คนละฟากฟ้า - บทที่ 57
พราวพรายซึ่งยังอยู่ในห้องนอนรีบเดินออกมาข้างนอก เมื่อได้ยินเสียงรถของนิคแล่นเข้ามาจอด แล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นดิ๊ก ซึ่งวันนี้แต่งตัวหล่อในชุดกางเกงยีนส์สีน้ำเงินเข้ม และเสื้อยืดแขนสั้นสีแดงเพลิง เดินตามหลังนิคขึ้นมาบนบ้าน ตอนที่นิคบอกไว้ในจดหมายว่าจะมีเพื่อนมาด้วย เธอก็คิดว่า คงเป็นเพื่อนนายทหารในค่ายนี้ที่ไม่เคยรู้จักเธอมาก่อน ไม่นึกเลยว่าจะเป็นสามีของสมพร ซึ่งเป็นคนสุดท้ายที่เธออยากพบ ที่ไม่อยากพบก็เพราะไม่อยากให้เขารู้เรื่องของเธอกับนิค กลัวว่าเขาจะปากโป้งไปเที่ยวบอกใครต่อใคร โดยเฉพาะเจ้านายของเธอซึ่งเธอคิดว่าเขาน่าจะรู้จักกัน

ส่วนดิ๊กนั้นพอเห็นเธอก็ยิ้มกว้างจนเห็นฟันเกือบทุกซี่ เขาคงรู้จากนิดแล้วว่าเธอมาหานิค แต่คงจะรู้เพียงว่ากำลังคบหาดูใจกัน แบบที่เรียกว่าทดลองอยู่ด้วยกัน เธอเชื่อว่านิคคงไม่ได้บอกเรื่องแต่งงาน ดิ๊กยื่นมือออกมาให้เธอจับ

“ไฮ”
“ไฮ”

พราวพรายทักตอบ รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอีกเมื่อเห็นนายดิ๊กหุบยิ้ม แล้วเปลี่ยนเป็นอ้าปากค้างมองหน้าเธออย่างแปลกใจ หญิงสาวนึกระแวงทันทีว่าเขาคงตกใจกับหน้าตาซีดเซียวไร้สีสันของเธอ

นิคเหลือบมองพราวพรายแวบหนึ่ง ก่อนจะเดินเข้าไปหยิบเบียร์กระป๋องออกมาส่งให้เพื่อน ที่เดินเข้าไปนั่งเอ้เต้บนเก้าอี้ตัวหนึ่งเรียบร้อยแล้ว หญิงสาวอดคิดไม่ได้ว่าท่าทางเขาคุ้นเคยกับบ้านหลังนี้มาก

“นั่งซดเบียร์ไปก่อนนะ ขออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าหน่อย คุยกับพราวไปพลางๆก่อน”

พอพูดจบชายหนุ่มก็เดินหายเข้าไปในห้องนอน พราวพรายซึ่งตอนแรกคิดจะตามเข้าไปต่อว่านิคในห้อง จำใจต้องนั่งลงแล้วทำหน้าที่เจ้าของบ้านแทนนิค

นายดิ๊กยกเบียร์ขึ้นจิบแต่ตาก็ยังมองหน้าเธออยู่ ทำให้พราวพรายอึดอัดมากขึ้น นึกอยากจะลุกหนีไปหานิคเสียเดี๋ยวนั้นแต่ก็ทำไม่ได้

“คุณพราวสบายดีหรือฮะ ดูขาวและสดใสขึ้นมาก” ดิ๊กโอภาปราศัย
“ก็ดีค่ะ คุณสมพรเป็นยังไงบ้างล่ะคะ ได้ข่าวว่าคุณได้ลูกชาย”

พราวพรายจำใจต้องคุยด้วย ทั้งๆที่รู้สึกขัดหูกับคำว่า ‘ขาว’ ของเขา ซึ่งเธอแปลเอาเองว่าดิ๊กใช้คำนี้แทนคำว่า ‘ซีดเหมือนไก่ต้ม’

“ครับ ลูกผมตอนนี้หกเดือนแล้ว สมพรก็สบายดี กลับไปทำงานแล้ว”
“แล้วใครดูลูกให้ล่ะคะ”
“จ้างพี่เลี้ยง แม่ยายผมมาช่วยคุมอีกที โชคดีที่บ้านเราอยู่ใกล้กัน”
“ทำไมคุณสมพรไม่ลาออกจากงานล่ะคะ จะได้เลี้ยงลูกเอง” หญิงสาวชวนคุยไปเรื่อยๆเท่าที่นึกออก

“เขาไม่ยอม เขาบอกว่าชอบทำงาน อยู่บ้านเลี้ยงลูกอย่างเดียวกลัวจะโง่” แล้วเขาก็ทำหน้าเบ้เมื่อพูดทีเล่นทีจริงว่า “ผู้หญิงเอเซียนี่สงสัยดื้อทุกคน”

พราวพรายเหลือบตาค้อนเขาเมื่อโต้ว่า “คงไม่ทุกคนหรอกค่ะ บางคนเขาก็นอบน้อมเชื่อฟังสามีจะตาย”

นายดิ๊กยิ้มกริ่มเมื่อพูดว่า “สงสัยคงไม่ใช่คุณพราวมั้ง”

หญิงสาวหน้าแดง ขมวดคิ้วอย่างขุ่นใจทันที หมายความว่าไง หรือนิคแอบบอกเขาเรื่องแต่งงานกันแล้ว เธอรีบเปลี่ยนเรื่อง “คุณดิ๊กทำงานอยู่ที่นี่เหมือนกันหรือคะ?”

ดิ๊กสั่นหน้าปฏิเสธ “เปล่า ผมทำงานในลาว จะเข้ามาประชุมร่วมที่นี่เดือนละครั้ง คุณพราวล่ะครับ จะกลับไปอุบลฯเมื่อไร?”

“วันมะรืนค่ะ ต้องกลับไปทำงาน”

เมื่อเห็นว่าเขาดื่มเบียร์กระป๋องนั้นหมดแล้ว พรายพราวก็ลุกไปหยิบเบียร์กระป๋องใหม่ ที่นิคแช่ไว้เต็มตู้เย็นมาวางให้ตรงหน้าดิ๊ก ถือโอกาสบอกเขาว่า “ขอโทษนะคะ ขอเข้าไปดูนิคหน่อย”

พราวพรายเปิดประตูห้องนอนเข้าไป เห็นนิคแต่งตัวใหม่เรียบร้อยแล้วกำลังจะออกจากห้อง เขาแต่งตัวคล้ายๆกับดิ๊ก เพียงแต่เสื้อยืดของเขาเป็นสีน้ำเงิน หญิงสาวกรากเข้าไปหาเขาแล้วถามด้วยเสียงเบาๆ เพราะกลัวคนที่นั่งดื่มเบียร์อยู่ข้างนอกจะได้ยิน

“ทำไมไม่บอกฉันก่อนว่าเพื่อนที่ว่าน่ะคือดิ๊ก”

ชายหนุ่มเลิกคิ้ว มองหน้าเธออย่างไม่เข้าใจ “ทำไมล่ะ เป็นเจ้าดิ๊กแล้วไง คุณกับมันก็รู้จักกันแล้วนี่”

“เขารู้เรื่องของเราหรือเปล่า”
“ไม่รู้หรอก มีอะไรหรือ”

พราวพรายทุบอกนิคหนึ่งตุ้บ เมื่อแหวเบาๆว่า “ หลอกหรือเปล่า? ถ้าไม่รู้ทำไมเขาพูดอะไรแปลกๆล่ะ อ้อ! แล้วคนที่นี่ด้วย ทำไมทหารคนที่เอาโน๊ตคุณมาให้ เรียกฉันว่ามิสซิสแบรดเลย์ ตอบมานะ”

นิคยักไหล่ “มันเรียกผิดหรือไง ก็คุณไม่ใช่เมียผมหรอกหรือ?”

