ปล. แม้ในการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น อาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน ฯลฯ ทำงานนั่นนี่โน่นอยู่ ก็ใช้งานที่ทำนั่นฝึกจิตเจริญใจไปด้วย คือให้ใจกับกิจจิตอยู่กับสิ่งที่ทำ ณ ขณะนั้นๆ
- สติ ความระลึกได้, นึกได้, ความไม่เผลอ, การคุมใจไว้กับกิจ หรือกุมจิตไว้กับสิ่งที่ทำที่เกี่ยวข้องต้องทำ, จำการที่ทำและคำที่พูดแล้วแม้นานได้ มักมาคู่กับสัมปชัญญะ (ชื่อของปัญญาระดับเริ่มต้น)
- สภาวะ,
สภาพ ความเป็นเอง, สิ่งที่เป็นเอง, ธรรมดา
- สภาวธรรม หลักแห่งความเป็นเอง, สิ่งที่เป็นเองตามธรรมดาของเหตุปัจจัย

ตัวอย่างสภาวะ, สภาพ, สภาวธรรม ผู้ปฏิบัติต้องเรียนรู้จากของจริง ทุกๆสภาวะผู้ปฏิบัติจะต้องผ่านให้ได้ ผ่านก็ด้วยการกำหนดรู้ตรงๆตามนี่เอง รู้สึกยังไงกำหนดยังงั้น เป็นยังไงกำหนดยังงั้น ไม่เลี่ยงหนี
- อาจมีคำถามว่า หากผ่านไม่ได้ล่ะจะเป็นยังไง ตอบ. ก็ติดวนไปวนมาอยู่ตรงนั้น ไม่ไปไหน ตัวอย่าง
> ผมก็
นั่งตามลมหายใจพุทโธไป
วันแรกๆ ก็ไม่เป็นอะไร พอ
วันที่สามนั่งไปซักพักประมาณสิบนาทีเริ่ม
มีอาการเหวี่ยงแบบเหวี่ยงหมุนจนเวียนหัวจึงนั่งต่อไม่ได้
ลืมตาขึ้นมานั่งดูพระรูปอื่น
เป็นอย่างนี้อยู่เกือบตลอด กลับ
มาที่กุฏิก่อนจะจำวัดก็นั่งก็เป็นอีก
จนมาถามพระพี่เลี้ยงท่านบอกเหมือนจิตกำลังจะได้เข้าสู่ความสงบให้ผ่านจุดนี้ไปให้ได้ แต่มันก็
ได้แบบแปปๆแล้วก็หมุนอีกหมุนอีกจนลาสิกขามาก็เริ่มมาหาอ่านเอง จนได้อ่าน
บันทึกกรรมฐานของเจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราช ให้พิจารณา
กาย เวทนา จิต ธรรมคราวนี้ก็ทำตามหนังสือ
หายใจตอนแรกก็ยาว ก็ตามไปซักพัก เริ่มพิจารณาตามสติปัฐฐาน คราวนี้
หมุนเร็วเลย
หมุนแรงมากจนรู้สึกจะอาเจียนเลย
ผมก็พิจารณาว่าเป็น
ทุกขเวทนา ก็ดีขึ้นแปปก็
หมุนอีกเรื่อยๆ จนตอนนี้ยังแก้ไม่ได้เลยครับ ไม่รู้ว่าจะทำยังไง ล่าสุดเมื่อคืน
หมุนจนจะอ้วกจนถอนสมาธิออกมา ยังมี
อาการเวียนหัวจะอ้วกมาอีกซัก
สิบห้านาทีค่อยดีขึ้นคำถามครับ
1. ผมควรแก้ปัญหานี้ยังไงดี ฝืนนั่งไปเรื่อยๆจนหายหรือต้อง
กำหนดอะไรยังไง 2. จุดมุ่งหมายจริงๆ คือวิปัสสนากรรมฐานคืออะไรครับ
ไม่ได้โอ้อวดว่าตัวเองเก่งนะครับ พอดีผม
เรียนแพทย์เลยเข้าใจพวกสรีระร่างกายมนุษย์อยู่แล้ว เมื่อ
มาเรียนรู้ทางธรรมพิจารณาตามขันธ์ 5 ก็เข้าใจว่ามันไม่ได้มีตัวตนจริงๆของเรา เหมือนเท่าที่
อ่านการฝึกวิปัสสนา ทำให้เราเข้าใจว่า ทุกอย่างมีเกิด-ดับของมัน เป็นธรรมดา ไม่ให้เรายึดติด แต่ถ้าผม
อ่านแล้วเข้าใจแล้วจะทำไปเพื่ออะไร หรือว่าให้
จิตเราแข็งแกร่ง จะได้
มีสติรู้เท่าทันทุกการกระทำ
หลังสึกออกมาทุกวันนี้ เวลาจะโกรธใครก็เหมือนมี
สติมาห้ามทัน แต่ก็ยังมีหลุดบ้าง ซึ่งก่อนหน้านี้จะตอบโต้แทบจะทันทีเพราะเป็นคนใจร้อน.

