อ่านเรื่อยๆ มาเรียง ๆ ทุกวันของ หนี่งหน่อง นะครับ

วิธีไล่จิ้งจก ออกจากบ้านแบบง่ายๆ

ถ้าบ้านเพื่อนๆ มีปัญหาเกี่ยวกับเสียงร้องของจิ้งจกอยู่ล่ะก็… วันนี้ Decor.Mthai มี วิธีไล่จิ้งจก ออกจากบ้านแบบง่ายๆ มาเสนอเพื่อนๆ ค่ะ ถ้าเพื่อนๆ อยากรู้แล้วตามมาดู วิธีไล่จิ้งจก แบบง่ายๆ กันเลยดีกว่า

วิธีไล่จิ้งจก ออกจากบ้านแบบง่ายๆ

วิธีไล่จิ้งจก ออกจากบ้านแบบง่ายๆ

นายสัตวแพทย์อลงกรณ์ มหรรณพ สัตวแพทย์ช่วยราชการสำนักพระราชวัง ให้ความกระจ่างในเรื่องราวของจิ้งจกไว้อย่างน่าสนใจว่า “ที่ไหนมีจิ้งจกชุกชุมหรือมีตุ๊กแกหลายตัว แสดงว่าสภาพแวดล้อมที่นั้นอยู่ในขั้นสะอาดปลอดภัยไร้มลภาวะเป็นพิษ ปัจจัยนี้จึงทำให้จิ้งจกและตุ๊กแกพากันออกหาอาหารประเภทแมลงกันเป็นจำนวนมาก เพราะเมื่อมีแมลงมาก ก็แสดงให้เห็นว่าพื้นที่ตรงนั้นปลอดมลพิษอากาศบริสุทธิ์ และเป็นสถานที่ที่ค่อนข้างห่างไกลสารเคมี หรือยาฆ่าแมลงชนิดต่างๆ”

หมออลงกรณ์ กล่าวด้วยว่า สัตว์เลื้อยคลานอย่างจิ้งจก ตุ๊กแก ถือเป็นสัตว์ที่มีวงจรชีวิตที่น่าสนใจ เป็นตัวกำจัดแมลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งแมลงมีปีก เพื่อไม่ให้มีแมลงมากมายจนเกินไปนอกจากจิ้งจกแล้ว ก็ยังมีสัตว์เลื้อยคลานอย่างจิ้งเหลน กิ้งก่า ที่เป็นสัตว์นักล่าแมลงตามพื้นอีกด้วย สัตว์ประเภทนี้ถือเป็นตัวแปรในการควบคุมปริมาณของแมลงชั้นดี ที่คนไม่ควรไปทำร้ายหรือฆ่าทิ้ง เพราะนอกจากเป็นการไม่สมควรแล้ว ยังเป็นการตัดวงจรชีวิตของสัตว์เลื้อยคลานประเภทนี้อีกด้วย ดังนั้นหากรำคาญจิ้งจกหรือตุ๊กแกจริงๆ เนื่องจากชอบพากันออกมาก่อกวน ทำให้บ้านสกปรกแนะนำให้ใช้วิธีดังนี้

เกร็ดน่ารู้ วิธีไล่จิ้งจกแบบง่าย ๆ

1. ใช้ผ้าชุบน้ำมัน ก๊าดผสมน้ำ แล้วนำไปวางตามมุมอับ หรือจุดที่มีสัตว์เหล่านี้อยู่ชุกชม กลิ่นเหม็นของน้ำมันก๊าด จะเป็นตัวไล่ให้จิ้งจกตุ๊กแกไม่กล้าเข้าใกล้
2. ใช้การบูร ลูกเหม็น นำไปวางไว้ตามมุมอับก็ใช้ได้เช่นกัน
3. ใช้น้ำหรือปืนฉีดน้ำฉีดไปที่เท้าของจิ้งจก ตุ๊กแก น้ำจะเข้าไปแทนที่สูญญากาศใต้พังผืดบริเวณเท้า ทำให้มันหล่นลงมา วิธีนี้ก็สามารถไล่ได้อีกวิธีหนึ่ง

