อ่านเรื่อยๆ มาเรียง ๆ ทุกวันของ หนี่งหน่อง นะครับ

10 สัตว์โลกไร้ขน ที่น่าสงสารที่สุดในโลก

10 สัตว์โลกไร้ขน ที่น่าสงสารที่สุดในโลก


สัตว์เลี้ยงต่างๆ ที่หลายคนรักและชื่นชอบ ส่วนใหญ่จะเป็นสัตว์ที่หน้าตาน่ารัก ขนปุย ซุกซน ถูกต้องไหมคะ แต่ยังมีเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ 10 สัตว์โลกไร้ขน ที่น่าสงสารที่สุดในโลก ที่เรานำมาฝากเพื่อนๆ ให้ได้ลองพิจารณาเห็นใจสัตว์โลกด้วยกัน หรือเผื่อใครถูกใจรับไปเลี้ยงสักตัวก็ไม่ว่ากันนะ แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าพื่อนๆ จะเลี้ยงสัตว์ใดๆ ก็ตาม เมื่อรับเขามาแล้ว ก็ต้องดูแลเขาให้ดีๆ อย่าปล่อยให้เขาต้องทรมานเนอะ…Y^Y

20140818131346310

10 สัตว์โลกไร้ขน ที่น่าสงสารที่สุดในโลก

10 สัตว์โลกไร้ขน ที่น่าสงสารที่สุดในโลก

1. กระต่าย

เจ้ากระต่ายตัวนี้ช่างน่าสงสารนัก ที่เกิดมาดันไม่มีขนมาช่วยปกคลุมร่างกาย แต่ดันไปขึ้นที่เท้า และจมูกแทน ทำให้คนต้องเข้ามาดูแลให้ความอบอุ่นกับมันเป็นพิเศษก่อนที่มันจะหนาวตายซะก่อน แต่ก็โชคดีเพราะอีก 3 เดือนต่อมาเจ้าตัวนี้ก็มีขนชุดแรกออกมาแบบตัวอื่นๆแล้ว

20140818131411121

นกกระตั๊ว

2. นกกระตั๊ว

สัตว์ก็เหมือนคนที่เมื่อมีอาการเครียด ขนก็จะร่วงโรย และเมื่อมีอายุมากขึ้นขนก็จะไม่ขึ้นมาใหม่อีก ดูเจ้านกกระตั๊ววัย 35 ปีที่จู่ๆ จะงอยปากของมันก็ดันติดเชื้อโรคทำให้การกินอาหารของมันมีปัญหา ด้วยความที่ทำอะไรไม่ได้เลยถอนขนตัวเองทิ้งซะเกลี้ยงเลย

20140818131436766

10 สัตว์โลกไร้ขน ที่น่าสงสารที่สุดในโลก

3. หมี

หมีเพศเมียตัวนี้เป็นสัตว์ที่อยู่ในการดูแลของสวนสัตว์แห่งหนึ่งในเยอรมัน ที่อยู่ดีๆขนของมันก็เริ่มร่วง จนหมดแบบที่เห็นกัน ทางผู้เชี่ยวชาญได้สันนิษฐานว่าสาเหตุมากจากพันธุกรรมของตัวมันเองที่เกิดการบกพร่อง

20140818131502527

แม่นแคระ

4. แม่นแคระ

เจ้าตัวนี้มีชื่อว่า เบ้ตตี้ เป็นแม่นสุดแปลกที่ไม่มีขนแข็งๆอยู่บนหลังแบบตัวอื่นๆ ทางศูนย์พิทักษ์สัตว์ในอังกฤษจึงต้องเข้ามาดูแล เพราะกลัวว่ามันจะใช้ชีวิตแบบตัวอื่นๆไม่ได้ แต่ที่ไหนได้ เจ้าตัวนี้มีร่างกายที่แข็งแรง สมบูรณ์กว่าที่คาดไว้ซะอีก

20140818131529628

แรคคูน

5. แรคคูน

บางทีสัตว์เหล่านี้ก็เกิดปัญหาติดเชื้อ เหมือนโรคเรื้อนในสุนัขบ้านเรานั่นแหละ ซึ่งจะทำให้ขนของมันร่วงอยู่ตลอดๆ จนหมดตัว แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ออกจะพบบ่อยด้วยซ้ำไปในสัตว์ที่มีขนแบบนี้

หนู

หนู

4. หนู

หนูที่ไม่มีขนนี้ดูออกจะน่าเกลียดอยู่สักหน่อย แต่ก็คงไม่มีใครช่วยมันได้จริงๆ เพราะ มันคือเรื่องของพันธุกรรมที่ผิดปกติ โดยพ่อแม่ของมันอาจจะมียีนไม่มีขนแฝงอยู่ทำให้ลูกออกมามีสิทธิ์ที่จะตัวโล้นแบบนี้ได้

ลูกจิงโจ้

ลูกจิงโจ้

4. ลูกจิงโจ้

เจ้าตัวเล็กนี้ชื่อ ซาบรีน่า ที่น่าสงสาร เพราะถูกแม่ของมันทิ้งตั้งแต่คลอดออกมา และตามปกติของสัตว์ชนิดนี้ขนของมันจะงอกออกมาเมื่ออยู่ในกระเป๋าหน้าท้องของแม่เท่านั้น เจ้าตัวนี้จึงหมดสิทธิ์ที่จะมีขน แต่คนก็ได้พยายามให้ความอบอุ่นด้วยการกอด การห่อผ้ารอบๆตัวมันอยู่ตลอด

วอมแบต

วอมแบต

3. วอมแบต

เจ้าตัวนี้ชื่อว่า คามาน เป็นวอมแบตที่น่าสงสาร ที่ต้องเสียแม่ไปตั้งแต่มันยังเด็ก ทำให้อยู่ในกระเป๋าหน้าท้องได้ไม่นาน ทั้งยังหวาดกลัว และขาดการดูแลเท่าที่ควร ทำให้เจ้าตัวนี้มีพัฒนาการในวัยเด็กที่ช้ากว่าตัวอื่น ขนจึงขึ้นช้าตามด้วย

