลขสอง รองจากมอนเทกิว จอห์น ดริตต์ อารอน โคสมินสกี้ เป็นช่างตัดผมชาวยิวที่อาศัยอยู่ในละแวก white chapel เขาเคยถูกพยานที่อ้างว่าเห็นฆาตกรชี้ตัว แต่ภายหลังพยานคนดังกล่าวไม่ได้ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่เท่าไร แต่การชี้พยานในครั้งนั้น ทำให้เขาตกเป็นเป้าสายตาของสก๊อตแลนด์ยาร์ด ในฐานะว่าอาจจะเป็น แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ตัวจริง ต่อมาภายหลังอารอน โคสมินสกี้เกิดอาการกำเริบทางจิต จนถูกส่งตัวไปรักษาในโรงพยาบาลในปี พ.ศ 2433 และจบชีวิตลงในปีพ.ศ 2462

ในขณะที่ตำรวจตรวจหาผู้ต้องสงสัย อีกด้านหนึ่ง เทรเวอร์ แมริออต อดีตนักสืบหัวเห็ดสังกัดเบดฟอร์ดเชียร์ซึ่งหันมาศึกษาเรื่องแจ็คด้วยเทคนิคสืบสวนสมัยใหม่ออกมาตั้งข้อสันนิษฐานว่า แจ็คเดอะริปเปอร์นั้นอาจจะไม่ใช่ชาวลอนดอน แต่เป็นกะลาสีชาวนิการากัวหรือเยอรมันซึ่งเดินทางมาค้าขายในอังกฤษและติดโรคร้ายจากการเที่ยวผู้หญิงและต้องการแก้แค้น

หนังสือของเทรเวอร์ “Jack the Ripper: The 21st Century Investigation” บอกว่าตำรวจสันนิษฐานอย่างผิดๆ ว่าฆาตกรนั้นอาศัยและทำงานในอีสต์เอนด์ และตำรวจยังไม่รู้วันเวลาของการฆาตกรรมที่เกิดขึ้นจริงๆ โดยถูกทำให้เขวและเลือกที่จะไม่มองถึงความเป็นไปได้ที่ผู้ลงมือนั้นอาจจะเป็นกะลาสีเรือ

แจ็กเดอะริปเปอร์ ปริศนาฆาตกรโหดโด่งดังที่สุดในประวัติศาสตร์โลก

จดหมายจากแจ๊คเดอะริปเปอร์

ลายมือของ  แจ็กเดอะริปเปอร์ ( Jack the Ripper

การสืบสวนอีกอย่างหนึ่งคือการตรวจสอบลายมือของผู้ต้องสงสัยกับลายมือในจดหมายที่คาดว่าเป็นของแจ๊คเดอะริปเปอร์ เจ้าหน้าที่ได้รับจดหมายจำนวนมากที่อ้างว่าเป็นของฆาตกรรายนี้ แต่ส่วนใหญ่ถูกพิสูจน์แล้วว่ามันถูกปลอมขึ้นมา ยกเว้นจดหมายฉบับหนึ่งที่ถูกส่งมาให้หน่วยลาดตะเวนของพลเรือน ซึ่งมันถูกส่งมาพร้อมกับไตข้างหนึ่งของมนุษย์ จดหมายนี้จ่าหน้าว่ามาจากนรก ไม่มีลายเซ็นต์อยู่ที่ท้ายจดหมาย มันมาพร้อมกับไตข้างหนึ่งของแคทเธอรีน เอ็ดโดว์ มันถูกเขียนเอาไว้ว่า “ผมส่งไตมาให้คุณครึ่งหนึ่ง มันถูกเอาออกมาจากผู้หญิงคนหนึ่ง และผมห่อเอาไว้อย่างดี ผมหั่นเป็นชิ้นพอดีคำ เพื่อที่คุณจะได้กินได้ง่าย ผมอาจจะส่งมีดเล่มนั้นมาให้คุณอีก ถ้าคุณจะกรุณารอต่อไปอีกสักพัก ลงชื่อ มาจากผม ถ้าคุณทำได้”

จดหมายฉบับนี้ได้หายไปจากห้องเก็บหลักฐานของสก็อตแลนด์ยาร์ด เมื่อปี 1950 แต่ยังมีสำเนาให้ทำการเปรียบเทียบและวิเคราะห์ลายมือ นักวิเคราะห์ลายมือได้ระบุว่า ผู้ที่เขียนนี้มีลักษณะที่เป็นไปได้ว่าจะเป็นผู้ที่ชอบล่วงละเมิดทางเพศผู้อื่น และการสะกดคำในจดหมายสามารถระบุได้ว่าเป็นลักษณะการสะกดคำของชาวไอริช ซึ่งค่อนข้างระบุได้ว่าคนที่เขียนจดหมายนี้มีภูมิหลังเป็นชาวไอริช ซึ่งผู้ต้องสงสัยฟรานซิส ทัมเบิลตี้เป็นชาวอเมริกัน แต่พ่อของเขาเป็นชาวไอริช และเมื่อนำจดหมายจากนรกมาเปรียบเทียบกับจดหมายของทัมเบิลตี้ก็พบว่ามีความคล้ายคลึงกันอย่างมาก สิ่งหนึ่งที่พบว่าคล้ายกันก็คือการเชื่อมโยงคำที่ไม่ปกติ และการเขียนตัววายที่ลากหางยาวไปที่คำด้านล่างที่อยู่อีกบรรทัดหนึ่ง ซึ่งสุดท้ายแล้วผู้เชี่ยวชาญด้านลายมือก็สรุปว่า มีความเป็นไปได้ว่าผู้ที่เขียนจดหมายจากนรกคือฟรานซิส ทัมเบิลตี้

แจ็กเดอะริปเปอร์ ปริศนาฆาตกรโหดโด่งดังที่สุดในประวัติศาสตร์โลก

แจ็กเดอะริปเปอร์ ปริศนาฆาตกรโหดโด่งดังที่สุดในประวัติศาสตร์โลก

สุดท้ายได้มีการวิเคราะห์พฤติกรรมของฆาตกร โดยกำหนดเป็นรูปแบบของฆาตกร (Criminal Profile) ไว้ดังนี้