วิธีไล่จิ้งจกแบบธรรมชาติ

วิธีไล่จิ้งจกแบบธรรมชาติ

วิธีไล่จิ้งจกโดยการใช้สมุนไพร : ซึ่งเป็นวิธีการที่ใช้ได้ผลแน่นอน ไม่ต้องฆ่าและไม่ต้องใช้สารเคมีอีกด้วย มีวัตถุดิบและวิธีการทำดังนี้

สูตรไล่จิ้งจก : ใบสาบเสือ 1 ส่วน, ใบน้อยหน่า 1 ส่วน

วิธีทำ : นำใบสาบเสือและใบน้อยหน่าอย่างละเท่าๆ กัน ให้นำใบสาบเสือและใบน้อยหน่าที่ได้มาตำหรือสับเป็นชิ้นๆ ผสมให้เข้ากัน เพื่อให้ได้กลิ่นสาบจากวัตถุดิบดังกล่าวออกมาจากนั้นนำใบสาบเสือและใบน้อยหน่าที่ตำผสมเข้ากัน แล้วมาห่อผ้าด้วยผ้าที่มีอากาศระบายเพื่อให้กลิ่นเหม็นสาบออกมา และสะดวกในการนำไปใช้ นำไปวางหรือแขวนไว้ในบริเวณที่มีจิ้งจกและตุ๊กแกอาศัยอยู่ จิ้งจกและตุ๊กแกก็จะไม่มาอาศัยอยู่ในบริเวณนั้นอีก

เป็นไงคะวิธีการไล่จิ้งจกให้ไม่มารบกวนเราง่ายมากเลยใช่มั้ยคะ ถ้าบ้านเพื่อนๆ มีปัญหาเกี่ยวกับจิ้งจกมากวนใจอยู่ล่ะก็ ลองนำวิธีเหล่านี้ไปใช้กับบ้านเพื่อนๆ ดูนะคะ




 

Create Date : 22 สิงหาคม 2557    
Last Update : 22 สิงหาคม 2557 4:22:26 น.
Counter : 3133 Pageviews.  

ติด กาแฟ ควรเลิกอย่างไรดี ?


นอกเหนือจากความหอมของ กาแฟ บรรยากาศในการดื่ม กาแฟ ที่แสนจะมีเสน่ห์ นักดื่ม กาแฟ รู้กันดีว่าในกาแฟมีสารที่เรียกว่า “คาเฟอีน”อยู่ ซึ่งสารคาเฟอีนนี้จะทำช่วยให้คนวัยทำงานอย่างเราๆผ่านช่วงบ่ายอันแสนง่วงไปได้ แต่คนส่วนใหญ่ ไม่ทราบว่า “คาเฟอีนเป็นสารเสพติด” หมอไม่ได้พิมพ์ผิด และท่านผู้อ่านก็ไม่ได้อ่านผิด คาเฟอีนเป็นสารเสพติดจริงๆ

ในทางการแพทย์ได้กำหนดให้มีอาการที่เรียกว่า ภาวะติดคาเฟอีน(caffeine dependence) เช่นเดียวกับสารเสพติดอย่างสุรา ซึ่งภาวะดังกล่าวถูกกำหนดอยู่ในคู่มือการวินิจฉัยโรคทางจิตเวช ที่เรียกว่า dsm-iv เหตุผลเนื่องจากคาเฟอีนเป็นสารที่ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลาง โดยมีสูตรโครงสร้างคล้ายสารสื่อประสาทที่ชื่อว่าอะดีโนซีน(adenosine) ผลก็คือทำให้ในสมองมีสารโดปามีน (dopamine) และ ซีโรโตนิน(serotonin)เพิ่มสูงขึ้น สารทั้งสองตัวนี้มีฤทธิ์ทำให้สมองตื่นตัว และทำงานหนักขึ้น รวมถึงความรู้สึกพึงพอใจจากการดื่ม กาแฟ  หลังจากดื่ม กาแฟ แล้วคาเฟอีนจะเข้าสู่กระแสเลือดและเข้าสู่สมองภายใน 45 นาที และมีฤทธิ์อยู่ประมาณ 3-5 ชั่วโมง

