อ่านเรื่อยๆ มาเรียง ๆ ทุกวันของ หนี่งหน่อง นะครับ

เหรืยญชัยสมรภูมิ

ใช้อักษรย่อว่า ช.ส. สร้างขึ้นตามพระราชกำหนดเหรียญชัยสมรภูมิ พ.ศ. 2484 สำหรับพระราชทานแก่ทหาร ตำรวจ หรือผู้ที่กระทำหน้าที่ อย่างทหารหรือตำรวจ ที่ได้รับคำสั่งจากหน่วยทหารหรือตำรวจให้ไปทำการรบ และได้เคลื่อนที่ไปปฏิบัติการแล้ว
การพระราชทานกรรมสิทธิและการเรียกคืนเช่นเดียวกับเหรียญกล้าหาญ เหรียญนี้ไม่มีประกาศนียบัตร แต่ประกาศนามผู้ได้รับพระราชทานในราชกิจจานุเบกษา
ตัวเหรียญเหมือนเหรียญกล้าหาญ ห้อยกับแพรแถบเป็นสีต่าง ๆ ตามที่ได้กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกาเป็นคราว ๆ ไป (ยกเว้นการรบในสงครามอินโดจีนที่ได้กำหนดแพรแถบไว้ในพระราชบัญญัติ) ให้ประดับที่หน้าอกเสื้อเบื้องซ้าย
ผู้ได้รับเหรียญชัยสมรภูมิ หากได้กระทำการจนได้รับคำชมเชยจากทางราชการ หรือกระทำความชอบมีบาดเจ็บ จะได้รับเครื่องหมายสีทองเป็นรูปขีด ประกอบด้วยเปลวระเบิดติดที่แพรแถบทุกครั้ง
เหรียญชัยสมรภูมิสงครามอินโดจีน
แพรแถบสีแดง กว้าง 3.5 เซนติเมตร มีริ้วสีขาวใกล้ขอบทั้งสองข้าง ข้างบนมีเข็มโลหะรูปคฑาจอมพล จารึกอักษรว่า ชัยสมรภูมิ
เหรียญชัยสมรภูมิสงครามเอเชียบูรพา
แพรแถบสีเขียว กว้าง 3.5 เซนติเมตร มีริ้วสีแดงที่ขอบ และถัดริ้วสีแดงเข้าไป เป็นริ้วสีขาวทั้งสองข้าง ข้างบนมีเข็มโลหะรูปคฑาจอมพล จารึกอักษรว่า ชัยสมรภูมิ

เหรียญชัยสมรภูมิสงครามร่วมรบกับสหประชาชาติ
ณ ประเทศเกาหลี

แพรแถบสีฟ้า กว้าง 3.5 เซนติเมตร มีริ้วสีฟ้าที่ขอบ ถัดริ้วสีฟ้าเข้าไปเป็นริ้วสีขาวทั้งสองข้าง ข้างบนมีเข็มโลหะรูปคฑาจอมพล จารึกอักษรว่า ชัยสมรภูมิ

เหรียญชัยสมรภูมิการรบ ณ สาธารณรัฐเวียดนาม
แพรแถบสีเหลือง กว้าง 3.5 เซนติเมตร มีริ้วสีแดงที่ขอบ ถัดริ้วสีแดงเข้าไปเป็นริ้วสีขาวทั้งสองข้าง ข้างบนมีเข็มโลหะรูปคฑาจอมพล จารึกอักษรว่า ชัยสมรภูมิ

ที่มา หอมรดกไทย




 

Create Date : 29 พฤศจิกายน 2557    
Last Update : 29 พฤศจิกายน 2557 11:07:13 น.
Counter : 1002 Pageviews.  

สูตรวิธีทําหมูสะเต๊ะ รสเด็ด (Pork Satay )

สูตรวิธีทำหมูสะเต๊ะ รสเด็ด (Pork Satay)

สูตรอาหารไทย หมูสะเต๊ะ (Pork Satay) เป็นเมนูอาหารภาคใต้ ที่ได้รับความนิยมไปทั่วทุกภาค ด้วยเป็นอาหารที่ทานง่าย มีความหอมอร่อยเป็นเอกลักษณ์เฉพาะด้วยเครื่องเทศมากมาย ทว่าถ้าจะให้หมูสะเต๊ะอร่อยครบสูตร นอกจากการหมักเนื้อให้หอมนุ่มอร่อยแล้ว ก็ต้องทานเคียงกับอาจาดแก้เลี่ยน พร้อมกับน้ำจิ้มหมูสะเต๊ะเข้มข้นรสเด็ดก็ช่วยเพิ่มอรรถรสความอร่อยกลมกลมของหมูสะเต๊ะได้อย่างลงตัวสุดๆ สำหรับใครที่ชอบทานหมูสะเต๊ะห้ามพลาด วันนี้เราได้นำสูตรวิธีทำหมูสะเต๊ะเด็ดๆ มาฝาก เหมาะมากที่จะทำทานในวันหยุดหรืองานสังสรรค์หรือนึกหิวก็มาทำทานได้เลย (^_^)...อีกเมนูที่ทำไม่ยากครับ...แต่อาจจะต้องเตรียมวัตถุดิบเครื่องปรุงหลายอย่างอยู่บ้าง…ถ้ายังไงเราไปดูพร้อมกันเลย


สำหรับการทำหมูสะเต๊ะให้อร่อยเด็ดครบสูตร ในส่วนขั้นตอนการทำนั้น เราอาจต้องการความพิถีพิถันอยู่บ้าง ตั้งแต่การเลือกหมูอย่างไร การหมักหมู ซึ่งเป็นส่วนสำคัญมากเพราะส่งผลต่อรสชาติ และความแข็งนุ่มนิ่มของเนื้อหมู รวมถึงเทคนิคการหมักทิ้งข้ามคืนในอุณหภูมิที่ต้องจำกัดอยู่ในความเย็น รวมทั้งขั้นตอนการนำหมูเสียบไม้ จะต้องมีการเสียบหมูอย่างไรให้หมูที่ย่างออกมาดูน่ารับประทานมากยิ่งขึ้น ส่วนการย่างหมูก็มีส่วนสำคัญ ต้องย่างในไฟขนาดไหนถึงจะกำลังสุกน่าทาน ตลอดจนขั้นตอนการทำน้ำจิ้มหมูสะเต๊ะเด็ดๆ ที่เราก็ได้รวบรวมคำแนะนำเหล่านี้มาไว้ที่นี่แล้ว…

วิธีทำหมูสะเต๊ะ
เครื่องปรุงและส่วนผสมหมูสะเต๊ะ
  1. เนื้อหมูนำมาแล่เป็นชิ้น (ขนาดประมาณ ขนาด 2 x 6 ซม.) 500 กรัม 
  2. (แนะนำให้ใช้เป็นหมูสันนอกหรือเนื้อหมูส่วนสะโพก…หากเป็นเนื้อหมูรุ่นจะดีมาก เพราะเนื้อหมูจะนุ่ม)
  3. ลูกผักชีคั่วให้หอม 1 ½ ช้อนโต๊ะ (ใส่หรือไม่ใส่ก็ได้ครับ…ถ้าใส่จะหอมดี)
  4. ลูกยี่หร่าคั่วให้หอม ½ ช้อนโต๊ะ
  5. ข่าสับพอหยาบๆ 1 ช้อนชา
  6. ตะไคร้ซอย 1 ½ ช้อนโต๊ะ
  7. หัวกะทิ ½ ถ้วย
  8. ผงขมิ้น 1 ช้อนขา (ถ้ากลัวไม่เหลืองให้ใส่เพิ่มได้ แล้วแต่ชอบ)
  9. ผงกะหรี่ 1 ช้อนชา
  10. น้ำตาลทรายนวล 1 ½ ช้อนโต๊ะ
  11. พริกไทดำป่น 1/2 ช้อนชา (ถ้าไม่มีใช้พริกไทขาวแทนก็ได้)
  12. เกลือป่น 1 ช้อนชา
  13. ไม้เสียบหมูสะเต๊ะ
  14. ผงฟู ½ ช้อนชา หรือน้ำสัปปะรด 2 ช้อนโต๊ะ (ใส่หรือไม่ใส่ก็ได้…เพื่อให้เนื้อหมูนุ่มๆเด้งๆ)
เครื่องปรุงน้ำกระทิพรมหมูสะเต๊ะ
  1. หัวกะทิ 1 ถ้วย
  2. นมสด หรือนมสดตราคาร์เนชั่น/ตรานกเหยี่ยว 1 ถ้วย
วิธีทำ: นำหัวกระทิและนมสดมาผสมให้เข้ากัน ทำไว้สำหรับพรมสะเต๊ะขณะย่าง ที่ทำแปรงพรมด้วยใบเตยฉีก