10 สัตว์โลกไร้ขน ที่น่าสงสารที่สุดในโลก

10 สัตว์โลกไร้ขน ที่น่าสงสารที่สุดในโลก

2. เพนกวิน

เจ้าตัวนี้ยังมีความโชคดีอยู่บ้างตรงที่มันไม่ได้เกิดมาในที่ๆเต็มไปด้วยน้ำแข็งแบบขั้วโลกเหนือ แต่มาเกิดในอควาเรี่ยมแห่งหนึ่งในจีน ที่ถึงแม้พ่อ-แม่มันจะไม่ยอมเลี้ยงเพราะคิดว่าด้วยสภาพที่ไร้ขนมันคงอยู่ได้ไม่นาน แต่ผู้ดูแลก็ได้ช่วยกันประคบประหงมจนขนมันขึ้นมาอย่างช้าๆ และเข้าไปรวมฝูงได้ในที่สุด

หนูแกสบี้

หนูแกสบี้

1. หนูแกสบี้

เจ้าหนูตัวนี้ไม่ได้มีความผิดปกติทางพันธุกรรมแต่อย่างใด ไม่ได้ติดเชื้อ หรือโดนทำร้าย แต่เจ้าตัวนี้เกิดมาก็เป็นแบบนี้เลย ด้วยความที่มันไม่มีขน ทำให้ผิวสีชมพูของมัน (ที่คนมองกันว่าน่ารัก) เป็นจุดขายของสัตว์ชนิดนี้ บางทีถ้ามันมีขนอาจจะไม่น่ารักขนาดนี้ก็ได้นะ

ข้อมูลและภาพ toptenthailand




 

Create Date : 26 สิงหาคม 2557    
Last Update : 26 สิงหาคม 2557 4:42:55 น.
Counter : 2344 Pageviews.  

ยาแอนตี้ไบโอติดมีความสัมพันธ์กับการตายจากโรคหัวใจ

ยาแอนตี้ไบโอติคมีความสัมพันธ์กับการตายจากโรคหัวใจ

Written by Teecj on . Posted in ชีววิทยา, วิทยาศาสตร์, สุขภาพ, โรคภัยไข้เจ็บ

การใช้ยาแอนตี้ไบโอติคโดยปกตินั้นอาจจะมีความสัมพันธ์กับการเพิ่มความเสี่ยงที่สูงขึ้นอย่างเด่นชัดจากโรคหัวใจ แต่ผู้เชี่ยวชาญกำลังเร่งแจ้งอันตรายจากการวิเคราะห์ผลต่างๆอยู่

การศึกษาขนาดใหญ่โดยนักวิจัยชาวเดนมาร์ก ซึ่งได้ตีพิมพ์ในวารสารทางวิชาการระดับนานาชาติ British Medical Journal แสดงให้เห็นว่า การใช้สารคลาริโทไมซิน (clarithromycin) มีความเกี่ยวข้องถึง 76 เปอร์เซ็นต์ของความเสี่ยงที่สูงต่อการเสียชีวิตจากโรคหัวใจ เมื่อเปรียบเทียบกับการใช้ยาประเภทเพนิซิลลิน วี (penicillin V)

อย่างไรก็ตาม จำนวนการตายจริงๆนั้นมีเพียงเล็กน้อย ซึ่งกระตุ้นให้นักวิจัยทำการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อทำการยืนยันการค้นพบของพวกเขา

 “ความแตกต่างของความเสี่ยงนั้นอยู่ที่ 37 คนจากการเสียชีวิตจากโรคหัวใจต่อคน 1 ล้านคนที่ได้รับสารคลาริโทไมซิน” นักวิทยาศาสตร์จาก Statens Serum Institute ใน Copenhagen ได้รายงานไว้

ความเสี่ยงนั้นจะหยุดลงเมื่อการรักษานั้นสิ้นสุด

คลาริโทไมซินถูกเขียนในใบสั่งยาถึงหนึ่งล้านคนในทุกๆปี เพื่อใช้ในการรักษาการติดเชื้อจากแบคทีเรียเช่น โรคปอดบวม โรคหลอดลมอักเสบ และการติดเชื้อทางผิวหนังบางประเภท

ทีมนักวิจัยทำการวิเคราะห์ผลจากการใช้ยาแอนตี้ไบโอติคมากกว่าห้าล้านคนที่ถูกให้ในผู้ใหญ่ชาวเดนมาร์กที่มีอายุอยู่ในช่วง 40-74 ปีในช่วงเวลา 1997 ถึง 2001

ในกลุ่มของคนไข้ มากกว่า 160000 คนที่ได้รับคลาริโทไมซิน 590000 คนได้รับโรซิโทไมซิน และ 4.4 ล้านคนได้รับเพนิซิลลิน วี

“คลาริโทไมซินและโรซิโทไมซินเป็นสารแอนตี้ไบโอติคที่มีผลกระทบกับคลื่นกระแสไฟฟ้าของกล้ามเนื้อหัวใจและถูกคิดว่าเพิ่มความเสี่ยงให้กับโรคการเต้นของหัวใจผิดปกติ” นักวิจัยกล่าว

ไม่พบการเพิ่มขึ้นของความเสี่ยงเมื่อตรวจสอบการใช้งานของโรซิโทไมซิน

 “ในขณะเดียวกันมีการเพิ่มขึ้นของความเสี่ยงอย่างเห็นได้ชัดกับการใช้งานของคลาริโทไมซินเพียงเล็กน้อย” ทีมวิจัยกล่าว มันเป็นหนึ่งในยาแอนตี้ไบโอติคที่ใช้มากกว่าปกติในหลายๆประเทศ ดังนั้นจำนวนการเสียชีวิตที่เพิ่มขึ้นจากโรคหัวใจจึงไม่สามารถละเลยได้”

ไม่มีการเปลี่ยนแปลงในใบสั่งยา

ผู้รักษาควรที่จะหยุดให้ยาคลาริโทไมซินจากผลการวิจัยที่เกิดขึ้น” ศาสตราจารย์ Kevin McConway กล่าวซึ่งเขาเป็นนักสถิติเชิงประยุกต์จาก The Open University

 “มันเป็นสิ่งสำคัญที่ควรรู้ว่า นักวิจัยไม่ได้ให้ผู้ทำการรักษาหยุดการสั่งยาคลาริโทไมซิน แต่เพื่อจะมีข้อมูลเพิ่มมากขึ้นจากคนไข้ที่มีความแตกต่างกัน โดยที่จะดูว่าการค้นพบของเขานั้นได้รับการยืนยันหรือไม่”

