กรรมเก่า คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ.เป็นเจ้าบทบาทเดิม จากนั้น การศึกษาอาศัยปรโตโฆสะ ซึ่งมีคติว่า "คนเป็นไปตามสภาพแวดล้อมที่ปรุงปั้น" และโยนิโสมนสิการ ซึ่งมีคติย้อนกลับว่า "ถ้าเป็นคนรู้จักคิด แม้แต่ฟังคนบ้าคนเมาพูด ก็อาจสำเร็จเป็นพระอรหันต์"
space
space
space
<<
พฤษภาคม 2567
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
space
space
19 พฤษภาคม 2567
space
space
space

ไม่จมแช่ กำหนดรู้แล้วปล่อยๆ

235 จขกท. เพิ่มเติม  450

> ปัญหาเรื่องนั่งสมาธิ เดินจงกรม

ดิชั้นนั่งสมาธิ เดินจงกรมมา สัก 7 เดือนแล้วค่ะ สาเหตุที่มานั่งเพราะรู้สึก เป็นคนใจร้อน ไม่มีสติ สมาธิสั้น หงุดหงิดง่าย

ก็เลยเริ่มมานั่งสมาธิ แต่ก็ไม่รุ้นั่งผิดหรือถูกนะคะ นั่งๆไป ก็ทำให้รู้สึก ใจเย็นลงมากๆๆๆค่ะ อย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังไม่สนิท มีบางที บางช่วง ใจเย็นมากๆ แต่บางช่วงก็กลับมาหงุดหงิดเหมอืนเดิม ดิชั้นอยากแก้ตรงจุดนี้นะคะ เพราะมันจะค่อนข้าง สลับไปสลับมาค่ะ

เข้าเดือนที่ 4 ก็เริ่มเดินจงกรม สลับ นั่งสมาธิ ก็เห็นว่า มีสติมากยิ่งขึ้น รู้ทันความคิดตัวเอง เห็นความโกรธตัวเองมากขึ้น ช่วงหลังได้มีการศึกษาในกูเกิ้ลหลายๆทาง ก็เริ่jมที่จะเดินจงกรมอย่างเดียว ละทิ้งการนั่งสมาธิ  (ซึ่งไม่รู้ถูกไหม)  แรกๆก็ดีนะคะมีสติมากๆ ทันความคิดทุกอย่าง ใจเย็น แต่พอมาสักพัก  ก็เหมือนจะกลับมาใจร้อน  หงุดหงิดขึ้นเหมือนเดิม  แต่จะไม่ส่งอาการออกนอกกาย จะรู้สึกอยู่ภายในใจ  ซึ่งดิชั้นค่อนข้างไม่ค่อยชอบ อยากแก้ตรงจุดนี้มากๆค่ะ มีท่านใด พอจะแนะให้ดิชั้นดีขึ้นกว่าเดิมได้บา้งคะ

....... หากใคร ดูกระทู้เก่าๆเมื่อหลายปีมากๆแล้ว จะทราบว่า ดิชั้นเป็นโรคไบโพล่านะคะ แต่รักษา จน ทุกวันนี้ ไม่รู้เรียกว่าหายไหมนะคะ

แต่ใช้ชีวิตได้เป็นปกติมากแล้วค่ะ ชีวิตดีขึ้นกว่าเดิมเยอะมากๆค่ะ ทุกวันนี้อารมณ์จะไม่ดีดจนเกินไป ไม่เศร้าดิ่งเลย  เวลามีสิ่งเร้ามากระทบจิตใจ ก็พอจะรู้ทันบ้างแล้ว  ไม่ปรุงแต่งต่อค่ะ



ความคิดเห็นที่ 6-1
หายแล้วค่ะหลังจากรักษามานานหลายปี จนตอนนี้กลับมาใช้ชีวิตปกติ ทำงานได้ปกติ ไม่มีอาการไฮเปอร์มากผิดปกติ หรือ เศร้าดิ่งจนทำอะไรไม่ได้ แล้วค่ะ ทุกวันนี้ กิน นอน ปกติ แล้วค่ะ มีเรื่องมากระทบ ก็รู้ทันแล้วค่ะ แต่แค่อยากให้ดีขึ้นยิ่งๆขึ้นไปนะคะ เลยมาปรึกษาในห้องนี้ค่า

