วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม (๒)
พระพุทธชินราช เป็นพระพุทธรูปนั่งสมาธิราบ ปางมารวิชัย สมัยสุโขทัย มีเรือนแก้ว ประทับนั่งเหนือรัตนบัลลังก์หินอ่อน (เรือนแก้วนี้ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ โปรดเกล้าฯให้ทำถวาย เมื่อ พ.ศ.๒๔๕๕ แต่ช่างทำไม่งาม รัชกาลที่ ๗ จึงโปรดเกล้าฯ ให้แก้ไขใหม่สวยงามตามที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน)
พระพุทธชินราช มีขนาดหน้าตัก ๕ ศอกคืบ ๕ นิ้ว มีเศษ น้ำหนักทองที่ใช้หล่อ ๓,๙๔๐ ชั่ง
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ โปรดเกล้าฯให้พระประสิทธิปฏิมา (ม.ร.ว.เหมาะ ดวงจักร เมื่อครั้งเป็น หลวงประสิทธิปฏิมา) จางวางช่างหล่อขวา ซึ่งเป็นช่างหล่อฝีมือดีที่สุด ขึ้นไปปั้นหุ่นถ่ายแบบจากพระพุทธชินราชองค์เดิม ที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จังหวัดพิษณุโลก แล้วเสด็จพระราชดำเนินทรงเททองหล่อเป็นส่วน ๆ เมื่อวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๔๔๔ อัญเชิญล่องเรือมาคุมองค์และแต่งที่กรมทหารเรือ โดยพระยาชลยุทธโยธิน (Andre du Plessis de Richelieu ชาวเดนมาร์ก เข้ามารับราชการเป็นทหารเรือ มียศเป็นพลเรือโท ตำแหน่งผู้บัญชาการกรมทหารเรือ) เป็นผู้ควบคุมการแต่งองค์พระ เสร็จแล้วเชิญลงเรือมณฑปแห่ไปประดิษฐานเป็นพระประธานในพระอุโบสถวัดเบญจมบพิตร เมื่อวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๔๔๔
การทั้งปวงตั้งแต่ปั้นหุ่น หล่อ ตกแต่ง และอัญเชิญขึ้นประดิษฐานในพระอุโบสถ สำเร็จเรียบร้อยดี ทรงปีิติโสมนัสอย่างยิ่ง จึง "ทรงเปลื้องสายสะพายเครื่องราชอิสริยาภรณ์ นพรัตน์ราชวราภรณ์ ซึ่งกำลังทรงอยู่นั้น ถวายพระพุทธชินราชเป็นพุทธบูชา" เมื่อเชิญพระพุทธชินราชขึ้นประดิษฐานในพระอุโบสถ เครื่องราชอิสริยาภรณ์นี้ เป็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์สำหรับราชตระกูล ซึ่งทางวัดได้เก็บรักษาไว้อย่างดี และอัญเชิญมาคล้องถวายที่พระหัตถ์พระพุทธชินราช ในวันปิยมหาราช ๒๓ ตุลาคม ทุกปี
เมื่ออัญเชิญพระพุทธชินราชขึ้นประดิษฐานแล้ว ต่อมาถึงปลายปี พ.ศ.๒๔๕๒ จึงโปรดเกล้าฯให้จ้าง มร.จุรุหระ (Mr. Tsuruhara) ครูช่างในโรงเรียนวิชาช่างกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เข้ามาทำการปิดทองจนแล้วเสร็จ และโปรดเกล้าฯให้จัดงานสมโภชในวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๔๕๓
ภายในพระอุโบสถ มุขตะวันตก ประดิษฐานพระพุทธชินราช ด้านหน้าพระพุทธชินราชเป็นรั้วหินอ่อนกลมสีเขียวหยก
พระแท่นรัตนบัลลังก์พระพุทธชินราช ผนังเสมอกรอบหน้าต่าง และพื้นพระอุโบสถ ประดับหินอ่อนหลากสี
ณ พระแท่นรัตนบัลลังก์นั้น พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯให้บรรจุพระสรีรางคารพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ผู้ทรงสถาปนาวัด
ผนังเหนือกรอบหน้าต่างขึ้นไปซึ่งเป็นส่วนถือปูน พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯให้ช่างกรมศิลปาากรเขียนลายไทยเทพนมทรงพุ่มข้าวบิณฑ์สีเหลืองบนพื้นขาวอมเหลืองอ่อน ตลอดถึงเพดาน เมื่อ พ.ศ.๒๔๕๗
