อ่านเรื่อยๆ มาเรียง ๆ ทุกวันของ หนี่งหน่อง นะครับ

การศึกษาสร้างทุกข์ มากกว่าสูข เปิดความคิด " หมอประเวศ " รื้อระบบการศึกษาไทยทั้งหมด

เป็นหนึ่งใน "หัวเรือใหญ่" และ "สมอง" เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทย โดยเฉพาะด้านการปฏิรูปประเทศ ทำให้ที่ผ่านมา "ศ.เกียรติคุณ นพ.ประเวศ วะสี" หรือที่รู้จักในนาม "ราษฎรอาวุโส" ได้รับคำเชิญจากองค์กรต่างๆ มากมาย หนึ่งในนั้น คือ การเข้ามามีบทบาททางการเมือง หลังการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาชนต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือ คนเสื้อแดง เมื่อปี 2553 จบสิ้นลง ด้วยการทำหน้าที่ประธานคณะสมัชชาปฏิรูปประเทศ เพื่อรวบรวมข้อมูล รับฟังความคิดเห็น และนำไปสู่นโยบายในการปฏิรูปประเทศไทย...


"ไทยรัฐออนไลน์" ได้รับโอกาสสัมภาษณ์พิเศษ "หมอประเวศ" เพื่อพูดคุยถึงการปฏิรูปประเทศที่กำลังจะเกิดขึ้น (อีกครั้ง) ใน 3 ประเด็น ได้แก่ การกระจายอำนาจ ในส่วนแนวคิดของ "จังหวัดจัดการตัวเอง" ปัญหาการปฏิรูปการศึกษา และการปฏิรูประบบสุขภาพ แต่วันนี้ หมอประเวศซึ่งเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี ขอพูดเพียงเรื่อง "การปฏิรูปการศึกษา" เท่านั้น

โรงพยาบาลศิริราช คือ พื้นที่พูดคุยในครั้งนี้ โดยหมอประเวศมาตรงเวลานัดเป๊ะ พร้อมกับข้อมูลที่ต้องการสื่อสาร ผลักดัน และฝากไปยังสภาปฏิรูปแห่งประเทศไทย (สปช.​) และสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) นำไปพิจารณา เพื่อเริ่มต้นเดินหน้าปฏิรูปการศึกษา

"ไทยรัฐออนไลน์" เปิดคำถามแรกว่า ประเทศไทยมียุทธศาสตร์ มีแผนในการปฏิรูปการศึกษามามากมาย แล้วเพราะเหตุใด มันยังหยุดนิ่ง เคลื่อนตัวน้อยมาก มันเกิดอะไรขึ้น?

"เป็นคำถามใหญ่ที่เรามองเข้ามาตรงกัน อย่างเราไปดูกลุ่มที่สมัคร สปช. จะพบว่า มีกลุ่มการศึกษามากที่สุด แสดงว่าคนสนใจมาก และคำถามมีมาก เหมือนเดิม ทำไมขยับอะไรไม่ได้นั้น มันไม่ใช่เพราะไม่มีคนตั้งใจทำนะ เรามีคนเก่งๆ ดี ทำอยู่เยอะ คนเก่งคนหนึ่ง คือ ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.สิปปนนท์ เกตุทัต อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ซึ่งสนใจเรื่องการศึกษามาก แล้วยังเป็นเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ แล้วการศึกษาไทยนั้น ทำอะไรไปก็ไม่ตอบสนองเลย เหมือนกดปุ่มอะไรไปก็ไม่ตอบกลับมา"

"ตอนสมัยคุณทักษิณ (พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร) เป็นนายกฯ ใหม่ๆ มาบอกว่า อยากทำเรื่องปฏิรูปการศึกษาจริงๆ เพราะมันสำคัญ แต่ไม่รู้จะจับอย่างไร ขอช่วยหาผมช่วยหารัฐมนตรีดีๆ ให้หน่อย กินรัฐมนตรีไปหลายคน ก็ยังไม่ดีขึ้น ซึ่งเราต้องทำความเข้าใจตรงนี้ว่า ตอนนี้จะปฏิรูปอีกแล้ว ถ้าไม่เข้าใจ ก็ปฏิรูปไม่สำเร็จ เราไปจับแต่อาการของมัน ครูไม่เก่ง นักเรียนไม่เก่ง คะแนนโอเน็ตไม่ดี จับปลายเหตุ เหมือนคนมีโรค และมีอาการออก เราจับอาการมารักษา ไปไม่ถึงสาเหตุสักที มันก็รักษาไม่หาย"

การศึกษาไทยสร้างทุกข์-ทำให้คนจนลง?

หมอประเวศ เริ่มอธิบายถึงสาเหตุของ "ปัญหาการศึกษาไทย" ที่ฝังรากลึก จนต้องพูดกันแบบซ้ำๆ ย้ำกันบ่อยๆ เช่นนี้ว่า ระบบการศึกษาไทยวันนี้ เป็นระบบที่ "สร้างทุกข์ มากกว่าสร้างสุข" เพราะโฟกัสผิดจุดไปหมด ทำให้พ่อแม่ผู้ปกครอง และเด็กนักเรียนต้องตะเกียกตะกาย เพื่อเข้าสถานศึกษาที่ดีตามค่านิยม โดยเฉพาะการติว ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ที่สุด และเป็นการเรียนรู้ที่ผิวเผินมาก เพราะเรียนไปเพื่อสอบเท่านั้น! ขณะเดียวกัน ก็ทำให้กลุ่มคนจนต้องจนลงไปอีก เพราะต้องหาเงินเพื่อให้ลูกได้เรียนที่ดีๆ

"ท่องจำว่าข้อสอบออกอะไร จะได้เข้าที่ดีๆ ก็เริ่มวิ่งเต้นเส้นสาย จ่ายแป๊ะเจี๊ยะ บางทีลูกอยู่ในชนบท ต้องติวในเมือง พ่อแม่กลัวลูกเข้าไม่ได้ ก็เสียเงินทองหาหอพัก เกิดปัญหาวัยรุ่นขึ้นมาอีก มีปราญช์ชาวบ้านคนหนึ่ง ชื่อ คำเปรื่อง อยู่ที่ จ.บุรีรัมย์ เรียกการศึกษาไทยว่า โจรเสื้อขาว เพราะมันปล้นชาวบ้านให้จนลง ไม่มีอะไรดีขึ้น ลูกต้องจากบ้าน ไม่มีใครช่วยทำอาชีพ แล้วเข้าระบบการศึกษา ซึ่งก็ไม่ดี จบมาทำงานไม่เป็น ไม่อดทน ไม่รับผิดชอบ ภาคธุรกิจก็บ่น แล้วพวกค่านิยม สอบเข้ามหาวิทยาลัย เหมือนประตูนรก-สวรรค์ เด็กที่สอบไม่ได้ ก็ตกนรกไปเลย ทำไมเราไปทำแบบนั้นล่ะ เราไปยกย่องการเข้ามหาวิทยาลัยได้ มันก่อความทุกข์ยากให้คนทั้งแผ่นดิน มันไม่ช่วยให้เศรษฐกิจดีขึ้น มันเป็นการศึกษาที่อยู่นอกสังคม"

