ชีวิตก็คือละครหรือนิยายเรื่องหนึ่ง
|
||||
คนละฟากฟ้า - บททื่ 81 นิคกับจูดี้กลับจากมิชิแกนถึงวอชิงตัน ดี.ซี.ตั้งแต่เมื่อคืนที่ผ่านมา และไปค้างด้วยกันที่อพาร์ตเมนท์ของจูดี้ ชายหนุ่มเพิ่งกลับเข้าบ้านพักในค่ายทหารตอนบ่ายโมงตรง จอดรถเรียบร้อยแล้วก็รีบร้อนจะเข้าบ้าน แต่เมื่อเหลือบเห็นซองเอกสารสีน้ำตาลและจดหมายหลายฉบับในตู้รับจดหมาย ก็เดินไปเปิดตู้แล้วหอบเมล์ทั้งหมดเข้าไปวางไว้บนโต๊ะเล็กในบ้าน เขายังไม่มีเวลาจะเปิดออกอ่านเพราะจะต้องรีบอาบน้ำแต่งตัวใหม่ เพื่อไปรับแหวนวงงามที่สั่งทำไว้ก่อนไปมิชิแกน เตรียมไว้สำหรับเหตุการณ์พิเศษในคืนนี้ ที่นัดจะพาจูดี้ไปดินเนอร์ที่ห้องอาหารในโรงแรมหรูแห่งหนึ่ง ความจริงนิคตั้งใจจะขอจูดี้แต่งงานตั้งแต่ตอนอยู่ที่บ้านของเธอในมิชิแกน ในคืนคริสต์มาสหลังจากได้พบครอบครัวของเธอแล้ว แต่ติดขัดตรงที่ยังไม่มีแหวนที่จะมอบให้เธอ เพราะแหวนวงที่เขาสั่งทำเป็นพิเศษยังไม่เสร็จ เขาจึงไม่ได้พูดอะไรกับจูดี้ ต้องรอมาจนถึงคืนนี้ นิคตัดสินใจที่จะขอจูดี้แต่งงาน การตัดสินใจนี้เพิ่งเกิดขึ้นหลังจากคืนที่หญิงสาวผู้นั้น แสดงอาการน้อยอกน้อยใจกับความผูกพันของเขาต่อนิกกี้ ซึ่งเธอเห็นว่าเกินกว่าเหตุ เขาทำราวกับว่านิกกี้ต้องมาก่อนเธอเสมอ ซึ่งเธอไม่สามารถจะรับได้อีกต่อไป ความเสียใจของจูดี้ทำให้ชายหนุ่มต้องใช้ความคิดอย่างหนัก ถ้าถามว่าเขารักเธอหรือไม่เขาตอบไม่ได้ นิครู้แต่ว่าเขาชอบคุณสมบัติหลายอย่างในตัวเธอ และคงจะแต่งงานกับเธอได้โดยไม่มีปัญหา ความจริงเขาก็อยากแต่งงานเริ่มต้นชีวิตใหม่เสียที ตอนนี้เขาอายุสามสิบหกแล้ว น่าจะเริ่มตั้งครอบครัวใหม่ได้แล้ว ถ้าเขาแต่งงานกับจูดี้และมีลูกน่ารักอย่างนิกกี้สักคน อะไรๆก็คงจะค่อยๆดีขึ้นเอง ชายหนุ่มคิดอย่างขมขื่นว่าครั้งหนึ่งเขาเคยแต่งงาน โดยเอาความรักเป็นตัวตั้ง แต่สิ่งที่ได้รับกลับคืนมาคือความเสียใจและเจ็บปวดรวดร้าว เมื่อได้รู้ว่าคนที่เขามอบหัวใจทั้งหมดให้โดยไม่มีเงื่อนไข รักเขาน้อยมาก เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ต้องเลือกระหว่างเขากับครอบครัวของเธอ ผู้หญิงคนนั้นตัดสินใจเลือกครอบครัวโดยไม่คิดถึงจิตใจของเขาเลย คราวนี้เขาจะลองแต่งงานเพราะความเหมาะสม กับผู้หญิงที่เขาเพียงแต่ชอบมากเท่านั้น ใครจะรู้..