เหนือหน้าต่าง ๑๐ ช่อง เป็นช่องกระจกรับแสง เขียนสีลายไทยเทพนม โดยช่างกรมศิลปากร ออกแบบสั่งทำจากเมืองฟลอเรนซ์ (Florence) ประเทศอิตาลี ในปี พ.ศ.๒๔๙๗ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ ทรงรับเป็นเจ้าภาพ ด้านบน ขื่อในและขื่อนอก ๓ ชั้น ลงรักปิดทองลายรดน้ำ เพดานในล่องชาด ประดับดาวกระจาย ๒๓๒ ดวง ดาวใหญ่ ๑๑ ดวง มีโคมไฟระย้าแก้วขาวอย่างดี ตราเลข ๕ ซึ่งเป็นตราวัดเบญจมบพิตร ๖ โคม พร้อมสายบรอนซ์ ซึ่งสั่งทำจากประเทศเยอรมนี
ช่องคูหาทั้ง ๘ เขียนภาพสถูปเจดีย์ที่สำคัญทุกภาค จัดเป็น "จอมเจดีย์" ในประเทศไทย โดยว่าจ้างให้กรมศิลปากรออกแบบและเขียน แล้วเสร็จในปี พ.ศ. ๒๔๘๙ คือ พระมหาธาตุ จังหวัดลพบุรี, พระธาตุพนม จังหวัดนครพนม, พระมหาธาตุ จังหวัดนครศรีธรรมราช, พระเจดีย์ชัยมงคล จังหวัดนครศรีอยุธยา, พระมหาธาตุ จังหวัดสุโขทัย, พระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐม, พระมหาธาตุหริภุญชัย จังหวัดลำพูน และ พระศรีรัตนธาตุ จังหวัดสุโขทัย
เฉพาะช่อง "พระมหาธาตุ จังหวัดนครศรีธรรมราช" พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงรับเป็นเจ้าภาพ ช่อง "พระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐม" พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ทรงรับเป็นเจ้าภาพ นอกจากนี้มีพระบรมวงศานุวงศ์ และผู้มีจิตศรัทธารับเป็นเจ้าภาพ
ตอนที่มาถึง เค้ายังปิดประตูพระอุโบสถอยู่เลยค่ะ เนื่องจาก มีคนมาทำบุญวันเกิด เค้าเลยปิดไม่ให้เข้า (ซะงั้น) เราเลยเดินสำรวจรอบๆ...
สะพาน เป็นสะพานเหล็กหล่อ โดยเสาสะพานละ ๔ ต้น พร้อมโครงเหล็ก สั่งทำจาก "LARINI NATHAN & C MILANO (ITALIA) 1902" ประเทศอิตาลี พื้นคอนกรีต โค้งข้ามคลอง ราวสะพานเป็นเหล็กหล่อลายไทยทั้ง ๒ ด้าน บนราวสะพานมีป้ายจารึกสะพานละ ๒ ป้าย โปรดเกล้าฯให้กรมโยธาธิการดำเนินการสร้างขึ้นทั้ง ๓ แห่งคือ
สะพานพระรูป อยู่ด้านทิศตะวันออก สร้างขึ้นด้วยทุนทรัพย์ค่าจำหน่ายพระรูปจำหลักแผ่นทองแดงกาไหล่ทอง ที่พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นสรรพศาตรศุภกิจ" ถวายช่วยในการสถาปนาวัดเบญจมบพิตร พ.ศ. ๒๔๔๓
สะพานถ้วย อยู่กลางระหว่างสะพานพระรูปกับสะพานงา สร้างขึ้นด้วยเงินที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานถ้วยชาลายทองที่หายาก ให้จำหน่ายในการออกร้านงานประจำปีวัดเบญจมบพิตร พ.ศ.๒๔๔๓
สะพานงา อยู่ด้านตะวันตก สร้างขึ้นด้วยเงินจำหน่ายงาช้างที่ "พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงดำรงราชานุภาพ" ถวายเพื่อจำหน่ายในงานออกร้านประจำปีวัดเบญจมบพิตร พ.ศ.๒๔๔๓
สะพานทั้ง ๓ นี้ สร้างเสร็จทรงพระราชอุทิศถวายในวันที่ ๖ ธันวาคม ๒๔๔๕ พร้อมกับหอระฆัง และศาลาตรีมุขสะพานน้ำอีก ๒ หลัง
พระวิหารสมเด็จ
พระวิหารสมเด็จ (ส.ผ.) เป็นตึกจตุรมุข ๒ ชั้น แต่มุขด้านใต้เชื่อมต่อกับมุขกุฏิสมเด็จ มุขด้านตะวันออกและตะวันตกขยายยาวเป็นชั้นเดียว บันไดพื้นชั้นล่างปูหินอ่อน ชั้นบนปูไม้