- การเชี่ยวชาญด้านพื้นที่ ไม่มีความจำเป็น
- ไม่คิดว่าจะเกี่ยวข้องกับผู้ที่มีความรู้ด้านการแพทย์ เพราะบาดแผลไม่ได้เฉียบคม ลักษณะบาดแผลบ่งบอกว่าฆาตกรมีความโหดเหี้ยม มีแรงจูงใจของคนที่ต้องการแก้แค้น
- ฆาตกรจงใจกระทำต่ออวัยวะที่แสดงลักษณะของเพศหญิง และฆาตกรไม่ได้รีบร้อนในการฆ่า และใช้เวลากับการฆ่าเหยื่อ ฆาตกรเกลียดเพศหญิง ใจเย็นไม่ได้ฆ่าจากการระเบิดอารมณ์โกรธหรือความฉุนเฉียว

เมื่อเทียบรูปแบบกับฆาตกรกับผู้ต้องสงสัยแมรี่ เพียร์ซี่สรุปได้ดังนี้
- แมรี่ เพียร์ซี่ไม่ได้อาศัยย่านจุดเกิดเหตุ ซึ่งตรงนี้ไม่ว่าใครก็สามารถเป็นฆาตกรได้
- แมรี่ เพียร์ซี่มีความรู้ทางด้านการแพทย์ แต่การฆาตกรรมโดยแจ๊คเดอะริปเปอร์ไม่จำเป็นต้องทำโดยผู้ที่มีความรู้ด้านการแพทย์ 
- ไม่มีหลักฐานอะไรบ่งบอกว่าเธอเกลียดเพศหญิง แมรี่ฆ่าด้วยความโกรธเพราะความรัก

เมื่อเทียบรูปแบบกับฆาตกรกับผู้ต้องสงสัยฟรานซิส ทัมเบิลตี้สรุปได้ดังนี้
- ฟรานซิส ทัมเบิลตี้ย้ายมาจากอเมริกาไม่ได้มีความชำนาญในพื้นที่เกิดเหตุ
- ฟรานซิส ทัมเบิลตี้มีความพยายามจะเป็นหมอ เขารู้ว่าอวัยวะแต่ละส่วนอยู่ตรงไหน แต่ไม่ได้มีความชำนาญในการชำแหละ ตรงนี้ตรงกับฆาตกร
- มีการระบุว่าฟรานซิส ทัมเบิลตี้เคยผิดหวังในความรักจากผู้หญิงและมีพฤติกรรมเกลียดผู้หญิง ไม่ชอบกลิ่นของผู้หญิง ตรงนี้ตรงกับฆาตกร
- ฟรานซิส ทัมเบิลตี้มีลักษณะใจเย็น การทำงานของเขามีการไตร่ตรอง ชอบจัดลำดับความสำคัญ 

จากโปรไฟล์ของฆาตกรและของฟรานซิส ทัมเบิลตี้นั้นตรงกันทุกข้อ จึงมีความเป็นไปได้ว่าแจ๊คเดอะริปเปอร์นั้นคือฟรานซิส ทัมเบิลตี้ แต่อย่างไรก็ตามจากหลักฐานต่างๆ ที่มีเหลืออยู่เพียงน้อยนิด ไม่อาจสรุปได้ว่าแจ๊คเดอะริปเปอร์คือเขา เป็นเพียงผู้ต้องสงสัยที่ตรงกับฆาตกรที่สุดเท่านั้น

สก๊อตแลนด์ยาร์ดตัดสินใจปิดคดีของ แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ลงใน ปี พ.ศ. 2435 ทั้งๆ ทียังไม่สามารถจับฆาตกรได้ แต่เนื่องจากผู้ต้องสงสัยสองรายสำคัญอย่าง มอนเทกิว จอห์น ดริตต์ ได้จบชีวิตลงและ อารอน โคสมินสกี้ ก็ต้องใช้ชีวิตที่เหลือในโรงพยาบาลโรคจิต

แจ็กเดอะริปเปอร์ ปริศนาฆาตกรโหดโด่งดังที่สุดในประวัติศาสตร์โลก

โฉมหน้า แจ็ก เดอะ ริปเปอร์

แต่ไม่นานมานี้! Dr. Jari Louhelainen ก็ได้ลองตรวจสอบดีเอ็นเอบนผ้าคลุมไหล่ของ Catherine Eddowes ทีเป็นหนึ่งในเหยื่อของ Jack The Ripper ก่อนจะพบว่าดีเอ็นเอที่ปรากฏตรงกับชายผู้ชื่อว่า Aaron Kosminski

โดยหลักฐานผ้าคลุมไหล่ชิ้นนี้ได้มาจาก Russell Edwards ซึ่งประมูลหลักฐานปริศนาชิ้นนี้มาเมื่อหลายปีก่อน แต่เขาเพิ่งมาตัดสินใจมอบให้กับด็อกเตอร์เพื่อทำการตรวจสอบ…และนั่นทำให้ชาวโลกถึงกับช็อคที่ได้รู้ตัวตนที่แท้จริงของ Jack The Ripper

ซึ่ง Aaron Kosminski คือชาวยิวที่หนีมาในกรุงลอนดอน และเมื่อปี 1987 ชายผู้นี้ก็เคยถูกสันนิษฐานเช่นกันโดย Dr. Robert Andersonว่าชายผู้นี่แหละมีแนวโน้มว่าจะเป็น Jack The Ripper ตัวจริง…และเมื่อผนวกเข้ากับหลักฐานดีเอ็นเอที่เพิ่งค้นพบก็ยิ่งตอกย้ำว่า Kosminski นี่ล่ะ ที่เป็นฆาตกรตัวจริงในตำนานลี้ลับเรื่องนี้

แจ็กเดอะริปเปอร์ ปริศนาฆาตกรโหดโด่งดังที่สุดในประวัติศาสตร์โลก

ลายมือ Aaron Kosminski

แจ็กเดอะริปเปอร์ ปริศนาฆาตกรโหดโด่งดังที่สุดในประวัติศาสตร์โลก

แจ็กเดอะริปเปอร์ ปริศนาฆาตกรโหดโด่งดังที่สุดในประวัติศาสตร์โลก

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง : 10 คดีปริศนาฆาตกรรมโหดทั่วโลก

เรียบเรียงโดย teen.mthai.com




 

Create Date : 10 กันยายน 2557    
Last Update : 10 กันยายน 2557 10:39:15 น.
Counter : 2786 Pageviews.  