ความคิดเห็นที่ 8
ที่คุณยังขาดคือ ความเป็นกลาง คุณยังรำคาญใจที่จิตไม่เที่ยง จิตควบคุมไม่ได้ดั่งใจ เป็นโกรธ ซ้อนโกรธ เช่น พอมีสติเห็นความโกรธ แล้วก็หงุดหงิด ทำไมใจโมโหง่ายจัง คุณก็มีสติ รู้ความหงุดหงิดตัวเอง ความไม่ชอบที่ตัวเองหงุดหงิดอีกชั้น ใจก็จะค่อยๆเป็นกลางมากขึ้น

ถ้าให้ดีสังเกตเพิ่มไปอีก ถึงความไม่เที่ยง ความควบคุมไม่ได้ของจิตใจ อันนี้ถ้าทำได้จะเป็นการเจริญปัญญา จะให้ผลคลายความยึดติดหลายอย่างในใจ และให้สมาธิตั้งมั่นด้วย พอสมาธิดี สติก็เข้มแข็งเกิดบ่อย

ความคิดเห็นที่ 8-1
ขอบคุณมากๆนะคะ ใช่เลยนะคะ สิ่งที่คุณบอก ดิชั้นรำคาญใจมากๆเลยเวลาดิชั้นสังเกตุความโกรธ ความหงุดหงิด ความใจร้อนในใจ ของดิชั้นค่ะ เหมือนมันซ้อนกันเลยค่ะ ดิชั้นขอบคุณมากๆนะคะ ดิชั้นจะพยายามสังเกตุความไม่เที่ยงดูนะคะ

ปัญหาเรื่องนั่งสมาธิ เดินจงกรม - Pantip



235 จขกท. ยังต้องฝึกหัดพัฒนาจิตไปอีกไปๆๆจนถึงสภาวะที่เรียก สังขารุเปกขาญาณ โน่น จิตจึงจะเป็นกลางอย่างแท้จริง ซึ่งก็พัฒนามันด้วยการกำหนดอารมณ์ (สิ่งเร้า) ที่กระทบทุกๆขณะนี่เอง  กำหนดรู้แล้วปล่อยๆๆ แล้วกลับมากำหนดกรรมฐานเดิม  เช่น ลมหายใจเข้า-ออก หรือ พอง-ยุบ  เป็นต้น  ไม่จมแช่อยู่กับอารมณ์  เช่น  ความรำคาญ  ความโกรธ  ความหงุดหงิด ความร้อนรนในใจ เป็นต้น  กำหนดรู้  (ว่าในใจ เหมือนพูดในใจ) ตามที่มันเป็น ตามที่รู้สึกด้วย ไม่ยังงั้น วงจร (ความคิด) นั้นๆ ไม่ขาด  เช่น   รู้สึกหงุดหงิดปุ๊บ กำหนดปั้บ หงุดหงิดหนอๆๆ ๓-๔ ครั้งแล้วปล่อย   ดึงสติกลับมาที่ฐานหลัก  เช่น  ลมหายใจเข้า-ออก หรือ พอง-ยุบ ว่าไปตามวิธี  มีอารมณ์ใดแทรกเข้ามาอีก  ปล่อยฐานหลัก   ไปกำหนดรู้อารมณ์ตามที่รู้สึกนั่น  รู้สึกยังไงกำหนดยังงั้น  กำหนดรู้มันแล้วปล่อย    ดึงความรู้สึกไปที่หลักต่ออีก  ฯลฯ   ฝึกหัดพัฒนาไปทำนองนี้ จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี  11 อย่าใจร้อนคิดเอาให้ได้ดังความยึดความอยากของตัวเอง มันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก     121    เหมือนเราจะดื่มน้ำชาซึ่งรินจากกาใหม่ๆควันยังโขมงอยู่ ต้องเป่าๆก่อนแล้วค่อยๆซดเอาทีละนิดๆ  เออ   ชื่นใจ  ถ้าใจร้อนซดพรวดเข้าปากเลย ลิ้นพองหมด 