หมอประเวศขยายความ "การศึกษานอกสังคม" ว่า เพราะการศึกษาไทยเอาการท่องวิชาเป็นตัวตั้ง สอบเพื่อเลื่อนชั้นจากประถมศึกษา ไปมัธยมศึกษา และอุดมศึกษา จนแยกตัวออกจากสภาพสังคมจริง ที่มีทั้งการเมือง เศรษฐกิจ วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม ประเพณี ภูมิปัญญา ทำให้เมื่อเด็กอยู่ในระบบเช่นนั้น จึงไม่ต้องร่วมทุกข์ร่วมสุข ไม่ร่วมแก้ปัญหา ไม่รู้ร้อนรู้หนาว ส่งผลให้เด็กเติบโตแบบอ่อนแอ ช่วยประเทศชาติแก้ไขปัญหาไม่ได้

"ต่างประเทศก็มีปัญหาเหมือนกัน เรียนไปแล้ว ไม่มีงานทำ เพราะเอาการศึกษาแยกจากการทำงาน งานเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เอาชีวิตเป็นตัวตั้งก็จะเรียนรู้ ไม่ว่างงาน เมื่อก่อนไม่มีนะ แต่ตอนนี้มี เพราะบริหารแบบแยกส่วนกัน แยกการศึกษาออกจากชีวิต แยกออกไปสัก 16 ปี แล้วค่อยมาทำงาน ซึ่งอาจไม่เหมาะกันแหละ เพราะสิ่งต่างๆ ก็เคลื่อนไปหมดแล้ว"



3 ปม "แนวคิด-ระบบ-กระบวนการเรียนรู้" สิ่งที่ต้องปฏิรูป!
ร่ายปัญหาในภาพกว้างมาพอสมควร หมอประเวศ จึงเริ่มจับปมปัญหา และสาเหตุของความล้มเหลวของ การศึกษาไทย ให้แคบลง และเข้าใจง่ายขึ้น โดยแบ่งเป็น 3 ส่วนหลักๆ ได้แก่ ปัญหาที่เกิดจากแนวการจัดการศึกษา ระบบการศึกษา และปัญหาของกระบวนการเรียนรู้

การศึกษาไทยเริ่มต้นด้วยการ "ท่องจำ" ผ่านมาเป็นร้อยปี "ยังท่องอยู่"!
หมอประเวศ บอกว่า แนวคิดการศึกษาไทยตอนนี้ มันผิด! เป็นแนวคิดอาณานิคม ซึ่งก่อนหน้านี้ เมื่อสมัยรัชกาลที่ 5 ที่เริ่มมีการศึกษา ตอนนั้นมหาอำนาจยุโรปมาคุกคาม ไทยกลัวมาก เพราะคิดว่าเขามีอำนาจ และยุโรปมีความรู้ และไทยไม่มีความรู้ จึงต้องจัดการศึกษา จากนั้นก็ต่อท่อตรงมาเลย ด้วยการท่องจำ ซึ่งตอนนั้นมีความจำเป็น

"แต่เราทำแบบนั้นนานเกิน และมากเกิน พ่อแม่ก็ถาม ลูกท่องหนังสือหรือยัง เลยมากำหนดแนวคิดการศึกษาไทย แล้วทีนี้ต้องดูว่า การศึกษาไทยเป็นการถ่ายทอด หรือการท่องจำ ท่องจำมันจำกัดมาก เพราะมนุษย์มีศักยภาพในการเรียนรู้มาก ในทุกมิติ จะเรียนรู้อะไรก็ได้ แต่เราเอาการศึกษามาเป็นการท่องจำ มาเป็นตัวตั้งเท่านั้น ก็แยกส่วนออกจากชีวิตไปเลย มันไม่ใช่ ธรรมชาติของสมองมีเซลล์เรื่องมี Mirror Neuron เห็นคนทำอะไร ก็ทำได้เลย เรียนรู้จากการเห็นคนอื่นทำ และทำเอง ท่องหนังสือยากจะตาย จำไม่ได้ แล้วครูก็ว่าเด็กเรียนไม่เก่ง อะไรที่ทำบ่อยๆ ก็ทำได้เอง นักศึกษาแพทย์ที่ศิริราช มีหอพักแถวนี้ เวลาสอบทีก็มีเสียงโหยหวน เครียด พวกนักเรียนผู้หญิงประจำเดือนหยุดเลย เครียดมาก"

หมอประเวศ ระบุว่า การศึกษาต้องมีความสุข ถ้ามีความสุขก็อยากทำอีก แต่เราทำให้การศึกษาเป็นความทุกข์ คนเลยไม่อยากศึกษา และคนไทยไม่ชอบเรียนรู้ เพราะทำให้การเรียนรู้เป็นความทุกข์ นอกจากนี้ คิดว่าเอาวิชาการเป็นฐานแล้วจะดี

"เราเรียนภาษาไทย เอาไวยากรณ์เป็นหลัก ซึ่งมันยาก คนเราพูดในชีวิตมันไม่ได้ตรงเป๊ะ เราเน้นความงาม ความดื่มด่ำ และความสุข คนก็เกลียดภาษาไทยหมด ถ้าเอาชีวิตเป็นตัวตั้งก็พูดเลย ไม่ช้าก็พูดได้ เพราะฉะนั้นจุดตรงนี้ก็ต้องปรับ ชีวิตมีเรื่องมากกมาย และเรียนรู้หลายเรื่อง แนวคิดผิด ก็เลยทำให้ระบบผิด"



ระบบการศึกษาแบบไซโล บีบคั้น-แออัด เหลือเกิน
อีกปมของการศึกษาไทย คือ ระบบไซโล (Xylo) และจัดการแบบรวมศูนย์อำนาจ คือที่ ศธ. ซึ่งกำหนดมาตรการ มาตรฐาน กะเกณฑ์ทั่วทั้งประเทศ จนสุดท้ายเป็นการควบคุมไปโดยปริยาย ซึ่งเห็นว่า ไม่เข้ากัน เพราะการศึกษา ควรเป็นเรื่องความงอกงามอย่างหลากหลายที่ไม่มีจุดสิ้นสุด

"เหมือนเอาต้นไม้มาให้กระถางแล้วเป็นบอนไซเหมือนกันหมด แทนที่จะเป็นป่าที่มีหลากหลายพืชพันธุ์ ควบคุมนู่นนี่ แต่ถ้ามีแนวคิดเรื่องความหลากหลาย ศธ.จะเล็กมาก และมีหน้าที่ไปชื่นชมแทน ส่วนระบบก็มีปัญหา เพราะเป็นแบบไซโล และรวมส่วนอำนาจ มันบีบคั้น และแออัดมาก"
รูปแสดงแท่งไซโลทางการศึกษาที่ลอยตัวจากสภาพเป็นจริงของสังคมไทย ที่หมอประเวศวาดให้ทีมข่าวดู
ระบบไซโลที่ หมอประเวศ พูดนั้น คือ การแยกส่วนการเรียนรู้ในระบบ ออกจากสังคม โดยให้เด็กมุ่งสอบเพื่อนเลื่อนชั้น โดยไม่สนใจความเป็นไปของสังคม