142024990

ใครบ้างต้องเลิกดื่ม กาแฟ

  1. คาเฟอีนจะผ่านกระบวนการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างที่เรียกว่าการเมตาบอลิสม์ที่ตับ ดังนั้น ผู้ที่ควรจะต้องเลิกดื่ม กาแฟ ก็คือ ผู้ที่มีปัญหาเรื่องตับ เพราะจะทำให้ตับทำงานหนักเกินไป
  2. เด็กและสตรีมีครรภ์ก็ควรงดดื่ม กาแฟ เพราะการที่สมองถูกกระตุ้นด้วยคาเฟอีน จะทำให้เด็กมีปัญหาในเรื่องพัฒนาการของสมอง นอกจากนี้ยังอาจทำให้เกิดการแท้งบุตรได้
  3. คาเฟอีนยังกระตุ้นให้เกิดการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร ผู้ที่เป็นโรคกระเพาะจึงควรงดการได้รับคาเฟอีนทั้งจากชา กาแฟ โกโก้ ช็อคโกแล็ต
  4. ผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง หรือมีปัญหาเรื่องโรคหัวใจ คาเฟอีนจะทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น และหัวใจเต้นเร็วขึ้น นั่นแปลว่าหัวใจทำงานหนักขึ้น
  5. นอกจากนี้ กาแฟ ยังมีฤทธิ์ขับปัสสาวะทำให้ไตทำงานหนักขึ้น  เร่งการสูญเสียแคลเซียมจากกระดูก  และยังมีผลต่อสภาพจิตใจในผู้ที่มีความวิตกกังวลอีกด้วย

อ่านถึงตรงนี้แล้ว ท่านผู้อ่านอยากเลิกดื่ม กาแฟ หรือยังครับ สำหรับผู้ที่ดื่ม กาแฟ เพียงวันละไม่เกิน 1 แก้ว การเลิก กาแฟ นั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่สำหรับผู้ที่ติดคาเฟอีน (caffeine dependence) การเลิก กาแฟ อาจจะเป็นเรื่องยากสักนิด แต่ก็ไม่ยากเกินไปนัก

เกณฑ์ในการวินิจฉัยว่าท่านติดคาเฟอีนหรือไม่นั้น พิจารณาจากหลักเกณฑ์ 3 ใน 4 ข้อต่อไปนี้ คือ

  1. มีการใช้คาเฟอีน หรือดื่ม กาแฟ อยู่ แม้จะมีความรู้ว่า กาแฟ มีผลทำให้เกิดอาการทางร่างกายหรือจิตใจที่มีอยู่เรื้อรังหรือกำเริบ
  2. มีความต้องการได้รับคาเฟอีน หรือดื่ม กาแฟ อยู่ตลอด โดยไม่สามารถลดปริมาณลงได้
  3. มีภาวะถอนคาเฟอีน ( caffeine withdrawal) หรืออาการลงแดง กาแฟ นั่นเอง ซึ่งอาการสำคัญก็คือ วันไหนไม่ได้ดื่ม กาแฟ จะเกิดอาการอ่อนเพลีย ง่วงนอนมาก  ปวดศรีษะ  และอาจจะมีอาการคลื่นไส้อาเจียน อาการเหล่านี้จะเกิดขึ้นภายใน 24 ชั่วโมงหลังจากได้รับคาเฟอีนหรือดื่ม กาแฟ ครั้งสุดท้าย และจะมีอาการมากที่สุด ใน 2-4 วันแรก โดยมากภาวะถอนคาเฟอีน มักจะพบได้ในคนที่ดื่มกาแฟเกิน 2 แก้วต่อวัน หรือได้รับคาเฟอีนอย่างน้อย 100 มิลลิกรัมต่อวัน
  4. มีภาวะดื้อคาเฟอีน (caffeine tolerance) กล่าวคือ ปริมาณการดื่มกาแฟในแต่ละวันจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จึงจะทำให้รู้สึกสดชื่นหรือกระปรี้กระเปล่าเท่าเดิม

สำหรับเทคนิคการเลิกดื่มกาแฟ โดยเฉพาะในคนที่มีอาการติดคาเฟอีน หมอขอแนะนำวิธีการเบื้องต้นดังต่อไปนี้

