อ่านเรื่อยๆ มาเรียง ๆ ทุกวันของ หนี่งหน่อง นะครับ

วิธีเก็บ"ผักชี-รากผักชี"ใช้ได้นานขึ้น

ช่วยถนอม “ผักชี” ไว้โรยหน้า พร้อม “รากผักชี” ประกอบอาหาร ได้นานถึง 20-25 วัน แถมสี-กลิ่นยังคงเดิม


มวลน้ำหลากมาพร้อมภาวะ “ข้าวยากหมากแพง” สิ่งใดที่ประหยัดได้จึงควรประหยัด โดยเฉพาะพืชผักบางชนิด เพียงเพิ่มเคล็ดลับน้อยนิด ก็มีใช้ได้นานหลายสัปดาห์ อย่างเช่น “ผักชี และรากผักชี” แม้ไม่ใส่...ไม่เป็นไร แต่ส่งผลให้อาหารขาดความอร่อยไปเยอะ มาดูวิธีถนอม ทำง่าย ๆ ดังนี้

นำ “ผักชี” มาเด็ดแยกใบอ่อน และราก ล้างให้สะอาด จากนั้น แช่น้ำเพิ่มความสดชื่นประมาณ 5 นาที แล้วใส่ตะกร้าผึ่งสักครู่ ระหว่างนั้น เตรียมกล่องพลาสติกใส่อาหารไว้ รองก้นกล่องด้วยทิชชูอย่างหนาที่ใช้สำหรับงานครัว วางใบอ่อนผักชีลงไป ปิดฝา เก็บแช่ตู้เย็นชั้นผัก

สำหรับวิธียืดอายุ “รากผักชี” ให้นำไปตากแดดจนแห้ง แล้วนำไปปั่นให้ละเอียดพร้อมกระเทียม เกลือ และพริกไทยเล็กน้อย จากนั้น นำไปผัดกับน้ำมันนิดหน่อย เสร็จแล้วทิ้งให้เย็น จากนั้น เก็บใส่ถุงซิปล็อค เกลี่ยให้บาง แช่แข็ง เมื่อจะหมัก หรือปรุงอาหาร ก็สามารถหยิบใช้ได้ทันใจ

เท่านี้ก็จะมี “ผักชี” โรยหน้า พร้อม “รากผักชี” ประกอบอาหาร ได้นาน 20-25 วันเลยทีเดียว อีกทั้งสี และกลิ่นยังคงเดิม.

ทีมเดลินิวส์ออนไลน์

ที่มา หนังสือพิมพ์เดลินิวส์




 

Create Date : 23 ธันวาคม 2557    
Last Update : 23 ธันวาคม 2557 9:18:33 น.
Counter : 1072 Pageviews.  

ข้าวเกรียบปากหม้ออัญชันไส้เต้าหุ้หมูสับ แป้งเหนืยวนุ่ม สีสดใส

นี่

ข้าวเกรียบปากหม้ออัญชันไส้เต้าหู้หมูสับ แป้งเหนียวนุ่ม สีสันสดใส
ข้าวเกรียบปากหม้ออัญชันไส้เต้าหู้หมูสับ แป้งเหนียวนุ่ม สีสันสดใส

เกริ่นนำโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณเนินน้ำ

เชื่อว่าข้าวเกรียบปากหม้อใคร ๆ ก็เคยกิน แต่วันนี้จะมาเพิ่มสีสันให้สวยขึ้นด้วยดอกอัญชัน แถมเปลี่ยนไส้เป็นเต้าหู้หมูสับ อร่อยกว่า และดีต่อสุขภาพมากกว่า

          ข้าวเกรียบปากหม้ออัญชันไส้เต้าหู้หมูสับ สูตรเด็ดจาก คุณเนินน้ำ ที่นอกจากจะมีสีม่วงสดใสชวนหม่ำแล้ว ยังเปลี่ยนจากไส้หวานที่เราเคยกินกันทั่ว ๆ ไปเป็นไส้ไส้เต้าหู้หมูสับ อร่อยกว่า ได้ประโยชน์มากกว่า แถมยังควงคู่มากับน้ำจิ้มแซ่บ ๆ อีกด้วย แคะไปกินไป สนุกสนานกันถ้วนหน้า

ส่วนผสม "แป้งข้าวเกรียบปากหม้อ"

น้ำดอกอัญชัน 1/3 ถ้วย

แป้งข้าวเจ้า 1 ถ้วย

แป้งมัน 1/2 ถ้วย

น้ำ 1 ถ้วย

ส่วนผสม "น้ำจิ้ม"

น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วย

ซีอิ๊วดำหวาน 1/8 ถ้วย

น้ำส้มสายชู 1/4 ถ้วย

เกลือสมุทร 1 ช้อนชา

น้ำ 1/8 ถ้วย

พริกขี้หนูสดบด 1/2 ช้อนโต๊ะ

ส่วนผสม "ไส้เต้าหู้หมูสับ"

น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ

กระเทียมสับ 1/2 ช้อนโต๊ะ

หอมใหญ่สับ 1/2 หัว

หมูสับ 100 กรัม

เต้าหู้ขาวแข็ง หั่นสี่เหลี่ยมเล็ก 1 ก้อน

ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนโต๊ะ

เกลือสมุทร 1/2 ช้อนชา

พริกไทยดำป่น 1 ช้อนชา

น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา

ต้นหอมซอย 1/2 ถ้วย

วิธีทำ

ข้าวเกรียบปากหม้ออัญชันไส้เต้าหู้หมูสับ แป้งเหนียวนุ่ม สีสันสดใส

ทำน้ำดอกอัญชันโดยใส่น้ำร้อนลงในดอกอัญชันแล้วกรองเอาเศษออก บีบน้ำมะนาวลงไปเล็กน้อยเพื่อให้เป็นสีม่วงคราม 