"ทำมาร้อยกว่าปีแยกส่วนจากชีวิต ชีวิตก็สำคัญ แต่การศึกษาไม่ใช่ ชีวิตก็ทิ้งไปเลย เข้าประถมก็มาท่อง เพื่อไปสอบเข้ามัธยม และอุดมฯ เลยเป็นแท่งไซโลทางการศึกษาแบบนี้ ดิ่งเดี่ยว ด้วยการท่องแบบนี้ ทำให้การจราจาทางการศึกษา แออัดมาก มันก็บีบคั้นอย่างที่ว่าต้องสอบ ต้องติว สุดท้ายเป็นการค้า จ่ายครบ จบแน่ คุณภาพต่ำหมด เพราะมันแน่นไปหมดเลย"

ปฎิรูปการเรียนรู้ ก็ต้องทำ!
"กระบวนการเรียนรู้" คือ อีกสิ่งที่ต้องปฏิรูป ไม่ใช่การท่องหนังสือเท่านั้น แต่ หมอประเวศ บอกว่า จะต้องพัฒนากันในทุกมิติ และเต็มศักยภาพตามความเป็นมนุษย์ที่มีศักดิ์ศรี และศักยภาพในการสร้างสรรค์ โดยเฉพาะการส่งเสริมให้คนไทยรู้สึกมีเกียรติ และรู้จักภูมิใจในตัวเอง ก็จะทำให้ประเทศชาติมีพลัง ซึ่งการพัฒนากระบวนการเรียนรู้มีส่วนช่วยให้เกิดสิ่งนี้

"การศึกษาทำให้ไม่มีศีลธรรม ทำให้คนส่วนใหญ่ไม่มีเกียรติ ประเทศเราต้องมีหลักใหญ่ คือ คนไทยทุกคนมีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ และมีศักยภาพของความสร้างสรรค์ และเชื่อว่าเราทำอะไรดีๆ ได้ ประเทศจะได้มีพลัง แต่ตอนนี้มายาคติต่างๆ ทางการศึกษาทำให้เหมือน คุกที่มองไม่เห็น หรือ the invisible prison เพราะฉะนั้น มันต้องปลดปล่อยตัวเองออกไป เราจน เราความรู้น้อย พ่อแม่เราไม่ได้ฐานะใหญ่โต พวกนี้เป็นมายาคติทั้งสิ้น ถ้ามีสำนึกตัวนี้ เราจะมีความสุขในตัวอย่างลึกล้ำ การศึกษาต้องเป็นพลังที่ทำให้คนมีเกียรติศักดิ์ศรี"

3 เรื่องที่ควรปฏิรูปของหมอประเวศ ยังไม่จบเพียงเท่านี้ "ไทยรัฐออนไลน์" จะมีตอนต่อไป ที่หมอประเวศจะพูดว่า "แล้วจะปฏิรูปทั้ง 3 เรื่องได้อย่างไร?" ติดตามได้ในวันอังคารที่ 30 ก.ย.นี้.

ที่มา ไทยรัฐออนไลน์ 25 ก.ย. 2557




 

Create Date : 25 กันยายน 2557    
Last Update : 25 กันยายน 2557 11:48:59 น.
Counter : 904 Pageviews.  

รุ้ยังว่าทําได้ ? ปลูกผักในต้นกล้วย ความชุ่มฉํ่าเหลือเฟือ ไม่ต้องรดนํ้า ผักหวาน แถมปลอดภัย

การปลูกผักไร้ดินแบบไฮโดรโปนิกส์ เป็นที่นิยมกันมาก มีการทำเป็นชุด Kit ให้ไปทำการปลูกบนระเบียงคอนโดสำหรับผักสลัดทานเองก็เยอะ แต่อยากจะบอกว่าการปลูกแบบไฮโดรโปนิกส์นั้น ผักที่เราทานจะเป็นผักที่มีสารเคมีจากน้ำและแร่ธาตุที่เราใช้หล่อเลี้ยงเขา เข้าไปอยู่ในลำต้นตรง ๆ เลยทีเดียว 

สำหรับการปลูกผักไร้ดินที่จะแนะนำในครั้งนี้ จะเป็นการใช้ต้นกล้วยที่มีน้ำชุ่มฉ่ำของน้ำที่อยู่ในลำต้นแทน ซึ่งทำให้เกือบจะไม่ต้องใช้น้ำเลย เหมาะกับชาวสวนชาวไร่ในชนบทสักหน่อย เพราะตามหมู่บ้านของชนบท จะนิยมปลูกกล้วยกันมากในรอบบริเวณบ้านกันอยู่แล้ว

ขั้นตอนและวิธีการทำ

ขึ้นที่ 1 การเตรียมหรือการเพาะต้นกล้าเสียก่อน


เตรียมดินเพาะกล้า โดยใช้ปุ๋ยคอก ผสม ขุยมะพร้าวหรือขี้เลื้อย และหรือเศษวัสดุอื่นๆ แล้วเพาะกล้า ลงแปลงเพาะกล้าไว้ เมื่อต้นกล้าผักเจริญเติบโตมีใบประมาณ 3-4 ใบ จึงนำออกมาปลูกบนต้นกล้วยได้

ขั้นที่ 2 สำหรับการปลูกผักไร้ดินบนต้นกล้วย


สำหรับการปลูกผักไร้ดินบนต้นกล้วย ไม่ได้ยากเย็นอะไรเลยซึ่งต้นกล้วยนั้นหลังจากที่ตัดเครือ กล้วยที่แก่แล้วออก ก็จะตาย การจะตัดต้นกล้วยทิ้งก็เป็นการสูญเสียไปเปล่า ๆ โดยที่ไม่ได้อะไร ดังนั้น เมื่อตัดเครือกล้วยแล้ว (จะเป็นกล้วยน้ำว้าหรือกล้วยอะไรก็ได้) ให้เจาะรูที่ต้นกล้วยในลักษณะทแยงลงไป ให้รูมีขนาดเท่ากับที่จะนำกล้าลงไปปลูกในต้นกล้วย และทำไม้ค้ำยันต้นกล้วยไม่ให้ต้นกล้วยล้มลง ส่วนจำนวนผักที่จะปลูกมากหรือน้อย ไม่สามารถบอกได้ ให้ดูขนาดของต้นกล้วยว่าใหญ่หรือเล็ก และก็ไม่ต้องรดน้ำ ให้ต้นกล้วยแต่อย่างใด

หลังจากนั้น ประมาณ 30 วัน (ขึ้นอยู่กับอายุของผักที่ปลูก) ก็เก็บเกี่ยวผักไปกินหรือนำไปรับประทานได้เลย

ผักที่นำมาปลูก ได้แก่ อายุสั้น อย่างเช่น ผักสลัด ผักบุ้ง ผักกาดขาว หรือผักอะไรก็ได้ที่ ใช้เวลา ประมาณ 30 – 40 วัน ถ้าเกินนี้ต้นกล้วยจะโทรมและเหี่ยวแห้งตายเสียก่อน

ผักที่ได้จะมีรสชาติดีมาก หวาน และกรอบ ใบเป็นเงางาม ทั้งนี้ เป็นเพราะต้นกล้วยมีธาตุโพแทสเซียมสูงนั่นเอง ผักที่ปลูกควรเป็นผักกินใบที่ไม่ต้องการแสงแดดที่แรงมากนัก เพราะใบของกล้วยจะช่วยพรางแสงแดดได้บางส่วน

ข้อมูล //manopas.com

ขอบคุณภาพจาก มติชนออนไลน์




 

Create Date : 25 กันยายน 2557    
Last Update : 25 กันยายน 2557 11:42:53 น.
Counter : 3223 Pageviews.  