แล้วเขาก็ยึดมือเธอข้างที่กำลังเงื้อง่าจะฟาดลงมาบนหน้าอกเขาอีกเอาไว้

“อย่าเรื่องมากเลยน่า ผมแค่บอกให้มันเอาของไปให้ผู้หญิงที่บ้านเท่านั้น แต่มันคงจะเดาเอาเองว่าคุณเป็นเมียผม นี่..พราว ปกติถ้าไม่ใช่เมียน่ะเข้ามาค้างในนี้ไม่ได้หรอกนะ”

พราวพรายหรี่ตาทำท่ารู้ทัน “อย่ามาหลอกหน่อยเลย เป็นแค่แฟนก็เข้ามาได้ไม่ใช่หรือ? ไม่งั้นจอห์นจะบอกให้ฉันมาทำไม ถ้ารู้ว่ามาแล้วจะเข้าไม่ได้” แล้วเธอก็เริ่มสงสัย “เอ๊ะ! หรือว่า..นี่อย่าบอกนะว่าจอห์นก็รู้เรื่องนี้ด้วย”

เห็นท่าทางเอาเรื่องของเธอแล้วนิคก็คิดว่าเธอคงไม่ยอมจบง่ายๆ ชายหนุ่มเลยต้องรีบประนีประนอม

“เดี๋ยวคืนนี้ค่อยคุยกัน เจ้าดิ๊กมันรออยู่นะ หายเข้ามานานๆเดี๋ยวมันก็ล้อเอาหรอก ไม่รู้หรือว่าไอ้นี่มันชอบอำ”

พอเอ่ยถึงดิ๊กหญิงสาวก็นึกเรื่องสำคัญของเธอขึ้นมาได้ “แล้วก็นี่! ดูนี่! ดูหน้าฉันนี่” เธอใช้นิ้วจิ้มแก้มตัวเองแรงๆให้เขาดู

“ทำไม หน้าคุณเป็นอะไร?” 

พราวพรายสะบัดหน้าพรืด “หน้าฉันซีดเป็นไก่ต้มเลยไม่เห็นหรือ เพราะคุณทีเดียว”
“เพราะผม? ผมไปทำอะไรให้ล่ะ?”

“ก็คุณชอบบ่นเวลาฉันใช้เครื่องสำอาง ฉันรำคาญขี้เกียจฟังเสียงบ่นของคุณก็เลยไม่ได้เอาเครื่องสำอางมาสักชิ้น แม้แต่แป้ง แล้วอยู่ๆก็ชวนเพื่อนมากินข้าวเฉยเลย ฉันก็ต้องพาหน้าซีดๆน่าเกลียดมาให้เขาเห็นน่ะสิ”

เมื่อเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไรนิคก็หัวเราะก๊าก โอบบ่าพราวพรายเข้ามาชิดตัว

“หน้าคุณก็ดีอยู่แล้วนี่ ไม่เห็นซีดเซียวอะไรสักหน่อย ผมว่าสวยกว่าโปะอะไรต่ออะไรเข้าไปตั้งแยะ ไม่เชื่อถามเจ้าดิ๊กดูก็ได้”

นิคขับรถพาพราวพรายกับดิ๊กออกจากค่าย มุ่งหน้าไปในละแวกที่ไม่ไกลจากค่ายนัก หญิงสาวซึ่งนั่งอยู่ตรงกลางระหว่างดิ๊กกับนิค เหลีอบมองสองข้างทางที่รถวิ่งผ่านไป แล้วลงความเห็นว่าคล้ายๆกับตัวเมืองอุบลฯบางส่วนตรงที่มีร้านอาหารหน้าตาใช้ได้หลายร้าน รวมทั้งร้านอาหารแบบโต้รุ่งในกรุงเทพฯ ร้านสนุ้ก บาร์คลับ เธอเห็นโรงโบว์ลิ่งอยู่ไกลๆ เห็นได้จากไฟนีออนหลากสีที่มีคำว่า “โบว์ลิ่ง” ติดหราอยู่ บนท้องถนนมีผู้คนเดินกันขวักไขว่ แม้จะน้อยกว่าที่อุบลฯมากก็ตาม

“นิคคะ นอกค่ายนี่ไม่เห็นน่ากลัวเลย มีร้านรวงอะไรต่ออะไรเยอะแยะ ไม่เห็นมีพวกเวียตกงอะไรนั่นสักหน่อย ทำไมจอห์นบอกฉันว่าไม่ควรออกไปนอกค่ายเพราะอันตรายล่ะคะ?” พราวพรายหันไปถามนิคอย่างสงสัย

“แถวนี้ไม่มีอะไรหรอกเพราะเป็นแหล่งชุมชน ใกล้ๆนี่ก็เป็นกองบังคับการตำรวจ มีหน่ายราชการตั้งอยู่หลายหน่วย โรงพยาบาลก็มี แต่เลยออกไปนอกๆสักสามสิบกิโลเมตรก็ไม่น่าไว้ใจแล้ว” ชายหนุ่มอธิบาย

ดิ๊กซึ่งนั่งฟังอยู่เงียบๆถามนิคว่า “เออ..นิค เมื่อสองอาทิตย์ที่แล้วที่พวกมันเข้ามาระเบิดเครื่องบินล่ะวะ มันเข้ามาทางไหน?”

“หลังค่าย ตรงนั้นเป็นจุดที่เปราะบางที่สุด เพราะถัดไปเป็นดงไม้ใหญ่อย่างที่มึงรู้น่ะแหละ”

“แต่ทางเราก็ถางป่าจากตัวค่ายออกไปตั้งเป็นไร่ๆแล้วนี่หว่า มันจะผ่านที่โล่งแจ้งขนาดนั้นเข้ามาได้ยังไงโดยไม่มีใครเห็น ทหารยามแถวนั้นก็ออกเยอะแยะ”

นิคยักไหล่ “พวกนี้มันเก่ง ยามของเราก็คงประมาทด้วยแหละ เพราะไม่เคยมีเรื่องอะไรแบบนี้มาก่อน บางคนก็อาจจะหลับยามด้วยซ้ำ ถูกตั้งกรรมการสอบสวนกันระนาวเลย”

“แต่พวกมันก็ตายหมดไม่ใช่หรือ?”