มันอาจจะออกมาดีกว่าที่หวังเอาไว้ก็ได้ ความจริงนิคยังไม่พร้อมที่จะไปพบกับครอบครัวของจูดี้ ในมิชิแกนในช่วงคริสต์มาส นอกจากไม่พร้อมแล้ว เขายังอยากไปร่วมงานคริสต์มาสกับครอบครัวของเจิดจรัสที่เชิญเขาเอาไว้แล้วมากกว่า เพราะแน่ใจว่าพราวพรายและครอบครัวใหม่ของเธอ คงจะลงมาฉลองคริสต์มาสต์กับครอบครัวของพี่สาวด้วย ตามที่เจิดจรัสเคยพูดแย้มๆเอาไว้แล้ว ว่าอยากให้เขาได้รู้จักกับน้องสาวคนเดียวของเธอ เขาอยากพบพราวพรายเพื่อขอดูหน้าผู้หญิงใจร้ายเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะขอจูดี้แต่งงาน แม้จะไม่ได้ตอบรับคำชวนของจูดี้ที่จะไปมิชิแกนกับเธอ แต่นิคก็ยังไม่ได้ปฏิเสธ เพียงแต่แบ่งรับแบ่งสู้เท่านั้น แต่แล้วเมื่อเกิดเรื่องนิกกี้ที่ทำให้จูดี้มีท่าทางเหมือนจะยื่นคำขาด ให้เขาเลือกระหว่างเธอกับเด็กชายตัวน้อยผู้นั้น นิคก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องยอมไปมิชิแกนกับจูดี้ เพราะถึงอย่างไรเขาก็ไม่อยากจะเสียผู้หญิงที่เหมาะสมกับเขาคนนี้ไป ก่อนจะเดินทางเพียงวันเดียว จูดี้ก็จัดการเอาของขวัญคริสต์มาส ที่เขาเตรียมจะให้คนในครอบครัวนั้นเป็นรายตัว ไปมอบให้เจิดจรัสที่บ้านแทนเขา และบอกเหตุผลที่เธอและนิคไม่สามารถมาร่วมงานคริสต์มาสได้ ว่าเพราะจะต้องเดินทางไปพบพ่อแม่ของเธอที่มิชิแกน แม้จะอยากไปพบนิกกี้มากแต่นิคก็ไม่อาจทำได้ เพราะกลัวจูดี้จะรู้แล้วเกิดปัญหาขึ้นมาอีก ก่อนออกเดินทางไปมิชิแกนนิคจึงทำได้แค่โทรศัพท์ไปขอพูดกับเด็กชาย อธิบายถึงเหตุผลที่ไม่สามารถนำของขวัญวันคริสต์มาสไปมอบให้ด้วยตัวเองได้ เพราะมีธุระด่วนกระทันหันที่ต่างรัฐ ซึ่งนิกกี้ก็ทำเสียงขุ่นๆต่อว่าต่อขานเขาอยู่พักใหญ่แล้วก็ร้องไห้ ที่ทำให้ชายหนุ่มใจวาบลงด้วยความสงสารที่เกิดจากความผูกพัน ที่เขาเองก็ไม่รู้ว่ามาจากไหน นิคอาบน้ำแต่งตัวใหม่พร้อมที่จะออกจากบ้านแล้ว ตอนที่เสียงโทรศัพท์ดังขี้น ตอนแรกเขาคิดว่าเป็นโทรศัพท์จากจูดี้ แต่ปรากฏว่าคนที่โทร.