วิธีทำหมูสะเต๊ะ
  1. โขลก ลูกผักชีคั่ว ลูกยี่หร่าคั่ว จนละเอียด จากนั้นใส่ข่า ตะไคร้ โขลกให้เข้ากันจนละเอียดดีแล้ว
  2. นำเครื่องที่โขลกใส่ลงไปในอ่างเนื้อหมู…(จากข้อ 1) จากนั้นก็ใส่น้ำตาล หัวกระทิ ผงขมิ้น ผงกะหรี่ พริกไทป่น ผงฟู เกลือป่น และน้ำตาลทราย คลุกเคล้าทุกอย่างให้เข้ากันดี ด้วยการคลุกเคล้าขยำๆเบาๆ ควรนวดนานๆ เพื่อให้เครื่องหมักซึมเข้าเนื้อหมูได้ดียิ่งขึ้น
  3. จากนั้นนำหมูไปใส่กล่องพลาติก นำไปแช่ในตู้เย็นช่องแข็ง แล้วหมักทิ้งไว้ 3-4 ชั่วโมง หรือจะหมักข้ามคืนก็ได้ยิ่งดี (การแช่ใว้ในความเย็นนานๆ…จะทำให้น้ำหมักหมูดูดซึมเข้าไปในเนื้อมาก…จะทำให้เนื้อหมูนุ่มดีค่ะ)
  4. เมื่อครบ 3 ชั่วโมงแล้ว นำมาเสียบไม้พักไว้ในตู้เย็น จนกระทั่งจะปิ้ง หรือ ถ้ายังไม่ทานให้ห่อให้สนิทแล้วนำเข้าแช่ในช่องแข็ง แล้วจึงนำออกมาพักในตู้เย็นช่องธรรมดาจนอ่อนตัวลง…แล้วจึงค่อยนำไปปิ้ง
  5. วิธีย่างหมูสะเต๊ะ คือ ก่อนที่จะอย่างหมูสะเต๊ะ ให้นำหมูที่เสียบไม้แล้วนำมาชุบในน้ำพรมหมูสะเต๊ะที่เตรียมไว้ แล้วจึงนำไปอย่างด้วยไฟปานกลาง (ห้ามใช้ไฟอ่อน หมูจะแข็งไม่อร่อย) แล้วขณะที่ย่างให้พรมน้ำกระทิ(ที่เตรียมไว้) ลงบนหมูสะเต๊ะขณะปิ้งเล็กน้อย และหมั่นพลิกหมูบ่อยๆ ให้สุกทั่วกัน ควรย่างให้พอสุกจะได้สะเต๊ะหมูเนื้อนุ่มละมุน (ถ้าย่างนานเกินไปเนื้อจะแห้งหยาบไม่อร่อย) และควรย่างกับเตาถ่านหรือเตาบาบีคิวจะได้กลิ่นหอมอร่อยมากยิ่งขึ้น
  6. จัดหมูสะเต๊ะใส่จานเสิร์ฟ พร้อมกับน้ำจิ้มหมูสะเต๊ะและอาจาด หรือจะทำขนมปังปิ้งร้อนๆ ด้วยก็ยิ่งอิ่มอร่อยมากขึ้น



แนะนำเพิ่มเติม
  • ควรใช้เวลาที่เครื่องหมักหมูอย่างต่ำต้อง 3-5 ชม. ถ้าหมักค้างคืนได้จะยิ่งดี
  • อีกเคล็ดลับของร้านหมูสะเต๊ะชื่อดังคือ การหมักหมูที่ต้องแช่ในถังน้ำแข็งที่ใช้เป็นนำแข็งป่นเท่านั้น ห้ามแช่ช่องฟรีซเด็ดขาด (ซึ่งน่าจะมีส่วนทำให้เนื้อหมูนุ่มยิ่งขึ้น และน้ำหมักดูดซึมเข้าไปในเนื้อหมูได้ดียิ่งขึ้น) …ยังไงถ้ามีโอกาสลองนำไปทำดูนะครับ
  • สูตรนี้นอกจากใช้ทำหมูสะเต๊ะแล้ว ยังสามารถประยุกต์ใช้ทำเนื้อสะเต๊ะ ไก่สะเต๊ะได้ด้วย
  • หมูสะเต๊ะเวลาเสียบไม้ ให้เสียบแบบงูเลื้อยจะดี เนื่องจากเวลาปิ้งออกมาจะดูน่าทาน
  • หมูต้องมีติดมันหน่อยก็จะดี เพราะไม่งั้นปิ้งออกมาจะดูไม่งาม
  • ก่อนที่จะนำไม้หมูสะเต๊ะมาใช้…ควรนำไปแช่น้ำอย่างน้อยซัก 30 นาที หรือแช่น้ำค้างคืนไว้ก่อนยิ่งดี เพื่อไม่ให้ไม้ไหม้หรือดำขณะย่าง และจะทำให้เสียบง่ายขึ้น