“แต่ก็ไม่คุ้มหรอกวะ อย่าลืมว่าเราเสียเครื่องบินรบขนาดเล็กไปตั้งสามลำเชียวนะ” นิคทำเสียงแข็ง “พวกไอ้กงมันใจเด็ด ใช้ยุทธการระเบิดพลีชีพ มัดระเบิดไว้รอบอกแล้ววิ่งล่อให้ยามบนหอคอยยิงใส่ ตอนที่พวกมันไปอยู่ตรงเครื่องบินที่จอดอยู่บนลานจอดพอดี แล้วก็อย่างที่มึงรู้น่ะแหละ พวกมันห้าคนตายเรียบ เศษผมเศษเนื้อปลิวว่อนไปทั่ว บนรั้วลวดหนามแถวนั้นก็มีทั้งหนังหัว ชิ้นส่วนแขนบ้างขาบ้างห้อยอีรุงตุงนัง ก็จากแรงระเบิดของพวกมันเองแหละ แต่เราเสียเครื่องบินดีๆไปสามลำ อาจจะถึงห้าลำก็ได้ ถ้าไอ้คนสุดท้ายที่ถูกยิงตาย วิ่งไปถึงเครื่องบินอีกสองลำที่จอดห่างออกไปได้เสียก่อน”

แล้วสองชายก็วิพากษ์วิจารณ์เรื่องดังกล่าวกันต่อ ในขณะที่พราวพรายรู้สึกตกใจกลัว ตายแล้ว..มีอะไรน่ากลัวแบบนี้ด้วยหรือ คงจะจริงอย่างที่จอห์นบอกเสียแล้วว่าที่นี่อันตราย

จอดรถเรียบร้อยแล้วนิคก็พาพราวพรายและดิ๊ก เข้าไปในร้านอาหารขนาดใหญ่ที่มีคนนั่งกันอยู่เกือบเต็ม ร้านนั้นขายทั้งอาหารเวียตนาม อาหารจีนและอาหารฝรั่ง

เมื่อลงนั่งเรียบร้อยแล้วผู้หญิงสาวผิวขาวผ่องแต่งหน้าเข้มสวย อายุประมาณยี่สิบห้าปีในชุดประจำชาติเวียตนาม ก็นำเมนูมาแจกให้คนละเล่ม พราวพรายรับมาเปิดออกดูรายการอาหาร ระหว่างนั้นเธอได้ยินหญิงสาวคนนั้นพูดจาทักทายกับนิคและดิ๊กอย่างสนิทสนม ราวกับคนคุ้นเคยกันด้วยภาษาอังกฤษที่ชัดเจน

พราวพรายเหลือบตาขึ้นสังเกตคนทั้งสามที่กำลังพูดคุยกันอยู่ เห็นนายดิ๊กกำลังทำตาเจ้าชู้ให้เธอผู้นั้น ส่วนนิคก็กำลังมองหญิงสาวคนนั้นด้วยสีหน้ายิ้มๆ พอเหลือบเห็นว่าเธอกำลังมองเขาอยู่ ชายหนุ่มก็ทำหน้าเก้อๆ

“พราวอยากทานอะไร อาหารที่นี่อร่อยเกือบทุกอย่าง”

“เลือกไม่ถูกหรอก แล้วคุณจะทานอะไรคะ ฉันจะได้สั่งตาม”

“งั้นเดี๋ยวผมสั่งให้เอง ทานอะไรรองท้องไปก่อนดีไหม ถ้ายังไม่หิวมาก”

เมื่อเธอไม่ค้านว่าอะไร นิคก้หันไปสั่งอาหารสองสามอย่างกับหญิงสาวคนนั้น ซึ่งปรายตามามองเธอแวบหนึ่งก่อนเดินออกไปจากโต๊ะ อีกครู่ต่อมาพนักงานชายก็เอาเบียร์มาเสิร์ฟให้นิคกับดิ๊ก มีน้ำส้มคั้นมาให้พราวพรายด้วย หญิงสาวสงสัยว่านิคคงรีบสั่งน้ำส้มคั้นให้เธอตัดหน้า เพราะคงกลัวว่าเธอจะขอกินเบียร์กับเขาด้วย ทั้งๆที่เธอเลิกกินเหล้ากินเบียร์ไปนานแล้ว หลังจากคืนที่เสียท่าให้นิค เพราะความบ้าบวกความเมานั่นแหละ

พอเหลือบไปเห็นนายดิ๊กซึ่งกำลังจิบเบียร์ไปพลางมองหน้าเธอไปพลาง พราวพรายซึ่งยังไม่เลิกกังวลกับหน้าซีดเป้นไก่ต้มของตัวเองอยู่ รีบชวนเขาพูดเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของเขา

“คนเสิร์ฟเมื่อกี้สวยจังเลยนะคะ คุณดิ๊ก”

“อ๋อ! นั่นน่ะเหรอ ไม่ใช่คนเสิร์ฟหรอก ลูกสาวเจ้าของร้านน่ะ” แล้วเขาก็ได้โอกาสเผาเพื่อนทันที “เห็นเจ้านิคเมื่อไร เป็นต้องตัดหน้าคนเสิร์ฟตัวจริงมาบริการทุกที”

นิคสำลักเบียร์ที่กำลังดื่มอยู่ ร้องออกมาว่า “เฮ้ย! ไอ้บ้า”
แต่ดิ๊กไม่สนใจ เผาต่ออีกว่า “ไม่ต้องทำไก๋หรอกน่า แต่ก่อนมึงก็เคยเหล่เขาไม่ใช่หรือ ตอนนี้มาทำโวยวาย”

สายตาเขียวๆของพราวพรายที่จ้องมองมา ทำให้ชายหนุ่มรีบแก้ตัวโดยเร็ว “ไอ้บ้า กูไม่เคยมีอะไรกับเขาสักหน่อย แค่มากินอาหารเฉยๆ”

“หนอย มากินอาหารเฉยๆ กูมาทีไรมึงก็พามากินร้านนี้ทุกที ทำยังกะว่าแถวนี้มีอยู่ร้านเดียวงั้นแหละ” แล้วเขาก็หันมาบอกพราวพรายว่า “อย่าไว้ใจไอ้หมอนี่มากนักนะ คุณพราว มันน่ะประเภทหงิมๆหยิบชิ้นปลามัน"