ผสมแป้งข้าวเจ้าและแป้งมันลงอ่างผสม ค่อย ๆ เทน้ำและน้ำดอกอัญชันลงไป คนผสมให้เข้ากันดี

ข้าวเกรียบปากหม้ออัญชันไส้เต้าหู้หมูสับ แป้งเหนียวนุ่ม สีสันสดใส

ทำน้ำจิ้มโดยเคี่ยวน้ำตาลทรายกับซีอิ๊วดำหวาน น้ำส้มสายชู เกลือ และน้ำเข้าด้วยกันในหม้อจนละลาย
ปิดไฟ พักไว้พออุ่นแล้วใส่พริกขี้หนูและกระเทียมลงไป

ข้าวเกรียบปากหม้ออัญชันไส้เต้าหู้หมูสับ แป้งเหนียวนุ่ม สีสันสดใส

ข้าวเกรียบปากหม้ออัญชันไส้เต้าหู้หมูสับ แป้งเหนียวนุ่ม สีสันสดใส

ทำไส้โดยใส่น้ำมันลงในกระทะ นำขึ้นตั้งไฟกลาง ใส่กระเทียมและหอมใหญ่ลงผัดพอเหลืองหอม

ใส่หมูสับลงผัดให้สุก

ตามด้วยเต้าหู้ ผัดให้เข้ากัน ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาว เกลือ พริกไทยดำ และน้ำตาลทรายลงผัดให้ทั่ว
          .
สุดท้ายใส่ต้นหอมลงผัดให้สุก

ข้าวเกรียบปากหม้ออัญชันไส้เต้าหู้หมูสับ แป้งเหนียวนุ่ม สีสันสดใส

ข้าวเกรียบปากหม้ออัญชันไส้เต้าหู้หมูสับ แป้งเหนียวนุ่ม สีสันสดใส

เตรียมหม้อคอคอด ใส่น้ำลงไป 2/3 ของหม้อ ขึงผ้าโทเร มัดด้วยยางให้แน่น และดึงให้ตึง เจาะรูริมผ้าเล็กน้อยพอให้ไอน้ำออกได้แล้วยกขึ้นตั้งบนไฟกลาง ปิดฝาครอบ ต้มจนน้ำเดือด

ตักแป้งละเลงลงบนปากหม้อเป็นแผ่นบาง ๆ ปิดฝาครอบไว้นานประมาณ 10 วินาที

เปิดฝาตักส่วนผสมไส้ใส่ลงไปแล้วใช้พายยางจุ่มน้ำปาดแป้งขึ้นมาหุ้มไส้ ตักใส่จานที่มีน้ำมันเล็กน้อย

ข้าวเกรียบปากหม้ออัญชันไส้เต้าหู้หมูสับ แป้งเหนียวนุ่ม สีสันสดใส

จัดใส่จาน โรยหน้าด้วยกระเทียมเจียว ตกแต่งด้วยผักชี เสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้ม

ข้าวเกรียบปากหม้ออัญชันไส้เต้าหู้หมูสับ แป้งเหนียวนุ่ม สีสันสดใส

ข้าวเกรียบปากหม้ออัญชันไส้เต้าหู้หมูสับ แป้งเหนียวนุ่ม สีสันสดใส

ข้าวเกรียบปากหม้ออัญชันไส้เต้าหู้หมูสับ แป้งเหนียวนุ่ม สีสันสดใส

  ปากหม้ออัญชันไส้เต้าหู้หมูสับพร้อมเสิร์ฟแล้วจ้า... น่ากินสุด ๆ ไปเลยจ้าาาาาา




 

Create Date : 22 ธันวาคม 2557    
Last Update : 22 ธันวาคม 2557 9:27:41 น.
Counter : 3101 Pageviews.  

ตาบอดเนื้อตาย ภัยร้ายจาก ฟิลเลอร์

การใช้ สารเติมเต็ม หรือ ฟิลเลอร์ สำหรับรักษาปัญหาผิวพรรณนั้น ใช้หลักการ คือ ผิวหนังซึ่งจะมีส่วนประกอบหลักที่สำคัญคือใยคอลลาเจน มีหน้าที่สำคัญโดยเป็นองค์ประกอบที่ให้ความแข็งแรงและความยืดหยุ่นแก่ผิว หนัง ทำให้ผิวพรรณมีรูปทรงเต่งตึง แต่เมื่อเวลาผ่านไปเข้าสู่วัยชรา พบว่าใยคอลลาเจนจะค่อย ๆ มีจำนวนลดน้อยลง มีผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ผิวหนังจะมีลักษณะบางลง เกิดริ้วรอยริ้วรอยเหี่ยวย่น เพื่อแก้ไขภาวะดังกล่าวจึงมีความพยายามหาทางแก้ไขโดยการฉีดสารจากภายนอกเข้า ไปในผิวหนังเพื่อทดแทนใยคอลลาเจนที่สลายไปหรือที่เรียกกันทั่วไปว่า “ฟิลเลอร์”

