มันเป็นยังไง รู้สึกยังไง กำหนด
รู้ยังงั้นตามที่มันเป็น ไม่ใช่หนีอารมณ์หนีปัญหา ไม่ใช่ กำหนดจิตตรงๆกับที่เป็นที่รู้สึก เช่น
รู้สึกอึดอัด รู้สึกรำคาญ รู้สึกหงุดหงิด รู้สึก Happy ปุ๊ป กำหนดปั้ป ตรงสภาวะมัน สามสี่หนแล้ว ก็ไปกำหนดลมหายใจเข้า-ออก, พอง-ยุบคือเก่า ลมหายใจเข้า-ออก, พอง-ยุบ เป็นอารมณ์หลัก เกาะหลักไว้
(ลมเข้าก็เข้า ลมออกก็ออก, ท้องพองก็พอง ท้องยุบก็ยุบ ตามให้ทันมันแต่ละขณะๆ) ต่อเมื่อมีอารมณ์อื่นแทรก ให้วางของเก่าไปกำหนดรู้อารมณ์ที่แทรกสะ กำหนดรู้มันตามนั้นแล้วกลับมาอารมณ์หลักอีก ก็แค่นี้ ฝึกทำนองนั้นเรื่อยไป
ผู้ฝึกใหม่ๆ เริ่มที่ ๕-๑๐ นาทีก่อนก็ได้ สมมติว่า ๕ นาที กำหนดแนวนั้นไป ๕ นาทีครบแล้ว เดินจงกรมกำหนดการเคลื่อนไหวซ้ายก้าว ขวาก้าวไป ๕ นาที ก็นั่ง ๕ นาที หรือมีงานอื่นประจำวันติดพันตอนนั้น ก็ไปทำงาน แต่ให้ควบคุมจิตใจให้อยู่กับสิ่งที่ทำอยู่ ณ ขณะนััน แล้วก็ค่อยๆปรับเวลาขึ้นไปๆๆ อีก ไม่ใช่เริ่มฝึกก็ใจใหญ่เล่นทีเป็นชั่วโมงเบย

เป็นสุขก็เป็นสุขหนอ เป็นทุกข์ก็เป็นทุกข์หนอ อึดอัดก็อึดอัดหนอ รำคาญก็รำคาญหนอ อารมณ์เสียก็อารมณ์เสียหนอ ฯลฯ
วิธีแก้แค่นี้เอง (ว่าในใจ) ตามที่มันเป็น รู้ตามที่มันเป็น ไม่ต้องไปควาญหาที่ไหนเลย

จำไว้หลักคือลมหายใจเข้า-ออก แต่ละขณะๆ พอง-ยุบ แต่ละขณะๆ ลมเข้าขณะหนึ่ง ลมออกขณะหนึ่ง, ท้องพองขณะหนึ่ง ท้องยุบขณะหนึ่ง ชอบพูดกันว่าปัจจุบันอารมณ์ นี่แหละปัจจุบันอารมณ์

ปัจจุบันธรรม ปัจจุบันขณะ ก็นี่ล่ะ
ไม่ใช่นั่งหลับๆตื่นๆพุทโธๆๆ นั่งหลับๆตื่นๆพองหนอ ยุบหนอ ไม่ใช่ๆ ต้องทันมันแต่ละขณะๆดังว่า
หรือไปหนีความคิด หนีความรำคาญ รีบท่องพุทโธเร็วๆรัวๆ หนีใหญ่ พุทโธๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ อะไร ทำอะไรกัน พองยุบก็ไปทำกันทำนองนั้น พองยุบๆๆๆๆๆๆๆๆ รัวหนีใหญ่ จะหนีความคิดหนีอารมณ์ หนีความรำคาญว่างั้นเถอะ จะหนีมันไปไหน