พูดจบดิ๊กก็หัวเราะชอบใจที่เผาเพื่อนได้ หาโอกาสแก้เผ็ดมานานแล้ว เพราะนิคชอบเผาเขากับสมพรอยู่บ่อยๆ นิคเหลือบตาสำรวจสีหน้าของพราวพรายอีกครั้ง แต่คราวนี้เห็นเธอทำหน้าเฉยๆซึ่งทำให้ชายหนุ่มค่อยโล่งใจไปหน่อย พอดีอาหารที่สั่งไว้มาเสิร์ฟเธอก็เลยนั่งรับประทานอยู่คนเดียว เพราะสองหนุ่มยังตั้งหน้าตั้งตาดื่มเบียร์คุยกันโขมงโฉงเฉง ทั้งเรื่องเก่าเรื่องใหม่ ราวกับไม่ได้เจอะเจอกันนานเป็นปี

“เฮ้ย แล้วเรื่องเมื่อคืนสรุปว่าไงวะ?” ดิ๊กถามเพื่อน เขาเพิ่งมาถึงค่ายแห่งนี้เมื่อตอนบ่ายนี้เอง

“พวกไอ้กงสักสามสิบคน เข้าซุ่มโจมตีหน่วยลาดตระเวนผสมของเรากับทหารเวียตนาม ห่างค่ายเราสักสามสิบกิโลเมตร ต้องส่งกำลังออกไปช่วย ยิงต่อสู้กันสักสองชั่วโมงพวกมันก็ล่าถอยเข้าป่าไป ยึดปืนกับกระสุนและระเบิดลูกเกลี้ยงได้จำนวนหนึ่ง” นิคเล่าให้เพื่อนฟัง จิบเบียร์ไปด้วย

“ผลเป็นไงวะ” ดิ๊กดื่มเบียร์ไปหลายแก้วแล้ว

“พวกเราตายสองบาดเจ็บอีกสาม พวกมันตายสาม บาดเจ็บเท่าไรไม่รู้ เพราะมันช่วยกันลากเอาไปหมด กองกำลังของเราที่ไล่ตามไปพบแต่รอยเลือดเป็นทาง แต่ก็อย่างที่มึงรู้ พวกนี้มันเหมือนปีศาจ เห็นหลังอยู่หลัดๆแว่บหายเข้าป่าไปหมด ตามอยู่หลายชั่วโมงร่องรอยหายไป แล้วอีกอย่างก็ต้องระวังกับระเบิดด้วย มันฝังไว้แถวนั้นเยอะแยะ ไม่อยากเสี่ยงการสูญเสีย เลยต้องสั่งถอนกำลังกลับ”

พราวพรายเริ่มรู้สึกเครียดกับเรื่องที่ได้ยิน ขนาดเธอไม่ได้ไปร่วมต่อสู้อะไรกับเขาและไม่ได้อยู่ที่นี่ ยังรู้สึกเครียด ก็แล้วคนที่ต้องจำเจอยู่ที่นี่โดยไม่รู้ว่าจะต้องออกไปต่อสู้กับใคร จะบาดเจ็บล้มตายเมื่อไร จะไม่เครียดกันแย่หรอกหรือ

นิคซึ่งคงเห็นสีหน้าซีดเผือดของพราวพรายบอกเพื่อนว่า “เฮ้ย เลิกคุยเรื่องงานดีกว่า เดี๋ยวพราวตกใจตาย”

นายดิ๊กรีบเห็นด้วยทันที “เออว่ะ จริงด้วย เผลอๆคุณพราวกลัวเลยไม่มาหามึงอีก แล้วมึงก็จะเก๊กซิม” พูดจบเขาก็หัวเราะชอบอกชอบใจ

ในที่สุดพราวพรายซึ่งรับประทานอาหารเสร็จนานแล้วก็ขอตัวไปห้องน้ำ มีนิคพาไปส่งจนถึงหน้าห้องน้ำ

ทันทีที่ชายหนุ่มกลับมาถึงโต๊ะ ดิ๊กซึ่งคงรอโอกาสอยู่นานแล้วพูดกับเพื่อนว่า “เฮ๊ย! แฟนมึงไม่เหมือนตอนไปที่บ้านกูเลยว่ะ ตอนแรกกูจำไม่ได้ นึกว่ามึงมีแฟนใหม่แล้วซะอีก”

“ทำไมจำไม่ได้ เขาก็เหมือนเดิมนี่หว่า” นิคแย้ง ลืมนึกถึงผมเผ้าหน้าตาของพราวพรายไปเสียสนิท

“ตอนแรกกูก็นึกไม่ออกว่าเพราะอะไร แต่พอตอนนี้นึกออกแล้วว่าเขาเปลี่ยนทรงผม ก่อนนี้ผมเขาพองๆฟูๆเหมือนรังนกไม่ใช่หรือวะ แต่ตอนนี้ไว้ผมยาวสวยเชียว แล้ววันนี้ก็ไม่ได้แต่งหน้าด้วย ไม่เหมือนวันนั้น โปะเครื่องสำอางเสียเต็มที่เลย ”

นิครีบหันไปมองตามทิศทางที่ไปห้องน้ำ “เฮ้ย! มึงอย่าเผลอไปวิจารณ์เขาเข้าล่ะ มีหวังกูไม่ได้นอนทั้งคืน”

นายดิ๊กทำหน้าเหรอหราไม่เข้าใจ “ถ้ากูวิจารณ์เขาแล้วทำไมมึงจะไม่ได้นอน เกี่ยวอะไรกันวะ?”

“เขาก็จะอาละวาดเอากับกูน่ะสิ ก่อนจะออกจากบ้านมาได้ก็บ่นเสียยืดยาวเรื่องไม่ได้แต่งหน้าแต่งตา เขาไม่ได้เอาเครื่องสำอางมา เพราะไม่คิดว่าจะได้ออกไปไหน”

เพื่อนของนิคหัวเราะก๊าก “สมน้ำหน้ามึง เพี้ยง..ขอให้เขาอาละวาดทีเถอะวะ เออ..แล้วทำไมเขาจะต้องแต่งหน้าแต่งตา กูว่าไม่แต่งแบบนี้แหละสวยกว่าแต่งยังกับคนละคน หน้าตาสวยขนาดนี้ทำไมยังอยากจะแต่งอีกเหรอ มึงไม่เคยชมเขาเวลาไม่แต่งหน้าบ้างหรือไงวะ เขาถึงต้องพยายามหาอะไรมาแต่งเพราะอยากให้มึงเห็นเขาสวย”

นิคซึ่งชักจะเมาหน่อยๆแล้วทำหน้าเขิน “ทำไมจะต้องชมอยู่เรื่อยล่ะ ถึงไม่ชมแต่กูก็เห็นเขาสวยถูกใจกูอยู่แล้วนี่หว่า”

“เฮ้ย..นิค มึงจะคบกับเขาไปเรื่อยๆแบบนี้หรือวะ ไม่คิดจะแต่งงานแต่งการกันบ้างหรือ เขาก็น่ารักดีนี่หว่า นี่ถ้ากูยังไม่มีเมียและเขาไม่ได้คบอยู่กับมึงกูต้องตามจีบแน่เลยว่ะ” ดิ๊กก็เริ่มมึนเหมือนกันเพราะดื่มเข้าไปหลายแก้ว