นักเขียน นักอ่าน นักพูด นักคิด จะรู้เข้าใจเท่า >
เมื่อมาเรียนรู้ทางธรรมพิจารณาตามขันธ์ 5 ก็เข้าใจว่ามันไม่ได้มีตัวตนจริงๆของเรา. เหมือนเท่าที่อ่านการ
ฝึกวิปัสสนา ทำให้เราเข้าใจว่า ทุกอย่างมีเกิด-ดับของมัน เป็นธรรมดา ไม่ให้เรายึดติด. แต่ถ้าผมอ่านแล้วเข้าใจแล้วจะทำไปเพื่ออะไร

แม้กระทั่ง
สติปัฏฐาน ๔ กาย เวทนา จิต ธรรม ก็ทำนองเดียวกัน เขาก็รู้ แต่พอมาภาคปฏิบัติจริงๆไปต่อไม่ได้ ตันเพราะประสบกับสภาวะของรูปของนาม ทั้งๆที่ท่องได้จำได้ สติปัฏฐาน ๔ กาย เวทนา จิต ธรรม รูปนาม ขันธ์ ๕ ก็รู้ ก็จำได้

หากนำหลัก
ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ วางดู ก็รู้ได้ว่า จขกท. เดินทางถึงระดับกลาง คือ ปฏิบัติ ส่วนปฏิเวธเขาก็พอมี ดังที่บอกตอนท้ายว่า เมื่อก่อนเป็นคนใจร้อน แต่พอมาปฏิบัติแล้วเวลาโกรธเหมือนมีสติคอยกันให้
เอาอีกสักตัวอย่างหนึ่ง 
> ผมนั่งสมาธิโดยการกำหนด ยุบหนอ-พองหนอ โดยกำหนดจิตรับรู้การเคลื่อนของกระเพาะอาหารเวลาลมหายใจเข้าไปและออกมาครับ
กระผมคิดเอาเองว่าคงนั่งได้ประมาณ 2 ชม.ได้แล้ว และผมก็ได้รู้สึกว่า ร่างกายของผมเหมือนไม่มี เหมือนจิตผมหยุดนิ่งอยู่ที่ใดที่หนึ่งโดยไม่รู้ว่า สิ่งที่ผมกำหนดตอนแรก หายไปไหน ลมหายใจของผมประหนึ่งกับดับไป ผมพยายาม กำหนดต่อไป แต่คราวนี้มันกำหนดยุบหนอ พองหนอ ไม่ได้เสียแล้วเพราะ เหมือนกับว่า
ร่างกายนี้ไม่มีอยู่ครับ ผมเลยใช้การ
กำหนดดูจิต ที่ยังพอรู้สึกได้อย่างเลือนลางนั่นต่อไป จนผมเริ่มเกิดความรู้สึกขึ้นมาอีกครั้ง คือ ผมไม่ได้หายใจ แต่ใจผมยังคงหยุดอยู่ที่สิ่งแรกอยู่ แต่รู้สึกสิ่งนั่น ที่ใจนึกถึงนั่น มันเด่นชัดมากขึ้น ผมนั่งต่อไปอีกสักระยะหนึ่งครับ แต่
ไม่รู้ว่าจะกำหนดอะไรต่อไปแล้ว เพราะ เหมือนรู้สึกว่า
ไม่มีอะไรเลยครับ เหมือนทุกสิ่งทุกอย่างหายไปหมด คือ เหมือนร่างกาย ก็ไม่มี และสิ่งรอบข้าง ก็หายไปหมด เหมือนกับว่าไม่มีอะไรอยู่ข้างกายแบบนี้อ่ะครับ