ความรุ้เบื้องต้นเกื่ยวกับล้อแม็ก

ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับล้อแม็ก



ทำไมถึงเรียกว่า ล้อแม็ก


ในอดีตกาล กะทะล้อ ถูกผลิตขึ้นมาด้วยวัสดุที่ทำจาก แม็กนิเซียม (Magnisium) ด้วยคุณสมบัติหลักคือน้ำหนักที่เบา ระบายความร้อนได้ดี รูปแบบสวยงาม
จึงนำมาใช้กับรถที่ต้องการทำความเร็ว หรือรถแข่งนั่นเอง แต่จากข้อด้อยในส่วนของต้นทุนที่ราคาสูง และ แม็กนิเซียม มีการสึกกร่อนได้ง่าย
จึงไม่เหมาะที่จะนำมาใช้กับรถยนต์ในท้องตลาด จึงได้มีการเสาะหาวัสดุมาทดแทนที่ราคาไม่สูง แต่ยังคงคุณสมบัติที่ใกล้เคียง
นั่นก็คือ อลูมิเนียม อัลลอย (Aluminium Alloy ) ซึ่งใช้มาจนถึงปัจจุบันนี้ แต่บุคคลทั่วไปยังคงเรียกติดปากว่า ล้อแม็ก (มาจากแม็กนิเซียม) กันอยู่ตลอดไป



ชื่อเรียกจุดต่างๆ ของล้อ

คำศัพท์ ที่ใช้เรียกจุดต่างๆ ภายในล้อแม็ก

1.Rim Width
2.Wheel Diameter
3.Center Bore
4.PCD
5.Offset
6.Brake Pad Seat
7.Bolt Hole Diameter
8.Center Line
9.Flange
10.Rim Contour
11.Beat Seat
12.Valve Hole
13.Mounting Surface Diameter



ออฟเซ็ต Offset คืออะไร

ออฟเซ็ต (Offset,ET) คือ ค่าระยะห่าง ระหว่าง เส้นแบ่งครึ่งล้อ ตามแนวขวาง กับ หน้าแปลนของล้อ (Hub Mounting Surface) โดยมีหน่วยเป็น มิลลิเมตร 

ค่า Offset ส่งผลอะไรกับรถของเรา ? ค่า Offset จะส่งผลโดยตรงกับระยะหรือตำแหน่งของล้อ ว่าจะยื่นออก หรือ หุบเข้า ไปในตัวรถของท่าน ดังนั้น การเลือกล้อที่มีค่า Offset ที่ถูกต้องเหมาะสมจึงมีความจำเป็น อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยทีเดียว


ดูค่า offset ของ ล้อแม็กซ์ ที่ถามเข้ามาบ่อยๆ

ค่า Offset ของล้อ ที่เราจะพูดถึง โดยปกติระบุเป็น 3 ค่าด้วยกันคือ



1.ค่าออฟเซ็ต เท่ากับศูนย์ Zero Offset (0)

คือ ค่าระยะห่างของ หน้าแปลนล้อ ( Hub Mounting Surface ) ตรงกับ เส้นแบ่งครึ่งของ ล้อตามแนวขวางของล้อพอดี

ระกันภัยรถยนต์,ประกันรถยนต์,ประกันชั้น1,โบรกเกอร์,ประกันชั้น2,ประกันชั้น2พลัส,ประกันชั้น3,ประกันชั้น3พลัส,ต่อประกันรถยนต์,broker,ประกันรถเก๋ง,ประกันรถกระบะ,ประกันรถยนต์ชั้น1,ชั้น2พลัส,3พลัส,บริษัทประกันภัยรถยนต์,ประกันรถกะบะ,พรบ.รถยนต์

2. ค่า ออฟเซ็ต เป็นบวก Positive (+)

คือ ระยะห่างของเส้นแบ่งครึ่งล้อวัดไปถึงหน้าแปลนล้อโดยมีทิศทางไปนอกตัวรถ วัดได้เป็นระยะเท่าไรนั้นถือค่าเป็นบวก(+)  เช่น +20, +30, +38, +45 เป็นต้น ซึ่งมักพบกับล้อที่ใช้กับรถขับเคลื่อนล้อหน้าเสียส่วนใหญ่

ระกันภัยรถยนต์,ประกันรถยนต์,ประกันชั้น1,โบรกเกอร์,ประกันชั้น2,ประกันชั้น2พลัส,ประกันชั้น3,ประกันชั้น3พลัส,ต่อประกันรถยนต์,broker,ประกันรถเก๋ง,ประกันรถกระบะ,ประกันรถยนต์ชั้น1,ชั้น2พลัส,3พลัส,บริษัทประกันภัยรถยนต์,ประกันรถกะบะ,พรบ.รถยนต์

3. ค่าออฟเซ็ต เป็นลบ Negative (-)



คือ ระยะห่างของเส้นแบ่งครึ่งล้อวัดไปถึงหน้าแปลนล้อ หรือพูดง่ายๆ ว่าหน้าแปลนของล้อมีระยะเกินเส้นแบ่งครึ่งล้อไปในทิศทางเข้าในตัวรถ 
วัดได้เป็นระยะเท่าไรนั้นถือค่าเป็น (-) เช่น -5, -10, -20 เป็นต้น  ซึ่งรถยนต์ขับเคลื่อนล้อหลังมักกำหนดให้ใช้ล้อแม็กที่มีค่าออฟเซ็ตเป็นลบหรือก็บวกไม่มาก

เรื่องนี้หากมีการเลือกค่า offset ที่ไม่ตรงกับรถนั้นๆ ก็จะมีผลกระทบตามมาเช่นกัน หรือหากมีการเปลี่ยนขนาดความกว้างของล้อ 
ค่า Offset ก็เปลี่ยนไปด้วย  ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องศึกษาหรือรู้ถึงค่า Offset สำหรับรถของท่านควรมีตัวเลขอยู่ที่เท่าไร เพื่อจะได้ไม่สร้างปัญหาให้แก่ตัวรถ