  1. ให้ลดปริมาณการดื่มกาแฟในแต่ละวันลง เช่น จากที่เคยดื่มวันละ 4 แก้วให้ลดลงเหลือ 3 แก้ว แต่หากจำเป็นต้องดื่มแก้วที่ 4 ให้ชงด้วยกาแฟสกัดคาเฟอีน(decaffeinated) จนกระทั่งร่างกายเริ่มชินก็ให้ลดปริมาณลงอีก
  2. สำรวจว่า นอกจากกาแฟแล้ว ท่านยังได้รับคาเฟอีนจากอาหารชนิดใดอีกบ้าง เช่น ชา โกโก้ ช็อคโกแลต ซีเรียลรสโกโก้ เครื่องดื่มชูกำลัง เป็นต้น จากนั้นให้ลดการบริโภคทุกอย่างร่วมกับการลดปริมาณกาแฟที่ดื่มในแต่ละวัน  หรือเลิกบริโภคอาหารและเครื่องดื่มเหล่านี้
  3. นอนพักผ่อนอย่างเพียงพอในตอนกลางคืน อย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง
  4. ดื่มน้ำสะอาดวันละประมาณ 1-2 ลิตร และการรับประทานวิตามินบีรวม ซึ่งจะช่วยทุเลาอาการอ่อนเพลีย
  5. การออกกำลังกาย จะช่วยให้สมองเพิ่ม ซีโรโตนิน(serotonin) และโดปามีน(dopamine) ได้เช่นเดียวกันกับการได้รับคาเฟอีน
  6. งดดื่มแอลกอฮอล์ และงดสูบบุหรี่
  7. รับประทานอาหารเช้า เพราะระดับน้ำตาลในกระแสเลือดที่เพียงพอจะช่วยให้สมองและร่างกายทำงานได้โดยไม่อ่อนเพลีย
  8. หากิจกรรมหรืองานอดิเรกทำ เพื่อหลีกเลี่ยงการดื่มกาแฟ และควรหลีกเลี่ยงการไปร้านกาแฟ
  9. หากมีอาการปวดศรีษะระหว่างงดกาแฟ สามารถรับประทานยาพาราเซตามอล หรือแอสไพรินได้ ไม่ควรรับประทานยาแก้ปวดไมเกรนซึ่งมีส่วนผสมของคาเฟอีนอยู่
  10. หากมีอาการหงุดหงิด ใจสั่น อาจจะใช้วิธีอาบน้ำเย็นช่วย

เทคนิคทั้ง 10 ข้อนี้ประยุกต์จากความรู้ทางวิชาการและจากประสบการณ์การแนะนำผู้มาตรวจสุขภาพ รวมถึงประสบการณ์ของหมอเองในการลดปริมาณการดื่มกาแฟ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะช่วยให้ผู้อ่านลดปริมาณการดื่มกาแฟได้ แต่สิ่งสำคัญที่สุดที่จะทำให้ประสบความสำเร็จในการเลิกดื่มกาแฟก็คือ ความตั้งใจและความมุ่งมั่นของท่านผู้อ่านเอง

ขอบคุณที่มาจาก : โรงพยาบาลสมิติเวช




 

Create Date : 22 สิงหาคม 2557    
Last Update : 22 สิงหาคม 2557 4:18:28 น.
Counter : 1184 Pageviews.  

ฟองนํ้าพิเศษช่วยเติมเต็มช่องว่างให้กระดูกได้เติบโต

ฟองน้ำพิเศษช่วยเติมเต็มช่องว่างให้กระดูกได้เติบโต

Written by faceoffact on . Posted in ชีววิทยา, วิทยาศาสตร์, สุขภาพ, เทคโนโลยี, เทคโนโลยีชีวภาพ, โรคภัยไข้เจ็บ

dswh6bu6g2xgutlljjnf

กระดูกของเรานั้นถือว่ามีความเก่งกาจในการซ่อมแซมรักษาตัวเองอย่างมาก แต่อาการบาดเจ็บและความผิดปกติบางอย่างนั้นทำให้หลงเหลือช่องว่างที่กว้างเกินกว่าที่กระดูกใหม่จะเข้ามาเติมให้เต็มได้  ซึ่งดร. Melissa Grunlan จากบริษัท Texas A&M และเพื่อนร่วมทีมนั้นได้คิดค้นวิธีแก้ปัญหาดังกล่าวด้วยฟองน้ำโพลิเมอร์ที่ย่อยสลายได้ตามธรรมชาติที่จะค่อยซัพพอร์ทการเติบโตของเซลล์กระดูกใหม่ และย่อยสลายหายไปเมื่อมันถูกแทนที่ด้วยกระดูกที่แข็งๆแล้ว