อีกฝ่ายอึกอัก เสหยิบแก้วเบียร์ขึ้นดื่ม นึกโมโหพราวพรายขึ้นมาตะหงิดๆ ไม่รู้จะห้ามบอกใครต่อใครเรื่องแต่งงานไปอีกนานแค่ไหน ไม่รู้บ้างหรือไรว่าเขาเองก็อึดอัด ไม่ชอบทำอะไรแบบนี้เลย ดูสิ..แม้แต่กับเพื่อนสนิทอย่างดิ๊กที่เคยร่วมเป็นร่วมตายกันมา ยังบอกความจริงไม่ได้เลย

“ยังไม่ทานอาหารกันอีกหรือคะ? มีอะไรขาดตกบกพร่องบ้างหรือเปล่า?” สาวสวยลูกเจ้าของร้านนั่นเองที่เดินกรายเข้ามาที่โต๊ะ

“นั่งก่อนสิครับ เหงียน” ดิ๊กรีบลุกขึ้นขยับเก้าอี้ให้เธอนั่งข้างๆเขา เพราะข้างๆนิคเป็นที่นั่งของพราวพราย

พอลงนั่งได้เธอก็มองหน้านิคแล้วถามว่า “หมู่นี้คุณนิคหายหน้าไป ไม่เห็นค่อยมาทานอาหารที่ร้าน”

ชายหนุ่มที่ถูกถามยิ้มเจื่อนๆ “ก็มานี่แล้วไง”

สาวสวยมองหน้าเขาด้วยตาคมกริบ ถามลอยๆว่า “คุณคนสวยๆนั่นแฟนใครเอ่ย คุณดิ๊กหรือคุณนิค”

“อ๋อ ฉันเป็นน้องสาวพี่นิคน่ะคะ”

พราวพรายซึ่งเดินกลับมาจากห้องน้ำได้ยินคำถามพอดี ตอบหน้าตาเฉยแล้วลงนั่งบนเก้าอี้ตัวเดิมของเธอ ทำให้ชายหนุ่มทั้งสองทำหน้าเลิ่กลั่กไปตามๆกัน

แล้วเธอก็ส่งยิ้มหวานแฉล้มไปให้เหงียน เมื่อทำเป็นเปรยๆว่า “ไม่เห็นใครแนะนำบ้างเลยว่าคุณคนสวยคนนี้ชื่ออะไร”

“คุณคนนี้ชื่อเหงียน ฟาย ครับคุณพราว เป็นลูกสาวเจ้าของร้าน เพิ่งเรียนจบจากอเมริกา ตอนนี้มาช่วยดูแลร้านชั่วคราว รู้จักกันไว้ก็ดี คราวหน้ามาเยี่ยมนิคจะได้มีเพื่อนคุย ส่วนคุณผู้หญิงคนนี้ชื่อคุณพราว”

ดิ๊กจำชื่อเต็มของพราวพรายไม่ได้เลยบอกแค่นั้น ชักสงสัยว่าทำไมแฟนเจ้านิคจึงอุปโลกน์ตัวเองเป็นน้องสาวเขาหน้าตาเฉย

สีหน้าของสาวเวียตนามสดใสขึ้นทันที เมื่อรู้ว่าผู้หญิงที่นั่งเคียงข้างนิคคือน้องสาวของเขา แต่เธอก็ยังสงสัยอยู่ดี

“เป็นน้องสาวคุณนิคหรือคะ? แต่ทำไมไม่เหมือนกันเลยล่ะคะ? คุณนิคเป็นอเมริกัน ส่วนคุณพราว..”

“อ๋อ..ความจริงเราเป็นญาติห่างๆกันน่ะค่ะ ฉันเป็นคนไทย ทำงานอยู่ที่อุบลฯ มีเวลาก็เลยมาเยี่ยมดูความเป็นอยู่ของพี่นิค” พราวพรายส่งยิ้มจนนัยน์ตาแพรวพราวให้เหงียน “คุณเหงียนกับพี่นิครู้จักกันนานแล้วหรือคะ?”

นิคชักหน้าบึ้งขึ้นเรื่อยๆ เขาไม่รู้ว่าพราวพรายกำลังจะทำอะไร ไม่ยอมให้บอกใครว่าเป็นเมียยังไม่พอ ตอนนี้จะมาเล่นบทน้องสาวหรือญาติเขาเสียอีก

ส่วนดิ๊กนั้นเงียบกริบไปเลย ชักรู้สึกไม่ชอบมาพากล เอ๊ะ! แฟนเจ้านิคคนนี้ท่าทางจะร้ายไม่ใช่เล่น สงสัยเจ้าหล่อนจะหึงเลยทำซ้อมค้างเล่นเป็นน้องเจ้านิคเสียเลย เดี๋ยวเถอะ เดี๋ยวคงได้หาข้อมูลจากยายเหงียนแน่ เจ้านิคเห็นท่าจะแย่ ก็ยายเหงียนมันชอบเจ้านิคมาตั้งนานแล้วนี่ ไอ้เจ้านี่แต่ก่อนก็ชอบหาเรื่องมานั่งกินเหล้าที่ร้านนี้บ่อยๆ ตัวเขาเองยังเคยยุเพื่อนด้วยซ้ำให้จีบเหงียน เพราะเธอเป็นผู้หญิงที่อ่อนหวานน่ารัก ช่างเอาอกเอาใจ มีใครต่อใครหลายคนมาจีบแต่เหงียนก็ไม่เล่นด้วยสักคน เห็นมีแต่นิคนี่แหละที่เธอชอบมาคุยด้วยทุกครั้งที่เขามาที่ร้าน

“อ๋อ รู้จักกันหลายเดือนแล้วละค่ะ คุณนิคเป็นลูกค้าประจำ มาทานเหล้าทานอาหารที่นี่บ่อยๆ นั่งครั้งละนานๆ คงจะเหงาน่ะค่ะ” ว่าแล้วตาเรียวๆคมๆของเธอก็ตวัดไปที่ชายหนุ่ม ที่กำลังยกแก้วเบียร์ที่วางทิ้งไปแล้วขึ้นมาดื่มต่อ ไม่มองหน้ามองตาใครเลย

“อ๋อ หรือคะ ดีจังที่รู้ว่าพี่ฉันมีที่พักผ่อนสบายๆหลังเลิกงานแบบนี้ ตอนแรกนึกเป็นห่วงว่าจะเหงา ตอนนี้รู้ว่ามีเพื่อนคุยสวยๆอย่างคุณเหงียนเลยเลิกห่วง จริงไหมคะคุณดิ๊ก”

นายดิ๊กสะดุ้งโหยงที่อยู่ๆก็ถูกดึงเข้าไปเป็นพยานรู้เห็นด้วย พูดไม่ออกบอกไม่ถูก ได้แต่ส่งเสียงเอ้ออ้าในลำคอ หันซ้ายหันขวาเห็นแก้วเบียร์ของตัวเองที่เหลืออยู่อีกเล็กน้อย ก็รีบคว้ามาดื่มต่อจะได้ไม่ต้องตอบอะไรเพราะปากไม่ว่าง ส่วนสองสาวก็คุยกันจ้ออย่างถูกคอ โดยมากเป็นเรื่องของนิคในเวียตนาม ที่พราวพรายถามและเหงียนเป็นฝ่ายตอบ