สมุนไพรไทยลดความอ้วน ลดไขมัน ตัวช่วยเพื่อหุ่นสวย

สมุนไพรลดความอ้วน ลดไขมันให้หุ่นสวยเป๊ะด้วยสมุนไพรใกล้ตัว 12 ชนิดที่คุณประโยชน์เพียบ ใครที่กำลังลดน้ำหนักอยู่ล่ะก็ไม่ควรพลาดเลย 


คงไม่มีใครปฏิเสธหรอกว่าการมีรูปร่างที่ดีและแข็งแรงคือสิ่งที่ทุกคนใฝ่ฝัน ทำให้หลายคนพยายามอย่างหนักในการลดน้ำหนักโดยใช้วิธีการต่าง ๆ อย่างเช่น การออกกำลัง การควบคุมอาหาร หรือแม้แต่การกินอาหารเสริมเพื่อช่วยในการลดน้ำหนัก แต่อาหารเสริมก็ใช่ว่าจะปลอดภัยเสมอไป ถ้าเจออาหารเสริมดี ๆ ก็ดีไป แต่ถ้าเจออาหารเสริมที่มีส่วนผสมของสารเคมีที่ไม่ดีต่อร่างกายล่ะก็ แทนที่จะลดความอ้วนได้สมดั่งใจก็กลับจะต้องมาเจอกับโรคแทรกซ้อนหรือผลกระทบต่าง ๆ นานาอีกมากมาย เสียเวลา เสียสุขภาพอีก

ทั้ง ๆ ที่จริงแล้วพวกบรรดาอาหารเสริมทั้งหลายนั้นก็มีส่วนผสมมาจากสมุนไพรใกล้ตัวที่เราสามารถกินมันได้สด ๆ โดยที่ไม่ต้องไปพึ่งสารสกัดที่อยู่ในยาเหล่านั้นเลยแม้แต่น้อย แถมยังปลอดภัยกว่าด้วย แต่ว่ามีสมุนไพรอะไรบ้างล่ะที่ช่วยลดความอ้วนได้ วันนี้กระปุกดอทคอมเลยนำเอาข้อมูลของสมุนไพรที่สามารถช่วยในการลดความอ้วนและไขมันมาฝาก ไปดูกันดีกว่าว่าสมุนไพรชนิดไหนบ้างที่กินแล้วหุ่นสวยเป๊ะ แถมดีต่อสุขภาพอีกด้วย



1. มะนาว

ถ้าพูดถึงสมุนไพรที่รสชาติเปรี้ยวจี๊ดจ๊าดที่สามารถลดน้ำหนักได้ ก็คงต้องนึกถึงมะนาวอย่างแน่นอน เพราะตอนนี้มะนาวกลายเป็นพืชสมุนไพรยอดนิยมที่นำมาใช้ในการลดน้ำหนัก แถมสูตรในการลดน้ำหนักด้วยน้ำมะนาวก็ยังมีหลากหลาย

เหตุผลที่น้ำมะนาวสามารถลดความอ้วนอย่างได้ผลก็เป็นเพราะมะนาวมีกรดต่าง ๆ ซึ่งช่วยในการสลายไขมัน นอกจากนี้มะนาวยังมีวิตามินซีสูง เมื่อได้รับเข้าไปในปริมาณที่พอเหมาะก็จะทำให้ไขมันในร่างกายลดลง ระดับไตรกลีเซอไรด์ก็จะเป็นปกติ ไขมันเลวจะลดลงและช่วยให้ไขมันดีเพิ่มขึ้น แถมมะนาวยังมีไฟเบอร์สูง ทำให้รู้สึกอิ่มและลดความอยากอาหารได้ ใครที่กำลังอยากจะลดความอ้วนแล้วชอบรสเปรี้ยวล่ะก็ มะนาวนี่ล่ะไม่ควรพลาด

 


 




2 . เม็ดแมงลัก

แม้ว่าเม็ดแมงลักจะไม่ได้มีสารอาหารที่ช่วยในการลดความอ้วนโดยตรง แต่เม็ดแมงลักก็สามารถช่วยในการควบคุมอาหารได้ เพราะเม็ดแมงลักเป็นพืชที่ไม่ก่อให้เกิดพลังงาน แถมยังสามารถพองตัวได้ถึง 45 เท่า หากนำมารับประทานก่อนอาหารก็จะช่วยให้รู้สึกอิ่มท้อง และช่วยให้ทานอาหารได้น้อยลง

นอกจากนี้เม็ดแมงลักยังสามารถรับประทานได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ ปลอดภัยต่อหญิงตั้งครรภ์และหญิงให้นมบุตรอีกด้วย แต่ถ้าใครที่ไม่ชอบกินเม็ดแมงลักจืด ๆ ล่ะก็ ก็ลองนำไปกับผสมเครื่องดื่มอื่น ๆ ได้ตามใจชอบ แต่ก็ต้องนำไปแช่น้ำให้พองจนเต็มที่ก่อนด้วยล่ะ ไม่งั้นอาจทำให้ท้องอืดและท้องผูกแทน


 


 


3. ลูกสำรอง

ลูกสำรอง หรือที่มีอีกชื่อหนึ่งว่า "พุงทะลาย" ซึ่งก็มีสรรพคุณในการลดความอ้วนได้เหมือนชื่อเลยล่ะ เพราะลูกสำรองเมื่อนำไปแช่น้ำก็จะเกิดการพองตัวและเมื่อรับประทานเข้าไปก็จะทำให้อิ่มและทานอาหารได้น้อยลง นอกจากนี้ยังช่วยกำจัดไขมันให้ออกมาจากร่างกาย ล้างไขมันที่อยู่ในลำไส้ ด้วยการดูดซับไขมันเอาไว้แล้วขับออกมาในรูปแบบของการขับถ่าย

แต่ก็มีข้อมูลทางเภสัชวิทยาพูดถึงการกินลูกสำรองติดต่อกันเป็นเวลานาน ๆ ก็อาจจะทำให้ร่างกายได้รับสารอาหาร โดยเฉพาะวิตามินและแร่ธาตุบางชนิดลดลงได้ ดังนั้นถ้าคิดจะใช้ลูกสำรองในการช่วยลดน้ำหนักล่ะก็ควรจะรับประทานให้พอเหมาะนะจ๊ะ

 


 