มาคือเพื่อนสนิทของเขา “เฮ้ยนิค” เสียงของดิ๊กค่อนข้างตื่นเต้น “หายหัวไปไหนมาวะ กูโทรหามึงทุกวันๆละหลายรอบมาสามวันแล้ว” “ไปมิชิแกนกับจูดี้ เพิ่งกลับมานี่แหละ มีอะไรด่วนหรือ?” อีกฝ่ายเงียบไปอึดใจหนึ่งก่อนจะถามว่า “มึงอ่านเอกสารที่กูส่งไปให้หรือยัง?” “เอกสารอะไร ส่งมาเมื่อไหร่?” “อ้าว ไอ้บ้า! กูส่งไปให้ที่ค่ายหลายวันแล้วนะ ป่านนี้น่าจะถึงแล้ว ทำไมถึงยังไม่ได้รับล่ะ” น้ำเสียงของดิ๊กฟังดูแปลกๆ นิคเหลียวไปเหลียวมารอบห้อง พอเห็นซองเอกสารสีน้ำตาลวางปนอยู่กับจดหมายอีกหลายฉบับ ที่เขาหยิบจากตู้รับจดหมายมาวางกองรวมกันไว้บนโต๊ะตัวหนึ่ง จึงบอกเพื่อนให้รอ แล้วเดินไปหยิบซองเอกสารสีน้ำตาลขึ้นมาพลิกดูชื่อผู้ส่ง “เออ..เจอแล้วว่ะ มึงส่งอะไรมาให้กู?” “มึงยังไม่ได้อ่านหรอกหรือ?” “ยัง กูไม่อยู่ตั้งหลายวัน เพิ่งเข้าบ้านมาเมื่อกี้เอง กำลังจะออกไปธุระมึงก็โทร.มานี่แหละ มีเรื่องสำคัญอะไรหรือเปล่า ถ้าไม่มีอะไรมากไว้คืนนี้กลับมากูจะเปิดอ่าน” ดิ๊กเงียบไปนานจนอีกฝ่ายคิดว่าเขาคงวางสายไปแล้ว “นิค ฟังกูให้ดีนะ เอกสารที่กูส่งไปให้มึงน่ะ จะถือว่าสำคัญหรือไม่สำคัญอยู่ที่มึงคนเดียว กูเข้าใจว่ามึงคงจะนัดไว้กับจูดี้ แต่ถ้าเป็นไปได้กูอยากให้มึงอ่านโน๊ตของกูและเอกสารในซองนั่นก่อน อ่านจบแล้วเข้าใจเรื่องทั้งหมดแล้ว ทีนี้ก็อยู่ที่มึงคนเดียวเท่านั้นว่าจะเอายังไงต่อไป” นิคใจหายวาบ แม้จะไม่เข้าใจว่าดิ๊กพูดเรื่องอะไร แต่เขาก็รู้สึกสังหรณ์ใจว่าต้องมีอะไรที่สำคัญเกิดขึ้น ที่ทำให้เพื่อนของเขาที่ปกติเป็นคนขี้เล่น พูดกับเขาด้วยสุ้มเสียงและความหมายที่ซีเรียสอย่างนั้น “มีเรื่องร้ายแรงอะไรหรือวะ ดิ๊ก” “ก็ไม่เชิง เอางี้ บอกกูก่อนว่ามึงจะอ่านเอกสารนั่นตอนนี้เลยได้มั้ย” “ได้สิวะ” ชายหนุ่มรับปากทั้งๆที่ไม่เข้าใจความรีบร้อนของอีกฝ่าย “นิค ตอนนี้กูบอกมึงได้แค่ว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับคุณพราวและมึง มึงอ่านให้จบก่อนแล้วค่อยโทร.มาหากูที่บ้าน กูจะคอยโทรศัพท์มึง” ดิ๊กตัดสัญญาณโทรศัพท์ไปแล้ว นิคที่ยืนตกตะลึงเมื่อได้ยินว่าเป็นเรื่องระหว่างเขากับพราวพราย ได้สติรู้สึกตัวก็หยิบมีดเปิดซองจดหมายมาตัดเปิดซองเอกสารที่อยู่ในมือ หยิบกระดาษปึกบางๆที่มีโน๊ตแผ่นเล็กๆลายมือของดิ๊กปะหน้าอยู่ออกจากซอง เดินไปนั่งลงบนเก้าอี้นวมตัวหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆแล้วพลิกดูเอกสารปึกนั้นคร่าวๆ เขาพบว่ามีเอกสารที่เย็บติดกันเอาไว้เป็นคู่ๆ ด้วยลวดเย็บกระดาษอยู่สามคู่ เอกสารใบแรกของแต่ละคู่เป็นภาษาต่างประเทศ ที่เขารู้ว่าเป็นภาษาไทยแต่อ่านไม่ออก ส่วนเอกสารแผ่นหลังที่แนบคู่มาเป็นภาษาอังกฤษ ที่มีตราประทับเป็นภาษาอังกฤษ รับรองความถูกต้องของคำแปลโดยสถานทูตอเมริกันในประเทศไทย เห็นแล้วนิคก็รีบพลิกกลับไปอ่านโน๊ตของดิ๊ก “นิค ขอโทษด้วยที่กูอาจจะทำอะไรลงไปโดยพลการ ไม่ได้ปรึกษามึงก่อน แต่อยากให้มึงรู้ว่ากูทำทุกอย่าง ด้วยความหวังดีต่อมึงซึ่งเป็นเพื่อนตายของกู มึงอ่านจดหมายและเอกสารที่กูส่งมาให้จบแล้ว ก็ขอให้มึงคิดให้รอบคอบ ก่อนตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรต่อไป เมื่อเกือบสองอาทิตย์ที่แล้วที่กูไปลอนดอน กูแวะไปหาคุณพราว ได้มีโอกาสกินข้าวด้วยกันมื้อนึง คุณพราวเขาหน้าเสียๆ คงไม่อยากพบกูเท่าไหร่นัก แต่กูจำเป็นต้องขอพบเขาเพราะอยากรู้อะไรบางอย่าง มึงรู้มั้ยว่าคุณพราวเขานึกว่ามึงตายไปแล้ว ตั้งแต่ตอนเกิดเรื่องที่เวียตนาม เขาเสียใจมากจนล้มป่วยต้องนอนโรงพยาบาลอยู่หลายวัน หลังจากนั้นเขาก็ทนอยู่อุบลฯต่อไปไม่ได้ เขาลาออกจากงานแล้วมาอยู่อเมริกากับพี่สาว อย่างที่มึงรู้น่ะแหละ ตอนที่กูบอกเขาว่ามึงยังไม่ตาย ยังมีชีวิตอยู่ เขาทำท่าเหมือนจะช็อคจนกูตกใจแทบแย่ พอได้สติเขาก็ดีใจ น้ำตาไหลพรากๆที่รู้ว่ามึงยังไม่ตาย นิค เชื่อกูเถอะว่าคุณพราวยังรักมึงอยู่ เขายังไม่ได้แต่งงานใหม่หรือคบกับใครเป็นเรื่องเป็นราว กูก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมพี่สาวเขา ถึงบอกมึงว่าเขาแต่งงานแล้ว คุณพราวบอกกูว่าเขาอยากพบมึงสักครั้ง มึงล่ะ ยังอยากพบเขาหรือเปล่า อย่าลืมว่าตอนนี้ถึงคุณพราวจะยังไม่มีคนอื่น แต่มึงมีจูดี้ เรื่องนี้มึงจึงต้องตัดสินใจเอง แต่กูมีอีกเรื่องนึงที่จะบอกมึง ไม่ว่ามึงจะตัดสินใจกลับไปหาคุณพราวหรือแต่งงานกับจูดี้ มึงก็คงต้องไปพบคุณพราวก่อนอยู่ดี เพราะทะเบียนสมรสของมึงกับเขายังมีผลตามกฏหมายอยู่ เจ้าหน้าที่ทะเบียนที่อำเภอยืนยันว่าไม่มีหลักฐานการหย่าร้างของมึงกับเขา คุณพราวกับมึงยังเป็นผัวเมียกันอยู่ตามกฏหมาย ทีนี้มึงคงเข้าใจแล้วนะว่าถ้ามึงจะแต่งงานกับจูดี้ มึงกับคุณพราวก็ต้องไปจดทะเบียนหย่าขาดกัน ให้ถูกต้องตามกฏหมายเสียก่อน มึงถึงจะไปจดทะเบียนใหม่กับจูดี้ได้......” อ่านจดหมายเพื่อนได้เพียงเท่านั้น นิคก็ไม่สนใจที่จะอ่านเอกสารที่ดิ๊กแนบมาให้ นอกจากเพราะความร้อนใจแล้ว