ในที่สุดเมื่อครึ่งชั่วโมงผ่านไปและสองหนุ่มรับประทานอาหารเสร็จแล้ว ดิ๊กซึ่งเห็นคิ้วที่ขมวดมุ่นและสีหน้าเครียดๆของเพื่อน ก็รู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป เขาทำเป็นยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลาแล้วหันไปถามเพื่อน

“เฮ้ย..นิค กลับกันเสียทีดีไหมวะ พรุ่งนี้กูต้องตื่นแต่เช้า ชักง่วงตะหงิดๆ อยากกลับไปนอน” แล้วเขาก็หันไปถามพราวพรายว่า “คุณพราวครับ อยากกลับหรือยัง เกือบสี่ทุ่มแล้ว”

พราวพรายซึ่งได้ข้อมูลเป็นที่พอใจแล้วส่งยิ้มให้ดิ๊ก “ค่ะ กลับเสียทีก็ดี” แล้วหันไปบอกเหงียนว่า “ว่างๆจะมาคุยกับคุณเหงียนใหม่ คุยกับคุณสนุกจัง”

หลังจากร่ำลากับลูกสาวเจ้าของร้านแล้ว หนุ่มสาวทั้งสามก็กลับมาขึ้นรถ ตลอดทางที่รถวิ่งออกจากหน้าร้านจนเข้าไปในค่าย ชายหนุ่มทั้งสองเงียบกริบ ในขณะที่ผู้หญิงคนเดียวในรถส่งเสียงเจื้อยแจ้ว เอ่ยชมความสวยความน่ารักและความช่างพูดของสาวเวียตนามคนนั้นไม่ขาดปาก

นิคแวะไปส่งดิ๊กที่บ้านพักหลังหนึ่งไม่ไกลจากบ้านพักของเขานัก เมื่อรถถึงหน้าบ้านพราวพรายก็กระโดดลงอย่างคล่องแคล่ว เดินไปที่ประตูหน้าบ้านรอให้นิคมาไขกุญแจเปิดประตูให้ หญิงสาวเห็นนิคทำคิ้วขมวดหน้าตาบึ้งตึง ก็แอบหัวเราะอยู่ในใจ ทำไม่รู้ไม่ชี้เดินผ่านเขาเข้าไปในห้องนอน เข้าห้องน้ำอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างสบายใจ นิคไม่ได้เดินตามเข้ามาในห้องนอน พราวพรายคิดว่าเขาคงนั่งสูบบุหรี่ดับโมโหอยู่ที่ห้องข้างนอก

พราวพรายลงนอนบนเตียงเรียบร้อยแล้วตอนที่นิคเดินเข้ามาในห้อง เขาหายเข้าไปในห้องน้ำพักหนึ่งแล้วออกมาในกางเกงนอนตัวเดียว ไม่พูดพล่ามทำเพลง ขึ้นเตียงนอนได้ก็นอนตะแคงหันหลังให้พราวพรายทันที ทำท่าเหมือนจะหลับลงไปเดี๋ยวนั้น

หญิงสาวที่นอนคอยทีอยู่แล้ว เอื้อมมือไปเคาะหลังเขาหนึ่งที
“นี่...คุณ จะหลับแล้วหรือ?”

“อืมม์” เขาตอบงึมงำเพียงแค่นั้น ไม่ยอมหันมาหรอกเพราะยังโกรธไม่หายและง่วงมากด้วย

“ยังไม่ให้นอน เรามีเรื่องต้องคุยกัน” พราวพรายทำเสียงแข็ง
“พรุ่งนี้ค่อยคุย ผมง่วงแล้วก็ขี้เกียจคุย”
“หนอยแน่ะ ทำผิดแล้วยังมาโกรธคนอื่น”

“ใครผิดกันแน่ ไม่ใช่คุณหรอกหรือ?” คราวนี้เขาหันขวับมาทันที ทำเสียงแข็งพอๆกับเธอนั่นแหละ

พราวพรายค้อนขวับ “คุณน่ะแหละผิด ไม่ทำตามสัญญา เที่ยวไปบอกใครต่อใครว่าฉันเป็นเมียคุณ”

“บอกใครที่ไหนอีกล่ะ? ขนาดเจ้าดิ๊กสนิทกันที่สุดยังไม่ได้บอกเลย อย่ามาหาเรื่อง”

“แล้วคนที่นี่ล่ะ ทหารคนนั้นล่ะ จะแก้ตัวว่าไง” เธอเปลี่ยนพยานคนใหม่

“ไม่ว่าไง อธิบายไปแล้ว ขี้เกียจพูดซ้ำซาก” เขาตะแคงตัวกลับไปนอนหันหลังให้เหมือนเดิม
“อย่าให้ฉันจับได้เชียวนาว่าไปเล่าให้ใครฟัง “

คราวนี้นิคคงเหลืออด หันขวับมาอีกครั้ง “นี่..พราว ถามจริงๆเถอะ จะปิดเรื่องนี้ไปอีกนานแค่ไหน มีความจำเป็นอะไรนักหนาถึงจะต้องปิด ไหนลองบอกให้ผมหายโง่หน่อยซิ”

พราวพรายกลับเป็นฝ่ายไม่อยากคุยขึ้นมาบ้าง “เอ๊ะ! จะมาซักมาถามอะไรอีกล่ะ ฉันเคยบอกเหตุผลแล้วไม่ใช่หรือ ไม่เอาละ ขี้เกียจพูดด้วยแล้ว เมาก็นอนเสียเถอะ ฉันก็จะนอนแล้ว ง่วง” เธอหาวหวอดราวกับง่วงเสียเต็มที

“เหตุผล? ไอ้เหตุผลบ้าๆพวกนั้นน่ะหรือ ไม่เห็นเข้าท่าเลยสักข้อ ทำอะไรเป็นเด็กอยู่เรื่อย”

อีกฝ่ายตาสว่างหายง่วงทันที “อ๊ะ! มาว่าทำเป็นเด็กได้ไง คนบ้า ชอบย้ำอยู่เรื่อย แล้วมาแต่งงานกับเด็กทำไมล่ะ ทำไมไม่หาสาวๆอายุเท่าๆกันมาแต่งด้วยสักคนล่ะ”

“แล้วไอ้ที่ทำอะไรประหลาด ห้ามโน่นห้ามนี่ไม่เข้าท่าล่ะ ผู้ใหญ่เขาทำกันงั้นหรือ?” คราวนี้นิคลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิกลางเตียง “แต่งงานกันตั้งหลายเดือนแล้ว เคยยอมให้ผมไปพบพ่อแม่คุณบ้างหรือเปล่าล่ะ เป็นลูกเขยเขาทั้งทียังไม่เคยพบหน้าพ่อตาแม่ยายเลย”