ความงามของพระวิหารนี้อยู่ที่ประตูหน้าต่างที่เขียนลายไทยรดน้ำทั้งชั้นล่างและชั้นบน หน้าบันและซุ้มประตูหน้าต่าง ปั้นลายก้านขดประกอบตราพระนามาภิไธยย่อ "ส.ผ." (เสาวภาผ่องศรี) ลงรักปิดทองประดับกระจก ข้างบันไดขึ้นด้านหน้าหล่อราชสีห์ประดับ ๒ ตัว
ภายในทั้งชั้นบนชั้นล่าง เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปโบราณ ขนาดและสมัยต่าง ๆ ตลอดจนเครื่องลายครามจีนต่างชนิด เฉพาะชั้นล่างมีตู้พระธรรมลายรดน้ำ เป็นลายไทยประกอบภาพต่าง ๆ เช่นรามเกียรติ์ เวสสันดร เป็นต้น
พระวิหารสมเด็จนี้ "สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ" ทรงบริจาคพระราชทรัพย์สร้างสำเร็จในปี พ.ศ.๒๔๔๕ ตามพระราชประสงค์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่จะให้เป็น "หอธรรม" หรือ "หอสมุด" ประจำวัด ชื่อว่า "หอพุทธสาสนสังคหะ" ต่อมา พ.ศ.๒๔๔๘ โปรดเกล้าฯให้รวมกิจการหอธรรมเข้ากับหอพระสมุดวชิรญาณ หอพระมณเฑียรธรรม เป็นหอพระสมุดสำหรับพระนคร คงเหลือสิ่งของและคัมภีร์พระไตรปิฎกสำหรับวัดเท่านั้น หอพุทธสาสนสังคหะ จึงกลายเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูป และตู้พระธรรมเป็นส่วนใหญ่
ต้นพระศรีมหาโพธิ์
เป็นต้นไม้สำคัญทางพระพุทธศาสนา ที่พระพุทธองค์ประทับนั่งใต้ร่มเงาบำเพ็ญเพียรจนได้บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ อยู่กลางสนามหญ้า ด้านหลังพระอุโบสถ
ต้นพระศรีมหาโพธิ์นี้ มีอายุกว่า ๑๐๐ ปี คือในปี พ.ศ.๒๔๓๔ สมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้เสด็จไปราชการที่ประเทศอินเดีย และได้เสด็จไปนมัสการสังเวชนียมสถานต่าง ๆ เมื่อถึงพุทธคยา มร.เครียสัน เจ้าเมืองคยา ได้จัดหน่อพระศรีมหาโพธิ์พุทธคยาถวาย จำนวน ๓ หน่อ
เมื่อกลับถึงประเทศไทยแล้ว ทรงนำขึ้นทูลเกล้าฯถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่เกาะสีชัง จังหวัดชลบุรี ซึ่งได้ทรงปลูกไว้ที่วัดอัษฎางคนิมิต ๑ ต้น อีก ๒ ต้นให้ปลูกชำไว้ที่เขตพระราชทานที่เกาะสีชังนั้น
ต่อมาปี พ.ศ.๒๔๔๒ ขณะที่ทรงสร้างวัดเบญจมบพิตร ได้เสด็จพระราชดำเนินไปเกาะสีชัง ทอดพระเนตรเห็นต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่ชำไว้เจริญงอกงามดี มีพระราชประสงค์จะทรงนำไปปลูกไว้ที่วัดเบญจมบพิตร จึงโปรดเกล้าฯให้นำมาปลูกบำรุงไว้ที่สวนดุสิตก่อน
ครั้นถึงวันที่ ๒ สิงหาคม ๒๔๔๓ จึงได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงปลูกไว้ที่สนามหญ้าด้านหลังพระอุโบสถ เจริญงอกงามมาจนบัดนี้
เด็กๆ โรงเรียนอะไรไม่รู้ค่ะ คุณครูพามาวาดรูป...ดีจัง เปิดหู เปิดตา...
ปิดท้ายด้วยภาพนี้ อีกครั้ง...โชคดี ที่ถ่ายไว้แล้วตอนมาถึง ยังไม่มี คน...เพราะตอนนี้ทัวร์ลงพอดีค่ะ
ขอบคุณบีจี คุณญามี่
บล็อกหน้า...ไปไหนต่อดี ศาลเจ้าแม่ทับทิม หรือ วัดเทวราชกุญชร
ขอบคุณ ข้อมูลเพิ่มเติมที่ //www.watbencha.com
Create Date : 30 มิถุนายน 2553 |
|
18 comments |
Last Update : 30 มิถุนายน 2553 14:41:22 น. |
Counter : 5281 Pageviews. |
|
|
|
ยังไม่ได้ทักทายใครเลยค่ะ