4. กระเจี๊ยบแดง

กระเจี๊ยบแดงที่เรานำมาทำเป็นน้ำกระเจี๊ยบ เป็นพืชสมุนไพรที่สามารถช่วยลดน้ำหนักได้ดีทีเดียว โดยเฉพาะกลีบเลี้ยงของดอก หรือกลีบที่เหลือที่ติดอยู่กับผล สามารถใช้เป็นยาลดไขมันในเส้นเลือด โดยได้มีการศึกษาวิจัยและทดลองกับกระต่ายที่มีไขมันสูงแล้วพบว่าระดับไตรกลีเซอไรด์ คอเลสเตอรอล และระดับไขมันเลว (LDL) ลดลง และมีปริมาณของไขมันชนิดดี (HDL) เพิ่มมากขึ้น แล้วก็ยังช่วยบรรเทาความรุนแรงของการอุดตันหลอดเลือดแดงใหญ่จากหัวใจให้น้อยลง

ขณะที่ในประเทศอียิปต์ ยังมีการนำกระเจี๊ยบแดงทั้งต้นมาต้มกินเป็นยาลดน้ำหนัก เนื่องจากเป็นยาระบายและยังช่วยฆ่าเชื้อในลำไส้ได้อีกด้วย แต่เราไม่จำเป็นตองไปหาต้นกระเจี๊ยบมาต้มกินก็ได้นะคะ ถ้าอยากลดน้ำหนักด้วยกระเจี๊ยบจริง ๆ ละก็ ก็ลองหาน้้ำกระเจี๊ยบที่ไม่ผสมน้ำตาลมาดื่มก็จะช่วยได้เหมือนกันนะ


 


 



5. ดอกคำฝอย

ดอกคำฝอย เป็นอีกหนึ่งสมุนไพรที่ดีต่อการลดไขมันในเส้นเลือด ช่วยขับเหงื่อ ซึ่งเหมาะมากหากจะนำมาชงดื่มก่อนนอน เพราะเป็นยาระบายอ่อน ๆ สามารถช่วยในการขับถ่าย ลดหน้าท้อง และช่วยลดน้ำหนัก ๆ ได้อีกด้วย ซึ่งในปัจจุบันเราสามารถหาซื้อดอกคำฝอยสำเร็จรูปมาชงดื่มได้ง่าย

แต่ถ้าใครชอบความสดใหม่มากกว่าก็สามารถหาซื้อดอกคำฝอยที่มีสีแดงจัดมาต้มในน้ำเดือดประมาณ 5 นาที แล้วกรองเอาแต่น้ำ ถ้าหากอยากได้รสชาติหวานก็สามารถเติมน้ำตาลได้ตามชอบ แต่ถ้าหากจะดื่มเพื่อลดความอ้วนล่ะก็ ควรจะเปลี่ยนมาใส่หญ้าหวานแทนเพื่อให้ได้รสชาติหวาน แถมยังได้ลดความอ้วนแบบสองต่อเลย




 

6. กะเพรา

กะเพราเป็นพืชสมุนไพรที่เรานิยมนำมาทำอาหารกันอย่างแพร่หลาย แถมยังเป็นอาหารยอดนิยมอีกด้วย ซึ่งสรรพคุณของกะเพรา ที่เรารู้กันดีอยู่แล้วนั่นก็คือมีฤทธิ์ขับลม ช่วยแก้จุดเสียด แน่นท้อง และแก้ปวดท้องอุจจาระได้ แต่สรรพคุณเด็ดของกะเพราอีกประการที่เราไม่ค่อยจะทราบกันนั่นก็คือ ช่วยขับไขมันและน้ำตาล

เคยสงสัยบ้างไหมล่ะ ทำไมอาหารตามสั่งต้องมีเมนูผัดกะเพราเนื้อ กะเพราไก่ กะเพราหมู นั่นก็เพราะนอกจากใบกะเพราจะช่วยดับกลิ่นคาวของเนื้อสัตว์ได้แล้ว ยังมีฤทธิ์ขับไขมันและน้ำตาลส่วนเกินออกจากร่างกาย อีกทั้งกะเพราจะช่วยขับน้ำดีในตับออกมาให้ช่วยย่อยไขมันได้ดีขึ้นด้วยนะ ดังนั้นถ้าหากอยากลดความอ้วนล่ะก็ ใบกะเพราก็เป็นทางเลือกที่ดีทางหนึ่งเลยนะคะ




 

7. กระเทียม

กระเทียม สมุนไพรที่คนไทยมักนิยมนำมาทำเป็นอาหารมากที่สุด เพราะไม่ว่าจะเป็นอาหารจานไหนก็ต้องมีกระเทียมเป็นส่วนประกอบ แต่ต้องเป็นกระเทียมสดเท่านั้นค่ะ ส่วนกระเทียมที่ผ่านการนำไปปรุงในอาหารแล้วไม่สามารถช่วยลดความอ้วนได้นะ

ที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะในกระเทียมนั้นมีสารอัลลิซินซึ่งมีคุณสมบัติในการลดคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ในเลือด, ช่วยลดน้ำตาลกลูโคสในเลือด, ช่วยเสริมประสิทธิภาพของยาฆ่าเชื้อรา, ช่วยลดการอักเสบ, มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ, ยับยั้งเนื้องอกและเซลล์มะเร็งบางชนิด ซึ่งมีการทดลองพบว่าถ้าหากรับประทานกระเทียมวันละ 10 กลีบ จะทำให้ระดับคอเลสเตอรอลนั้นลดลง 14% ไขมันไม่ดีอย่าง LDL ลดลง 17% และไขมันดีอย่าง HDL เพิ่มขึ้นสูงถึง 41% เลยทีเดียว แต่สารอัลลิซินนั้นจะถูกทำลายเมื่อไปสัมผัสกับน้ำมันและความร้อน ดังนั้นจึงควรที่จะรับประทานกระเทียมสด ๆ อย่างน้อยวันละ 3-5 กลีบเล็กก่อนอาหารเพื่อลดน้ำหนัก

แต่ถ้าอยากเพิ่มมวลกล้ามเนื้อด้วยล่ะก็ให้รับประทานพร้อมอาหารหรือหลังอาหารก็จะช่วยเพิ่มมวลกล้ามเนื้อให้มากขึ้นได้ แต่ก็อย่าลืมเรื่องกลิ่นปากและกลิ่นตัวด้วยล่ะ เพราะกระเทียมนั้นกลิ่นแรงมาก ถ้าหากต้องไปพบใครหลังจากทานกระเทียมก็ควรหลีกเลี่ยงการทาน หรือไม่ก็แปรงฟันก่อนจะดีที่สุด


 


 


8. พริก

ใครจะไปเชื่อว่าพริกจะมีความสามารถช่วยลดความอ้วนได้ แต่นั่นก็เป็นเพราะว่าพริกมีวิตามินซีสูง ซึ่งเจ้าวิตามินซีนี่ล่ะที่จะไปช่วยขยายเส้นเลือดในลำไส้และกระเพาะอาหาร ทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมสารอาหารได้ดีขึ้น และช่วยในระบบขับถ่ายอีกด้วย นอกจากวิตามินแล้ว ในพริกยังมีสารแคปไซซิน (Capsaicin), โอลีโอเรซิน (Oleoresin) และกรดแอสคอร์บิก ซึ่งกรดแอสคอร์บิกนี่ล่ะที่มีบทบาทสำคัญในการลดความอ้วน เพราะมันจะไปช่วยให้ไขมันถูกเผาผลาญกลายเป็นพลังงานได้ดี ถ้าหากใครที่เป็นคนที่ร่างกายมีการเผาผลาญต่ำ การกินพริกเข้าไปบ่อย ๆ ก็จะช่วยให้ร่างกายปรับตัวได้ดีขึ้น