การดูค่า offset  ล้อแม็ก ของเราด้วยตนเอง

โดยปกติ ล้อแม็ก ส่วนใหญ่  จะมีตัวเลขบ่งบอกไว้ที่ตัวล้อเองเลย ซึ่งเรามักสังเกตุเห็น ตัวเลขที่มักจะตามตัวอักษร เช่น "ET 38" ก็หมายถึง offsET 38 นั่นเอง หรือบางที ก็อาจมีเฉพาะตัวเลขลอยๆ ไม่มีตัวอักษรนำหน้าก็มี เช่น "45" ก็หมายถึง Offset = 45 เหมือนกัน ดูตัวอย่าง ที่รูปภาพด้านล่าง




ตัวอักษรบนล้อแม็กบอกอะไร

เครื่องหมายมาตรฐาน ที่อยู่บนล้อ

JWL  = Japan Wheel Light Metal (เป็นเครื่องมาตรฐานสำหรับล้อรถเก๋ง ซึ่งออกโดยกระทรวงคมนาคม ของประเทศ ญี่ปุ่น)

JWL-T  = Japan Wheel Light Metal for Truck (เป็นเครื่องมาตรฐานสำหรับล้อรถบรรทุกเล็ก ซึ่งออกโดยกระทรวงคมนาคม ของประเทศ ญี่ปุ่น)

VIA = Vehicle Inspection Association (เป็นเครื่องมาตรฐาน จากสมาคมทดสอบยานยนต์ ของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งโรงงานผู้ผลิตล้อ จะต้องผ่านการตรวจสอบ จากสมาคมนี้ก่อน จึงจะสามารถนำอักษรนี้ มาลงได้)


เครื่องหมายทั่วไป

ET = สัญญาลักษณ์ย่อของค่า Offset
H2 = Double Hump (Round)



ระยะ พี.ซี.ดี (P.C.D)


P.C.D. ย่อมาจาก PITCH CIRCLE DIAMETER หมายถึง ระยะห่างของรูน๊อตบนตัว ล้อแม็กซ์ โดยวัดจากกึ่งกลางรูน๊อตทุกตัวลากเส้นเป็นวงกลม
แล้ววัดผ่าน เส้นผ่าศูนย์กลาง มีหน่วยเป็นมิลลิเมตร ถ้าเป็นจำนวนเลขคู่ 4 หรือ 6 รูน๊อตต่อ 1 ล้อ ก็สามารถวัดจากกึ่งกลางรูน๊อตด้านหนึ่งไปยังด้านตรงข้ามได้เลย
แต่ถ้าเป็นจำนวนเลขคี่ 3 หรือ 5 รูน๊อต ต้องวัดจากแนววงกลมกึ่งกลางรูน๊อตผ่านเส้นผ่าศูนย์กลาง
รถยนต์ขนาดเล็กมักมี 4 รูน๊อตต่อ 1 ล้อ และรถยนต์ขนาดใหญ่ขึ้นไปมักมี 5 - 6 รูน๊อต เพื่อความแน่นหนาในการยึดล้อเข้ากับดุมล้อ
มีหลายคน มักสงสัยว่าทำไมรูน๊อตที่ใช้ยึด ล้อแม็ก เข้ากับดุมล้อ ถึงได้มีค่า PCD แตกต่างกันออกไป

ในอดีตที่ผ่านมา
ก็มีผู้ผลิตรถยนต์ หลายค่ายทั้งเอเชีย, ยุโรป หรือ อเมริกา เองก็ดี ได้ทำการคิดค้นและออกแบบแตกต่างกันออกไป ตามแต่ความคิดอ่าน ของแต่ละค่าย ซึ่งสันนิษฐานว่าในอดีตกาล เขาใช้หน่วยเป็นนิ้ว แต่ต่อมา ในบางประเทศที่คุ้นเคยกับระบบเมตริก ก็มักใช้หน่วยเป็นมิลลิเมตรแทน จึงมีการเรียกแตกต่างกันไป แต่จริงแล้ว ค่าของ PCD ก็มีที่มาจากที่เดียวกันนั่นเอง



การวัดระยะ PCD ด้วยตนเอง

หากเราต้องการทราบว่า ล้อแม็ก ของเรานั้น มีระยะ PCD เท่าไร ? เราสามารถวัดได้ด้วยวิธีง่ายๆ ดังต่อไปนี้
ก่อนอื่นก็ต้องมี อุปกรณ์ ที่ต้องใช้วัด เช่น ไม้บรรทัด หรือ ตลับเมตร ก็ได้เช่นกัน



ล้อ 4 รู / 8 รู

การวัดสามารถวัดโดย วัดที่หน้าแปลนของ ดุมล้อ ด้านหลัง โดยทาบไม้บรรทัด จากจุด (A) ไปถึงจุด (B) ดูระยะว่าเป็นเท่าไร  เช่น อ่านค่าได้เท่ากับ 100 มม.  นั่นก็คือระยะ PCD ของ ล้อแม็กซ์ วงนั้น นั่นเอง



ล้อ 5 รู / 10 รู

การวัดสำหรับ ล้อแม็ก ที่มี 5 รู หรือ 10 รู นั้น ต้องมีการคำนวนเล็กน้อย

(A) คือ ระยะของเส้นผ่าศูนย์กลาง  ของรูดุมล้อ Center Bore
(B) คือระยะระจากขอบรู ดุมล้อ กับขอบรูยึดน๊อต
(C) คือ ระยะของเส้นผ่าศูนย์กลาง ของรูยึดน๊อต
สูตรการคิด    ระยะ PCD = ( A หาร 2 ) + B + ( C หาร 2 )
ตัวอย่าง 
A = 110, B = 58.5 และ C = 13
( 55 ) + (58.5) + ( 6.5 )
รวมแล้ว = 120 ดังนั้นตัวเลขที่ได้ก็คือ ค่า PCD นั่นเอง

* หรืออาจใช้สูตร A+(2B)+C แทนก็ได้



ล้อ 6 รู

การวัดสำหรับ ล้อแม็ก 6 รู จะคล้ายกับ 4 รู โดยวัดในแนวเส้นตรงจากขอบด้านในของรูยึดน๊อต ตรงมายังขอบด้านนอกของรูยึดน๊อตฝังตรงข้าม ผ่านรู ดุมล้อ 
ทำการวัดจากจุด (A) มายังจุด (B) อ่านค่าได้เท่าไร ก็คือ ค่า PCD นั้นเอง

