สะพานผ่านฟ้าลีลาศ เป็นสะพานข้ามคลองรอบกรุง ตอนที่เรียกว่าคลองบางลำพู เชื่อมถนนราชดำเนินกลางและถนนราชดำเนินนอก บริเวณใกล้กับป้อมมหากาฬสะพานผ่านฟ้าลีลาศ สร้างในปีใดไม่ปรากฏหลักฐาน แต่สันนิษฐานว่าน่าจะสร้างพร้อมกับถนน เดิมเป็นสะพานโครงเหล็ก ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้สร้างสะพานใหม่ให้มีลักษณะใหม่และงดงามขึ้น และพระราชทานนามว่า สะพานผ่านฟ้าลีลาศแยกผ่านฟ้าลีลาศจากสะพานผ่านฟ้า เดินชิดขวา เลี้ยวขวา มาที่สะพานมหาดไทยอุทิศซ้ายมือเรา - พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ไว้ขาออกมาค่อยมาแวะค่ะ ... ว่าไปเส้นนี้เคยอัปบล็อกไปแล้วล่ะค่ะคลองรอบกรุง ตอนที่เรียกว่าคลองบางลำพูสะพานมหาดไทยอุทิศสวนสาธารณะป้อมมหากาฬ คลองบางลำพูสะพานมหาดไทยอุทิศ เปิดใช้เป็นทางการเมื่อวันที่ ๒๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๕๗ เป็นสะพานของถนนบริพัตร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย เพื่อข้ามคลองมหานาค ณ จุดบรรจบระหว่างคลองมหานาคกับคลองรอบกรุง หรือ คลองโอ่งอ่าง-บางลำพู มาเชื่อมกับถนนดำรงรักษ์และถนนหลานหลวง รวมทั้งถนนราชดำเนินสะพานมหาดไทยอุทิศตั้งอยู่ใกล้ภูเขาทอง วัดสระเกศและป้อมมหากาฬ สร้างขึ้นเพื่อเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวบรมบรรพต หรือ เจดีย์ภูเขาทองศาลาหลวงพ่อดวงดีพระวิหารหลวงพ่อดำหลวงพ่อดำ เป็นพระปิดทองปางมารวิชัย หน้าตักกว้าง ๔ ศอก สันนิษฐานว่าเป็นฝีมือปั้นยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นพระพุทธรูปที่คู่กับบรมบรรพต (ภูเขาทอง) มาตั้งแต่ต้น เล่ากันว่าสร้างไว้เพื่อให้เจ้านายและพุทธบริษัททั่วไป ที่ไม่สามารถขึ้นไปบูชาองค์พระบรมบรรพตได้บูชาที่พระพุทธรูปองค์นี้30 ธันวาคม 2563 ยังอยู่ในช่วงโควิด-19 ระบาดขึ้นบันไดไป 344 ขั้นตามมาค่ะวิวมุมสูงวัดราชนัดดาวัดสุทัศน์ โรงเรียนเบญจมราชาลัย วัดอรุณพระวิหารบรมบรรพต นามพระราชทาน ที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เปลี่ยนชื่อเดิมคือ “พระเจดีย์ภูเขาทอง”แต่ชาวไทยนิยมเรียกง่าย ๆ กันว่า เจดีย์ภูเขาทอง พระเจดีย์องค์นี้ นับเป็นพุทธสถานที่สำคัญของวัดสระเกศราชวรมหาวิหารเหมือนกับพระปรางค์วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร นับเป็นสัญลักษณ์ของวัดที่คนทั่วโลกรู้จักกันมากกว่าพุทธสถานรอบวัดสะพานพระราม 812.44 น. ลงแล้วค่ะแร้งวัดสระเกศ
หลวงพ่อโต เป็นพระพุทธรูปหล่อ ปิดทอง ในสมัยรัชกาลที่ ๓ หน้าตักกว้าง ๗ ศอก ๑ คืบ ส่วนสูง ๑๐ ศอก
หลวงพ่อโต หันพระพักตร์ไปทางคลองมหานาค ที่ขุดผ่านบริเวณวัด หันหลังให้ภูเขาทอง มีพระวิหารทำด้วยไม้ มีฝากั้นทำด้วยไม้เช่นกันส่วนฐานก่อนอิฐถือปูนสูงกว่าพื้นดินประมาณ ๓ เมตร เมื่อยังไม่มีห้องแถวฝั่งตรงกันข้ามคงจะมองเห็นเด่นชัด และสวยงาม เพราะมีคลองคั่นอยู่ด้วย