177518186

ชนิดของ ฟิลเลอร์

ฟิลเลอร์ แบ่งออกเป็นหลายรูปแบบ ได้แก่

  1. แบบชั่วคราว (temporary filler) มีอายุใช้งานประมาณ 4 – 6 เดือน แต่มีความปลอดภัยสูง สลายตัวได้เองตามธรรมชาติ เช่น กรดไฮยาลูโรนิก (hyaluronic acid, HA)
  2. แบบกึ่งถาวร (semi permanent filler) มีอายุใช้งานประมาณ 2 ปี มีความปลอดภัยปานกลาง
  3. แบบถาวร (permanent filler) เช่น ซิลิโคน หรือ พาราฟิน หลังฉีดแล้วจะอยู่ในผิวตลอดไป ไม่สลายตามธรรมชาติ มักพบผลข้างเคียงระยะยาว

ฟิลเลอร์ที่ใช้ฉีด เข้าใต้ผิว เพื่อเพิ่มปริมาตรของใบหน้า ทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ หรือเพื่อลดริ้วรอยบนใบหน้าชนิดที่เป็นร่องลึกนิยมใช้ที่สุดในปัจจุบันคือ กรดไฮยาลูโรนิก เนื่องจากมีคุณสมบัติเฉื่อย ไม่ทำให้เกิดการแพ้ มีความคงตัว และอยู่ในร่างกายได้เป็นเวลานาน อีกทั้งยังสามารถเสื่อมสลายไปเอง ไม่เกิดปัญหาสะสมในร่างกาย

ในประเทศไทยมีเพียงกรดไฮยาลูโรนิกเท่านั้น ที่ผ่านการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ให้ใช้ได้อย่างปลอดภัย

คุณสมบัติของ ฟิลเลอร์

กรดไฮยาลูโรนิกที่ใช้ เป็นสารเติมเต็มจะขึ้นอยู่กับความเข้มข้น ขนาดโมเลกุล โครงสร้าง และความแข็งของสาร สารที่มีขนาดของโมเลกุลเล็กจะเหมาะกับการใช้รักษาริ้วรอยตื้น ๆ และคงอยู่ในร่างกายได้นานประมาณ 6 เดือน ในขณะที่สารที่มีขนาดของโมเลกุลใหญ่จะใช้สำหรับการเพิ่มปริมาตรของใบหน้า และการรักษาริ้วรอยหรือร่องขนาดลึก ซึ่งจะคงอยู่ในร่างกายได้นาน 6-12 เดือน ริ้วรอยที่นิยมใช้การฉีดสารเติมเต็มเพื่อรักษา เช่น รอยย่นบริเวณหว่างคิ้ว รอยตีนกา และรอยย่นบนหน้าผาก สารเติมเต็มยังสามารถเพิ่มปริมาตรของใบหน้าบริเวณแก้ม ร่องแก้ม และบริเวณอื่น ๆ ได้ด้วย

ข้อชี้บ่งของ ฟิลเลอร์

สำหรับการรักษาปัญหา ผิวพรรณในปัจจุบัน ฟิลเลอร์จะถูกนำมาใช้รักษาทางการแพทย์อย่างแพร่หลาย เราสามารถใช้ฟิลเลอร์กับการรักษาปัญหาผิวพรรณได้โดยการแก้ไขปัญหาริ้วรอยของ ผิวอันเนื่องมาจากวัย เช่น ริ้วรอยบริเวณหน้าผาก หางตา และร่องแก้มโดยการฉีด ฟิลเลอร์จะสามารถเติมเต็มใยคอลลาเจนที่หายไป ทำให้ริ้วรอยบริเวณดังกล่าวตื้นขึ้น สภาพผิวดูดีขึ้น การแก้ไขปัญหาแผลเป็นชนิดผิวบุ๋ม เช่น การเกิดแผลบุ๋มจากสิวอักเสบ เป็นต้น กรณีดังกล่าวนี้ สามารถใช้ฟิลเลอร์เติมเต็มทำให้แผลบุ๋มดีขึ้น อย่างไรก็ตามต้องเลือกชนิดแผลผิวบุ๋มที่เหมาะสมต่อการรักษา โดยแผลนั้นต้องไม่มีพังผืดในบริเวณใต้แผลบุ๋ม มิฉะนั้นผลการรักษาจะไม่ดีเท่าที่ควร และการใช้ฟิลเลอร์ฉีดเพื่อเสริมเนื้อเยื่อผิวหนังให้มีลักษณะนูนเต็มขึ้น กว่าเดิม (augmentation) เช่น เสริมจมูก เสริมคาง ริมฝีปาก หรือฉีดเพื่อทำให้รูปทรงของหน้าดูอวบอิ่มกว่าเดิม