ประเภทของ ล้อแม็กซ์

ชนิดหรือประเภทของ ล้อแม็กซ์ โดยดูจากโครงสร้างหรือรูปทรง ซึ่งได้จำแนก ล้อแม็ก ออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ดังต่อไปนี้
ล้อแม็ก แบบชิ้นเดียว (1 Piece Wheel) เป็นล้อที่มี Rim กับ Disk ถูกสร้างขึ้นมาเป็นชิ้นเดียว



ล้อแม็ก แบบประกอบ ( Assembly Wheel )

เป็นล้อที่มี Rim กับ Disk มาประกอบกัน โดยแบ่งออกเป็น 3 ประเภทคือ

1) ล้อแม็ก 2 ชิ้น ( 2 piece Wheel ) เป็นล้อที่มี 2 ชิ้นส่วนมาประกอบกันคือ Rim กับ Disk



2) ล้อแม็ก 3 ชิ้น ( 3 pieces Wheel ) เป็นล้อที่ประกอบเชื่อมส่วนที่เป็น Rim 2 ส่วน กับ Disk เข้าด้วยกัน 



3)  ล้อแม็ก ชนิดซี่ลวด ( Wire Wheel ) คล้ายล้อของจักรยาน





วิธีเลือก ล้อแม็กซ์ มาใช้

คำถามที่คนส่วนใหญ่ มักมีข้อสงสัย และ ซักถามเข้ามาเป็นประจำ ก็คือ ...

ล้อแม็ก ควรใช้ขนาดไหนดี แล้วหากอยากเปลี่ยนให้ใหญ่ขึ้น จะมีผลอะไรหรือไม่  เช่นเดิมขอบ 15 นิ้ว จะเปลี่ยนเป็นขอบ 16 , 17 นิ้ว
จะส่งผลอะไร บ้าง จะเลือกแบบล้อ หรือ ลวดลาย แบบไหนดี สีล้อแม็ก ควรเลือกแบบไหน ถึงจะสวย

อันนี้ก็อยากแนะนำ โดยภาพรวมมากกว่า  เพราะการที่จะเปลี่ยน ล้อแม็ก วงใหม่นั้น มันขึ้นอยู่กับองค์ประกอบ หลายประการ เช่น

ล้อขนาดเดิมที่ติดมากับรถ โดยมากเจ้าของมักจะมองว่าเล็กไป ทำให้ดูไม่สวย อันนี้ก็มีส่วนแต่ไม่ทั้งหมด เพราะสิ่งที่ต้องคำนึงถึง
ก็คือขนาดล้อ และยาง จะต้องมีความสัมพันธ์กันอย่างแยกไม่ออกเลยทีเดียว เช่น ล้อเล็ก ซีรี่ย์ยางก็จะหนา  หากต้องการ ล้อแม็ก ที่ใหญ่ขึ้น
ซีรี่ย์ยางก็จะบางลง เพื่อรักษาระดับเส้นผ่าศูนย์กลางหรือพูดง่ายๆ ก็คือ ต้องรักษาระดับความสูงให้ใกล้เคียงกับ ค่ามาตรฐานของรถรุ่นนั้นๆ มากที่สุด
ดังนั้นผลที่จะต้องได้รับก็คือ ความนุ่มนวลที่อาจลดลง อันนี้ก็เป็นสัจธรรม ทำนอง "ได้อย่าง อาจต้องเสียอีกอย่าง "
รูปแบบ ลวดลาย อันนี้ก็ตอบยาก เพราะนานาจิตตัง ล้อแบบเดียวกัน เราอาจชอบ แต่คนอื่นอาจไม่ชอบ อันนี้เท่าที่ได้มีประสบการณ์มา
วัยรุ่น  คนวัยทำงาน  ผู้ใหญ่  ผู้ชาย  ผู้หญิง ก็ชอบไม่เหมือนกันเลย เอาเป็นว่าให้มองแล้วเราชอบ  ต่อจากนั้นก็มามองเรื่องการนำไปใช้งานให้ถูกต้อง

สีสํน ก็คล้ายคำตอบข้อ 2 คือ การมองที่ไม่เหมือนกัน เกิดจากความแตกต่างของแต่ละคน แต่ข้อนี้อาจให้ผู้มีประสบการณ์ช่วยแนะได้
หรือลองเอา ล้อแม็ก ไปทาบที่รถของเราเลย ก็จะพอมองออก  แต่ทั้งนี้ เราก็อยากให้ท่านได้ลองดูองค์ประกอบด้านล่างนี้
เพื่อที่จะเป็นแนวทางในการเลือก ล้อแม็กซ์ มาใช้ ได้อย่าง คุ้มค่าเงินของท่าน  มีอย่างไรบ้าง เชิญดูด้านล่างนี้ ...

1.) ความเหมาะสม ทางด้านเทคนิค ประการแรก เราจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องทราบว่า ล้อรถเดิมของเรานั้น มีสเปค ( Specification) อะไร ? เช่น

ขนาดล้อ ...  กี่นิ้ว ?  เช่น 13 นิ้ว , 14 นิ้ว ,  15 นิ้ว  .... 17 นิ้ว  เป็นต้น 
ขอบล้อกว้าง ...  กี่นิ้ว ?  เช่น 5นิ้ว , 5.5 นิ้ว , 6 นิ้ว , 6.5 นิ้ว  ... 9 นิ้ว  เป็นต้น 
จำนวน รู PCD 4 , 5 หรือ 6 รู  ขนาด PCD เป็น เท่าไร ? เช่น 100 , 114.3, 139.7 มม. เป็นต้น 
ค่า ออฟเซ็ต Offset  เป็นเท่าไร ? -10, 0, +15, +35 หรือ 45  เป็นต้น
และสิ่งที่สำคัญที่เราต้องนำมาพิจารณาในการเลือก ล้อแม็กซ์ ต้องดูสิ่งเหล่านี้


รู PCD
- ล้อใหม่ที่เราจะเลือกใช้ ต้องตรงกับสเปคของรถนั้นๆ ไม่ควรดัดแปลง ใดๆ ทั้งสิ้น เพียงเพื่อชอบความสวยงามของ ล้อแม็ก เท่านั้น