อาจาด (สูตรอร่อยเข้มข้นกำลังดี)
สำหรับน้ำจิ้มอาจาดรสอร่อยกำลังดีนั้น รสชาติจะออกเปรี้ยวๆ ตัดด้วยรสหวานและเค็มนิดๆ พร้อมด้วยกลิ่นหอมๆ จากหอมแดง และสีสันจากผักและพริกที่ใส่ลงไป น้ำจิ้มใสๆข้นนิดๆ น่ากินนักเชียว แถมวิธีทำก็ไม่ยาก…สามารถอร่อยได้ง่ายๆกับสูตรดังนี้


เครื่องปรุงและส่วนประกอบ
- น้ำส้มสายชู ½ ถ้วย
- น้ำตาลทราย ¼ ถ้วย (+ 2 ช้อนโต๊ะ) (เพิ่มหรือลดได้นิดหน่อยขึ้นอยู่กับน้ำส้มสายชูที่ใช้)
- น้ำสะอาด ⅓ ถ้วย + 2 ช้อนโต๊ะ
- เกลือป่น 1 ช้อนชา
- แตงกวาเลือกเอาลูกเล็ๆผ่าครึ่ง สไลด์บาง 100 กรัม
- ผักชีเด็ดเป็นใบ สำหรับโรยหน้าเล็กน้อย
- พริกชี้ฟ้าสีแดงหั่นแฉลบบางๆ 1 เม็ด
-พริกชี้ฟ้าสีแดงหั่นแฉลบบางๆ 1 เม็ด
- หอมแดงลอกเปลือก ซอยบางๆ 2 หัว

วิธีทำอาจาด
  1. ใส่น้ำ น้ำตาลทราย น้ำส้มสายชูลงในหม้อ แล้วตั้งไฟเคี่ยวให้น้ำตาลและเกลือละลาย
  2. จากนั้นชิมให้ได้สามรส เปรี้ยว เค็ม หวาน หรือเปรี้ยว หวาน เค็ม แล้วแต่ชอบ
  3. จากนั้นพักไว้ให้เย็นก่อน เวลาจะเสิร์ฟถึงค่อยใส่แตงกวา หอมแดง พริกชี้ฟ้า และผักชี ลงในถ้วย…แล้วตักน้ำที่เคี่ยวไว้ลงไปผสม แล้วน้ำอาจาดเสิร์ฟพร้อมกับสะเต๊ะ และน้ำจิ้มสะเต๊ะ
แนะนำเพิ่มเติม
  • ถ้าจะให้ดีควรจะแยกผักกับน้ำจิ้มอาจาดไว้นะ ถึงเวลาเสิร์ฟแล้วค่อยตักรวมกัน ป้องกันผักเฉาและรักษาความกรอบ จะได้แตงที่กรอบอร่อยกว่า
สำหรับสูตรวิธีทำน้ำจิ้มหมูสะเต๊ะ รสเด็ดๆ อย่างละเอียดสามารถดูได้ที่: 




 

Create Date : 28 พฤศจิกายน 2557    
Last Update : 28 พฤศจิกายน 2557 13:09:05 น.
Counter : 3338 Pageviews.  