“อ้าว! ก็บอกแล้วไงว่ายังไม่ถึงเวลา ก่อนจดทะเบียนกันฉันก็บอกแล้วว่าไม่อยากให้ทางบ้านรู้ ตอนนั้นไม่เห็นคุณค้านว่าไงเลย เชอะ..ตอนนี้นึกยังไงถึงมาต่อว่าฉันล่ะ”

“ผมไม่ชอบทำอะไรลึกลับซับซ้อนแบบนี้ ถ้าเราแค่คบกันเฉยๆผมจะไปว่าอะไร”
“ไม่รู้ละ ฉันยังไม่อยากให้พ่อแม่รู้” พราวพรายยืนกราน ไม่สนใจหน้าบึ้งๆของเขา

“โอเค เรื่องพ่อแม่คุณเป็นเรื่องของคุณ นี่..พราว ผมบอกก่อนนะ เดือนหน้าพ่อผมจะมาอุบลฯ คุณเตรียมตัวไปพบพ่อผมด้วย”

พราวพรายฟังเสียงแข็งๆที่ออกคำสั่งกับเธออย่างไม่ชอบใจ แล้วยังโมโหอีกด้วยที่นิคมาคาดคั้นจะให้เธอไปพบพ่อเขา

“เรื่องอะไร ฉันไม่ไปหรอก ไหนคุณเคยบอกว่าพ่อแม่คุณถือธรรมเนียมทางโน้นไง ไม่มายุ่งว่าลูกแต่งงานกับใคร ไม่ต้องขออนุญาตไง”

ฟังเสียงที่เถียงฉอดๆข้างๆคูๆของพราวพรายชายหนุ่มก็ทำตาเขียว

“ที่จะให้ไปพบพ่อผมนี่ไม่ได้ไปขออนุญาตจะมีเมีย แต่จะพาเมียไปทำความรู้จักกับพ่อ เข้าใจไหมว่าขออนุญาตกับทำความรู้จักน่ะไม่เหมือนกัน”

“เข้าใจสิ ไม่ได้โง่นี่” หญิงสาวเถียงคำไม่ตกฟาก “แต่ถึงยังไงฉันก็ไม่ไปหรอก เลิกพูดกันได้แล้ว ฉันจะนอนละ”

“นี่..พราว ฟังนะ ถ้าคุณยังดื้อไม่ยอมไปพบพ่อผม เราคงต้องมีเรื่องกัน ผมจะไม่ทนให้คุณมาบัญชาการผมอยู่ตลอดเวลาอีกแล้ว” เสียงของเขาขรึมทีเดียว ไม่มีร่องรอยว่าพูดเล่น

พอพูดจบนิคก็ล้มตัวลงนอนทันที อีกฝ่ายหนึ่งโมโหกับคำขาดของเขาจนต้องเป็นฝ่ายลุกขึ้นนั่งแทน แล้วทุบโครมลงไปบนแผ่นหลังของคนที่นอนคว่ำหน้าอยู่

“นี่แน่ะ! อย่ามาออกคำสั่งกับฉันนะ ฉันไม่ใช่พลทหารของคุณ”

“ก็ไม่ใช่น่ะสิ ถ้าคุณเป็นลูกน้องผมป่านนี้สั่งขังลืมไปนานแล้ว ผู้หญิงอะไรดื้อสิ้นดี ไม่น่ารักเลย”

“ไม่น่ารักก็อย่ามารักสิ เชิญไปรักคนอื่น ยายคุณเหงียนคนนั้นไง ทั้งสวยทั้งน่ารักถูกใจคุณไม่ใช่หรือ” เธอลากเรื่องไปถึงสาวสวยคนนั้นจนได้

นิคผงกหน้าขึ้นมามองพราวพรายอย่างสงสัยว่าเธอจะหาเรื่องอะไรอีก

“เหงียนเขามาเกี่ยวอะไรด้วยล่ะ เรากำลังพูดเรื่องของเราอยู่ไม่ใช่หรือ”

“ไม่รู้ละ ก็คุณเคยจีบเขาไม่ใช่หรือ? ทำไมไม่ขอเขาแต่งงานล่ะ มาแต่งกับฉันทำไม?”

ชายหนุ่มเงียบเพราะเหนื่อยที่จะอธิบาย

พอไม่ได้ยินคำปฏิเสธที่อยากได้ยินจากปากเขา พราวพรายก็ตะเบ็งเสียงขึ้นมาทันที

“เงียบทำไม ที่เงียบเนี่ยเพราะฉันพูดเรื่องจริงใช่ไหมล่ะ เลยพูดไม่ออก”

“เรื่องจริงบ้าบออะไรล่ะ พูดเอาเองทั้งนั้น ผมกับเหงียนไม่เคยมีอะไรกัน อย่ามาหาเรื่อง”

“ถ้าไม่จริงก็ต้องปฏิเสธสิ ทำเงียบไม่พูดไม่จาอยู่ได้ยังไง”
“ขี้เกียจตอบ เข้าใจไหม”
“ไม่เข้าใจ ตอบมาเดี๋ยวนี้นะ”
“ก็เพิ่งตอบไปหยกๆไงว่าไม่มีอะไร”
“เอ๊ะ! ไม่มีอะไรได้ไง ก็คุณไปเฝ้าเขาทุกวันไม่ใช่เหรอ เขาบอกฉันยังงี้นี่นา” พราวพรายโต้

“เขาไม่ได้พูดยังงั้นสักหน่อย เขาแค่บอกว่าผมไปกินเหล้าที่ร้านเขาบ่อยๆเท่านั้น ไอ้บ่อยๆกับทุกวันน่ะมันผิดกันนะ เอ๊ะ! ทำไมถึงพูดไม่รู้เรื่อง” แล้วนิคก็นึกถึงเรื่องที่ข้องใจขึ้นมาได้ “อ้อ..ถามหน่อย ทำไมต้องหลอกเขาว่าเป็นน้องเป็นญาติผมล่ะ”

หญิงสาวตอบเสียงอ่อยๆว่า “จะบอกตามตรงว่าเป็นเมียคุณได้ไงล่ะ เพื่อนคุณเขาก็ต้องรู้ด้วยน่ะสิ”

“แล้วทำไมไม่บอกเขาไปล่ะว่าคุณเป็นแฟนผม?”