รูกลางของดุมล้อ (Hub Diameter )
- รูกลางของ ล้อแม็กซ์ ที่เราจะนำมาใช้ต้องพอดีกันไม่คับหรือหลวมจนเกินไป

การรับน้ำหนัก
- เราต้องเลือก ล้อแม็กซ์ ซึ่งมีความสอดคล้องเหมาะสมกับการใช้งานหรือการบรรทุกน้ำหนัก

การยึดล้อกับดุมล้อ
- ล้อที่เราจะเลือกใช้ รูที่ใช้ยึดเข้ากับตัวหน้าแปลนดุมล้อ ต้องมีสเปคตรงกัน ในแต่ละประเภทที่ได้ถูกออกแบบไว้

ความสัมพันธ์ต่อชิ้นส่วนอื่น
- การเลือกล้อแม็กซ์ ก็ต้องไม่ไปกระทบหรือมีระยะห่าง ที่จะไม่ไปกระทบหรือเกะกะ กับชิ้นส่วนในช่วงล่างอื่นๆ เช่น โช๊ค , ขอบซุ้มล้อ , ปีกนก เป็นต้น


2.) รูปแบบ ความสวย กับ ความแข็งแรง

การเลือกรูปแบบ ให้สอดคล้องต่อการใช้งานและความปลอดภัย

โดยปกติ ล้อทุกประเภท ที่ถูกผลิตจากโรงงานล้อแม็กชั้นนำ ล้อแม็กจะต้องผ่านการทดสอบเรื่องของความแข็งแรงอยู่แล้ว  แต่ทั้งนี้  เราเองก็จำเป็นที่จะต้อง เลือกหาให้เหมาะสมกับการใช้งานกับตัวเราด้วย  เช่นไม่ใช้ ล้อแม็กซ์ ที่ก้านเรียวเล็ก กับรถที่เราต้องบรรทุกหรือวิ่งในเส้นทางที่สภาพถนน ขรุขระ เป็นหลุมบ่อ เพราะอาจจะทำให้ล้อนั้นเกิดการชำรุดเสียหายได้ง่าย

ซึ่งเราได้ยกตัวอย่างรูปแบบของ ล้อแม็กซ์ ตามสไตล์ต่างๆ มาให้เลือกเพื่อเป็นแนวทางต่อการใช้งานดังต่อไปนี้



ประเภท จาน (Disc Type)ลักษณะแบบนี้ ถูกออกแบบเพื่อการแบกรับน้ำหนักโดยเฉพาะ มักพบมากกับรถที่ต้องการบรรทุก หรือ รับน้ำหนักจากสิ่งของ สัมภาระ เป็นต้น



ประเภท ก้านใหญ่ (Spoke Type)
ลักษณะแบบนี้ ก็ทำให้สวยขึ้นกว่าแบบจาน Disc แต่ยังคงความสามารถในการรับน้ำหนักได้ดีพอควร จึงใช้ได้ทุกสภาพถนนปกติ และอาจเป็นรถนั่งขนาดใหญ่หรือซีดาน


ประเภทก้านเล็ก (Fin Type)
ออกแบบให้ดูสวย ก้านเรียวเล็ก โปร่ง จึงดูสวยน่าใส่  แต่ก็เช่นเดียวกัน การแบกรับน้ำหนักย่อมน้อยไปด้วย เหมาะกับการใช้ตามถนนที่เรียบและควรหลีกเลี่ยงสภาพถนนที่เป็นหลุมหรือขั้นขวางถนน



ประเภท ตาข่าย (Mesh type)
ลักษณะเป็นการผสมผสานกัน ที่ยังคงใช้ก้านที่เล็ก แต่ก็ออกแบบให้มีก้านเพิ่มมากขึ้น เกาะเกี่ยวกันเป็นตาข่าย เพื่อเพิ่มความแข็งแรงขึ้น แต่มักมีปัญหาในการทำความสะอาด




3.) องค์ประกอบอื่นๆ


ราคา ที่เหมาะสม ไม่แพงจนเกินไป

รูปแบบต้องสวย เหมาะสม สีสรรต้อง เข้ากันกับรถ มิใช่ซื้อตามกัน เพราะรถแต่ละรุ่น แต่ละสี ความสวยงามก็อาจไม่เหมือนกัน
ลวดลายของล้อ ต้องไม่ยากเกินไป ที่จะทำความสะอาด  เช่น ก้านถี่เกินไป ก้านลายตาข่ายเล็กมาก  ทำให้ มือหรือแปรง เข้าไปไม่ถึง
หากเป็น ล้อแม็กซ์ มือสอง ต้องเลือกที่ซ่อม หรือทำสี มาแล้วอย่างถูกวิธี หรือ ควรเลือกสภาพเดิมๆ แล้วนำมาทำเองจะดีกว่า
เพราะอย่างน้อย เราก็ได้เห็นสภาพที่แท้จริงของล้อนั้น  อย่ามองเพียงสวยภายนอก เท่านั้น

ควรเลือก Brand,  ยี่ห้อ หรือ ล้อแม็กซ์ จาก โรงงานผลิตล้อแม็ก ที่ได้รับการยอมรับ เช่น ผ่านการรับรองจากสถาบันเกี่ยวกับยานยนต์ หรือ สถาบันของ ล้อแม็ก โดยเฉพาะ ก็ยิ่งดี 



ดูว่าล้อนั้น มีตราหรือสัญญาลักษณ์ รับรองมาตรฐาน เช่น JWL, JWL-T, VIA อยู่ในล้อนั้นด้วยก็จะดี ( แต่ปัจจุบันมีการลอกเลียนแบบและใส่อักษร นั้นไป โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็มี  จึงควรดูประกอบกันไป )

ปัญหาของ ล้อแม็ก ที่พบบ่อย

ปัญหาที่พบมาก ล้อแม็ก ได้รับการซ่อมที่ไม่ถูกวิธี  คือลูกค้าต้องการให้ขอบเงา แต่จากความไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ ร้านซ่อมแม็ก ได้นำล้อไปกลึงออก
โดยมองเพียงแค่ความสวยงาม   แต่ปัญหาที่ส่งผลกระทบตามมา ก็คือ