235 วิปัสสนาญาณ ๙

https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=samathijit&month=25-11-2024&group=122&gblog=4


235 สาระสำคัญของสติปัฏฐาน

https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=samathijit&month=29-10-2023&group=82&gblog=85
 

เพื่อให้เห็นภาพเรื่องที่พูดชัด  ใช้ตัวแมงมุมกับใยแมงมุมเป็นเครื่องประกอบความเข้าใจ  9
 



จิต เปรียบเหมือนแมงมุม  ข่ายเปรียบเหมือนอายตนะภายใน คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ปกติแมงมุมจะหมอบนิ่งอยู่จุดจะรับรู้แรงกระเพื่อม เมื่อมีแมลงมากระทบข่าย รับรู้แล้ววิ่งไปจับเหยื่อเอาใยพันๆเจาะกินเหยื่อแล้วปล่อยแล้วกลับมาที่เดิมคอยสังเกตไปใหม่ ฉันใด จิตฉันนั้น   รับรู้เมื่อมีอารมณ์ผ่านเข้ามาทางตา ทางหู เป็นต้น ซึ่งปกติคนทั่วๆไป  ไม่เคยกำหนดรู้ที่ต้นอายตนะทั้งชีวิตของเขา  ปล่อยผ่านเลยถึงเกิดความยินดี  ยินร้าย  ชอบใจ  ไม่ชอบใจต่ออารมณ์นั้นๆ กลายเป็นตัณหา อุปาทานเหนี่ยวแน่นมันจึงยาก การกำหนดรู้อารมณ์ทางใจ เช่น ความรู้สึกนั่นนี่โน่น  ก็เหมือนค่อยๆฝึกหัดตัดวงจร  (กิเลส ตัณหา อุปาทาน) ทีละน้อยๆ วงจรนั่นก็ค่อยๆบางๆ เมื่อสติปัญญามีกำลังมากกว่าวงจรก็ขาด ตัดวงธรรมชาติได้
 

235 พื้นชีวิต

https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=samathijit&month=11-11-2023&group=88&gblog=107

235 อายตนะเป็นจุดเริ่มต้น 

https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=samathijit&month=01-10-2023&group=88&gblog=26

คคห. จขกท. เพิ่ม

ความคิดเห็นที่ 15-1
ขอบคุณนะคะ เริ่มเข้าใจบ้างแล้วค่ะ เช่น โกรธแล้วรู้ทันว่าโกรธ แล้วรู้ทันว่ามีอาการไม่ชอบความโกรธ  แบบนี้ใช่ไหมคะ

235 จขกท. ใช้คำพูดว่า รู้ทัน แบบสำเร็จรูปมาแล้ว ก็ใช่ คือ รู้ทัน  แต่ถ้าพูดอย่างผู้ฝึกหัดพัฒนาจิต ซึ่งมันละเอียดทุกๆ ขณะจิตแล้ว  ยังวางใจไม่ได้กับคำพูดนั้น   11หมายความว่าในขณะที่เรากำลังปฏิบัติอยู่นั้นเรารู้ไม่ทันทุกขณะทุกอารมณ์, ที่พอรู้ก็ไม่ชัด   จึงแนะนำว่า  ขณะนั้นรู้สึกยังไง  เป็นยังไง   (ว่าในใจ)  พึงกำหนดยังงั้นๆ  เช่น  รู้สึกไม่ชอบปุ๊บ   กำหนดปั้ป   ไม่ชอบหนอๆๆ   รู้สึกรำคาญปุ๊บ  กำหนดปั้ป  รำคาญหนอๆๆๆ  ฯลฯ  ทั้งทางกายทางใจ  กำหนดรู้ตามที่รู้สึกในขณะนั้นๆทั้งนั้น  ไม่ปล่อยผ่านเรื่อยเปื่อยโดยไม่กำหนดรู้ตามที่มันเป็น 

235 ดู ตย. นี้  ประกอบความเข้าใจ เรื่องกำหนดรู้ตามที่มันเป็น กับ ไม่กำหนดรู้ตามที่มันเป็น

https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=samathijit&month=09-12-2023&group=5&gblog=105