 “มันมีจุดอ่อนในงานวิจัยของพวกเขา เช่นการขาดข้อมูลว่าคนไข้นั้นมีการสูบบุหรี่หรือเป็นโรคอ้วนหรือไม่ ซึ่งอาจจะอธิบายถึงอัตราการตายที่แตกต่างได้” McConway กล่าว

 “เนื่องจากในกรณีใดๆที่ อัตราการตายจากโรคหัวใจด้วยยานั้นมีปริมาณน้อยมาก มันจะไม่เสี่ยงที่ต้องรู้สึกกังวลไปกับมัน” เขากล่าว

ดอกเตอร์ Mike Knapton จาก British Heart Foundation  พูดว่า “มันเป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่า หมอควรที่จะต้องรู้ถึงอันตรายเมื่อทำการสั่งยาคลาริโทไมซินให้กับคนไข้ที่มีอาการทางโรคหัวใจ”

 “จุดต่ำสุดคือไม่ควรมีใครต้องได้รับยาแอนตี้ไบโอติคถ้าพวกเขาไม่ได้ต้องการและหมอควรจะให้ด้วยความระมัดระวังก่อนที่จะเขียนใบสั่งยาให้พวกเขา” เขากล่าว

ที่มา: //www.abc.net.au/science/articles/2014/08/20/4070935.htm





 

Create Date : 26 สิงหาคม 2557    
Last Update : 26 สิงหาคม 2557 4:31:59 น.
Counter : 875 Pageviews.  

มหากาพย์กิลกาเมช ตํานานนํ้าท่วมโลกเก่าแก่ที่สุดในโลก

มหากาพย์กิลกาเมช ตำนานน้ำท่วมโลกเก่าแก่ที่สุดในโลก


ไม่นานมานี้เพื่อนๆ หลายคนอาจจะได้ดูภาพยนตร์เรื่อง NOAH ที่เกี่ยวกับตำนานน้ำท่วมโลกที่ทำให้เกิดโดยพระเจ้าหรือเทพเจ้าเพื่อทำลายอารยธรรม โดยเป็นการตอบสนองผลกรรม ซึ่งเรื่องเหล่านี้เป็นประเด็นที่แพร่หลายในตำนานกรีก และตำนานในวัฒนธรรมอื่นๆ อีกมากมาย เรื่องราวของโนอาห์และเรือของโนอาห์ในเจเนซิส, มัสยาวตาร ในคัมภีร์ปุราณะ ของฮินดู, ดูเคเลียน ในตำนานเทพเจ้ากรีก และ อุตนาปิชติม ในมหากาพย์กิลกาเมช เหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของตำนานต่างๆที่เราคุ้นเคยกันดี และนี่คือ มหากาพย์กิลกาเมช ตำนานน้ำท่วมโลกเก่าแก่ที่สุดในโลก ที่นักโบราณคดีหลายๆ คนบอกว่า มหากาพย์เรื่องนี้มีความเป็นไปได้ในทางประวัติศาสตร์ ว่าบุคคลที่ถูกพูดถึงในนิยายเล่มนี้อาจจะเคยมีชีวิตอยู่จริงๆก็ได้! 

มหากาพย์กิลกาเมช ตำนานน้ำท่วมโลกเก่าแก่ที่สุดในโลก

มหากาพย์กิลกาเมช ตำนานน้ำท่วมโลกเก่าแก่ที่สุดในโลก

มหากาพย์กิลกาเมช (Gilgamesh) เป็นตำนานน้ำท่วมโลกที่เก่าแก่ที่สุดในยุคของเมโสโปเตเมียโบราณ และเป็นหนึ่งในงานวรรณกรรมประเภทนิยายที่เก่าแก่ที่สุดในโลกอีกด้วย นักวิชาการเชื่อว่ามหากาพย์เรื่องนี้มีกำเนิดมาจากตำนานกษัตริย์สุเมเรียนและบทกวีเกี่ยวกับวีรบุรุษในตำนานที่ชื่อว่า กิลกาเมช ซึ่งถูกรวบรวมเอาไว้กับบรรดาบทกวีอัคคาเดียนในยุคต่อมา

มหากาพย์กิลกาเมช ตำนานน้ำท่วมโลกเก่าแก่ที่สุดในโลก เป็นเรื่องราวการผจญภัยของวีรบุรุษนามว่า กิลกาเมช (Gilgamesh) กษัตริย์ในตำนานแห่งนครอุรุค ซึ่งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำไทกริส-ยูเฟติส อารยธรรมเมโสโปเตเมีย (ประเทศอิรักปัจจุบัน) เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างกิลกาเมช กับเพื่อนของเขาชื่อ เอนกิดู เนื้อหาส่วนใหญ่ในมหากาพย์เน้นย้ำถึงความรู้สึกสูญเสียของกิลกาเมช หลังจากเอนกิดูเสียชีวิต และกล่าวถึงการกลับเป็นมนุษย์อีกครั้งพร้อมกับเน้นย้ำเรื่องความเป็นอมตะ