-ล้อมีอาการสั่นเกิดขึ้นหลังจากใช้งานไปสักระยะ
-ล้อคด , ดุ้ง ตรง โดยเฉพาะบริเวณขอบล้อที่ถูกกลึงออกไป
-มีขี้เกลือ ( Oxide ) ขึ้น ณ. บริเวณดังกล่าว
-ล้อเกิด การแตกร้าว ( Crack ) หรือ ลมรั่ว ซึมออก ( Leak )



รูปภาพ ล้อแม็ก ที่ถูกแก้ไขอย่างผิดวิธี  


ดังนั้นเราควรศึกษาและพิจารณาเลือกร้านหรือผู้ที่เข้าใจ ก่อนที่จะส่งไปทำ มิฉะนั้นผลที่ตามมาก็ยากแก่การเยียวยา
ควรคำนึงถึงเรื่องความปลอดภัยเป็นสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด


ผลที่ตามมาหลังใช้งานไปแล้ว คือ ล้อแม็ก เกิดการแต่ร้าว ดุ้ง ลมรั่ว



รูปล้อเดิมก่อนแก้ไข

ล้อที่ถูกผลิตออกมา ความหนาของล้อ ได้ถูกกำหนดให้เหมาะสมกับในการแบกรับน้ำหนักตามรถนั้นๆ  ซึ่งหากมีการนำไปแก้ไขด้วยการกลึงออก ก็จะทำให้สมรรถนะในการรับน้ำหนักลดลงอย่างแน่นอน
(ค่าความหนาของล้อควรจะอยู่ประมาณ 5 - 7 มม. แล้วแต่รูปทรงที่ออกแบบมา)



90% เราจะพบว่า ล้อแม็ก ที่ถูกซ่อมมา จะถูกกลึงเนื้อล้อตรงบริเวณขอบ ซึ่งผลก็คือ ล้อจะดุ้ง ง่าย และลมรั่วที่ขอบ

ดังนั้นก่อนการนำล้อไปซ่อมเราควรมั่นใจว่าจะไม่นำล้อของเราไปกลึงเนื้อออก



จะดูอย่างไรว่าล้อเรามีปัญหา

ท่านเจ้าของรถ หลายท่านสอบถามเข้ามาว่า ทำอย่างไร?  ถึงจะทราบว่า ล้อแม็ก ที่ใส่อยู่ในรถคันสวยของเรา  ตอนนี้อยู่ในสภาพดีหรือไม่
 การใช้งานมานาน บนสภาพถนน อันหลากหลาย ที่เราไม่สามารถคาดการณ์ได้  ดังนั้น ล้อแม็ก จะอยู่ในสภาพใด หรือ อาจมีปัญหา ได้เช่นกัน




ปัญหาที่มักพบ กับ ล้อแม็ก บ่อยๆ ก็คือ...

ล้อดุ้ง คือ ล้อที่อาจมีสาเหตุมาจากการกระแทก ไม่ว่าจะเป็นหลุม, บ่อ , สันรอยต่อถนน , ยางแตก หรือ กระแทกกับขอบถนนก็ตาม
จนทำให้ล้อแม็กของเราไม่กลม  ซึ่งเราสามารถสังเกตุได้ดังต่อไปนี้ 

ระหว่างการขับขี่ มีอาการสั่น ผิดปกติ หรือไม่ โดยท่านอาจเทียบกับเมื่อตอนแรกที่เริ่มใช้ กับปัจจุบัน ว่ามีความแตกต่างเพียงใด
หากมีหรือไม่อาการดังกล่าว  ก็ขอให้ทำตามหัวข้อถัดไป

ตรวจดูด้วยตาหรือสังเกตุที่ล้อของเรา เช่น มองเห็นล้อดุ้ง เบี้ยว เพราะหากเป็นมาก ก็จะเห็นชัด โดยเฉพาะด้านหน้าล้อ แต่หากเป็นด้านในล้อ 
ก็อาจมองยากสักหน่อย แต่เราอาจต้องก้มเข้าไปดูใต้ท้องรถ หรือ หากมีความรู้เรื่องช่างบ้าง ก็อาจขึ้นแม่แรง ให้สูง จนล้อลอยพ้นจากพื้น
แล้ว ปลดเป็นเกียร์ว่าง และอย่าลืมปลดเบรคมือด้วย (สำหรับล้อหลัง) ต่อจากนั้นให้ทำการหมุนล้อดูด้วยความเร็วปานกลาง แล้วสังเกตุ
ทั้งด้านหน้าและด้านใน ว่า มีอาการแกว่ง , โยน หรือไม่
การตรวจด้วยเครื่องมือ เช่น นำล้อเข้าไป เช็คที่ศูนย์บริการมาตรฐาน ด้วยเครื่อง  เช่น เครื่องถ่วงล้อ ก็จะเห็นว่าล้อของเรานั้นหมุนกลม มากน้อยขนาดไหน
หากเกิดปัญหานี้ ระดับความเร่งด่วนอาจไม่มากแต่ก็ให้รีบ นำล้อเข้าทำการตรวจสอบ หรือ ซ่อมทันที ที่สะดวก



รอยครูด เกิดจาก ล้อแม็กซ์ ของเรากระทบ หรือ ครูดกับขอบถนน ทำให้เนื้อล้อเป็นรอยหรือบางที เนื้อล้อขาดหายไป  อันนี้สามารถดูได้ง่าย
ผลเสียส่วนใหญ่ก็เกี่ยวกับเรื่องของความสวยงาม แต่หากปล่อยไว้นานก็จะทำให้ส่วนที่ชำรุดนั้นเป็นขี้เกลือลามเข้าไปได้
หากเกิดปัญหานี้ ระดับความเร่งด่วนอาจไม่มากแต่ก็ให้รีบ นำล้อเข้าทำการตรวจสอบ หรือ ซ่อมทันที ที่สะดวก
ลมรั่ว  อาการคือ ล้อยาง เก็บลมไม่ค่อยอยู่  การสังเกตุ ง่ายๆ คือ ลมยางอ่อนลง ต้องเติมลมบ่อยกว่าปกติ  ส่วนใหญ่ มักไม่เกิดพร้อมกันทั้ง 4 วง
แต่เจะเกิดเป็นบางวง เท่านั้น  ซึ่งสาเหตุอาจเกิดจากสาเหตุ ดังต่อไปนี้