ยังเป็นเพราะเขารู้จักฝีมือการหาข่าวของดิ๊กและทีมงานดีว่าเชื่อถือได้ ชายหนุ่มทะลึ่งพรวดลุกจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่ไปคว้าโทรศัพท์มาโทรหาดิ๊ก หน้าของเขาแดงก่ำหัวใจเต้นรัวด้วยความตื่นเต้นดีใจ ลืมสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง ลืมความแค้นที่พราวพรายบังคับให้เขาหย่าเพราะเห็นแก่มารดาของเธอมากกว่าเขา ลืมความทุกข์ทรมานทางกายจนชีวิตแทบจะปลิดปลง ซ้ำเติมด้วยอาการบาดเจ็บอย่างรุนแรงทางใจที่ถูกทรยศเหยียบย่ำ ที่ทำให้วิบากกรรมทางกายในคุกของพวกเวียตกง เหมือนจะทวีความร้ายแรงขึ้นเป็นร้อยเท่าพันทวีจนแทบจะรับไม่ไหว เวลาแห่งความทุกข์ทรมานเกือบสองปีที่เหมือนตกนรก ก็ดูยืดยาวราวกับจะไม่มีวันสิ้นสุด แต่ ณ นาทีนี้เขาลืมมันหมดสิ้นเหมือนไม่เคยเกิดขึ้น ลืมแม้แต่เรื่องเฉพาะหน้าที่จะไปรับแหวนที่สั่งทำเป็นพิเศษสำหรับจูดี้ เพื่อขอเธอแต่งงานในคืนนี้ ทันทีที่ดิ๊กรับสายนิคก็ถามเร็วปรื๋อว่า “ดิ๊ก! ทั้งหมดที่มึงเขียนมานี่เป็นความจริงหรือ?” “จริงแท้แน่นอน บางอย่างกูลงทุนสืบด้วยตัวเองด้วยซ้ำ เออ..กูมีเรื่องจะถาม คุณพราวเขาบอกกูว่า เขาไม่ได้เอาหนังสือยินยอมหย่าฉบับของเขาไปยื่นที่อำเภอ เพราะแม่เขาเอาไปเก็บไว้ ต่อมาพอรู้ว่ามึงตายเขาก็เลยไม่ได้ทำอะไรต่อ แล้วฉบับของมึงล่ะ มึงเอาไปยื่นสถานทูตหรือเปล่า” อีกฝ่ายตอบทันทีว่า “ไม่ได้ยื่นเหมือนกัน เอาไปโยนไว้ที่ไหนก็ไม่รู้ เพราะกูไม่อยากเห็น หลังจากนั้นไม่กี่วันกูก็ถูกจับเป็นเชลยของไอ้กงอย่างที่มึงรู้” “กูนึกอยู่แล้วว่าต้องออกรูปนี้ ต้องถือว่าโชคดีทั้งมึงทั้งคุณพราว ถึงยังไงก็ยังเป็นผัวเมียกันอยู่ตามกฏหมาย กลับไปอยู่ด้วยกันเหมือนเดิมได้ทุกเมื่อ มึงรีบๆไปหาเขาเถอะ ไปพูดกันเสียให้รู้เรื่อง” “ขอบใจมากดิ๊ก” ลังเลอยูอึดใจหนึ่งนิคก็ถามด้วยเสียงอ่อยๆว่า “มึงแน่ใจหรือว่าเขาอยากพบกู” ดิ๊กแอบยิ้มอยู่ปลายสายเมื่อยืนยันว่า “แน่สิวะ ก็เขาเป็นคนพูดเองนี่หว่า” “แล้วที่ว่าเขายังไม่ได้แต่งงานใหม่หรือคบคนอื่นอยู่ล่ะ มึงยืนยันได้หรือ ไม่ใช่หลอกให้กูหน้าแตกไปเจอเขาอยู่กับผัวใหม่นะโว๊ย" “เรื่องนี้พันเปอร์เซ็น เด็กของกูที่ลอนดอนบอกว่า เขาพักอยู่คนเดียวที่อพาร์ตเมนท์ใกล้ๆกับที่ทำงานนั่นแหละ เลขที่ห้องกับชื่ออพาร์ตเมนท์ก็เขียนบอกไว้แล้วในจดหมาย มึงลองไปหาดูอีกที” “เรื่องหย่าล่ะ มึงแน่ใจนะว่าไม่มีหลักฐานการหย่า” “แน่ใจสิวะ เรื่องนี้สำคัญมาก กูลงมือสืบเองด้วยซ้ำ เจ้าหน้าที่ยังเขียนจดหมายรับรองสถานภาพระหว่างมึงกับคุณพราว ว่ายังเป็นผัวเมียกันตามกฏหมาย ให้กูไว้เป็นหลักฐานเลย อ้าว..