มีเงื่อนไขมากมายที่นำไปสู่ช่องว่างหรือรูที่ใหญ่เกินกว่าที่เซลล์กระดูกจะเติมเต็มได้ เช่นความผิดปกติตั้งแต่เกิด การติดเชื้อในกระดูก หรือการผ่าตัดครั้งใหญ่เพื่อตัดเนื้องอกก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น  ในปัจจุบัน เทคนิคที่ดีที่สุดของเราในการแก้ปัญหาดังกล่าวก็ต่อการนำกระดูกจากส่วนอื่นๆของร่างกายคนไข้มาใช้ ซึ่งบ่อยครั้งที่กระดูกที่ตัดมานั้นใช้ได้ไม่ดี และมันก็ไม่เหมาะกับรูปร่างที่ซับซ้อนที่จำเป็นที่จะต้องใช้แก้การเสียรูปร่างบนใบหน้า

โฟมจดจำรูปร่างของ Dr. Grunlan นั้นทำหน้าที่เป็นโครงยกพื้น ที่แผ่ขยายไปตามช่องว่างต่างๆในกระดูกที่ดีและมอบโครงสร้างให้กับเซลล์ให้กระดูกใหม่เข้ามาตั้งตัวและพัฒนาตัวเองขึ้นมาใหม่ ซึ่งโพลิเมอร์นี้สามารถย่อยสลายไปเองได้ตามธรรมชาติอย่างช้าๆเมื่อเซลล์กระดูกเข้ามาแทนที่และจะหายไปเมื่อกระบวนการรักษาตัวเองนั้นสมบูรณ์แล้ว

โพลิเมอร์เองก็ได้ถูกใช้ทางการแพทย์มาเป็นระยะเวลานานแล้ว ทั้งในการเย็บแผลและวัตถุทางการแพทย์อื่นๆ ซึ่งเมื่อมันมีอุณหภูมิสูงถึง 140 องศาฟาเรนไฮต์แล้วล่ะก็มันจะสามารถเปลี่ยนรูปร่างได้ ทำให้แพทย์สามารถสร้างรูปร่างที่ต้องการสำหรับการสร้างโครงสร้างขึ้นมาใหม่ได้ 

การทำงานของโฟมที่คิดค้นโดย Grunlan นั้นได้ถูกให้อธิบายไว้ว่า “ในการทดลองของแลปนั้น Grunlan และเพื่อนของร่วมงานของเธอได้ทำการเคลือบโฟมด้วยโพลิเมอร์อีกชนิดหนึ่งซึ่งย่อยสลายตามธรรมชาติได้ชื่อ polydopamine ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าจะไปช่วยกระตุ้นให้กระดูกนั้นเจริญเติบโตขึ้น ซึ่งพวกเขาได้ปลูกเซลล์กระดูกไว้ที่โพลิเมอร์ดังกล่าวด้วยเซลล์กระดูกมนุษย์ และหลังจากหลายวันผ่านไปก็ได้พบว่าเซลล์เหล่านั้นไม่ได้แค่เพิ่มจำนวนมากขึ้นเพียงอย่างเดียว แต่ยังได้สร้างโปรตีนที่สำคัญต่อการก่อตัวของกระดูกอีกด้วย”

ดร. Grunlan กล่าวว่าในมนุษย์นั้น ตัวโฟมจะสามารถทำให้กระดูกสามารถเติบโตขึ้นใหม่ได้อย่างสมบูรณ์ภายในระยะเวลาประมาณ 1 ปี ซึ่งกว่าที่ FDA จะอนุมัติวัสดุดังกล่าวนั้นอาจจะใช้เวลา 5 ถึง 10 ปี แต่เมื่อวัสดุดังกล่าวสามารถใช้งานได้เมื่อไหร่ล่ะก็ จะนับว่าเป็นแรงสำคัญสำหรับการผ่าตัดเลยทีเดียว

ที่มา : //gizmodo.com/this-sponge-could-help-fill-gaps-where-bone-cant-regrow-1621858752


Tags: , , ,




 

Create Date : 22 สิงหาคม 2557    
Last Update : 22 สิงหาคม 2557 4:10:53 น.
Counter : 1550 Pageviews.  