ประวัติหลวงพ่อโตที่พอจะนำมาอ้างได้ปรากฏอยู่ในหมายรับสั่ง ร.๓ เล่ม ๕ จ.ศ. ๑๒๑๒ มีความองค์ตอนหนึ่งว่า
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ทรงพระราชศรัทธาให้สร้างพระพุทธปฏิมากรพรองค์หนึ่ง หน้าตักกว้าง ๗ ศอกเศษ ๒หอพระไตรปิฎก ปิดไม่ได้ให้เข้าชมเคยอัปบล็อกไปแล้วค่ะ https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=morkmek&month=05-11-2012&group=3&gblog=171https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=morkmek&month=14-11-2012&group=3&gblog=172ศาลาการเปรียญ สมัยรัชกาลที่ ๑ศาลาการเปรียญแห่งนี้ เป็นสถานที่สำคัญตามประวัติศาสตร์ มีตำนานเนื่องในพระราชพงศาวดารว่าเมื่อวันเสาร์ เดือน ๕ แรม ๙ ค่ำ ปีขาล จัตวาศก จุลศักราช ๑๑๔๔ ตรงกับ พุทธศักราช ๒๓๒๕ คราวที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (ครั้นดำรงพระยศเป็น สมเด็จพระเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก) เสร็จการศึกสงครามจากเขมร เสร็จเข้าโขลนทวาร ประทับสรงมุรธาภิเษก ก่อนเสร็จขึ้นครองราชย์และสถาปนา “ราชจักรีวงศ์”จากนั้นได้พระราชทานเปลี่ยนชื่อวัดสะแกเดิมเป็น วัดสระเกศ ราชวรมหาวิหาร ครั้นต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ได้ทรงโปรดเกล้า ฯ ให้สร้างศาลาการเปรียญหลังนี้ขึ้นเพื่อรักษาบ่อน้ำมุรธาภิเษก อันสำคัญไว้ (บูรณะเมื่อ พุทธศักราช ๒๕๕๖) กราบสักการะ รูปเหมือนเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) ประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราชพระวิหาร มีหลังคามุงด้วยกระเบื้องเคลือบ มีช่อฟ้า ใบระกา หน้าบันทั้งสองด้านประดับด้วยกระจกสีวิจิตรงดงาม เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปที่สำคัญ ๒ องค์ด้วยกัน คือพระอัฏฐารส และหลวงพ่อดุสิตจากหน้าพระวิหาร มองไปที่เจดีย์ภูเขาทองหลวงพ่อดุสิต พระพุทธรูปปางมารวิชัย พระพุทธรูปศิลป์สกุลช่างรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ อัญเชิญมาประดิษฐานในห้องหลังพระอัฏฐารสพระอัฏฐารส มีพระนามเต็มว่า พระอัฏฐารสศรีสุคตทศพลญาณบพิตร เป็นพระพุทธรูปปางห้ามญาติ ซึ่งหล่อปิดทองขนาดใหญ่มาก สูงถึง ๕ วา ๑ ศอก ๑๐ นิ้ว (๒๑ ศอก ๑ นิ้ว) ประดิษฐานอยู่ชุกชี ในพระวิหาร ธรรมดาเมืองหลวงแต่ก่อนย่อมมีพระอัฏฐารสเป็นประจำราชธานี พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ( ร.๓ ) ทรงโปรดให้อัญเชิญพระอัฏฐารสมาจากวัดวิหารทอง เมืองพิษณุโลก มาประดิษไว้ ณ พระวิหารแห่งนี้ อนึ่ง พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินทอดพระกฐินที่วัดสระเกศแห่งนี้ ย่อมเสด็จมาทรงจุดธูปเทียนถวายสักการะพระอัฏฐารสก่อน แล้วจึงเสด็จเข้าพระอุโบสถเดินไปพระอุโบสถพระอุโบสถ ประดิษฐานบนลานกระเบื้องสีเหลืองนวลรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าล้อมรอบด้วยกำแพงแก้วชั้นนอกและพระระเบียง