ผมเลย นึกในใจอยากออกจากสมาธิ ก็เริ่มรู้สึกถึงร่างกายของผมเองขึ้นมาที่ละนิด ๆ แล้วก็รู้สึกว่า มีสิ่งแวดล้อมรอบตัว กลับมาอีกครั้ง รู้สึกถึงการหายใจขึ้นมาอีกครั้ง ผมค่อย ๆๆถอดออกจากสมาธิ แล้วลืมตา ในตอนนั้น ในตอนที่รู้สึกถึงร่างกายอ่ะครับ ผมกลับมีความรู้สึกอีกอย่าง เข้ามาในใจอย่างรุนแรงมาก คือ เหมือนว่า
ร่างกายผมอ่ะครับมันสกปรกมาก เหมือนกับซากศพอะไรซักอย่าง (ไม่ได้กิเลสนะครับ แต่เป็นความรู้สึกในตอนนั้น) และผมก็เกิดความกลัวไปหมด กลัวจะผิดศีล 5 กลัวภัยในแต่ละวันเหมือนจิตจะฟุ้งซ่านมากในขณะนั่นเลยครับ
หลังจากคืนนั่น ในคืนต่อ ๆ มา ผมก็
นั่งสมาธิตามปกติ และก็ได้รับรู้ความรู้สึกเช่นที่เป็นมา ทุกคืนติดต่อกัน แต่ทุกๆ คืน จนถึงวันนี้ ผมเหมือนกับเบื่อหน่าย ที่จะทำงาน ไม่อยากเจอหน้าภรรยา ไม่อยากเจอหน้าพ่อแม่ ไม่อยากเจอหน้าลูก เหมือนเบื่อหน่ายทุกสิ่งในโลก อาหาร แม้แต่ตัวเองวัน ๆ อยากนั่งทำสมาธิ เพราะในช่วงที่เล่าให้ฟัง มันมีความสุขมาก เหมือนผมลืมทุกอย่างไปเลย
ในสิ่งที่ผมถามและอยากรู้นะครับ คือ
1. ผมปฎิบัติผิดตรงไหนหรอเปล่าครับ
2. ถ้าไม่ผิด ผมจะปฎิบัติยังไงต่อครับ
3. สิ่งที่เกิดขึ้นกับผมในขณะนั่นมันคืออะไรกันแนะครับ
วันต่อมา เมื่อวานนี้ ได้นั่งพิจารณาอารมณ์และตามดูจิต ยืน เดิน นั่ง นอน ได้แทบทั้งวัน
รู้สึกถึงความเย็น สงบ ใคร
นินทา กล่าวร้าย ไม่รู้สึกเสียใจอะไรเลย มันนิ่งได้ทั้งวันจริง ๆ
พอตกดึก มาเจริญสติอีกครั้ง คราวนี้ มีอาการเช่นเดิม คือ เหมือนสภาพ
ร่างกายหายไปแบบตอนแรกแต่ ครั้งนี้ เกิด
นิมิตเป็นลูกแก้วใสสว่าง ขึ้นมา จากลูกเล็กๆๆ กลายเป็นลูกใหญ่ แล้วคือเวลาเราหลับตาอ่ะครับ มันจะดำๆๆ ใช่ไหมครับ แต่พอลูกแก้วขนาดจนเต็มความรู้สึกเหมือนสว่างไสวไปหมด เป็นสี ขาว มีประกาย ทั่วที่หลับตาอยู่นั่นเอง และ
พอกำหนดให้มันเล็กลง มันก็เล็กได้ดังใจ เหมือนกับว่า ในขณะนั่นจิตจะสั่งการอะไรได้หมดความรู้สึกเบื่อหน่ายเริ่มหายไปแล้ว แต่รู้สึก
กายนี้มีแต่ทุกข์ จิตนี้ก็มีแต่ทุกข์ สิ่งใดๆ ก็ทุกข์ เกิดแล้วดับ วนเวียนไปไม่หมดสิ้น พิจารณาอยู่นานเหมือนกัน ตอนนั่นไม่รู้สึกอะไรแล้ว ลมหายใจขาดหายไป ความรู้สึกรอบตัว อาการเย็น ร้อน อ่อน แข็งรอบ ๆ ตัว หายไป