ผลข้างเคียงของ ฟิลเลอร์

ผลข้างเคียงที่อาจเกิดจากการฉีดฟิลเลอร์แบ่งออกได้เป็นหลายประเภท ได้แก่

  1. เกิดผื่นแดงบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ หรือรอยช้ำบริเวณฉีดซึ่งหายได้เอง
  2. การเกิดรอยนูน หรือผิวไม่เรียบเนื่องจากเทคนิคการฉีดที่ตื้นเกินไป หรือเลือกใช้ฟิลเลอร์ที่มีขนาดโมเลกุลไม่เหมาะสม และอาการแพ้กรดไฮยาลูโรนิก ซึ่งขึ้นอยู่กับปฎิกิริยาของร่างกายผู้ได้รับการฉีดเอง
  3. เกิดปัญหาการเคลื่อนย้าย (migration) เช่น ฉีดดั้งจมูกแล้วฟิลเลอร์เคลื่อนไหลไปที่ปลายจมูก ดังนั้นถ้าต้องการฉีดฟิลเลอร์เพื่อเสริมคางหรือจมูก ต้องเลือกฟิลเลอร์ที่มีขนาดโมเลกุลใหญ่ เพื่อให้ฟิลเลอร์ชนิดนั้นมีความหนืดเพิ่มมากขึ้น ช่วยลดปัญหาการเคลื่อนย้ายจากบริเวณที่ฉีด และทำให้มีอายุใช้งานได้ยาวนานขึ้นอีกด้วย
  4. อาการแพ้สารฟิลเลอร์ที่ให้ลักษณะเป็นก้อนนูนแดงอักเสบ อาการแพ้ชนิดนี้บางครั้งอาจพบได้ภายหลังการฉีดฟิลเลอร์ผ่านพ้นไปแล้วเป็น เวลาหลาย ๆ เดือนหรือเป็นปี ๆ ทั้งนี้ขึ้นกับอายุใช้งานของฟิลเลอร์ชนิดนั้นๆ
  5. การที่ฉีดฟิลเลอร์ผิดตำแหน่งโดยฉีดเข้าไปในหลอดเลือด อาจทำให้เกิดการอุดตันของหลอดเลือดได้ ทำให้เกิดเนื้อตายบริเวณที่เส้นเลือดนั้นมาเลี้ยง หรือฉีดฟิลเลอร์แล้วเกิดตาบอด เนื่องมาจากฟิลเลอร์ที่ฉีดเกิดไปอุดตันหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงจอประสาทตา มีผลทำให้สูญเสียการมองเห็นได้ ซึ่งขณะนี้พบในประเทศไทยและต่างประเทศแล้ว

ปัจจุบันมีวารสารทาง การแพทย์อย่างน้อย 41 เรื่อง รายงานผู้ป่วยรวมถึง 61 ราย ที่เกิดผลข้างเคียงอย่างรุนแรงหลังการฉีดสารเติมเต็ม โดยตำแหน่งที่ฉีดแล้วทำให้เกิดเนื้อตายได้บ่อยที่สุดคือ จมูก (33.3%) และร่องแก้ม (31.2%) และตำแหน่งที่ฉีดแล้วทำให้เกิดตาบอดได้บ่อยที่สุดคือ หว่างคิ้ว (58.3%)และร่องแก้ม (33.3%)จากวารสารทางการแพทย์พบมีรายงานผู้ป่วยตาบอดจากการฉีดฟิลเลอร์ใน ประเทศเกาหลี 44 ราย และในสหรัฐอเมริกา 3 ราย ในประเทศไทยไม่เคยมีรายงานในวารสารทางการแพทย์ แต่มีการยืนยันผู้ป่วยแล้ว 8 ราย

156621161

ข้อควรระวัง

ข้อควรระวังสำหรับการเลือกใช้สารเติมเต็มเพื่อความสวยงาม คือ

  1. ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางก่อนทุกครั้ง
  2. เลือกใช้บริการกับคลินิกที่มีมาตรฐานและได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการสถานพยาบาล (ตามพระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ. 2541 และ กฎกระทรวงว่าด้วยการประกอบกิจการสถานพยาบาล พ.ศ. 2545) อย่างถูกต้อง
  3. ไม่ควรใช้สารอื่น ๆ ที่ไม่แน่ใจในมาตรฐานและความปลอดภัยมาฉีดเป็นอันขาด

คำเตือน

ขอเตือนผู้ที่อยากมาฉีดสารเติมเต็มโดยเฉพาะการฉีดเสริมดั้งจมูกหรือในส่วน อื่น ๆ ของร่างกาย ขอให้พิจารณาศึกษาหาข้อมูล ทั้งสถานที่ที่จะรับบริการ สารที่แพทย์จะฉีดให้ และตัวแพทย์ที่ฉีดด้วย ถึงแม้ว่าผลข้างเคียงที่ร้ายแรงพบได้ไม่บ่อย แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วมีอันตรายมาก และแม้ว่าสารที่ฉีดได้มาตรฐานผ่านการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ใช้เครื่องมืออุปกรณ์การฉีดที่ได้มาตรฐาน แต่ผู้ที่ฉีดขาดความชำนาญ หรือแม้กระทั่งผู้ที่มีความชำนาญฉีดถูกต้องตามหลักวิชาทุกประการ แต่ผู้รับบริการที่ลักษณะทางกายวิภาคผิดไปจากที่ควร (เช่น อาจได้รับอุบัติเหตุมีพังพืด หรือเคยเสริมจมูกมาแล้ว) หรือเป็นความแปรผันของเส้นเลือดที่แต่ละคนไม่เหมือนกัน ก็เป็นสาเหตุของผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายได้

ในประเทศไทยได้จัด ประเภทของสารเติมเต็มหรือฟิลเลอร์ไว้เป็นยา การนำเข้าต้องผ่านการขึ้นทะเบียนกับสำนักยา สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ซึ่งได้รับเพียงไม่กี่ชนิด ซึ่งฟิลเลอร์ทั้งหมดที่ผ่านการรับรองจาก อย. ในปัจจุบันจะเป็นกรดไฮยาลูโรนิกทั้งสิ้น โดยสามารถตรวจสอบข้อมูลของสารเติมเต็มที่ได้ อย. หรือที่เว็บไซต์ //fdaolap.fda.moph.go.th/logistics/drgdrug/DSerch.asp?id=drug สารเติมเต็มนอกเหนือจากนี้ ถือเป็นสารเติมเต็มที่ผิดกฎหมาย