สูตร ครีมพายกล้วยหอม หวานหอม

สวัสดีค่ะวันนี้มาแนะนำสูตรขนมหวานๆ กันอีกเช่นเคย ถ้านึกถึงกล้วยก็จะนึกถึงเมนูอาหารหรือขนมหลายๆ อย่าง เพราะกล้วยมีสารพัดประโยชน์ ทำได้หลายเมนู วันนี้จึงขอนำเสนอสูตรทำ ครีมพายกล้วยหอม แค่เห็นรูปภาพก็ส่งกลิ่นเย้าย้วนใจออกมาเลยทีเดียว ขั้นตอนอาจจะเยอะไปหน่อย แต่รับรองทำไม่ยาก ทำตามได้ทุกคนค่ะ

ครีมพายกล้วยหอมครีมพายกล้วยหอม

ส่วนผสม ฐานพาย

  • แคร็กเกอร์ 226 กรัม
  • เนยละลาย 2 ช้อนโต๊ะ
  • เกลือ 1/8 ช้อนชา

วิธีทำ ฐานพาย

  1. บดแคร็กเกอร์ให้ละเอียด นำเนยที่ละลายแล้วใส่ลงไปและคลุกเคล้าให้เข้ากัน
  2. จากนั้นนำแคร็กเกอร์ลงไปกรุในพิมพ์ที่เตรียมไว้ให้แน่น
  3. นำกล้วยหอมมาปอกเปลือกและผ่าครึ่งเป็นแนวยาว ตกแต่งให้ทั่วพิมพ์

ส่วนผสม ครีมพาย

  • น้ำตาลทราย 1 ถ้วย
  • Whipping Cream 2 ถ้วย
  • เหล้ารั่ม 1 ช้อนโต๊ะ (ถ้าไม่มีใช้น้ำสับปะรด)
  • เกลือ 1/8 ช้อนชา
  • แป้งข้าวโพด 2 ช้อนโต๊ะ
  • ไข่ไก่ขนาด 2 ฟอง
  • เนยสดเย็นจัด หั่นเป็นก้อนเล็กๆ 2 ช้อนโต๊ะ
  • กลิ่นวนิลา 1/2 ช้อนชา

วิธีทำ ครีมพาย

  1. ตอกไข่ไก่และเหล้ารั่มใส่ชามผสม ตีเข้ากันแล้วพักไว้
  2. นำแป้งข้าวโพด แป้งสาลี เกลือ และน้ำตาลทราย ใส่ลงไปในหม้อและใช้ตะกร้อมือคนส่วนผสมให้เข้ากัน
  3. จากนั้นก็เทนมใส่ลงไปคนให้เข้ากัน นำหม้อไปตั้งไฟใช้ไฟปานกลาง และใช้ตะกร้อมือคนส่วนผสมตลอดเวลาห้ามหยุด ถ้าหยุดอาจจะเป็นก้อนได้ ให้คนส่วนผสมไปเรื่อยๆ จนข้น
  4. เมื่อส่วนผสมข้น นำลงจากเตา ให้เทส่วนผสมลงในชามสผมที่ตีไข่ไว้เมื่อสักครู่นี้ ต้องเททีละน้อยๆ เพราะจะทำให้ไข่สุกได้ และพร้อมกับใช้ตะร้อมือคนไปด้วยตลอด เมื่อเทส่วนผสมจนหมด คนให้เข้ากันและเทกลับใส่หม้ออีกครั้งนึง
  5. ตั้งไฟปานกลางและคนไปเรื่อยๆ จนเห็นว่าเดือด ปุดๆ นำลงจากเตา ใส่เนยและกลิ่นวนิลาลงไป คนจนกว่าเนยจะละลาย
  6. เทใส่แม่พิมพ์ที่กรุด้วยแคร็กเกอร์และวางกล้วยหอมไว้เรียบร้อยแล้ว โดยเริ่มเทจากตรงกลางเพื่อให้หน้าของครีมพายสวยเรียบเนียน
  7. วางทิ้งไว้ให้หายร้อน จากนั้นนำเข้าตู้เย็นจนครบ 6 ชั่วโมงขึ้นไป นำออกมาแกะพิมพ์ แล้วหั่นใส่จานเสิร์ฟได้เลยค่ะ

แค่นี้ก็ได้ ครีมพายกล้วยหอม ที่เป็นฝีมือคุณเองแล้วค่ะ ทานได้ทั้งครอบครัว




 

Create Date : 21 สิงหาคม 2557    
Last Update : 21 สิงหาคม 2557 5:05:06 น.
Counter : 2329 Pageviews.  