มหากาพย์กิลกาเมช ตำนานน้ำท่วมโลกเก่าแก่ที่สุดในโลก

รูปปั้นกิลกาเมช ที่มหาวิทยาลัยซิดนีย์

มหากาพย์กิลกาเมช

  • มหากาพย์ในต้นฉบับสุเมเรียนที่เก่าแก่ที่สุดมีอายุอยู่ในช่วงราชวงศ์ที่ 3 ของอูร์ (Ur) คือระหว่าง 2150-2000 ปีก่อนคริสตกาล ส่วนฉบับอัคคาเดียนที่เก่าแก่ที่สุดอยู่ในช่วงต้นๆ ของสหัสวรรษที่ 2
  • มหากาพย์อัคคาเดียนฉบับ “มาตรฐาน” ประกอบด้วยแผ่นดินเหนียว 12 แผ่น ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งระหว่าง 1300-1000 ปีก่อนคริสตกาล ค้นพบอยู่ในหอจารึกของ Ashurbanipal ที่เมืองนีนะเวห์ (Nineveh) หอสมุดแห่งนี้ถูกพวกเปอร์เซียทำลายเมื่อ 612 ปีก่อนคริสตกาล และจารึกทั้งหมดก็พินาศไปด้วย
  • มหากาพย์ชุดที่สมบูรณ์ที่สุดในปัจจุบันปรากฏในแผ่นดินเหนียว 12 แท่งซึ่งเก็บรักษาไว้ที่หอเก็บจารึกของกษัตริย์แห่งอัสซีเรีย เมื่อราวศตวรรษที่ 7 ก่อนคริสตกาล
  • มหากาพย์อัคคาเดียนนี้ ถูกจารึกระบุชื่อผู้แต่งไว้ด้วย ซึ่งนับเป็นเรื่องที่แปลกมาก เนื่องจากในสมัยโบราณ แทบจะไม่มีการจารึกชื่อผู้แต่งเรื่องใด ๆ (จารึกไทยในสมัยสุโขทัยหรืออยุธยาก็ไม่มีการจารึกชื่อผู้แต่งเช่นกัน) ผู้แต่งจารึกนี้คือ ชิเนฆิอุนนินนิ (Shin-eqi-unninni) อาจกล่าวได้ว่า บุคคลผู้นี้เป็นนักเขียนที่เก่าแก่ที่สุดในโลกวรรณกรรม ที่เราสามารถระบุชื่อได้
  • มหากาพย์ มีชื่อดั้งเดิมว่า ผู้มองเห็นเบื้องลึก (He who Saw the Deep) หรือผู้ยิ่งใหญ่กว่าราชันทั้งปวง (Surpassing All Other Kings)
  • มีการคาดเดาว่า  กิลกาเมชอาจจะเป็นผู้ปกครองที่มีตัวตนจริงในอดีตระหว่างราชวงศ์ที่ 2 ของยุคต้นของสุเมเรีย (ประมาณ 2,700 ปีก่อนคริสตกาล)
  • การค้นพบวัตถุโบราณอายุประมาณ 2600 ปีก่อนคริสตกาลที่มีความเกี่ยวข้องกับ Enmebaragesi แห่ง Kish ผู้ปรากฏชื่ออยู่ในตำนานว่าเป็นบิดาของศัตรูคนหนึ่งของกิลกาเมช ทำให้มหากาพย์เรื่องนี้มีความเป็นไปได้ในทางประวัติศาสตร์มากขึ้น และช่วยยืนยันว่ากิลกาเมชน่าจะมีตัวตนจริง
  • มหากาพย์กิลกาเมช หลงเหลืออยู่เป็นวรรณกรรมในหลายภาษา เช่น ของชาวอัคคาเดีย (ภาษาตระกูลเซมิติค ซึ่งมีความสัมพันธ์กับภาษาฮีบรู, เป็นภาษาที่พูดกันในอาณาจักรบาบิโลน) นอกจากนี้ยังมีปรากฏบนแผ่นจารึกดินเหนียว เป็นภาษาฮูร์เรียน และภาษาฮิตไตต์ (ภาษาหนึ่งในตระกูลอินโด-ยูโรเปียน ซึ่งพูดกันในเขตรอยต่อยุโรปและเอเชีย นับเป็นหนึ่งในบรรดาภาษาที่เก่าแก่ที่สุดในโลก) ภาษาทั้งหมดที่พูดมานี้ จารด้วยอักษรลิ่ม หรือที่เราคุ้นเคยกันด้วยชื่อ คูเนฟอร์ม

มหากาพย์กิลกาเมช ตำนานน้ำท่วมโลกเก่าแก่ที่สุดในโลก

มหากาพย์กิลกาเมช ตำนานน้ำท่วมโลกเก่าแก่ที่สุดในโลก

มหากาพย์กิลกาเมช ตามตำนานได้เล่าไว้ว่า …

กิลกาเมช เป็นษัตริย์แห่งนครอูรุก ซึ่งเป็นนครรัฐใหญ่ของชาวสุเมอร์เรียน พระองค์ทรงมีพระมารดาเป็นเทพและมีพระบิดาเป็นมนุษย์ ทำให้ทรงมีเลือดเทพอยู่ในวรกายครึ่งหนึ่ง

กิลกาเมชเป็นกษัตริย์ที่มัวเมาในเรื่องของกามารมณ์เป็นอย่างมาก พระองค์ใช้เวลาในแต่ละวันไปกับการหาสาวงามมาสนองตัณหาของตัวเอง โดยไม่ละเว้นว่า หญิงสาวผู้นั้นจะเป็นสาวโสดหรือมีคู่ครองแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระองค์มักจะไปปรากฏตัวในงานแต่งงานและเรียกร้องสิทธิในการนอนกับเจ้าสาวในคืนแรกของการสมรส ซึ่งการกระทำเหล่านี้ทำให้พลเมืองชาวอูรุกพากันคับแค้นใจอย่างมาก แต่ก็มิอาจทำอะไรได้ เนื่องจากเกรงกลัวในอำนาจของกษัตริย์และสายเลือดแห่งเทพของกิลกาเมช

ด้วยเหตุนี้เอง บรรดาปวงชนผู้ทุกข์ร้อนจึงพากันไปสวดอ้อนวอนต่อเทพเจ้าให้ทรงจัดการกับกิลกาเมช และเมื่อเสียงสวดอ้อนวอนของประชาชนไปถึงสวรรค์ เหล่าเทพเจ้าจึงลงมติที่จะต้องจัดการกับมนุษย์ครึ่งเทพผู้นี้ โดยเหล่าเทพได้ให้เทพีอารารูปั้นดินเหนียวเป็นรูปบุรุษผู้หนึ่งและให้นามว่า เอ็นคิดู โดยเทพเจ้าได้นำความป่าเถื่อนของสัตว์ป่า 12 ชนิดใส่ลงไปในตัวของเขา เพื่อให้เขาทรงพลังพอที่จะจัดการกับกิลกาเมชได้