การฉีดสารเติมเต็ม ต้องฉีดโดยแพทย์เท่านั้น

คำแนะนำ

การฉีดสารเติมเต็ม ควรฉีดในสถานพยาบาลที่มีอุปกรณ์พร้อม มีความสะอาด และได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการสถานพยาบาล จากสำนักสถานพยาบาลและการประกอบโรคศิลปะ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข โดยต้องตรวจสอบหลักฐานสำคัญ เช่น

  1. ใบอนุญาตให้ประกอบกิจการสถานพยาบาล
  2. ต้องมีรูปถ่ายติดไว้ที่ใบอนุญาตให้ประกอบกิจการสถานพยาบาลให้เห็นอย่างชัดเจน และ
  3. แพทย์ที่ให้การตรวจรักษาจะต้องตรงกับรูปถ่ายที่ติดไว้หน้าห้องตรวจในคลินิก
หากเข้าไปใช้บริการแล้วไม่พบหลักฐานดังกล่าว หรือไม่ครบถ้วน ขอให้สงสัยว่าอาจเป็นสถานพยาบาลเถื่อน ให้แจ้งที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ หรือที่สายด่วนคุ้มครองผู้รับบริการสุขภาพ โทร.0-2193-7999 ตลอด 24 ชั่วโมงหากมีข้อสงสัยติดต่อสอบถามที่ สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย โทร. 02-716-6857 เว็บไซต์ www.dst.or.th หรืออีเมล์ contact@dst.or.th
ขอบคุณที่มาจาก : สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประทศไทย
 รศ. พญ. รังสิมา วณิชภักดีเดชา
ภาควิชาตจวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
c b Sushada.ch Z วิธีรักษาสุขภาพ




 

Create Date : 22 ธันวาคม 2557    
Last Update : 22 ธันวาคม 2557 9:23:18 น.
Counter : 1051 Pageviews.  

นักข่าวดัง สวนกระแส อวยอย่างเดืยวคงไม่พอ อีกไกลบอลไทยไปบอลโลก

นักข่าวดัง สวนกระแส อวยอย่างเดียวคงไม่พอ อีกไกลบอลไทยไปบอลโลก

ชาวสังคมออนไลน์วิพากษ์วิจารณ์กรณีที่ นายประวิตร โรจนพฤกษ์ นักข่าวอาวุโสของหนังสือพิมพ์ เดอะ เนชั่น ได้โพสต์ข้อความผ่านทวิตเตอร์เกี่ยวกับการเชียร์ฟุตบอลทีมชาติไทย นัดเมื่อคืนที่ผ่านมา นัดชิงชนะเลิศระหว่างมาเลเซียและทีมชาติไทย ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ โดยทวิตเตอร์ดังกล่าวระบุว่า

3-vert

“…. กีฬาสามารถดึงเอาด้านดีและด้านชั่วที่สุดของมนุษย์ออกมาได้  ความคลั่งไม่เข้าใครออกใคร จำไว้ชีวิตนี้อย่ายอมตกเป็นประชาชนเซื่องๆที่คิดอะไรเองไม่เป็นตามกระแสไปวันๆ จงพร้อมที่จะสวนกระแสถ้ากระแสนั้นทำให้คุณอาจไม่ต่างจากซอมบี้ที่คิดเองไม่เป็น การเชียร์กีฬาอาจทำให้การใช้ตรรกะเสื่อมลงอย่างฮวบฮาบได้ ควรเชียร์แต่พอประมาณและใช้สติในการรับชม…”

“…. ถ้าผมดันเกิดเป็นมาเลย์ วันนี้ผมก็คงเชียร์บอลทีมชาติมาเลย์ มันเรื่องบังเอิญแค่นั้นเอง  ถ้าคุณดีใจกับการที่ทีมที่ดีที่สุดชนะได้ ไม่ว่าทีมนั้นจะชนะทีมชาติคุณหรือไม่ ถือได้ว่าคุณก้าวข้ามชาตินิยมแบบแคบๆได้ระดับหนึ่ง ผมบังเอิญเกิดเป็นคนไทย นั่นมิได้หมายความว่าผมไม่รักชาติ ผมรักแผ่นดินเกิด แต่ก็เข้าใจว่ามันเป็นสิ่งบังเอิญเลือกเองไม่ได้  ขอแสดงความดีใจกับทีมชาติไทย แต่ก็ยังยืนยันว่าอีกไกลกว่าจะถึงบอลโลก การอวยอย่างเดียวไม่ช่วยอะไร เสรีภาพสังคมไทยขึ้นอยู่กับความเป็นไทยแบบที่ทุกคนไม่จำเป็นต้องคิดเหมือนๆกันในทุกๆเรื่องหากมีขันติต่อกันและกัน…”

ทั้งนี้หลังจากโพสทวิตเตอร์ดังกล่าว สร้างความไม่พอใจให้กับชาวสังคมออนไลน์หลายคนโดยได้มีการตอบทวิตกลับนายประวิตรไปด้วยถ้อยคำรุนแรง ซึ่งนายประวิตรได้ตอบกลับไปว่าขออภัยในความไม่สะดวก ตนกำลังสร้างพื้นที่สำหรับความเห็นต่างอย่างแท้จริงในสังคมไทย

MThai News

: , , , , ,
อ่านแล้ว : 43485 ครั้ง
ติดต่อทีมข่าว : news@mthai.com




 

Create Date : 22 ธันวาคม 2557    
Last Update : 22 ธันวาคม 2557 9:19:53 น.
Counter : 1070 Pageviews.  