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้พริกจะช่วยลดความอ้วนได้ แต่ก็ต้องรับประทานเป็นจำนวนมากถึงจะได้รับสารอาหารที่อยู่ในพริกเพียงพอ ดังนั้นถ้าหากต้องการใช้พริกช่วยในการลดความอ้วนล่ะก็ แนะนำให้รับประทานพริกในรูปแบบของสารสกัดจะดีกว่าทานแบบสด ๆ เป็นกำ ๆ ที่อาจทำให้ท้องอืด ปวดท้อง เป็นโรคกระเพาะได้อีกต่างหาก

 


 



9. หญ้าหวาน

หญ้าหวานถือเป็นสมุนไพรที่นอกจากจะให้ความหวานได้เหมือนน้ำตาลแล้ว ยังช่วยให้สามารถลดความอ้วนได้ด้วย เพราะหญ้าหวานเป็นพืชที่ไม่ให้พลังงานและแคลอรี่ต่ำมาก สามารถนำไปผสมกับเครื่องดื่มหรือนำไปปรุงรสชาติอาหารแทนน้ำตาลก็ได้ทั้งนั้น แถมความหวานที่ได้จากหญ้าหวานยังมากกว่าน้ำตาลถึง 200-300 เท่าของซูโครส และหากรับประทานเป็นประจำก็ยังไม่มีผลข้างเคียงใด ๆ ให้ต้องวุ่นวายใจ เพราะฉะนั้น ใครที่ชอบกินหวาน แต่ก็ไม่อยากอ้วนล่ะก็ หญ้าหวานนี่ล่ะตัวช่วยที่ดีที่สุดเลย





 

10. ขมิ้นชัน

ขมิ้นมีสารพฤกษเคมีที่เรียกว่าเคอร์คูมิน ซึ่งสารชนิดนี้จะไปช่วยในการยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์ไขมัน ทำให้สามารถช่วยลดไขมันได้ โดยขมิ้นชันสามารถรับประทานได้ทั้งสดและนำไปปรุงกับอาหาร ถ้าหากนำไปปรุงกับอาหารจำพวกทอดก็จะช่วยย่อยไขมันในอาหารได้อีกด้วย และที่สำคัญไม่ควรให้ขมิ้นอยู่ในความร้อนมากกว่า 65 องศาเพราะอาจจะทำให้เกิดสารสเตรอยด์ในขมิ้นได้




 

11. ส้มแขก

ในผลส้มแขกมีสาร HAC หรือสารไฮดรอกซีซิตริกแอสิด อยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งสารที่ว่านี้เป็นสารมีคุณสมบัติที่ดีในการเข้าไปสกัดและยับยั้งการสะสมของไขมันส่วนเกินไนร่างกาย และยังช่วยทำให้ทานอาหารได้น้อยลง หน้าท้องยุบ รูปร่างเพรียวขึ้น โดยคนส่วนใหญ่ก็มักจะรับประทานในรูปแบบของสารสกัดเสียมากกว่าและการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ส้มแขกในการลดความอ้วนนั้นก็ควรเลือกขนาดปริมาณ 300–600 มก.และรับประทานตามที่ฉลากระบุเท่านั้นเพื่อไม่ให้เกิดผลข้างเคียง อย่างไรก็ตาม เราก็ควรหลีกเลี่ยงอาหารประเภทไขมัน ลดพวกของทอดของมัน และออกกำลังกายมาก ๆ เพื่อที่การลดน้ำหนักจะได้ มีประสิทธิภาพและไม่กลับมาอ้วนให้หนักใจอีกยังไงล่ะ





 

12. บุก

บุกเป็นพืชที่คนกำลังลดความอ้วนนิยมนำมารับประทาน เพราะบุกมีสารกลูโคแมนแนน ซึ่งเป็นคาร์โบไฮเดรตหรือแป้งชนิดหนึ่งที่ประกอบด้วย กลูโคส แมนโนส ฟรุคโทส มีลักษณะข้น ๆ เหนียว ๆ เมื่อรับประทานเข้าไปแล้วจะทำให้อิ่มเร็ว เพราะความเหนียวหนืดของกลูโคแมนแนนจะชะลอการดูดซึมของกลูโคสจากทางเดินอาหารไปยังส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย จึงทำให้การบริโภคอาหารอื่น ๆ น้อยลงไปโดยปริยาย แถมยังมีกากใยสูงทำให้ดีต่อลำไส้และการขับถ่ายอีกด้วย นอกจากนี้บุกยังสามารถนำไปทำอาหารได้หลากหลายแถมยังไม่มีผลเสียต่อร่างกายเลยอีกด้วย ใครที่อยากลดความอ้วนลองนำบุกมาทำเป็นอาหารแทนเนื้อสัตว์ก็ช่วยได้

ขอบคุณที่มาจาก กระปุก.คอม




 

Create Date : 24 กันยายน 2557    
Last Update : 24 กันยายน 2557 11:53:27 น.
Counter : 2214 Pageviews.  

ประวัติความเป็นมาของยางพารา

คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
ประวัติความเป็นมาของยางพารา
การกรีดยาง

ประวัติความเป็นมาของยางพารา
เมล็ดยาง

ประวัติความเป็นมาของยางพารา
Henry Wickham

ประวัติความเป็นมาของยางพารา
Charles Goodyear

ยางพาราเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญรองจากฝ้ายในการอุตสาหกรรม หลายคนคงไม่รู้ว่า ณ วันนี้ประเทศไทยเราผลิตยางพาราได้มากเป็นอันดับหนึ่งของโลก จากพื้นที่ประมาณ 12.5 ล้านไร่ ในภาคใต้ ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทำให้สามารถผลิตยางในปี 2544 ได้ถึง 2.62 ล้านตัน และส่งเป็นสินค้าออกได้ถึง 2.35 ล้านตัน มีผลให้ประเทศมีรายได้ประมาณ 75,000 ล้านบาท

       สถิติการนำยางเป็นสินค้าเข้าแสดงให้เห็นว่า ญี่ปุ่น จีน เป็นประเทศที่นำยางเป็นสินค้าเข้าที่สำคัญ โดยนำไปทำเครื่องใช้ เช่น ผ้ายาง ของเล่น รองเท้า ยางรถยนต์ และยางลบ เป็นต้น ปัจจุบันประเทศในแถบเอเชียอาคเนย์ปลูกยางได้ประมาณ 92% ของยางที่ปลูกทั่วโลก ทั้งๆ ที่ยางมิได้เป็นต้นไม้ท้องถิ่นของทวีปเอเชีย แต่เป็นพืชที่มีกำเนิดในทวีปอเมริกาใต้ที่ได้ถูกนักผจญภัย และนักสำรวจแผ่นดินใหม่ลักลอบนำจากทวีปอเมริกาใต้ไปปลูกในยุโรป และเอเชียในเวลาต่อมา ประวัติศาสตร์ได้จารึกว่าคนอินเดียนในทวีปอเมริกาใต้รู้จักยางพารา (Hevea brasiliensis) มานานหลายพันปีแล้ว แต่คนยุโรปเพิ่งรู้จักยางเมื่อประมาณ 200 ปีก่อนนี้ และรู้จักนำยางมาทำอุปกรณ์กับเครื่องใช้ต่างๆ เมื่อประมาณ 100 ปีมานี้เอง