มหากาพย์กิลกาเมช ตำนานน้ำท่วมโลกเก่าแก่ที่สุดในโลก

เอ็นคิดู

เอ็นคิดูมีร่างกายท่อนบนเป็นชายหนุ่มรูปร่างกำยำสูงใหญ่ขณะที่ขาทั้งสองข้างนั้นเป็นขาของวัวกระทิง ส่วนบนศีรษะยังมีเขากระทิงงอกออกมาอีกด้วย เหล่าเทพได้ส่งเอ็นคิดูลงมาอยู่กับบรรดาสัตว์ป่าในป่านอกเมืองอูรุก ซึ่งเอ็นคิดูได้ใช้พลังของตนปกป้องสัตว์เหล่านั้นจากสัตว์นักล่าและนายพราน

บรรดานายพรานต่างไม่พอใจที่มีผู้มาขัดขวางการล่าสัตว์ ทว่าเมื่อพวกเขาได้พบกับเอ็นคิดูแล้ว ก็เกิดความพรั่นพรึงในตัวของมนุษย์ครึ่งกระทิงผู้นี้ พวกนายพรานจึงคิดหาวิธีจัดการกับเอ็นคิดู โดยพากันไปว่าจ้าง แซมฮัต ยอดหญิงนครโสเภณีประจำเทวาลัยแห่งอูรุก ให้ไปล่อลวงเอ็นคิดูออกมาจากป่าและทำให้พลังกับความป่าเถื่อนของมนุษย์ผู้นี้ลดน้อยลง

แซมฮัตใช้มารยาหญิงยั่วยวนจนเอ็นคิดูหลงในบ่วงสวาทของเธอ ทั้งคู่อยู่ร่วมกันถึงเจ็ดราตรีและการที่เอ็นคิดูมาใช้ชีวิตอยู่กับนางได้ทำให้เหล่าสัตว์ป่าที่เคยแวดล้อมเขา พากันหนีหายไป อีกทั้งพลังของเอ็นคิดูเองก็ลดน้อยลงด้วย จากนั้นแซมฮัตก็ชักชวนเอ็นคิดูเข้าเมืองและนำเขาไปรู้จักการใช้ชีวิตแบบชาวเมืองจนในที่สุด เอ็นคิดูก็หมดสภาพความป่าเถื่อนและกลายเป็นชาวเมืองโดยสมบูรณ์

มหากาพย์กิลกาเมช ตำนานน้ำท่วมโลกเก่าแก่ที่สุดในโลก

กิลกาเมช VS เอ็นคิดู

วันหนึ่งขณะที่เอ็นคิดูกับแซมฮัตพำนักอยู่ด้วยกันกับเหล่าคนเลี้ยงแกะ พวกเขาก็ได้ข่าวว่า ราชากิลกาเมชกำลังจะเสด็จไปที่งานแต่งงาน งานหนึ่งเพื่อเรียกร้องสิทธิ์ในการนอนกับเจ้าสาวในคืนแรก ซึ่งเมื่อเอ็นคิดูทราบเรื่องก็ไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารีบตรงดิ่งไปที่งานและเข้าขัดขวางกิลกาเมชไม่ให้กระทำการอันน่าบัดสีนั้น

กษัตริย์หนุ่มทรงกริ้วที่มีผู้มาขัดขวาง พระองค์จึงเข้าต่อสู้กับเอ็นคิดูอย่างดุเดือดจนบ้านเรือนรอบข้างพังพินาศ ทว่าหลังจากทั้งสองขับเคี่ยวกันเป็นเวลานานต่างก็ไม่มีใครปราบใครลงได้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้กิลกาเมชทรงประทับใจในพละกำลังของอีกฝ่าย พระองค์จึงได้ยุติการต่อสู้และขอให้เอ็นคิดูมาอยู่กับพระองค์ในฐานะพระสหาย

มิตรภาพทำให้กิลกาเมชเปลี่ยนไป กษัตริย์หนุ่มทรงเลิกพฤติกรรมร้ายกาจที่เคยทำจนหมดสิ้นและด้วยคำแนะนำของเอ็นคิดู พระองค์ได้หันมาใส่พระทัยกับการดูแลบ้านเมือง จนนครอูรุกเจริญรุ่งเรืองและประชาชนต่างพากันแซ่ซ้องสรรเสริญในคุณงามความดีของราชากิลกาเมช

มหากาพย์กิลกาเมช ตำนานน้ำท่วมโลกเก่าแก่ที่สุดในโลก

นครอูรุก

ทว่าในขณะที่ประชาชนทั่วทั้งนครพากันมีความสุขภายใต้การปกครองของราชาหนุ่ม กิลกาเมชกลับเริ่มรู้สึกเบื่อหน่ายชีวิตที่สงบสุขนี้ พระองค์ปรารถนาที่จะแสวงหาความตื่นเต้นในชีวิต จึงได้ตรัสชวนเอ็นคิดูเดินทางไปยังป่าซีดาร์แห่งทิศตะวันตกเพื่อเผชิญหน้ากับอสูรฮูวาวา

เมื่อได้ยินดังนั้น เอ็นคิดูก็ส่ายศีรษะอย่างไม่เห็นด้วยกับความคิดของสหาย เขากล่าวเตือนกิลกาเมชว่า ”อสูรตนนี้สูงใหญ่เทียมฟ้า ลมหายใจของมันเป็นเปลวไฟที่นำมาซึ่งความตายอย่างน่าสยดสยอง อีกทั้งเทพเอนลิลยังประทานพละกำลังให้มันเพื่อเป็นผู้ปกป้องป่าซีดาร์แห่งทิศตะวันตก การเผชิญหน้ากับมันไม่ผิดอะไรกับการเดินเข้าหาความตาย”

“หากข้าชนะ ข้าจะได้รับเกียรติอย่างยิ่งใหญ่หรือหากข้าตายในการต่อสู้ครั้งนี้ ข้าก็ยังได้รับชื่อเสียงว่า เป็นผู้กล้าที่จะเผชิญหน้ากับจอมอสูรฮูวาวา ซึ่งนั่นคือการตายที่มีศักดิ์ศรี” กิลกาเมชตรัส ก่อนจะตำหนิ เอ็นคิดูว่า ไม่มีความกล้าหาญที่จะตายอย่างมีศักดิ์ศรี ซึ่งเมื่อถูกผู้เป็นสหายตำหนิดังนั้นแล้ว เอ็นคิดูจึงตัดสินใจที่จะร่วมเดินทางไปกับกิลกาเมชเพื่อเผชิญหน้ากับอสูรฮูวาวา