เรื่อง ของหมากรุก

หมากรุก เป็นเกมกระดานชนิดหนึ่ง มีลักษณะจำลองจากการสงคราม ใช้เล่นระหว่างผู้เล่น 2 คน แต่ละฝ่ายต้องพยายามรุกจนขุนของอีกฝ่ายให้ได้ โดยกติกาและตัวหมากอื่นๆ จะแตกต่างกันแล้วแต่ชนิดของหมากรุก

ประวัติหมากรุก

        การเล่นหมากรุกปรากฏในประเทศอินเดียมาหลายพันปี ชาวอินเดียอ้างว่าหมากรุกเกิดขึ้นเมื่อครั้งพระรามไปล้อมเมืองลงกา นางมณโฑเห็นทศกัณฐ์เป็นกังวลกับการสงคราม จึงได้นำกระบวนสงครามตั้งทำเป็นหมากรุกขึ้นให้ทศกัณฐ์เล่นแก้รำคาญ ชาวอินเดียเรียกหมากรุกว่า "จัตุรงค์" เพราะเหตุที่นำกระบวรพล ๔ เหล่าทำเป็นตัวหมากรุก คือ พลช้าง 1 พลม้า 1 พลเรือ 1 พลราบ (เบี้ย) 1 มีพระราชา (ขุน) เป็นจอมทัพ ตั้งเล่นบนแผ่นกระดานจัดขึ้นเป็นตาราง 64 ช่อง วิธีเล่นหมากรุกเดิมที่เรียกว่าจัตุรงค์นั้น ไม่เหมือนอย่างที่เล่นกันในปัจจุบัน มีอธิบายอยู่ในหนังสือมหาภารตะว่า เป็นตัวหมากรุก 4 ชุด แต้มสีต่างกัน สีแดงชุดหนึ่ง สีเขียวชุดหนึ่ง สีเหลืองชุดหนึ่ง สีดำชุดหนึ่ง ในชุดหนึ่งนั้น ตัวหมากรุกมีขุน 1 ตัว ช้าง (โคน) 1 ตัว ม้า 1 ตัว เรือ 1 ตัว เบี้ย 4 ตัว รวมเป็นหมากรุก 8 ตัว สมมติว่าเป็นกองทัพของประเทศหนึ่ง ชุดทางขวามือสมมติว่าอยู่ประเทศทางตะวันออก พวกทางซ้ายมือว่าอยู่ประเทศตะวันตก ชุดข้างบนอยู่ประเทศทางทิศเหนือ ชุดข้างล่างอยู่ประเทศทิศใต้ คนเล่น 4 คนต่างถือหมากรุกคนละชุด แต่การเล่นนั้น พวกที่อยู่ทแยงมุมกัน เป็นสัมพันธมิตรช่วยกันรบกับอีกฝ่ายหนึ่ง ลักษณะเดินตัวหมากรุกอย่างจัตุรงค์นั้น ขุน ม้า เบี้ย เดินอย่างกับหมากรุกที่เราเล่นกัน แต่ช้างเดินอย่างเราเดินเรือกันทุกวันนี้ ส่วนเรือนั้นเดินทแยง (อย่างเม็ด) แต่ให้ข้ามตาใกล้เสีย 1 ตา แต่การที่จะเดินต้องใช้ทอดลูกบาต ลูกบาตนั้นทำเป็นสี่เหลี่ยมแท่งยาวๆ มี 4 ด้าน 2 แต้มด้านหนึ่ง 3 แต้มด้านหนึ่ง 4 แต้มด้านหนึ่ง 5 แต้มด้านหนึ่ง คนเล่นจะทอดลูกบาตเวียนกันไป ถ้าทอดได้แต้ม 5 บังคับเดินขุนหรือเบี้ย ถ้าทอดได้แต้ม 4 ต้องเดินช้าง ถ้าทอดได้แต้ม 3 ต้องเดินม้า ถ้าทอดได้แต้ม 2 ต้องเดินเรือ ต่อมา ราว พ.ศ.200 มีมหาอำมาตย์คนหนึ่งชื่อ สัสสะ ได้นำการเล่นจตุรงค์มาคิดดัดแปลงให้เล่นได้ 2 คน และเลิกวิธีทอดลูกบาต ให้เดินแต้มโดยใช้ปัญญาความคิดเอาชนะกัน เช่นเดียวกับอุบายการสงคราม

ภาพ:Champs2.jpg


กระบวนหมากรุก ที่ว่า มหาอำมาตย์สัสสะ คิดถวายใหม่นั้น คือรวมตัวหมากรุกซึ่งเดิมเป็น 4 พวกนั้นให้เป็นแต่ 2 พวก ตั้งเรียงฝ่ายละฟากกระดาน (เช่นเดียวกับหมากรุกที่เราเล่นกันทุกวันนี้) เมื่อจัดเป็นกระบวนเป็น 2 ฝ่าย จะมีพระราชาฝ่ายละ 2 องค์ไม่ได้ จึงลดขุนเสีย 1 ตัว คิดเป็นตัวมนตรี (เม็ด) ขึ้นมาแทน หมากรุกอย่างที่มหาอำมาตย์สัสสะคิดแก้ไขนี้ ต่อมาแพร่หลายไปถึงนานาประเทศ ชาวประเทศอื่นจึงได้คิดดัดแปลงแก้ไขตามนิยมกันในประเทศนั้นอีกชั้นหนึ่ง หมากรุกที่เล่นในนานาประเทศทุกวันนี้จึงผิดเพี้ยนกันไปบ้าง แต่เค้ามูลยังเป็นแบบเดียวกัน เพราะต้นแบบแผนได้มาจากอินเดียเช่นเดียวกัน