นํ้าอัดลม ตัวการสร้างปัญหาสูขภาพฟัน

น้ำอัดลม โซดา ป๊อบ หรือจะเรียกว่าอะไรก็ตาม ผู้คนในแถบอเมริกาเหนือ ใช้คำที่แตกต่างไปในการเรียก น้ำอัดแก๊ซผสมน้ำตาล ไม่ว่าคนจะเรียกมันว่าอย่างไร มันก็คือสิ่งที่ทำให้เกิดปัญหาทางช่องปากที่ร้ายแรงมาก

น้ำอัดลม ได้ปรากฏออกมาในฐานะของอาหารที่เป็นแหล่งสำคัญในการทำให้เกิดอาการฟันผุ ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ในคนทุกวัย กรดและกรดที่เกิดจากน้ำตาลใน น้ำอัดลม จะไปทำให้สารเคลือบฟันอ่อนบางลง ซึ่งส่งผลให้เกิดการก่อตัวของฟันผุ ในกรณีร้ายแรง สารเคลือบฟันที่อ่อนบางลงประกอบกับการแปรงฟันที่ไม่ถูกวิธี จะทำให้เกิดการผุกร่อนของฟัน หรือเกิดอาการอื่นที่สามารถนำไปสู่การสูญเสียฟันได้

เครื่องดื่มที่ไม่มีน้ำตาล ซึ่งคิดเป็น 14% ของการบริโภค น้ำอัดลม เป็นเครื่องดื่มที่ทำอันตรายน้อยกว่า อย่างไรก็ตามเครื่องดื่มเหล่านี้ก็ยังคงมีสภาพเป็นกรด ซึ่งสามารถทำให้เกิดปัญหาได้เช่นกัน

iStock_000011601610_Small

ปริมาณการบริโภคเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

การบริโภค น้ำอัดลม ในสหรัฐอเมริกาเพิ่มปริมาณขึ้นอย่างมากในทุกวัย โดยเฉพาะในวัยเด็ก และวัยรุ่น ปัญหานี้รุนแรงมากจนหน่วยงานด้านสุขภาพหลายหน่วยงาน รวมถึงสมาคมกุมารเวชศาสตร์แห่งสหรัฐอเมริกา ออกประกาศเตือนถึงพิษภัยของการบริโภค น้ำอัดลม

การบริโภค น้ำอัดลม ในสหรัฐอเมริกาเพิ่มปริมาณขึ้นอย่างมากในทุกวัย โดยเฉพาะในวัยเด็ก และวัยรุ่น ปัญหานี้รุนแรงมากจนหน่วยงานด้านสุขภาพหลายหน่วยงาน รวมถึงสมาคมกุมารเวชศาสตร์แห่งสหรัฐอเมริกา ออกประกาศเตือนถึงพิษภัยของการบริโภค น้ำอัดลม

มีเด็กในวัยเรียนจำนวนมากแค่ไหนที่ดื่ม น้ำอัดลม ผลการสำรวจพบว่า 1 ใน 2 หรือ 4 ใน 5 ของเด็กบริโภค น้ำอัดลม อย่างน้อย 1 แก้วต่อวัน และมีเด็กอย่างน้อย 1 ใน 5 ที่บริโภค น้ำอัดลม อย่างน้อย 4 แก้วต่อวัน เด็กบางคนบริโภค น้ำอัดลม เป็นปริมาณถึง 12 แก้วต่อวัน ยิ่งขนาดของแก้วใหญ่แค่ไหนปัญหาก็ยิ่งร้ายแรงมากขึ้น จากขนาด 6.5 ออนซ์ในช่วงปี 1950 กลายเป็นขนาดปกติที่ 20 ออนซ์ในช่วงปี 1990 เด็กเล็กและเด็กวัยรุ่นไม่ได้เป็นกลุ่มเดียวที่มีความเสี่ยง

การดื่ม น้ำอัดลม เป็นเวลานานจะมีผลสะสมต่อสารเคลือบฟัน ยิ่งมีอายุยาวนานมากขึ้น ยิ่งมีโอกาสเสี่ยงในการเกิดปัญหาในช่องปากได้

ควรจะทำอย่างไรดี

เด็กเล็ก เด็กวัยรุ่น และผู้ใหญ่จะได้ประโยชน์จากการลดปริมาณการบริโภค น้ำอัดลม ลง นอกจากนั้นพวกเขายังได้ประโยชน์จากการดูแลรักษาสุขภาพช่องปากที่ดีอีกด้วย ขั้นตอนต่อไปนี้เป็นวิธีง่ายๆ ที่คุณสามารถทำได้