มึงไม่ได้อ่านหรอกหรือวะ ที่กูแนบไปกับจดหมายน่ะ” นิคทำหน้าเก้อๆกับความรีบร้อนของตัวเอง แต่ดิ๊กไม่เห็น “ยังไม่ทันได้อ่านก็รีบมาโทร.หามึงนี่แหละ” อีกฝ่ายหัวเราะก้าก กระเซ้าเพื่อนอย่างเอ็นดู “โธ่..ไอ้เวร สงสัยจะดีใจมากไปหน่อย เอ๊ะ..หรือว่าเสียใจกันแน่วะ” “ไอ้บ้า ทำไมกูจะไม่ดีใจล่ะ” อีกฝ่ายยอมรับอย่างหน้าชื่นตาบาน “แล้วนี่มึงจะทำยังไงต่อไป จะไปหาเขาหรือเปล่า?” “ไปแน่” ชายหนุ่มตอบอย่างลิงโลด “เดี๋ยวกูจะโทร.ไปจองตั๋วเครื่องบิน ถ้าได้ตั๋วคืนนี้กูก็จะไปเลย” “อ้าว..เขาไม่ได้มาฉลองคริสต์มาสกับครอบครัวพี่สาวเขาที่นี่หรือวะ” “เออ..จริงของมึง พี่สาวเขาเคยบอกว่าพราวจะมาที่นี่ช่วงคริสต์มาสต์ อาจจะอยู่ยาวถึงหลังปีใหม่เลย เฮ้ย..ดิ๊ก เอาแค่นี้ก่อนนะ กูจะรีบโทร.ไปบ้านพี่สาวเขาก่อน ไว้ค่อยคุยกันทีหลัง ขอบใจมากนะเพื่อน” แต่ดิ๊กที่นึกเรื่องสำคัญอีกเรื่องขึ้นมาได้ รีบบอกเพื่อนอย่างรีบร้อน กลัวนิคจะวางสายไปเสียก่อน “เฮ้ย..ไอ้นิค เดี๋ยวก่อน ฟังกูอีกนิดก่อน มีเรื่องสำคัญอีกเรื่องนึง แต่คุณพราวเขายังไม่ให้กูบอกมึง เขาว่าเขาจะบอกมึงเอง ถ้ามึงไปเจอเขาแล้วก็ถามกันซะให้เรียบร้อยด้วยนะโว้ย จะได้เคลียร์กันม้วนเดียวจบ” “เออ..ขอบใจว่ะ แค่นี้ก่อนนะ” นิครีบจบการพูดคุยกับดิ๊กโดยเร็ว ไม่สนใจเรื่องที่เพื่อนพูดเลยด้วยซ้ำ เพราะตอนนี้คิดแต่จะไปหาพราวพรายที่บ้านของพี่สาวเธอเท่านั้น แต่เมื่อโทรศัพท์ไปที่บ้านเจิดจรัส นิคก็ต้องผิดหวัง “ไม่มีใครอยู่บ้านหรอกค่ะ คุณหมอกับมาดามพาคุณพ่อคุณแม่ของคุณหมอไปข้างนอก คงจะกลับดึก” แม่บ้านของเจิดจรัสให้ข้อมูล ชายหนุ่มอึกอักไปหน่อยก่อนจะถามว่า “น้องสาวมาดามที่มาจากอังกฤษไปด้วยกันหรือเปล่า?” “อ๋อ มิสพราวหรือคะ? เธอกลับไปอังกฤษแล้วค่ะ” นิคใจหายวูบ ทำไมพราวพรายรีบร้อนกลับไปอังกฤษ จะว่ารีบกลับไปทำงานก็คงไม่ใช่ เพราะหน่วยงานต่างๆทั้งของรัฐและเอกชนต่างก็หยุดยาวไปจนถึงหลังปีใหม่ วันนี้ก็เพิ่งวันที่ 28 ธันวาคมเท่านั้น “เธอกลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ” “หลังวันคริสต์มาสสักหนึ่งวันน่ะค่ะ ” ชายหนุ่มกล่าวคำขอบใจ หาหมายเลขคนรู้จักที่ทำงานที่สายการบินแห่งหนึ่งได้ ก็โทร.