หมากรุกรุ่นแรกของโลก

        มีการบันทึกทางประวัติศาสตร์ไว้ว่าหมากรุกรุ่นแรกของโลกเป็นเกม 4 กองทัพระหว่าง 4 ผู้เล่น ซึ่งหมายถึงว่าจะต้องมีตัวหมาก 4 ชุด แม้จนถึงปัจจุบันก็ยังมีการใช้ชื่อของหมากรุกรุ่นแรก คือ Chatrang (เป็นสันสกฤตตรงกับคำว่า "จตุรงค์") โดยคำว่า จตุร แปลว่า สี่ และ รงค์ แปลว่าสี หรือ ฝ่าย

ภาพ:Set4Chaturanga.jpg
จาตุรงค์ หรือ Chatrang เป็นหมากรุกรุ่นแรกของโลก ซึ่งแบ่งออกเป็น 4 สี 4 ฝ่าย เล่นโดยใช้ลูกเต๋า เป็นตัวกำหนดหมากที่จะเดิน


        ชื่อ Chatrang เท่าที่พบก็มีวรรณกรรมสมัยราชวงศ์ Sasanid(242-651) แห่งเปอร์เซีย เขียนขึ้นด้วยภาษาปาลาวีชื่อ Chatrang namakwor(A Manual of Chess) มาถึงเปอร์เซียยุคใหม่ก็ใช้ชื่อซึ่งแทบจะไม่แตกต่างคือ Shatranj คำนี้มีการวิเคราะห์ถกเถียงกันด้วยความเห็นที่แตกต่าง บ้างก็ว่าน่าจะมาจากความเชื่อในยุคอินเดียโบราณในเรื่องธาตุทั้ง 4 คือ ดิน, น้ำ, ลม, ไฟ แต่บ้างก็ว่าอาจจะมาจากฤดูทั้ง 4 และก็ยังมีการกล่าวถึงทฤษฎีอารมณ์ทั้ง 4 คือ รัก, โลภ, โกรธ, หลง แต่ก็ล้วนใช้เลข 4 เป็นกุญแจหลักทั้งสิ้น

        คำว่า Chess (หมากรุก) มาจากคำว่า Shah(King)ในภาษาเปอร์เซีย และ Checkmate(รุกจน) ก็มาจากคำว่า Shah mat (King died)

        ตัวหมากทั้งหมดที่ยังมีใช้อยู่ในหมากรุกหลากหลายชนิดของโลกจนถึงปัจจุบัน ประกอบด้วย

        เป็นที่น่าสังเกตุว่าไม่ว่าจะเป็นชื่อตัวหมาก หรือวิธีการเดินหมากแทบจะไม่แตกต่างจากยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะหมากรุกไทย (ส่วน Elephant เดินเหมือน เฉีย หรือช้างของหมากรุกจีน)

  • King (ขุน)
  • Queen (เม็ด)
  • Bishop (ช้าง)
  • Knight (ม้า)
  • Rook (เรือ)
  • Pawn (เบี้ย)

หมากรุกไทย

        หมากรุกไทย เป็นเกมกระดานที่พัฒนามาจากหมากรุกของอินเดียที่ชื่อเกมว่า จตุรงค์ ลักษณะการเล่นเกมใกล้เคียงกับหมากรุกฝรั่ง นอกจากนี้ในประเทศกัมพูชามีเกมหมากรุก ซึ่งมีลักษณะใกล้เคียงกับหมากรุกไทยนิยมเล่นกันอย่างแพร่หลาย

ภาพ: ตารางหมากรุกไทย.jpg
ตารางหมากรุกไทยตอนเริ่มเล่น

        หมากรุกไทย มีประวัติเริ่มในอินเดีย โดยมาจากตำนานของรามเกียรติ์ ตามตำนานกล่าวว่า ฝ่ายทศกัณฐ์นั้น เมื่อมีศึกเข้าประชิด นางมณโฑ มเหสีของทศกัณฐ์ เห็นทศกัณฐ์เครียดกับการศึกจึงคิดหาเกมให้สวามีได้ผ่อนคลาย โดยคิดเป็นเกมหมากรุกขึ้น โดยแต่เดิมใช้คนเล่น 4 คน เรียกว่า จตุรงค์ แต่ในภายหลังได้รับการปรับปรุงจนสามารถใช้ผู้เล่นเพียง 2 คนได้

ตัวหมากรุก

ขุน เป็นตัวหมากรุกที่สำคัญที่สุด มีการเดินและกินไปในทิศทางรอบตัวได้ แต่ไม่สามารถเดินเข้าไปในตากินของฝ่ายตรงข้ามได้ เม็ด มีการเดินและกินไปในแนวทแยงทั้ง 4 ด้าน โคน มีการเดินและกินไปในแนวทแยงทั้ง 4 ด้านและเดินไปทางข้างหน้า ม้า มีการเดินและกินเป็นรูปตัว L ในทิศทางรอบตัว สามารถข้ามหมากตัวอื่นได้ เรือ มีการเดินและกินไปในแนวตั้ง-แนวนอน ระยะยาว ไม่สามารถเดินข้ามตัวอื่นๆได้ เบี้ย มีการเดินไปทางข้างหน้าและกินในแนวทแยงด้านหน้า เมื่อเบี้ยไปถึงแนววางเบี้ยของฝ่ายตรงข้ามจะกลายเป็นเบี้ยหงาย และมีการเดินและกินเช่นเดียวกับเม็ดทุกประการ