  • บริโภคเครื่องดื่มหลายๆ ประเภท ซื้อเครื่องๆดื่มที่มีส่วนผสมของน้ำตาลน้อยๆเช่น น้ำเปล่า นม และน้ำผลไม้ 100% ไว้ในตู้เย็น ดื่มเครื่องดื่มเหล่านั้นแทน น้ำอัดลม และส่งเสริมให้ลูกๆ ของคุณดื่มเครื่องดื่มเหล่านี้ด้วย
  • ล้างปากด้วยน้ำเปล่า หลังจากดื่ม น้ำอัดลม แล้ว ควรบ้วนปากด้วยน้ำเปล่าเพื่อขจัดสิ่งตกค้างจาก น้ำอัดลม ที่หากปล่อยทิ้งไว้จะสามารถทำให้สารเคลือบฟันกลายเป็นกรดได้
  • ใช้ยาสีฟันที่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์ และใช้น้ำยาบ้วนปาก ฟลูออไรด์ช่วยป้องกันฟันผุ และทำให้สารเคลือบฟันมีความแข็งแรงมากขึ้น ดังนั้นคุณควรแปรงฟันด้วยยาสีฟันที่มีส่วนผสมของสารฟลูออไรด์ อย่างเช่น ยาสีฟันคอลเกตโททอล การบ้วนปากด้วยน้ำยาบ้วนปากที่มีส่วนผสมของสารฟลูออไรด์ก็สามารถช่วยป้องกันได้เช่นกัน ทันตแพทย์อาจแนะนำน้ำยาบ้วนปากที่มีขายตามเคาเตอร์ทั่วๆไป หรืออาจสั่งจ่ายยาที่มีความแรงมากกว่านี้ ขึ้นอยู่กบความร้ายแรงของอาการ ทันตแพทย์อาจจะสั่งจ่ายยาสีฟันที่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์ที่เข็มข้มมากกว่าปกติ
  • เข้ารับการรักษาด้วยฟลูออไรด์แบบมืออาชีพ ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขลักษณะช่องปากของคุณอาจจะใช้ฟลูออไรด์ในรูปแบบที่เป็นโฟม เจล หรือ น้ำยาบ้วนปากก็ได้

น้ำอัดลม เป็นสิ่งที่เลวร้ายต่อฟันของคุณ แต่คุณก็สามารถที่จะลดผลกระทบของ น้ำอัดลม และมีสุขภาพช่องปากที่ดีได้ ด้วยการลดการดื่ม น้ำอัดลม ลง รักษาสุขภาพช่องปากอย่างถูกวิธี และรับคำแนะนำและการรักษาจากทันตแพทย์ และผู้เชี่ยวชาญทางสุขลักษณะ

ขอบคุณที่มาจาก : //www.colgate.co.th




 

Create Date : 28 พฤศจิกายน 2557    
Last Update : 28 พฤศจิกายน 2557 13:06:03 น.
Counter : 952 Pageviews.  

อาหารเหล่านี้ ยิ่งกินยิ่งแก่เร็ว

หนุ่มสาวทุกคนคงไม่มีใครที่มีหน้าตาเกินกว่าอายุเป็นแน่ ใครล่ะจะอยากดู แก่ก่อนวัย นอกจากมลภาวะควัน รังสียูวี หรือปัจจัยต่างๆ ที่ทำให้เกิดอายุผิว แก่ก่อนวัย อาหารที่คุณทานอยู่ทุกวันนี้จริงๆ แล้วก็เป็นสาเหตุที่ทำให้อายุผิวแก่ขึ้นโดยไม่รู้ตัวเช่นกัน

100454160

มาดูดีกว่าว่า อาหารที่ทำให้เรา แก่ก่อนวัย มีอะไรบ้าง

1. น้ำตาล ในปริมาณมากกว่าที่ร่างกายต้องการ ซึ่งอาจมาในรูปแบบของขนม ลูกกวาดหรืออาหารบางชนิด

2. ไวน์ขาว มีฤทธิ์ในการทำลายสารเคลือบฟัน แม้ว่าคุณจะรีบไปแปรงฟันทันทีหลังจากลิ้มรสไวน์ แต่เชื่อได้เลยว่าคุณคงอยากให้รสสัมผัสของไวน์อยู่ในปากสักระยะ และที่สำคัญไวน์ขาวได้ทำลายสารเคลือบฟันไปบางส่วนแล้ว

3. เนื้อย่างเกรียม ความกรอบเกรียมของเนื้อนุ่มๆ คือที่ปราศนาของใครหลายๆ คนแต่จริงๆ แล้วภายใต้ความเกรียมแฝงไปด้วยภัยร้านที่จะไปชะลอการกระตุ้นสารคอลาเจนในร่างกาย ทำให้ผิวหนังดูหย่อนคล้อยเร็วขึ้น

