กรรมเก่า คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ.เป็นเจ้าบทบาทเดิม จากนั้น การศึกษาอาศัยปรโตโฆสะ ซึ่งมีคติว่า "คนเป็นไปตามสภาพแวดล้อมที่ปรุงปั้น" และโยนิโสมนสิการ ซึ่งมีคติย้อนกลับว่า "ถ้าเป็นคนรู้จักคิด แม้แต่ฟังคนบ้าคนเมาพูด ก็อาจสำเร็จเป็นพระอรหันต์"
space
space
space
<<
มิถุนายน 2564
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
space
space
15 มิถุนายน 2564
space
space
space

ไม่ต้องเถียงกัน มันชื่อว่าค้างคาว






ทำไมมีปีกล่ะหนู ทำไมมีหูล่ะนก อ๋อ ไม่ต้องถกเถียงกัน มันชื่อว่าค้างคาว

> ตามปกติ  คนเราคิดเห็นไปได้ในขอบเขตของความรู้  ทีนี้  ถ้ารู้จักคิด ก็จะช่วยให้ก้าวไปในการหาความรู้  จึงให้คิดควบคู่ไปกับการหาความรู้ ให้การคิดเป็นเครื่องมือของการหาความรู้ แล้วหาความรู้เพื่ออะไร ก็เพื่อให้ถึงความจริง

   มองในทางกลับกัน ในการหาความรู้นั้น เมื่อยังไม่ถึงความจริง ก็จึงยังคิดเห็นกันไป แต่พอถึงความจริง เมื่อเห็นความจริงแล้ว ก็ไม่ต้องคิดเห็น คือไม่ต้องคิดเห็นเพื่อหาความรู้ให้เห็นความจริงในเรื่องนั้น พูดสั้นๆว่า พอรู้แน่ชัดแล้ว เมื่อเห็นความจริงแล้ว ก็ไม่ต้องมัวคิดเห็น ถ้าจะคิด ก็คิดในการที่จะเอาความรู้ไปใช้ต่อไป


    ทีนี้ ในตอนที่ยังไม่เห็นความจริง ก็หาความรู้กันอยู่นั่น คนก็คิดเห็นกันไปในขอบเขตของความรู้ที่ตัวมี ตอนนี้ ก็จะคิดเห็นปรุงแต่งไปต่างๆ ก็คือเอาความรู้ที่มีอยู่นั่นแหละมาปรุงแต่ง ก็ปรุงแต่งออกมาในรูปต่างๆ รวมทั้งที่เรียกว่าการวิจารณ์


    ถ้าปรุงแต่งดี ก็เป็นการสร้างสรรค์ รวมทั้งเป็นการก้าวไปในการหาความรู้ ที่จะไปถึงความจริง แต่ถ้าปรุงแต่งไม่เป็น หรือแต่งร้าย ก็จะกลายเป็นเสียหาย เหลวไหล จนเตลิดเปิดเปิง เริ่มตั้งแต่เป็นการปั้นแต่ง แล้วเรื่องไม่เป็นเรื่อง หรือเรื่องไม่เข้าเรื่อง ก็จะเกิดขึ้น แทนที่จะเพิ่มความรู้ ก็กลายเป็นความหลอก แทนที่จะใกล้ความจริงเข้าไป ก็กลายเป็นยิ่งห่างไกลความจริง

    ที่ว่านี้ ในแง่หนึ่งก็คือบอกว่า ในการคิดเห็นต่างๆ รวมทั้งการวิจารณ์ จะต้องมีความจริงเป็นฐาน คือบนฐานของความรู้ในความจริง ที่มีอยู่ เราจะได้ก้าวต่อสู่ความรู้ในความจริงยิ่งขึ้นไป ตลอดถึงว่า เมื่อยืนอยู่บนฐานของความรู้ที่เป็นจริง เราก็จะสามารถคิดการในทางที่ดีงามสร้างสรรค์แก้ปัญหาได้อย่างดีที่สุดด้วย


   เป็นอันว่า เมื่อเห็นความจริง ก็ไม่ต้องมัวอยู่กันแค่ความคิดเห็น ไม่ต้องอยู่กันแค่วิจารณ์ จึงควรก้าวไปในความรู้ที่จะเข้าถึงความจริง ไม่ควรจมอยู่กับความคิดเห็น หรือแม้แต่วิจารณ์กันไป เหมือนดังไม่มีจุดหมาย อันถือได้ว่าเป็นความประมาทอย่างหนึ่ง

   เล่าเป็นนิทานว่า  ครั้งหนึ่ง  มีค้างคาวตัวหนึ่ง   บินไปตกลงที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง  ที่ชาวหมู่บ้านไม่เคยเห็น  ไม่รู้จักค้างคาวกันเลย

   ชาวบ้านคนหนึ่ง มาเห็นค้างคาวนั้น ก็แปลกใจมาก มองดูก็ไม่รู้ว่าเป็นตัวอะไร มีปีกบินได้เหมือนนก แต่ทำไมมีหู แล้วรูปร่างก็เหมือนหนู แต่ทำไมมีปีก คิดไม่ออก จึงไปเรียกเพื่อนชาวบ้านมาดู

   พอหลายคนดู ต่างคนก็ต่างคิดเห็น แล้วก็วิจารณ์กันไป บ้างว่า นกนั่นแหละแต่มันเกิดมาผิดพวก จึงมีหูด้วย บ้างว่าหนูนั่นแหละ แต่เป็นพันธ์พิเศษมีปีก คิดเห็นกันไป ก็วิจารณ์กันไป บางคนว่ากันแรง แล้วก็เถียงกันแรงขึ้นๆ เสียงดังขึ้นๆ ทำท่าจะมีเรื่อง

   พอดีมีคนมาจากต่างถิ่น ได้ยินเสียงเถียงกันดัง ก็เข้ามาดู ถามรู้เรื่องแล้ว คนต่างถิ่นนั้นก็บอกให้ฟังว่า นี่ไม่ใช่ตัวประหลาดอะไรหรอก มันเป็นสัตว์ชนิดหนึ่ง ในถิ่นของเขามีมาก มันชอบอยู่กันในถ้ำ ออกไปหากินกลางคืน เป็นอย่างนั้นๆ มันมีชื่อว่าค้างคาว

  พอรู้ความจริง ทุกอย่างก็สงบ  ชาวบ้านเลิกเถียงกัน  หันมาบันเทิง

  นี่คือคนคิดเห็นกันไปในขอบเขตของความรู้ที่มี พอความรู้ไปถึง เห็นความจริง ก็ไม่ต้องคิดเห็น จึงควรก้าวกันไปในความรู้ อย่าอยู่แค่ความคิดเห็น จงฝึกคิดให้ดีคิดให้เป็น ให้ได้ความรู้ ให้ถึงความจริง ที่จะแก้ปัญหาได้ ทำจุดหมายที่ดีงามให้สำเร็จ



 


Create Date : 15 มิถุนายน 2564
Last Update : 9 ธันวาคม 2566 22:11:43 น. 0 comments
Counter : 564 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 
space

สมาชิกหมายเลข 6393385
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]






space
space
[Add สมาชิกหมายเลข 6393385's blog to your web]
space
space
space
space
space