เป็นศาลาแบ่งเขตกับพระวิหารพระอัฏฐารส รอบพระอุโบสถมีซุ้มพัทธสีมาตั้งรายรอบอยู่ ๘ ทิศพัทธสีมาคู่ประดิษฐานในซุ้มทรงกูบช้างที่ประดับกระเบื้องลายวิจิตร ผีมือช่างจากเมืองจีน ซุ้มพัทธสีมาแห่งนี้ได้รับคำชมว่างามแปลกตามาก
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส (สมเด็จพระสังฆราชเจ้า องค์ที่ ๑๐ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์) ทรงสรรเสริญว่า
“ซุ้มพัทธสีมาวัดสระเกศ วิจิตสวยงามมาก ควรถือเป็นแบบอย่างได้”หน้าบันพระอุโบสถทั้งด้านหน้าและด้านหลังสลักลายกระหนกลายก้านขดประดับกระจกสี
ตรงกลางประดับรูปพระนารายณ์ทรงครุฑ อันเป็นสัญลักษณ์แห่งราชวงศ์จักรี
ลายกระหนกก้านขดทอดลายงดงามรับกับเครื่องหลังคาที่ประดับช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ ดูอ่อนช้อยกลมกลืนกันซุ้มประตูหน้าต่างแบบบันแถลง บานประตูเขียนรูปทวารบาลเป็นรูปชาวต่างประเทศ ส่วนหน้าต่างเขียนรูปลายรดน้ำสีสดตระการตา
ภายในพระอุโบสถกว้าง ประดิษฐานพระประธานปางสมาธิองค์ใหญ่ปิดทองคำเปลวสะท้อนสีทองสุกอร่าม
พระประธานองค์นี้ รัชกาลที่ ๑ โปรดเกล้าฯ ให้สร้างครอบพระประธานองค์เดิมที่เล็กกว่าไว้ พระพุทธศิลป์ฝีมือสกุลช่างรัตนโกสินทร์พระประธานประดิษฐานบนฐานชุกชีที่พอดีกับระดับสายตา
เมื่อกราบท่านแล้วแหงนมองพระพักตร์ท่านและดูรอบ ๆ พระอุโบสถจะได้ความรู้สึกอิ่มตาสบายใจผนังรอบพระอุโบสถประดับภาพจิตรกรรม เบื้องบนเขียนภาพเทวดาและท้าวจตุโลกบาล ด้านตรงข้ามกับพระประธานเป็นภาพพุทธประวัติตอนมารวิชัย
ระหว่างซุ้มหน้าต่างวาดเป็นภาพทศชาติของสมเด้จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้านหลังพระประธานเป็นภาพไตรภูมิกถาภาพจิตรกรรมฝาผนังได้รับการซ่อมต่อจากสมัยรัชกาลที่ ๑ หลายครั้งอาทิ สมัยรัชกาลที่ ๓ รัชกาลที่ ๗
และล่าสุดเมื่อครั้งท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระสังฆราช (อยู่ ญาโณทัย) ครั้งทรงสมณศักดิ์เป็นสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์และเป็นเจ้าอาวาสวัดสระเกศ ได้ซ่อมเสร็จเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๑เพดานพระวิหารคดทาสีแดง ประดับรูปดาวราย ภายในตั้งแท่นประดิษฐานพระพุทธรูปปูนปั้นประดับทองคำเปลวรัชกาลที่ ๓ โปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญมาจากหัวเมือง พระพุทธรูปปางต่าง ๆ ที่ประดิษฐานรายรอบทั้งสี่ด้านนับรวมได้ ๑๖๓ องค์พระวิหารเจดีย์ภูเขาทองความเดิมสักการะพระปฏิมาแห่งแผ่นดิน : ทศพุทธปฏิมาวังหน้าสวนสาธารณะป้อมมหากาฬ วัดราชนัดดา