กติกาการเล่น

  • ผู้เล่นแต่ละคนผลัดกันเดินหมากของฝ่ายตนเองครั้งละ 1 ตัว
  • ถ้าเดินหมากของฝ่ายตัวเองไปในตำแหน่งที่หมากของฝ่ายตรงข้ามตั้งอยู่ หมากของฝ่ายตรงข้ามจะถูกกินและนำออกนอกกระดาน ยกเว้นขุนจะถูกกินไม่ได้
  • ถ้าเดินหมากไปในตำแหน่งที่ตาต่อไปสามารถกินขุนของฝ่ายตรงข้ามได้ จะเรียกว่ารุก โดยตาต่อไป
  • ฝ่ายตรงข้ามต้องป้องกันหรือเดินหนีไม่ให้ขุนอยุ่ในตำแหน่งที่จะถูกกิน
  • ถ้าขุนถุกรุกอยู่และไม่สามารถเดินหนีหรือป้องกันการรุกได้ จะถือว่ารุกจนและเป็นฝ่ายแพ้
  • ถ้าขุนไม่ถูกรุก แต่ในตาต่อไปไม่สามารถเดินหมากตัวใดๆได้เลย จะเรียกว่าอับ และจะเสมอกัน

การนับศักดิ์

การนับศักดิ์กระดาน

        การนับโดยวิธีนี้ไม่ว่าจะมีตัวหมากอยู่บนกระดานกี่ตัวก็ตามให้เริ่มนับตั้งแต่ 1 เป็นต้นไปโดยฝ่ายเป็นรองเป็นผู้นับฝ่ายเดียว เมื่อทั้งสองฝ่ายไม่มีเบี้ยคว่ำโดยฝ่ายเป็นรองหลือหมากตั้งแต่สองตัวขึ้นไปให้เริ่มนับศักดิ์กระดานตั้งแต่ 1 ถึง 64 โดยฝ่ายเป็นต่อจะต้องรุกให้จนใน 64 ตามิเช่นนั้นให้เสมอกัน ถ้าระหว่างนับศักดิ์กระดานฝ่ายเป็นรองถูกกินหมากตัวอื่นจนเหลือขุนเพียงตัวเดียวให้เปลี่ยนมานับศักดิ์หมาก เมื่อเริ่มนับศักดิ์กระดานแล้วฝ่ายเป็นต่อกลับกลายเป็นรองก็มีสิทธ์นับศักดิ์กระดานเพื่อหาเสมอได้


การนับศักดิ์หมาก

        การนับโดยวิธีนี้ให้นับตัวหมากของทั้งสองฝ่ายที่อยู่บนกระดานได้จำนวนเท่าใดก็ให้เริ่มนับศักดิ์หมากต่อไป เช่นมีตัวหมากอยู่บนกระดาน 7 ตัวก็ให้เริ่มนับ 8 โดยฝ่ายเป็นรองเป็นผู้นับฝ่ายเดียว เมื่อฝ่ายเป็นต่อมีหมากดังนี้

  • เรือลำเดียวต้องรุกให้ฝ่ายเป็นรองจนภายใน 16 ตาเดิน ไม่เช่นนั้นให้ถือว่าเสมอกัน
  • เรือสองลำต้องรุกให้ฝ่ายเป็นรองจนภายใน 8 ตาเดิน ไม่เช่นนั้นให้ถือว่าเสมอกัน
  • ม้าตัวเดียวต้องรุกให้ฝ่ายเป็นรองจนภายใน 64 ตาเดิน ไม่เช่นนั้นให้ถือว่าเสมอกัน
  • ม้าสองตัวต้องรุกให้ฝ่ายเป็นรองจนภายใน 32 ตาเดิน ไม่เช่นนั้นให้ถือว่าเสมอกัน
  • โคนตัวเดียวต้องรุกให้ฝ่ายเป็นรองจนภายใน 44 ตาเดิน ไม่เช่นนั้นให้ถือว่าเสมอกัน
  • โคนสองตัวต้องรุกให้ฝ่ายเป็นรองจนภายใน 22 ตาเดิน ไม่เช่นนั้นให้ถือว่าเสมอกัน
  • สำหรับเม็ดและเบี้ยหงายนับ 64 ตาเดิน ไม่เช่นนั้นให้ถือว่าเสมอกัน
  • เมื่อได้เริ่มนับศักดิ์หมากแล้วถ้าฝ่ายเป็นรองกินหมากตัวใดตัวหนึ่งของฝ่ายเป็นต่อก็มิให้เปลี่ยนแปลงการนับเป็นอย่างอื่น


ขอขอบคุณข้อมูลจาก

- วิกิพีเดีย

- เว็บไซต์ ChessSiam




 

Create Date : 22 ธันวาคม 2557    
Last Update : 22 ธันวาคม 2557 9:14:05 น.
Counter : 1153 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  

หนี่งหน่อง
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 33 คน [?]




pub-1485477287124314
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add หนี่งหน่อง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.