หลังจากกำหนด ลูกแก้ว ให้เล็กจนหายไป ภาพกลับมาเหมือนตอนหลับตาปกติ คราวนี้ เกิดนิมิตใหม่ คือ ได้เห็น ช่วงเวลาตอนบ่าย ตอนเช้า ทุก ๆ ขณะที่กระทำสิ่งใดไปในแต่ล่ะวัน ค่อยๆ ปรากฎเป็นภาพอย่างเห็นได้ชัดเหมือนกับว่า ได้กลับไปอยู่ในสถานการณ์นั่น ๆ อีกครั้งหนึ่ง ได้เห็น สิ่งที่ทำไป ในอดีต ค่อย ๆๆ ผุดขึ้นมาที่ละนิดๆ จนได้รู้สึกถึงตอนวัยรุ่น ตอนเด็ก ๆๆ ได้ทำอะไรลงไปบ้าง บางขณะ ได้ทำอะไรดีดี จิตก็ รู้สึกดี ก็ตามพิจารณารู้ว่ารู้สึกดีตลอด
บางขณะ ได้ทำอะไรชั่ว ก็ได้ตามพิจารณาว่าทำชั่ว สภาพจิตเหมือนกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง รู้ถึงตอนที่ พ่อมาเยี่ยมที่โรงพยาบาล พอถึงตอนนี้ ในความรู้สึกเหมือนน้ำตาไหล ที่เห็นพ่อแม่อยู่ด้วยกัน (ความเป็นจริงไม่อยู่แล้ว) เลยอธิฐานขอออกจากสมาธิ ภาพเหล่านั่นก็หายไป แล้วความรู้สึก ถึงสภาวะรอบตัว และร่างกายกลับมาอีกครั้งหนึ่ง แล้วก็ออกจากสมาธิครับ
สิ่งที่ผมเห็น ผมคิดไปเองหรือเปล่าครับ หรือว่าผมปฎิบัติอะไรผิดอีกแล้วคราวนี้ ความรู้สึกหลาย ๆ อย่าง ไม่เคยจำได้ แต่เห็นเป็นภาพอย่างชัดแจ้ง เมื่อเช้าได้ถามแม่ ในหลายๆเรื่องที่จำไม่ได้ แต่เห็นในนิมิตนั่น แม่ก็บอกว่าจริงทุกเรื่อง และเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วในอดีตของผมจริง ๆ
ช่วยแนะนำการปฎิบัติต่อไป ให้ผู้โง่เขลาในธรรมด้วยครับ ไม่อยากยึดติดกับอะไร ให้เป็นทุกข์อีกต่อไป

ไม่มีสภาวะใดคงที่เลย

เปลี่ยนไปเรื่อย นั่นนี่โน่น เพราะฉะนั้น ภาคปฏิบัติทางจิต ปฏิบัติธรรม ปฏิบัติกรรมฐาน ปฏิบัติแนวสติปัฏฐาน เป็นต้น ท่านจึงว่า ให้ดูมันเหมือนดูหนังดูละคร ซึ่งรูปนามมันเล่นให้ดูแสดงให้ดู พูดให้เข้าหลักก็ว่าดูไตรลักษณ์ ปัญหาเกิดตอนที่เรายินดียินร้ายเกลียดกลัว เป็นต้นไปกับมัน ท่านจึงให้โยคีกำหนดตามที่มันเป็น

อย่างเราดูลิเกเห็นพระเอกนางเอกถูกตัวโกงนางอิจฉาทำร้ายทุบตี คนที่อินสงสารร้องไห้เสียใจฉันใดก็ฉันนั้น