       Hernando Cortez นับเป็นชาวยุโรปคนแรกที่เห็นชาวพื้นเมืองในรัฐเม็กซิโกเล่นลูกบอลยาง การสืบเสาะที่มาของวัสดุที่ใช้ทำลูกบอลชี้บอกให้ Cortez รู้ว่าวัสดุที่ยืดหยุ่นดีนี้เกิดจากของเหลวที่ไหลออกมาจากต้น caoutchoue ของชาว Maya (คำนี้แปลตรงตัวว่า ต้นไม้ที่ร่ำไห้) เวลาเปลือกต้นถูกของมีคมกรีด และนอกจากจะใช้ยางทำบอลแล้ว ชาวอินเดียนเผ่า Maya ยังใช้ยางทำรองเท้า โดยเอาเท้าจุ่มในน้ำยางแล้วยกเท้าออก จากนั้นก็ปล่อยทิ้งให้แห้งแล้วจุ่มเท้าลงไปใหม่อีก ทำซ้ำๆ เช่นนี้จนได้รองเท้าในที่สุด

       การยึดครองอาณาจักร Maya ได้ทำให้ทหารล่าอาณานิคมของสเปนรู้เพิ่มเติมว่า เวลาชาวอินเดียนเอาน้ำยางลูบไล้บนหมวกธรรมดา หมวกใบนั้นจะสามารถกันฝนได้

       ในพ.ศ. 2313 Joseph Priestley นักเคมีชาวอังกฤษ ได้พบว่ายางสามารถลบรอยดินสอได้ เขาจึงเรียกยางว่า rubber และเมื่อถึงพ.ศ. 2366 Charles Mac Intosh พ่อค้าชาวสกอตที่เมือง Glasgow ได้พบว่าสารละลาย naphtha (C10H8) ที่ได้จากการกลั่นน้ำมันปิโตรเลียมสามารถละลายยางได้ เขาจึงเอาผ้าจุ่มลงในสารละลายที่มีน้ำยางนี้ แล้วนำขึ้นมาผึ่งให้น้ำระเหยไป ทิ้งอนุภาคยางบนเนื้อผ้าเป็นผ้าที่สามารถกันฝนได้ คนอังกฤษจึงเรียกเสื้อกันฝนว่า mackintosh ในปี พ.ศ. 2380 Thomas Hancock ประสบความสำเร็จในการประดิษฐ์เครื่องรีดยางให้เป็นแผ่น แต่ยางก็ยังไม่เป็นที่นิยมใช้ ทั้งนี้เพราะเวลายางได้รับความร้อนมันจะอ่อนตัวเหนียว และเวลาอากาศเย็นมันจะเปราะและมีรอยแตก แต่ในพ.ศ. 2382 นั้นเอง Charles Goodyear ก็ได้พบโดยบังเอิญว่า เขาสามารถทำยางให้คงรูปได้ตลอดเวลา โดยเอากำมะถันผสมลงในยางแล้วเผาให้ร้อนถึง 150 องศาเซลเซียส แล้วใช้ความดันช่วย ยางที่ได้จะแข็งแรงทนทาน ไม่เปราะ และไม่อ่อนตัวอีกเลย ทำให้สามารถใช้ทำอุปกรณ์และเครื่องใช้ต่างๆ ได้ เช่น ยางรถยนต์ และยางล้อจักรยาน เป็นต้น

       หลังจากที่คนยุโรปพบประโยชน์ของยางแล้ว คุณค่าของยางก็ได้เพิ่มขึ้นทันที แต่ยางเป็นพืชท้องถิ่นของทวีปอเมริกาใต้ ดังนั้น ชาวยุโรปจึงคิดนำต้นยางจากทวีปอเมริกาใต้ไปปลูกในยุโรปหรือเอเชียบ้าง โดยเฉพาะในประเทศเขตร้อนที่ตกเป็นอาณานิคมของตน เพื่อให้คนที่อยู่ใต้การปกครองสามารถปลูกยางเป็นอาชีพได้ ดังที่ Sir Clement Markham ได้เคยประสบความสำเร็จในการนำต้นควินิน (quinine) จากพื้นที่ในแถบเทือกเขา Andes ของอเมริกาใต้ไปปลูกในอินเดียมาแล้ว เมื่อ 150 ปีก่อนนี้ และเมื่อต้นควินินสามารถเจริญเติบโตได้ดี ต้นยางก็น่าได้รับการสนับสนุนเช่นกัน
       แต่รัฐบาลบราซิลไม่ต้องการสูญเสียต้นไม้ที่ประเสริฐของตน จึงออกกฎหมายห้ามมิให้ใครใดนำเมล็ดยางหรือกล้ายางออกนอกประเทศ แต่ก็ไม่เป็นผล เพราะ A. Farris ได้ลักลอบนำเมล็ดยางไปปลูกที่สวนพฤกษศาสตร์ Kew ในกรุงลอนดอนได้สำเร็จ แต่เพราะสภาพอากาศในสวนไม่อำนวย กล้ายางที่เพาะได้จึงมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน ทั้งนี้เพราะยางมีถิ่นกำเนิดในเขตร้อน ดังนั้น นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษจึงตัดสินใจนำเมล็ดยางไปทดลองปลูกในสวนพฤกษศาสตร์แห่งเมือง Calcutta ของอินเดียบ้าง แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จอีก