มหากาพย์กิลกาเมช ตำนานน้ำท่วมโลกเก่าแก่ที่สุดในโลก

อสูรฮูวาวา

ทั้งสองออกเดินจากนครอูรุกโยปราศจากผู้ติดตามและหลังจากเดินทางเป็นเวลานับเดือนก็มาถึงเขตป่าซีดาร์ยักษ์ของอสูรฮูวาวา หลังจากนั้นพวกเขาก็ช่วยกันโค่นต้นซีดาร์ลงเพื่อท้าทายจอมอสูรให้ปรากฏตัว เมื่อฮูวาวารู้ว่ามีมนุษย์บุกเข้ามาโค้นต้นไม้ของมัน เจ้าอสูรก็ปรากฏกายขึ้นด้วยรูปร่างอันสูงใหญ่เทียมฟ้า เสียงคำรามของมันดังไปไกลทั่วผืนป่า ขณะที่ดวงตาแดงก่ำจ้องมองสองมนุษย์ผูอหังการ์

กิลกาเมชและเอ็นคิดูต่างรวมกำลังกันเข้าต่อสูกับฮูวาวาอย่างกล้าหาญ การต่อสู้ดำเนินไปอย่างดุเดือดและรุนแรง จนในที่สุด กิลกาเมชก็สามารถสังหารฮูวาวาลงได้ ด้วยการทิ่มดาบลงบนเท้าอันมหึมาของจอมอสูรจนมันถึงกับทรุดลง จากนั้นเขาก็กระโดดขึ้นไปเหยียบบ่าและใช้ดาบตัดหัวของอสูรร้ายขาดกระเด็น ร่างมหึมาที่ไร้ศีรษะของฮูวาวาล้มครืนราวภูเขาถล่มทลาย

เมื่อสังหารจอมอสูรลงได้แล้ว กิลกาเมชกับเอ็นคิดูก็ช่วยกันโค่นป่าซีดาร์จนราบเรียบ ชัยชนะในครั้งนี้ส่งผลให้ชื่อเสียงของทั้งคู่เลื่องลือระบือไกล จนแม้ทวยเทพบนสรวงสวรรค์ก็ยังรับรู้

มหากาพย์กิลกาเมช ตำนานน้ำท่วมโลกเก่าแก่ที่สุดในโลก

เทพีอิชตาร์

ในยามนั้น เทพีอิชตาร์ เทพีแห่งความงาม ความรัก สงคราม และตัณหา ทรงได้ยินเรื่องราวของกิลกาเมช พระนางจึงเสด็จลงมาเพื่อทอดพระเนตรราชาหนุ่มและเมื่อได้เห็นแล้ว องค์เทพีก็บังเกิดความเสน่หาในตัวกิลกาเมช พระนางจึงมาปรากฏองค์ต่อหน้าเขาและขอให้เขาเสกสมรสกับพระนางโดยทรงยื่นข้อเสนอว่าจะมอบอำนาจอันยิ่งใหญ่ให้กับเขาเป็นการตอบแทน ทว่ากิลกาเมชกลับปฏิเสธอย่างไม่มีเยื่อใย ทั้งยังตรัสกับเทพีด้วยว่า เขารู้ดีว่า เกิดอะไรขึ้นบ้างกับอดีตคู่รักของพระนาง ยามเมื่อพระนางสิ้นรักแล้ว และเขาไม่ปรารถนาจะเป็นเช่นนั้น

เทพีทรงโกรธและอับอายที่ถูกปฏิเสธซึ่งหน้า จึงเสด็จไปเข้าเฝ้าเทพอนู พระบิดาของพระนางเพื่อขอให้ลงโทษมนุษย์โอหังผู้นี้ “กิลกาเมชทำให้ข้าได้รับความอับอายยิ่งนัก ขอพระบิดาได้โปรดส่งกระทิงสวรรค์ไปสังหารมันและทำลายนครของมันให้พินาศสิ้นด้วยเถิด และหากพระบิดามิทรงยอมตามที่ลูกร้องขอ ลูกจะไปทลายประตูนรกเพื่อปลดปล่อยเหล่าผีร้ายให้ขึ้นมาย่ำยีมวลมนุษย์”

มหากาพย์กิลกาเมช ตำนานน้ำท่วมโลกเก่าแก่ที่สุดในโลก

กิลกาเมชและนครอูรุก ต่อสู่กับ กระทิง

เมื่อทรงได้ฟังคำขอของพระธิดาแล้ว เทพอนูจึงส่งกระทิงสวรรค์ลงมาเพื่อสังหารกิลกาเมชและทำลายนครอูรุก โดยในทันทีที่กระทิงสวรรค์เหยียบลงบนแผ่นดินอูรุก เพียงครั้งแรกที่มันพ่นลมหายใจออกมา ก็เกิดแผ่นดินแยกและสูบเอาทหารของกิลกาเมชลงไปถึง 100 คน และเมื่อมันพ่นลมหายใจครั้งที่สองก็ทำให้ทหารถูกสูบลงไปอีก 500 คน และในการพ่นลมหายใจครั้งที่สาม เอ็นคิดูก็พลัดตกลงไปในรอยแยกของแผ่นดิน

ทว่าชายหนุ่มสามารถปีนกลับขึ้นมาได้และพุ่งเข้าจับเขาของกระทิงสวรรค์เอาไว้ พร้อมกับร้องบอกให้กิลกาเมชใช้ดาบแทงเข้าไปยังจุดตายที่อยู่ระหว่างเขาและคอของมัน กษัตริย์หนุ่มใช้ดาบแทงเข้าไปตามที่สหายร้องบอกและกระทิงสวรรค์ก็สิ้นชีพลงในทันที

ความอหังการ์ของสองสหาย ทำให้เหล่าเทพตัดสินใจให้บทเรียนที่สำคัญแก่กิลกาเมช

โดยบันดาลให้เอ็นคิดูล้มป่วยและเสียชีวิตลง

มหากาพย์กิลกาเมช ตำนานน้ำท่วมโลกเก่าแก่ที่สุดในโลก

มหากาพย์กิลกาเมช

ความตายของสหายทำให้กิลกาเมชเศร้าเสียใจเป็นอย่างยิ่ง เขาจมอยู่กับความทุกข์เป็นเวลานาน ทั้งยังเกิดความหวาดหวั่นสิ่งหนึ่งขึ้นภายในใจ นั่นคือ ความหวาดหวั่นว่า วันหนึ่ง พระองค์จะต้องสิ้นชีวิตลงเช่นเดียวกับสหาย