เกิดลมรั่ว , ซึม ออกที่บริเวณขอบล้อและขอบยาง มีการซ่อมมาแล้ว ถูกกลึงขอบ ทำให้บางเกินไป , มีสิ่งแปลกปลอมตกค้าง ณ จุดนั้น , ขอบยางชำรุด เป็นต้น
ล้อแม็กเกิดการร้าว ทำให้ลมแทรกออกมาตรงจุดที่ร้าวได้
ล้อแม็ก มีการซ่อมรอยแตก มาก่อน จนทำให้ขอบ ณ จุดนั้น ไม่เรียบ มีช่องว่าง หรือ เกิดการ ร้าว ซ้ำซ้อนได้
หากเกิดปัญหานี้ ให้รีบ นำล้อเข้าทำการตรวจสอบ และ ซ่อมทันที

รอยแตก , ร้าว เกิดจากล้อมีการชำรุด อันมีสาเหตุ มาจาก การกระแทกอย่างรุนแรง , สภาพล้อมีการซ่อม และถูกกลึง ทำให้ขอบบาง กว่าปกติ หรือ ล้อที่มีคุณภาพและมาตรฐาน ต่ำ ( มักพบบ่อยกับล้อที่ลอกเลียนแบบ ) การตรวจสอบให้สังเกตุ

ให้ตรวจดูรอยร้าวด้วยสายตา ที่บริเวณขอบล้อ   ซึ่งส่วนใหญ่มักเกิดทางด้านในมากกว่าด้านนอก
ให้ตรวจดูที่บริเวณ ก้านล้อ ว่าแตกร้าวหรือไม่
ตรวจดูในรู PCD หรือ บริเวณที่ยึดน๊อตล้อ ว่ามีรอยร้าวหรือไม่ ?
หากพบปัญหานี้ ให้รีบ นำล้อเข้าทำการตรวจสอบ และ ซ่อมทันที



การยึดล้อแม็กซ์ เข้ากับตัวรถ

การถอด - ใส่ น็อต ยึด ล้อแม็ก กับรถของท่าน
การถอดประกอบล้อแม็กซ์ ก็เป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม ซึ่งโดยปกติความแน่น (Tightening) ของการขันน็อต (Nut) หรือสกรู (Bolt)
ควรอยู่ในค่าที่กำหนดดูได้จากตารางด้านล่าง  และรูปแบบการถอดใส่ก็ควรเป็นไปตามรูปที่แสดงไว้ ก็จะเป็นการรักษาสภาพล้อและความปลอดภัยของเราด้วยเช่นกัน





  รูปแสดงการลำดับถอด-ใส่ Bolts และ Nuts




ตารางแสดงแรงที่ใช้ให้เหมาะกับขนาด การขันน็อต หรือ สกรู นั้นๆ





น๊อตล้อ แบบใดที่เราควรใช้

น๊อต และ สกรู (Nuts/Bolt)

ในปัจจุบัน เท่าที่ฟังจากเจ้าของรถ หรือ ผู้ใช้รถส่วนใหญ่ มักไม่ทราบว่ารถของเราเองนั้น ควรใส่ น๊อตล้อ ประเภทไหนอยู่ ? ดังนั้น เพื่อให้เกิดความปลอดภัย ผู้เขียนคิดว่าลองเสียเวลาศึกษา ข้อมูลต่อไปนี้ ก็จะทำให้เราทราบถึง ความถูกต้อง เหมาะสม ของอุปกรณ์ ที่จะทำให้รถที่เราวิ่งอยู่มีความปลอดภัยมากขึ้น

โดยเฉพาะการซื้อหา ล้อแม็กใหม่ เพื่อที่จะนำมาเปลี่ยนกับล้อเดิม ( ติดรถมา) เราจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทราบว่า ล้อใหม่ที่จะนำมาใส่นั้น 
บางครั้งตัวน๊อตเดิมก็ไม่สามารถนำกลับมาใช้กับล้อใหม่นั้นได้   ทั้งนี้ต้องเลือกใช้ให้ถูกต้องเหมาะสม  มิฉะนั้นจะทำให้ความแข็งแรงในการยึดติดระหว่างล้อกับดุมของรถลดลง ,
ซึ่งบางทีอาจก่อให้เกิดอันตราย หรือ เกิดความเสียหายกับ รถยนต์ ของเราได้


ประเภทของ น๊อตล้อ Lug Nuts

1) ชนิด เฉียง (Taper)

ลักษณะของน๊อต (Nuts) หรือ Bolts ถูกออกแบบมากให้มีมุมเฉียงที่ 60 องศา ซึ่งหากล้อถูกเจาะรู PCD มาเป็นลักษณะเฉียง เราก็ต้องใช้น็อตล้อ ให้เป็นแบบเฉียงเช่นเดียวกัน

2) ชนิด กลม (Radius,Ball)

ชนิดนี้ ส่วนใหญ่จะเป็น Bolts ซึ่ง ถูกออกแบบมาให้จุดนั่ง เป็นลักษณะ เป็นทรงกลม ซึ่งหากล้อถูกเจาะรู PCD มาเป็นลักษณะกลม เราก็ต้องใช้น็อตล้อ ให้เป็นแบบทรงกลมเช่นเดียวกัน

3) ชนิดราบ (Flat)

ชนิดนี้ ทั้งน๊อต (Nuts) หรือ (Bolts) จะถูกออกแบบมาให้จุดนั่ง เป็นลักษณะแบบราบ และอาจมีวงแหวนประกอบติดอยู่ด้วย เช่นเดียวกัน หากล้อถูกเจาะรู PCD มาเป็นลักษณะแบบราบ เราก็ต้องใช้น็อตล้อ ให้เป็นแบนราบ เช่นเดียวกัน












ขออบคุณ Asn Broker , //www.asnbroker.co.th




 

Create Date : 10 กันยายน 2557    
Last Update : 10 กันยายน 2557 10:31:59 น.
Counter : 3443 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  

หนี่งหน่อง
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 33 คน [?]




pub-1485477287124314
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add หนี่งหน่อง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.