จิต เปรียบเหมือนแมงมุม ข่ายเปรียบเหมือนอายตนะภายใน คือ
ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ปกติแมงมุมจะหมอบนิ่งอยู่จุดจะรับรู้แรงกระเพื่อม เมื่อมีแมลงมากระทบข่าย รับรู้แล้ววิ่งไปจับเหยื่อเอาใยพันๆเจาะกินเหยื่อแล้วปล่อยแล้วกลับมาที่เดิมคอยสังเกตไปใหม่ ฉันใด จิตฉันนั้น รับรู้เมื่อมีอารมณ์ผ่านเข้ามาทางตา ทางหู เป็นต้น ซึ่งปกติคนทั่วๆไป
ไม่เคยกำหนดรู้ที่ต้นอายตนะทั้งชีวิตของเขา ปล่อยผ่านเลยถึงเกิดความยินดี ยินร้าย ชอบใจ ไม่ชอบใจต่ออารมณ์นั้นๆ กลายเป็นตัณหา อุปาทานเหนี่ยวแน่นมันจึงยาก การกำหนดรู้อารมณ์ทางใจ เช่น ความรู้สึกนั่นนี่โน่น ก็เหมือนค่อยๆฝึกหัดตัดวงจร (กิเลส ตัณหา อุปาทาน) ทีละน้อยๆ วงจรนั่นก็ค่อยๆบางๆ เมื่อสติปัญญามีกำลังมากกว่าวงจรก็ขาด ตัดวงธรรมชาติได้

พื้นชีวิต
https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=samathijit&month=11-11-2023&group=88&gblog=107
อายตนะเป็นจุดเริ่มต้น
https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=samathijit&month=01-10-2023&group=88&gblog=26คคห. จขกท. เพิ่มความคิดเห็นที่ 15-1ขอบคุณนะคะ เริ่มเข้าใจบ้างแล้วค่ะ เช่น โกรธแล้ว
รู้ทันว่าโกรธ แล้ว
รู้ทันว่ามีอาการ
ไม่ชอบความโกรธ แบบนี้ใช่ไหมคะ

จขกท. ใช้คำพูดว่า
รู้ทัน แบบสำเร็จรูปมาแล้ว ก็ใช่ คือ
รู้ทัน แต่ถ้าพูดอย่างผู้ฝึกหัดพัฒนาจิต ซึ่งมันละเอียดทุกๆ ขณะจิตแล้ว
ยังวางใจไม่ได้กับคำพูดนั้น 
หมายความว่าในขณะที่เรากำลังปฏิบัติอยู่นั้นเรารู้ไม่ทันทุกขณะทุกอารมณ์, ที่พอรู้ก็ไม่ชัด จึงแนะนำว่า ขณะนั้นรู้สึกยังไง เป็นยังไง (ว่าในใจ) พึงกำหนดยังงั้นๆ เช่น
รู้สึกไม่ชอบปุ๊บ กำหนดปั้ป
ไม่ชอบหนอๆๆ
รู้สึกรำคาญปุ๊บ กำหนดปั้ป
รำคาญหนอๆๆๆ ฯลฯ ทั้งทางกายทางใจ กำหนดรู้ตามที่รู้สึกในขณะนั้นๆทั้งนั้น ไม่ปล่อยผ่านเรื่อยเปื่อยโดยไม่กำหนดรู้ตามที่มันเป็น

ดู ตย. นี้ ประกอบความเข้าใจ เรื่อง
กำหนดรู้ตามที่มันเป็น กับ
ไม่กำหนดรู้ตามที่มันเป็น
https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=samathijit&month=09-12-2023&group=5&gblog=105- ร้อยทั้งร้อยนักบำเพ็ญเพียรทางจิต มักไม่กำหนดรู้ตามเป็นจริง อารมณ์ใดเกิดก็ปล่อยผ่านไปตามฤทธิ์ตามเรื่อง จึงแก้ปัญหาทางจิตไม่สำเร็จ (สรุปสุดท้ายคือรู้ไม่ทันความคิดแต่ละขณะๆ)
- ตีคำพูดนี่ให้แตก กำหนด
รู้ตามที่มันเป็น 
มันเป็นยังไงก็ยังงั้น จะดีจะเลวจะชอบใจไม่ชอบใจ ก็ตามนั้นตรงๆ ไม่เลี่ยงหนีสภาวธรรม

ให้ดูตัวอย่างที่เขา
ไม่กำหนดรู้ตามที่มันเป็น
ความคิดเห็นที่ 6ตอนแรกดิฉันมีอาการ
ผิดปกติทางกายแล้วไปถามผู้สอน แล้วได้คำตอบที่ไม่สมเหตุผลมากเลยจึงขาดความไว้ใจในตัวผู้สอน
คราวนี้พอเกิดอย่างอื่นตามมาก็ไม่ได้ถามอีก ต่อมาทั้ง
ตาฝาด หูแว่ว ได้ยินอะไรแบบพิเศษจากปกติ ก็คิดว่าตัวเองวิเศษ ไม่ไปถามผู้ฝึกสอนอีกเพราะขาดความไว้วางใจ แถมหลงในสิ่งลวงนั้นแล้วด้วย เป็นหนักจนต้องไปอยู่โรงพยาบาล และก็รักษาจนรู้ตัวและเข้าใจแล้วว่าเป็นเรื่องไม่จริง
แต่ยังมีอาการอย่างนึงที่ยังไม่หายคือ
ใจแว่ว (ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรดีค่ะ เพราะมันคลายหูแว่ว แต่เสียง
เหมือนมีคนอื่นพูดมาจากใจเรา) กินยาตามหมอสั่งมาก็หลายเดือนก็ยังไม่หาย ยังงงอยู่ว่าเป็นไปได้อย่างไร
เสียงที่ได้ยินบอกว่าไม่หายหรอก ต้องเป็นคนจิตผิดปกติไปตลอดบ้างละ ต้องไปฝึกสมาธิต่อให้หายบ้างละ ฟังไปก็งงไปเรื่อยค่ะ เข้าใจว่ามันเป็นอาการจิตเภทแบบที่หมอบอก แต่ไม่รู้ว่าต้องเดินทางไปสุดวิธีรักษาแบบคนเป็นโรคจิต หรือควรกลับมาทางทำสมาธิแทน แต่กลัวตอนที่ร่างกายผิดปกติ กลัวเป็นอีกแล้วจะไม่หายคราวนี้
ความคิดเห็นที่ 8แล้วอาการทาง
กายล่ะคะ คุณเคยได้ยินว่ามี
คนผิดปกติทางกายจากการฝึกสมาธิแล้วไม่หายไหมคะ เพราะมันเป็นเหตุนึงที่ดิฉันกลัว จึงไม่กล้าทำอีก เพราะตอนที่เป็นนั้น
เหมือนมีคนมาจับหน้าเราบิดแรงๆไปมาตลอดเวลา ตอนออกจากสมาธิก็ยังเป็น ตอนนั้นค่อนข้างหวั่นใจ แต่ก็อดทนนั่งจนหายไป ใช้เวลาช่วงนั้นราวสองวันค่ะ กลัวว่าคราวนี้ทำอีกแล้วเกิดมันเป็นอีก แล้วไม่หายจะแย่
PANTIP.COM : Y9785609 ประสบการณ์จากการฝึกสมาธิ []