- ร้อยทั้งร้อยนักบำเพ็ญเพียรทางจิต  มักไม่กำหนดรู้ตามเป็นจริง อารมณ์ใดเกิดก็ปล่อยผ่านไปตามฤทธิ์ตามเรื่อง  จึงแก้ปัญหาทางจิตไม่สำเร็จ  (สรุปสุดท้ายคือรู้ไม่ทันความคิดแต่ละขณะๆ) 

- ตีคำพูดนี่ให้แตก  กำหนดรู้ตามที่มันเป็น 11  มันเป็นยังไงก็ยังงั้น จะดีจะเลวจะชอบใจไม่ชอบใจ ก็ตามนั้นตรงๆ  ไม่เลี่ยงหนีสภาวธรรม


235 ให้ดูตัวอย่างที่เขาไม่กำหนดรู้ตามที่มันเป็น

ความคิดเห็นที่ 6
ตอนแรกดิฉันมีอาการผิดปกติทางกายแล้วไปถามผู้สอน แล้วได้คำตอบที่ไม่สมเหตุผลมากเลยจึงขาดความไว้ใจในตัวผู้สอน
คราวนี้พอเกิดอย่างอื่นตามมาก็ไม่ได้ถามอีก ต่อมาทั้งตาฝาด หูแว่ว ได้ยินอะไรแบบพิเศษจากปกติ  ก็คิดว่าตัวเองวิเศษ  ไม่ไปถามผู้ฝึกสอนอีกเพราะขาดความไว้วางใจ แถมหลงในสิ่งลวงนั้นแล้วด้วย เป็นหนักจนต้องไปอยู่โรงพยาบาล และก็รักษาจนรู้ตัวและเข้าใจแล้วว่าเป็นเรื่องไม่จริง
แต่ยังมีอาการอย่างนึงที่ยังไม่หายคือใจแว่ว  (ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรดีค่ะ เพราะมันคลายหูแว่ว แต่เสียงเหมือนมีคนอื่นพูดมาจากใจเรา)   กินยาตามหมอสั่งมาก็หลายเดือนก็ยังไม่หาย ยังงงอยู่ว่าเป็นไปได้อย่างไร  เสียงที่ได้ยินบอกว่าไม่หายหรอก ต้องเป็นคนจิตผิดปกติไปตลอดบ้างละ ต้องไปฝึกสมาธิต่อให้หายบ้างละ  ฟังไปก็งงไปเรื่อยค่ะ  เข้าใจว่ามันเป็นอาการจิตเภทแบบที่หมอบอก แต่ไม่รู้ว่าต้องเดินทางไปสุดวิธีรักษาแบบคนเป็นโรคจิต หรือควรกลับมาทางทำสมาธิแทน แต่กลัวตอนที่ร่างกายผิดปกติ กลัวเป็นอีกแล้วจะไม่หายคราวนี้


ความคิดเห็นที่ 8
แล้วอาการทางกายล่ะคะ  คุณเคยได้ยินว่ามีคนผิดปกติทางกายจากการฝึกสมาธิแล้วไม่หายไหมคะ  เพราะมันเป็นเหตุนึงที่ดิฉันกลัว จึงไม่กล้าทำอีก เพราะตอนที่เป็นนั้น  เหมือนมีคนมาจับหน้าเราบิดแรงๆไปมาตลอดเวลา ตอนออกจากสมาธิก็ยังเป็น ตอนนั้นค่อนข้างหวั่นใจ แต่ก็อดทนนั่งจนหายไป ใช้เวลาช่วงนั้นราวสองวันค่ะ กลัวว่าคราวนี้ทำอีกแล้วเกิดมันเป็นอีก แล้วไม่หายจะแย่

PANTIP.COM : Y9785609 ประสบการณ์จากการฝึกสมาธิ []

 



Create Date : 19 พฤษภาคม 2567
Last Update : 17 มีนาคม 2568 13:13:29 น. 0 comments
Counter : 259 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 
space

สมาชิกหมายเลข 6393385
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]






space
space
[Add สมาชิกหมายเลข 6393385's blog to your web]
space
space
space
space
space