4. อาหารรสเค็ม ไม่จำเป็นเสมอไปว่าอาหารที่ปราศจากการใส่เกลือจะไม่เค็ม โดยปกติร่างกายของคนเรารับรสเค็มได้อยู่ที่ปริมาณ 1 ช้อนชาต่อวัน ฉะนั้นก่อนปรุงอาหารด้วยเกลือทุกครั้งโปรดสังเกตปริมาณความเค็ม

5. น้ำมะนาว แม้ว่าน้ำมะนาวจะมีผลดีต่อร่างกายอยู่มาก แต่ในทางกลับกันน้ำมะนาวกลับทำลายสารเคลือบฟันมากกว่าน้ำผลไม้ประเภทส้มและองุ่น ฉะนั้นทางออกในการลดปริมาณกรดกัดสารเคลือบฟัน คือดูดด้วยหลอดน้ำดื่มทุกครั้ง

ขอบคุณที่มาจาก : //www.womanplusmagazine.com




 

Create Date : 28 พฤศจิกายน 2557    
Last Update : 28 พฤศจิกายน 2557 13:04:12 น.
Counter : 1107 Pageviews.  

ญี่ปุ่นไอเดียเจ๋ง! ผุดโปรเจ็กส์ " The Ocean Spiral" เมืองใต้นํ้าแห่งอนาคต

ญี่ปุ่นผุดโปรเจ็กส์ “The Ocean Spiral” เมืองใต้น้ำแห่งอนาคต

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า บริษัทก่อสร้างของญี่ปุ่นประกาศสร้างเมืองใต้น้ำ ซึ่งจะเป็นเมืองแห่งอนาคตสำหรับประชากรญี่ปุ่น คาดว่าา จะใช้เวลาสร้างประมาณ 15 ปี บริษัท”ชิมิสุ คอร์ปเปเรชั่น”ได้เปิดเผยโมเดลต้นแบบของเมืองใต้น้ำ หรือที่ถูกขนานนามว่า อาณาจักรแอตแลนติคในยุคอนาคต ดินแดนแห่งชุมชน ที่สามารถพึ่งตัวเองได้ ซึ่งมันอาจจะตั้งอยู่บนหรือใต้พื้นน้ำทะเล

ญี่ปุ่นสร้างเมืองใต้น้ำ

ญี่ปุ่นสร้างเมืองใต้น้ำ

เมืองดังกล่าวถูกสร้างขึ้ภายใต้โปรเจ็กส์ “The Ocean Spiral” ลักษณะการก่อสร้างจะเป็นรูปเกลียว หมุน มีเส้นผ่าศูนย์กลางราว 500 เมตร ประกอบไปด้วยโรงแรม แหล่งที่พักอาศัย และย่านศูนย์พาณิชย์ เสาที่เป็นรูปเกีลยวจะเชื่อมต่อกับแหล่งที่พักอาศัยที่กันน้ำแต่ละแหล่งจนถึงชั้นใต้น้ำทะเล และสามารถสร้างพลังงานในรูปแบบของโรงงานผลิตก๊าซมีเธนได้

รายงานระบุว่า นอกจะเป็นเมืองแห่งใหม่แต่โปรเจ็กต์ดังกล่าวยังจะสามารถขุดหาทรัพยากรสินแร่หายากใต้ท้องทะเลได้อีกด้วย คาดว่าประชากร 5 พันคน จะได้อาศัยบนลูกบอลโปร่งแสงปิดผนึกบนยอดเกลียว โดยอยู่เหนือพื้นผิวน้ำเพื่อรับแสงแดด แต่ก็สามารถลดระดับลงมาสู่ใต้คลื่นทะเลได้ หากเกิดสภาะอากาศเลวร้าย ซึ่งเมืองแรกจะใช้เวลาในการก่อสร้าง15 ปี หรือเสร็จราวปี 2030 และใช้เวลา 5 ปีในการสร้างและที่พักย่อยอื่นๆ

เมืองแห่งอนาคต

เมืองแห่งอนาคต

เมืองใต้น้ำแห่งอนาคต

เมืองใต้น้ำแห่งอนาคต

MThai News




 

Create Date : 28 พฤศจิกายน 2557    
Last Update : 28 พฤศจิกายน 2557 13:01:04 น.
Counter : 1176 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  

หนี่งหน่อง
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 33 คน [?]




pub-1485477287124314
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add หนี่งหน่อง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.