ไปขอให้ช่วยหาตั๋วเครื่องบินไปลอนดอนให้ด่วนที่สุด เขาได้ตั๋วสำหรับเย็นวันนั้นมาอย่างไม่คาดฝัน หลังจากนั้นนิคก็แพคกระเป๋าเดินทางโดยด่วน ไม่ลืมยัดเอกสารที่ดิ๊กส่งมาให้ลงไปด้วย คิดว่าคงจะอยู่ที่ลอนดอนสักสองสามวัน เรื่องสำคัญที่จะต้องทำต่อไปคือโทร.ไปหาจูดี้ที่โรงพยาบาล เพราะวันนั้นเธอต้องอยู่เวรจนถึงบ่ายห้าโมงเย็น โอปะเรเตอร์ที่รับโทรศัพท์ขอให้เขารอครู่หนึ่ง ก่อนบอกเขาว่า “คุณหมอจูดี้มีผ่าตัดด่วนค่ะ เพิ่งเข้าห้องผ่าตัดไปเมื่อ 20 นาทีที่แล้ว” “ทราบไหมครับว่าการผ่าตัดจะใช้เวลากี่ชั่วโมง” “ไม่ทราบค่ะ ถ้ามีข้อความอะไรจะฝากถึงคุณหมอก็ฝากไว้กับฉันได้ค่ะ ฉันจะให้คุณหมอทันทีที่ออกจากห้องผ่าตัด” นิคลังเล ยังไม่รู้จะบอกจูดี้ว่าอย่างไร แต่ตอนนี้เขาคงต้องเลื่อนนัดคืนนี้ไปก่อนเป็นลำดับแรก หลังจากกลับจากลอนดอนแล้วจึงค่อยคุยกับเธอเป็นการส่วนตัว เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องที่ควรจะพูดกันทางโทรศัพท์ “ถ้างั้นช่วยบอกหมอจูดี้ด้วยนะครับว่าที่นัดกันไว้ต้องขอเลื่อนไปก่อน ผมมีธุระด่วนต้องไปลอนดอนกระทันหัน กลับมาแล้วผมจะติดต่อเธออีกที” แล้วชายหนุ่มก็ให้ชื่อของเขาแก่โอปะเรเตอร์ สวัสดี จ้ะ น้องดอยสะเก็ด
รีบมาอ่านเลยจ้ะ เอาใจช่วยลุ้น ให้นิตได้เจอกับแพรวพราย เอ้า! ยังไม่ทันใดเลย จบเอาเสียล่ะ ตอนนี้ สงสารจูดี้มากนะ อุตส่าห์พานิคไปพบพ่อแม่ของเธอแล้ว นิคจะพูดอย่างไรกับจูดี้ หนอ เธอจะรับได้ไหม เฮ้อ! รออ่านต่อจ้ะ โหวดหมวด งานเขียน ฯ โดย: อาจารย์สุวิมล วันที่: 29 กรกฎาคม 2566 เวลา:13:31:17 น.
ว้าว!! ลุ้นๆๆ
กำลังถึงพริกถึงขิง..เอ๊ะ.. กำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 2 สิงหาคม 2566 เวลา:18:32:37 น.
|
ดอยสะเก็ด
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 54 คน [?]
Group Blog
All Blog
Friends Blog
|
|||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |
ทำไมคลาดกันไปมา ขัดใจคนอ่านจังค่ะ
รออ่านตอนต่อไปด่วน ๆ เลยจ้า อิอิ