ประโยชน์ดีๆ จาก สตรอเบอร์รี่

สตรอเบอร์รี่ คงเป็นผลไม้ที่ใครหลายๆคนชอบ นอกจากจะมีรสชาติที่หอมหวานแล้ว ยังมีประโยชน์ต่อร่างกายอีกด้วย สตรอเบอร์รี่ มีประโยชน์อะไรบ้าง ไปดูกันเลยดีกว่าค่ะ

78160803

1. ดูแลสายตา

ปัญหาเกี่ยวกับดวงตาส่วนใหญ่จะเกิดจากอนุมูลอิสระ และการขาดสารอาหารบางชนิด และเมื่อเราอายุมากขึ้น ดวงตาของเรายิ่งถูกทำร้ายได้ง่าย ซ้ำร้ายความแก่ชราจะทำให้กล้ามเนื้อดวงตาเสื่อมสภาพ แต่สตรอวเบอร์รี่มีสารต้านอนุมูลอิสระ อย่างวิตามินซี ฟลาโวนอยด์ กรดฟีโนลิก และกรดเอลลาจิก ซึ่งช่วยชะลอกระบวนการดังกล่าว แถมยังมีโพแทสเซียมซึ่งช่วยปรับความดันในตาให้เป็นปกติอีกด้วย

2. ป้องกันโรคข้ออักเสบและโรคเกาต์

เมื่อกล้ามเนื้อถูกใช้งานนาน ๆ เข้า กล้ามเนื้อของเราก็มีแต่จะถดถอยของเหลว บริเวณข้อต่อกระดูก็จะเหือดแห้งลงไปเรื่อย ๆ และร่างกายก็สะสมสารพิษอย่างกรดยูริกเอาไว้มากขึ้น ๆ ทำให้โรคข้ออักเสบและโรคเกาต์ถามหา แต่อย่าห่วงไป เพราะเราสามารถขับไล่โรคทั้งสองได้ด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ และสรรพคุณล้างพิษของสตรอวเบอร์รี่ค่ะ

3. กำราบโรคมะเร็ง

กินสตรอวเบอร์รี่ทุกวันสิคะเซลล์มะเร็ง และเนื้องอกต้องชิดซ้ายหลีกทางให้แก่สารต้านอนุมูลอิสระอย่างวิตามินซี โฟเลต และแอนโธไชยานินส์ ที่มีอยู่มากมายในสตรอวเบอร์รี่ค่ะ

4. ส่งเสริมการทำงานของสมอง

ยิ่งแก่ยิ่งขี้หลงขี้ลืม เพราะเนื้อเยื่อและเส้นประสาทในสมองเสื่อมสภาพจากอนุมูลอิสระตัวร้าย ซึ่งสตรอวเบอร์รี่ช่วยได้ เพราะมีวิตามินซี และไฟโตนิวเทรียนต์ ที่ทำให้อนุมูลอิสระหมดฤทธิ์ และคืนความอ่อนเยาว์ให้แก่ระบบประสาท แถมยังมีไอโอดีนที่ทำให้สมองและระบบประสาททำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย

5. ลดความดันโลหิต

หากโซเดียมเป็นตัวการทำให้เกิดความดันโลหิตสูง สตรอวเบอร์รี่ก็มีโพแทสเซียมและแมกนีเซียมที่ช่วยปรับความดันให้เป็นปกติค่ะ

6. ปราบโรคหัวใจ

ใยอาหาร โฟเลต และสารต้านอนุมูลอิสระมากมาย จะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในร่างกาย แถมวิตามินบีบางชนิดที่พบได้ในสตรอวเบอร์รี่ จะเสริมสร้างกล้ามเนื้อหัวใจให้แข็งแรงอีกด้วย

ขอบคุณที่มาจาก : //www.womanplusmagazine.com




 

Create Date : 21 สิงหาคม 2557    
Last Update : 21 สิงหาคม 2557 5:01:26 น.
Counter : 1045 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  

หนี่งหน่อง
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 33 คน [?]




pub-1485477287124314
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add หนี่งหน่อง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.