ในที่สุด กิลกาเมชจึงตัดสินพระทัยหาวิธีที่จะทำให้พระองค์ไม่ต้องตาย โดยออกเดินทางไปยังต้นน้ำแห่งแม่น้ำทั้งมวลของโลก เพื่อค้นหา อุชนาปิชติม มนุษย์ผู้รอดตายจากเหตุการณ์น้ำท่วมโลกและได้รับพรจากเทพเจ้าให้เป็นอมตะ

กิลกาเมชออกเดินทางเพียงลำพังและเผชิญหน้ากับสิ่งแปลกประหลาดมากมาย เช่น มนุษย์แมงป่องยักษ์ที่น่ากลัวสองตนที่ทำหน้าที่เฝ้าหนทางสู่โลกใต้พิภพ มนุษย์แมงป่องทั้งสองรู้ว่า กิลกาเมชมีสายเลือดของเทพเจ้าอยู่ในตัวโดยกล่าวว่า “ท่านมีความเป็นเทพอยู่สองในสามส่วน มีความเป็นมนุษย์อยู่หนึ่งในสามส่วน” และเมื่อพวกมนุษย์แมงป่องรู้ถึงความตั้งใจของกิลกาเมช พวกนั้นก็เอ่ยเตือนเขาถึงอันตรายที่รออยู่ข้างหน้า แต่สุดท้ายก็ยอมปล่อยให้เขาเดินทางต่อไป

มหากาพย์กิลกาเมช ตำนานน้ำท่วมโลกเก่าแก่ที่สุดในโลก

กิลกาเมช เดินทางข้ามน้ำ ข้ามทะเล

หลังเดินทางผ่านดินแดนแห่งความมืดแล้ว กิลกาเมชก็มาถึงหุบเขาแห่งแสงสว่างและสวนพฤกษาแห่งอัญมณีซึ่งต้นไม้ทุกต้นมีผลเป็นอัญมณีเลอค่า จากนั้นกิลกาเมชก็ไปถึงยังฝั่งทะเลแห่งมรณะและเมื่อข้ามพ้นทะเลแห่งนั้น เขาก็ได้พบกับอุชนาปิชติม

ซึ่งอุชนาปิชติมบอกกับกิลกาเมชว่า “ความตายเป็นสิ่งที่มนุษย์หลีกเลี่ยงไม่พ้น เพราะเหล่าเทพเจ้ามีประสงค์ให้ชีวิตมนุษย์เป็นเพียงสิ่งชั่วคราว” แต่กิลกาเมชก็ยังคงดึงดันที่จะเป็นอมตะ อุชาปิชติมจึงเล่าถึงเหตุการณ์น้ำท่วมโลกและกล่าวถึงการที่เทพเจ้าสั่งให้ตนต่อเรือช่วยสิ่งมีชีวิตบนโลกให้รอดตาย จากนั้นจึงได้รับพรจากเทพเจ้าให้เป็นอมตะ

มหากาพย์กิลกาเมช ตำนานน้ำท่วมโลกเก่าแก่ที่สุดในโลก

กิลกาเมชดำน้ำลงไปต้นมหาสมุทร

อย่างไรก็ตาม ในที่สุด อุชนาปิชติมก็ทนการอ้อนวอนของกิลกาเมชไม่ไหว เขาจึงบอกให้กิลกาเมชดำน้ำลงไปต้นมหาสมุทร ณ จุดสิ้นสุดของโลก เพื่อนำเอาต้นไม้แห่งการกลับคืนสู่ความหนุ่มสาวขึ้นมา กิลกาเมชทำได้สำเร็จและดีใจมาก

เขาตั้งใจจะนำต้นไม้นี้กลับไปทดลองกับคนชราที่เมืองอูรุก ทว่าระหว่างเดินทางกลับ งูตัวหนึ่งได้มาขโมยต้นไม้ต้นนั้นไป ทำให้เหล่างูทั้งหลายสามารถลอกคราบเพื่อกลับคืนสู่ความเป็นหนุ่มเป็นสาวได้อีกครั้ง

มหากาพย์กิลกาเมช ตำนานน้ำท่วมโลกเก่าแก่ที่สุดในโลก

งูตัวหนึ่งได้มาขโมยต้นไม้ต้นนั้นไป

แม้กิลกาเมชจะผิดหวังกับความพยายามที่สุดท้ายก็สูญเปล่าของตน แต่ในที่สุด เขาก็ได้เข้าใจถึงสัจจะธรรมของชีวิตและยอมรับชะตากรรมของชีวิตโดยไม่คิดดิ้นรนเป็นอมตะอีกต่อไป จากนั้นกิลกาเมชก็สั่งให้ขุนนางจารึกเรื่องราวการเดินทางของพระองค์ไว้ที่ฐานของประตูเมืองและกลายเป็นตำนานที่เล่าขานมานานนับพันปี กล่าวขานสืบมาและเป็นอมตะในความทรงจำของคนรุ่นต่อมา สืบมาจนกระทั่งถึงวันนี้

ขอบคุณข้อมูล wikipedia, komkid, earthunseen.blogspot, myfirstbrain

เรียบเรียงโดย teen.mthai.com




 

Create Date : 25 สิงหาคม 2557    
Last Update : 25 สิงหาคม 2557 5:16:24 น.
Counter : 1991 Pageviews.  