       ในพ.ศ. 2418 ชาวอังกฤษชื่อ Henry Wickham ซึ่งตั้งถิ่นฐานอยู่ที่เมือง Santarem ในอเมริกาใต้ ได้รับการว่าจ้างจากรัฐบาลอังกฤษให้เก็บรวบรวมเมล็ดยางพันธุ์ต่างๆ ที่ขึ้นในแถบลุ่มแม่น้ำ Amazon แล้วลักลอบนำออกนอกประเทศบราซิลให้ได้ Wickham จึงใช้เรือ S.S. Amazonas ขนเมล็ดยางจำนวนมาก และเขียนป้ายติดที่กล่องบรรจุเมล็ดยางว่า นี่คือเมล็ดพืชตัวอย่างสำหรับการปลูกที่สวน Kew ของสมเด็จพระราชินี Victoria และเมื่อเจ้าหน้าที่ตรวจชาวบราซิลเห็นป้ายก็ไม่ได้เฉลียวใจแม้แต่น้อยว่ามันคือเมล็ดยางต้องห้าม จึงอนุญาตให้เรือนำเมล็ดพืชออกนอกประเทศได้ เรือของ Wickham ที่มีเมล็ดยางร่วม 70,000 เมล็ด เดินทางถึงท่าเรือของกรุง London ในวันที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2419 และเจ้าหน้าที่ได้นำเมล็ดยางไปเพาะที่เรือนกระจกของสวน Kew ในวันรุ่งขึ้นทันที ผลปรากฏว่า มีเมล็ดเพียง 3,000 เมล็ดเท่านั้นที่เติบโตเป็นกล้ายาง และอีก 2 เดือนต่อมา กล้ายาง 1,900 ต้นก็ถูกขนขึ้นเรือเพื่อนำไปปลูกที่ศรีลังกา แต่ขณะเดินทางกล้ายาง 200 ต้นล้มตาย ดังนั้น รัฐบาลอังกฤษจึงได้แจกจ่ายกล้ายาง 1,700 ต้นที่เหลือให้นำไปปลูกที่สิงคโปร์ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย จึงเป็นว่าคนเอเชียอาคเนย์เริ่มรู้จักยางเมื่อประมาณ 130 ปีมานี้เอง แต่ยางก็มิได้มีบทบาทมากในการยกฐานะความเป็นอยู่ของคนแถบนี้ เพราะในสมัยนั้น ผู้คนนิยมขุดดีบุก และปลูกกาแฟเป็นงานหลัก Sir Henry Ridley ผู้เป็นผู้อำนวยการศูนย์พฤกษศาสตร์ที่สิงคโปร์ จึงได้เริ่มชักจูงชาวบ้านให้หันมาปลูกยางเป็นอาชีพบ้าง รวมทั้งสอนให้ชาวบ้านรู้จักวิธีกรีดยางโดยไม่ทำให้ต้นยางตาย การปลูกยางจึงได้เริ่มแพร่หลายตั้งแต่นั้นมา

       สำหรับการแพร่ของยางสู่ประเทศไทยนั้น ประวัติศาสตร์ได้บันทึกว่า เมื่อครั้งที่เจ้าพระยารัษฎานุประดิษฐ์เดินทางไปมาเลเซีย ท่านได้เห็นสวนยางพารา จึงคิดนำยางมาปลูกในไทยบ้าง แต่รัฐบาลอังกฤษซึ่งยึดครองมาเลเซียขณะนั้นอยู่ไม่อนุญาต ต่อมาในพ.ศ. 2444 พระสถลสถานพิทักษ์ซึ่งได้เดินทางไปดูงานที่อินโดนีเซีย สามารถนำกล้ายางกลับมาได้ จึงนำกล้ายางต้นแรกไปปลูกที่บ้านพัก ที่อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง เพราะต้นยางเจริญเติบโตดีมาก การปลูกจึงได้ขยับขยายมากขึ้นๆ จนมีเนื้อที่ถึง 45 ไร่

       จากนั้นพระยารัษฎานุประดิษฐ์จึงจัดให้ข้าราชการไปเรียนวิชาปลูกยางเพื่อนำไปถ่ายทอดให้ชาวบ้านรู้จักปลูก รู้จักทำสวนยางบ้าง และได้นำพันธุ์ยางดีๆ ไปแจกจ่ายให้คนใต้รู้จักปลูกยางกันแพร่หลายจนทำให้ท่านได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดายางพาราของไทยมาจนทุกวันนี้ครับ

       สุทัศน์ ยกส้าน ภาคีสมาชิก ราชบัณฑิตยสถาน




 

Create Date : 24 กันยายน 2557    
Last Update : 24 กันยายน 2557 11:46:16 น.
Counter : 1462 Pageviews.  

จุดที่เย็นที่สุดในโลก

นักวิทย์พบจุดที่เย็นที่สุดในโลก

นักวิทยาศาสตร์จากศูนย์ข้อมูลหิมะและน้ำแข็งแห่งชาติ สหรัฐอเมริกา พบข้อมูลจากการเครื่องวัดอุณหภูมิพื้นผิวโลกจากดาวเทียม พบว่าอุณหภูมิที่ต่ำที่สุดบนพื้นโลกอยู่ที่ติดลบ 93.2 องศาเซลเซียส และพื้นที่ดังกล่าวอยู่ในทวีปแอนตาร์กติกา หรือขั้วโลกใต้นั่นเอง

นายเท็ด สแคมบอส นักวิทยาศาสตร์จากศูนย์ข้อมูลหิมะและน้ำแข็งแห่งชาติ ระบุระหว่างการประชุมนักวิทยาศาสตร์พื้นพิภพ ที่ซานฟรานซิสโก สหรัฐ ว่า อุณหภูมิที่วัดได้ดังกล่าวเป็นข้อมูลที่ได้บันทึกไว้เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2553 โดยนายเท็ดระบุว่าข้อมูลดังกล่าวเป็นเพียงตัวเลขในเบื้องต้นเท่านั้น โดยตัวเลขอาจลดต่ำลงได้อีกราว 1 องศาเซลเซียสเนื่องจากอยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูลจากเซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิจากดาวเทียม



อุณหภูมิที่วัดได้ดังกล่าวนับว่ามีความหนาวเย็นกว่าในพื้นที่อลาสกาและไซบีเรียถึง 50 องศาเซลเซียส และต่ำกว่าจุดสูงสุดของกรีนแลนด์ถึง 30 องศาเซลเซียส โดยอุณหภูมิดังกล่าวถือว่าทำลายสถิติสถานีวิจัยวอสต็อก ของรัสเซียในแอนตาร์กติกา ที่เคยวัดได้อยู่ที่ติดลบ 89.2 องศาเซลเซียส เมื่อปี 2526

ทีมวิจัยที่เก็บข้อมูลอุณหภูมิในพื้นที่ดังกล่าวย้อนหลังไปถึง 30 ปีพบว่าจุดที่เย็นที่สุดจะเกิดขึ้นใกล้กับแนวสันเขาในทวีปแอนตาร์กติกา ที่จะเก็บกักอากาศเย็นที่หนาแน่นให้ไหลมารวมกัน ขณะที่อากาศที่แห้งและใสจะส่งผลให้ความร้อนถ่ายเทออกสู่อวกาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ทั้งนี้ จุดที่ร้อนที่สุดในโลกที่วัดได้จากเครื่องวัดอุณหภูมิจากดาวเทียมยังคงเป็นที่ทะเลทรายลุต ทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศอิหร่านที่วัดอุณหภูมิได้สูงถึง 70.7 องศาเซลเซียส ขณะที่จุดที่เย็นที่สุดในระบบสุริยะ จะเป็นพื้นที่สีดำในหลุมอุกกาบาตบนดาวเคราะห์ที่ไม่มีชั้นบรรยากาศ โดยพื้นที่ลักษณะดังกล่าวบนดวงจันทร์สามารถวัดได้ที่ติดลบ 238 องศาเซลเซียส

ที่มา : นสพ.มติชน




 

Create Date : 23 กันยายน 2557    
Last Update : 23 กันยายน 2557 10:37:08 น.
Counter : 1185 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  

หนี่งหน่อง
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 33 คน [?]




pub-1485477287124314
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add หนี่งหน่อง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.