หนีมันไม่พ้นหรอก ต่อให้ดำน้ำอยู่ มันก็ตามไปด้วย ต้องรู้จักเข้าใจมันซี่ ทุกขสมุทัย ท่านให้ปริญญา (ปริญญากิจ) คือ กำหนดรู้
ทาง
กายก็เหมือนกัน รู้สึกว่ากายโยกโคลง เป็นต้น ก็กำหนดไปตามความรู้สึก ถึงกายมันจะสั่นจะโยกจะโคลงเอนไปโอนมาจริง ก็กำหนดจิตไปตามนั้น ไม่ฝืนไม่ต้านสภาวธรรม ชอบพูดกันทั่วๆไปว่า กายไม่ใช่เรา จิตก็ไม่ใช่เรา มันเป็นอนัตตาบังคับบัญชาไม่ได้ ก็นั่นแหละมันไม่ใช่เรา บังคับมันไม่ได้ ท่านจึงให้กำหนดรู้ตามที่มันเป็นของมัน

ปฏิบัติได้กำหนดได้ทันทั้งกายทั้งทางความรู้สึกนึกคิดทุกสภาวะแล้ว
สติปัฏฐานเข้าทุกข้อ โดยไม่ต้องอ้างอิงแต่อย่างใด
จะสุขจะทุกข์ยังไงกำหนดทัน ไม่ใช่ประสบสุขนึกยิ้ม

อยู่ในใจ ชอบ พอประสบทุกข์ไม่เอาแล้วลุกหนีเลย ไม่ใช่ สุขก็กำหนดด้วย Happy ก็หนด Happy หนอๆๆๆ สุขหนอๆๆๆ ว่าในใจ พูดในใจ กำหนดรู้ตามที่มันเป็น
มิใช่รู้ตามที่เรา
อยากให้มันเป็นหรือ
ไม่อยากให้มันเป็น

มีตัวอย่าง กำหนดรู้
ตามที่ตัวเองอยากให้มันเป็น ดู

> หลายท่านนั่งสมาธิด้วยวิธีดูลมหายใจ (อานาปานสติ) หรือภาวนาพุทโธ หรือเพ่งกสิณ หรือสติปัฏฐาน 4 แต่จิตไม่เคยสงบเป็นสมาธิเลย
สาเหตุ เพราะท่านทั้งหลายไม่เคยเจอ และรู้จัก “ผู้รู้” ภายใน
“ผู้รู้” คือใครรู้ การจับความรู้สึกของลมหายใจเข้า ออก รู้อยู่ไหนนั่นแหละ คือ “ผู้รู้” การภาวนาพุทโธ ระลึกรู้คำว่า พุทโธ นั่นแหละ คือ “ผู้รู้” การเพ่งดวงกสิณเห็นดวงกสิณเด่นชัด “ผู้รู้” ก็อยู่กับดวงกสิณ
การทำสติปัฏฐาน 4 ระลึกรู้ถึงกายทั่วพรัอม “ผู้รู้” ก็อยู่ที่กาย
ตั้งสติระลึกรู้ อยู่กับ “ผู้รู้” นั้นมากๆ ผู้รู้จะค่อยเด่นชัดมากขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายจะเหลือแต่ “ผู้รู้” รวมเด่นชัด
บางทีก็เป็นแก้วประกายพรึก สว่างไสวทุกทิศทุกทาง ท่ามกลางความว่างไม่มีประมาณ เป็นเอกัคตาและอุเบกขา มีแต่ความสงบไม่รับรู้ถึงกาย ลมหายใจ ความคิด ความรู้สึกสุขและทุกข์อีกต่อไป…
หลายท่านนั่งสมาธิด้วยวิธีดูลมหายใจ (อานาปานสติ) หรือภาวนาพุทโธ หรือเพ่งกสิณ หรือสติปัฏฐาน 4 แต่จิตไม่เคยสงบเป็นสมาธิเลย - Pantip
นั่นแหละ
รู้ตามที่ตัวเองอยากให้มันเป็น 
ตามหาผู้รู้ ก็จะเห็นแต่สิ่งที่อยากให้เป็น ซึ่งไม่ใช่ธรรมะ ไม่ใช่ธรรมชาติ แต่เป็นมโนภาพ
* หลักจงกรม
https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=samathijit&month=19-11-2024&group=98&gblog=12