นํ้าอัดลม ยี่งดื่มยี่งเสี่ยงเป็น มะเร็งมดลูก

น้ำอัดลม

      น้ำอัดลม เกี่ยวกับมดลูกนะ ก็น้ำอัดลมน่ะเป็นศัตรูของผู้หญิงชัดๆ นอกจากเป็นตัวการเพิ่มห่วงยางรอบเอว โรคหัวใจ และ โรคเบาหวาน แล้ว Maki Inoue-Choi นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยมินนิโซตายังค้นพบว่า ถ้าคุณดื่มมากกว่าสัปดาห์ละ 2 แก้ว ความเสี่ยงมะเร็งมดลูกจะเพิ่มขึ้นถึง 78% นี่น่าจะเป็นเพราะพลังงานที่ได้รับมากเกินไป ทำให้ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนและอินซูลินเพิ่มสูงขึ้น และเป็นต้นเหตุของ มะเร็งมดลูก ในที่สุด

ขอบคุณเนื้อหาจาก นิตยสาร Lisa




 

Create Date : 25 สิงหาคม 2557    
Last Update : 25 สิงหาคม 2557 5:10:32 น.
Counter : 1057 Pageviews.  

กูเกิลกําลังพยายามจัดเก็บความรุ้ทั้งมวลของมนุษย์

กูเกิลกำลังพยายามจัดเก็บความรู้ทั้งมวลของมนุษย์

Written by faceoffact on . Posted in Algorithm, คอมพิวเตอร์, วิทยาศาสตร์, เขียนโปรแกรม, เทคโนโลยี, เทคโนโลยีสารสนเทศ

dnews-files-2014-08-google-aims-archive-human-knowledge-670-jpg

รายละเอียดงานวิจัยใหม่ที่ออกมาในอาทิตย์นี้เผยให้เห็นว่ากูเกิลนั้นกำลังไล่ตามหาความจริงอยู่ ซึ่งหมายถึงข้อเท็จจริงทั้งหมดทั้งมวลเลยทีเดียว

จากรายงานอันน่าสนใจจาก New Scientist นั้น กูเกิลกำลังสร้างฐานข้อมูลล้ำสมัยชื่อ Knowledge Vault (คลังความรู้) ที่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อทำดัชนีและเก็บข้อมูลข้อเท็จจริงต่างๆ ซึ่งไม่ใช่ข้อเท็จจริงบางอย่างเท่านั้น แต่ Vault นั้นมีเป้าหมายที่จะเก็บกักข้อเท็จจริงทั้งหมดเกี่ยวกับโลกและประวัติศาสตร์ของเราเลยทีเดียว

นี่นับว่าเป็นแผนการที่ทะเยอทะยานมาก และมีแนวโน้มว่าจะเกินความสามารถของกิจกรรมการร่วมมือกันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเสียด้วยซ้ำไป แต่นั่นก็ไม่เป็นปัญหา เพราะ Knowledge Vault นั้นปฏิบัติการด้วยระบบอัตโนมัติอย่างเต็มตัวที่ใช้อัลกอริธึ่มในการเปลี่ยนข้อมูลดิบที่เก็บมาจากอินเตอร์เน็ตให้กลายเป็นก้อนข้อมูลความรู้ขนาดเล็กที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้

ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ เนื่องจากธรรมชาติของฐานความรู้ตัวนี้ ข้อมูลภายในก็จะสามารถอ่านได้ทั้งโดยเครื่องจักรและมนุษย์ ซึ่งคุณสามารถข้อมูลจาก Knowledge Vault ได้โดยด้วยวิธีเดียวกับ Google Search เลย หรือว่าว่าคุณอาจจะหันไปถึงสมาร์ทโฟนคู่ใจ ผู้ช่วยดิจิตอลหรือแม้กระทั่งหุ่นยนตร์เพื่อให้ทำการค้นหาแทนคุณก็ยังได้

โครงการดังกล่าวนั้นได้ถูกสร้างขึ้นบนฐานข้อมูลที่มาจากการร่วมมือกันของกูเกิลที่เรียกว่า Knowledge Graph  และจนถึงตอนนี้มันก็ได้เก็บข้อมูลความจริงไว้ประมาณ 1.6 ล้านข้อเท็จจริงแล้ว นักวิจัยของกูเกิลเองก็จะนำเสนอรายงานวิจัยของ Knowledge Vault นี่ในงานประชุมวิชาการชื่อ Knowledge Discovery at Data Mining ที่นิวยอร์คในสัปดาห์ที่จะถึงนี้ด้วย

ทั้งหมดนี่เป้นส่วนหนึ่งของการดำเนินการเกี่ยวกับเทคโนโลยีข้อมูลข่าวสารเพื่อจะปรับปรุงวิธีที่เรามีปฏิสัมพันธ์กับเครื่องจักรและฐานข้อมูลต่างๆ โดยในขณะนี้ ฐานความรู้ในลักษณะเดียวกันนี้ก็กำลังถูกสร้างขึ้นโดยบริษัทต่างๆอย่าง Facebook, Amazon, Microsoft และ IBM ด้วยเช่นกัน

หนึ่งในการประยุกต์ใช้งานของฐานข้อมูลชั้นยอดเหล่านี้ก็คือการสร้างผู้ช่วยส่วนตัวเสมือนอันล้ำสมัย อีกความหมายหนึ่งก็คือ Siri ของไอโฟนนั้นกำลังจะฉลาดขึ้นและทำงานได้รวดเร็วขึ้นอย่างมากนั่นเอง

ต่อไปในภายภาคหน้า Knowledge Vault สามารถที่จะเป็นฐานของเครือข่ายความจริงเสมือนที่ล้ำสมัยได้ ซึ่งมันจะสามารถส่งมอบข้อมูลได้อย่างทันทีผ่านหน้าจอ heads-up display เกี่ยวกับแทบจะทุกสิ่งที่คุณกำลังมองอยู่เลยทีเดียว อีกทั้ง Knowledge Vault เองก็สามารถที่จะถูกใช้เพื่อทำโมเดลประวัติศาสตร์มนุษย์และสังคมในรูปแบบของชุดข้อมูลขนาดใหญ่ได้ในที่สุดอีกด้วย ซึ่งความรู้ดังกล่าวนั้นอาจจะถูกนำมาใช้ในการคาดการณ์อนาคตก็เป็นได้ด้วยเช่นกัน

ที่มา : //news.discovery.com/tech/robotics/google-aims-to-archive-all-human-knowledge-140821.htm





 

Create Date : 25 สิงหาคม 2557    
Last Update : 25 สิงหาคม 2557 5:06:21 น.
Counter : 1536 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  

หนี่งหน่อง
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 33 คน [?]




pub-1485477287124314
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add หนี่งหน่อง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.