“เรื่องอะไรจะบอกยังงั้นล่ะ ขืนบอกก็ไม่ได้รู้อะไรดีๆน่ะสิ”

ชายหนุ่มหรี่ตา พูดเหมือนรู้ทันว่า “อ๋อ..เข้าใจแล้ว หลอกเขาเพราะจะหาข่าวจากเขาหรอกหรือ”

“บ้าสิ” เธอทำหน้าเหมือนไม่สนใจ “ไม่เห็นจะต้องหลอกหาข่าวเลย มีแต่เขาสิพยายามจะหาข่าวเรื่องคุณจากฉัน ไม่ได้ยินหรือไงที่เขาถามเรื่องคุณตั้งเยอะแยะนั่นน่ะ”

“ได้ยินสิ ทำไมจะไม่ได้ยิน แต่ผมว่าคุณถามเขามากกว่าเขาถามคุณนะ หูผมยังไม่เฝื่อนหรอกน่า”

“เชอะ..หูหาเรื่องน่ะสิ”

นิ่งกันไปครู่หนึ่งจนชายหนุ่มโล่งใจนึกว่าจบเรื่องแล้ว แต่เปล่าเลย พราวพรายไม่ยอมจบง่ายๆหรอก ก็ชักสงสัยขึ้นมาแล้วนี่ แต่คราวนี้เธอเปลี่ยนเสียงให้อ่อนลง

“เออ..นิค คุณว่ายายคุณเหงียนสวยมั้ย”
นิคตอบตามตรงว่า “สวย”

“น่ารักมั้ย” เสียงเธอชักขุ่นขึ้นมาหน่อยๆแล้ว
“อืมม์ ก็น่ารักดีเหมือนกัน”

“งั้นหรือ” แล้วเธอก็ปล่อยหมัดเด็ดทันที “คุณเห็นเขาทั้งสวยทั้งน่ารักก็เลยจีบเสียเลย ใช่มั้ยล่ะ”

นิคผุดลุกขึ้นนั่งอีกครั้งหนึ่ง ชักสงสัยว่าคืนนี้คงจะไม่ได้นอนแล้วละมัง ดูเธอตั้งหน้าตั้งตาหาเรื่องอยู่ได้ จากเรื่องนี้กระโดดไปเรื่องนั้น

ความโมโหที่เธอเรื่องมากนักทำให้ชายหนุ่มหลุดปากออกไปว่า “เคยนึกอยากจีบเหมือนกันแหละ แต่โชคร้ายมาเจอคุณเข้าเสียก่อน เลยเปลี่ยนใจมาจีบคุณแทน เป็นไง พอใจหรือยังล่ะ อยากให้ผมพูดแบบนี้ไม่ใช่หรือ”

เท่านั้นแหละก็ได้...จบเรื่อง พราวพรายเงียบกริบ ล้มตัวลงนอน ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวแล้วหันหลังให้เขา นิคมองเธออย่างสมน้ำหน้าหน่อยๆ ดีละ..ต้องพูดอย่างนี้ถึงจะเงียบได้ เขาล้มตัวลงนอนบ้าง อยากจะหลับเต็มทีแล้ว คืนที่ผ่านมาก็แทบจะไม่ได้นอนเลย เช้านี้ยังต้องลุกออกไปทำงานตั้งแต่หกโมงอีก แถมคืนนี้ยังดื่มเบียร์เข้าไปตั้งหลายแก้ว ทั้งเพลียทั้งง่วง แล้วเมียยังมาหาเรื่องชวนทะเลาะไม่รู้จบอยู่ได้ ชายหนุ่มผลอยหลับไปอย่างรวดเร็ว ไม่รู้หรอกว่าคนที่นอนอยู่ใกล้ๆ นอนลืมตาโพลงน้ำตาไหลพรากด้วยความรู้สึกทั้งน้อยใจและ..หึงหวง





Create Date : 02 มีนาคม 2566
Last Update : 2 มีนาคม 2566 11:07:38 น.
Counter : 787 Pageviews.

9 comments

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณฟ้าใสวันใหม่, คุณThe Kop Civil, คุณ**mp5**, คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณอุ้มสี, คุณสองแผ่นดิน, คุณRain_sk, คุณหอมกร, คุณhaiku, คุณกิ่งฟ้า, คุณSweet_pills, คุณtanjira, คุณเนินน้ำ, คุณไวน์กับสายน้ำ, คุณnonnoiGiwGiw, คุณเริงฤดีนะ

  
เริ่ด
โดย: อุ้มสี วันที่: 2 มีนาคม 2566 เวลา:19:55:48 น.
  
นี่ขนาดเรื่องแต่งยังเบื่อนางเอกแทนพระเอกเลยค่ะคุณตุ้ย

โดย: หอมกร วันที่: 2 มีนาคม 2566 เวลา:22:31:48 น.
  
สวัสดีคะคุณตุ้ย เข้ามาอ่านวันี้ลงเนื้อเรื่องยาวจุใจเลยค่ะ อิอิ

อยากรู้จังใกล้อวสานละยังคะน่าจะอีกไม่กี่ตอนนะคะ

ขอบคุณที่ไปใหกำลังใจบล็อกน้ำพริกหนุ่มไก่ทอดนะคะ

หลับฝันดีค่ะ

โดย: กิ่งฟ้า วันที่: 3 มีนาคม 2566 เวลา:0:40:39 น.
  
สวัสดีค่ะ
ขอบคุณสำหรับกำลังใจที่บล็อกนะคะ

โดย: tanjira วันที่: 3 มีนาคม 2566 เวลา:7:31:38 น.
  
พราวพรายเป็นผู้หณิงที่น่าเบื่อน่ารำคาญจริงๆด้วยค่ะคุณหอม แต่อย่าลืมว่านิยายของข้าพเจ้าทุกเรื่องไม่มีนางร้ายตัวจริงเลยนะคะ ดังนั้นนางเอกต้องรับบทคล้ายๆนางอิจฉาไปพร้อมกันด้วยค่ะ แต่แล้วในที่สุด นางเอกก็จะเลิกเป็นนางร้ายจนได้ กลายเป็นนางเอกอย่างที่ควรจะเป็นค่า ฮิฮิ
โดย: ดอยสะเก็ด วันที่: 4 มีนาคม 2566 เวลา:22:02:50 น.
  
สวัสดีค่ะคุณตุ้ย
นานมาก ๆ เลยนะคะไม่ได้ทักทายกัน
ขอบคุณที่แวะไปนะคะ หวังว่าคงจะสบายดีเช่นกันค่ะ
โดย: เนินน้ำ วันที่: 6 มีนาคม 2566 เวลา:8:41:41 น.
  
สวัสดีครับคุณตุ้ย ผมมาอ่านเมื่อวานแล้วแต่ยังไม่ได้ทักทาย หมดเป๋า
นะครับ วันนี้เลยมาทักทาย

นับถือและชื่่นชมที่คุณตุ้ยเขียนนิยายได้น่าอ่าน ได้เยอะตอนด้วย.. ผมจำ
ได้ว่าได้เขียนทักทายคุณตุ้ยมาหลายปี จำได้ว่าคุณตุ้ยมีบ้านพัก
แถวเชิงเขาป่า อ.ดอยสะเก็ดเชียงใหม่ (เอาและจิตนาการว่าน่าจะแถว
หนองน้ำใหญ่(หนองบัว) ที่พี่สนิท ศ. เขียนเพลง "หนองบัว" ไม่แน่
ใจว่าใช่หรือเปล่า
โดย: ไวน์กับสายน้ำ วันที่: 7 มีนาคม 2566 เวลา:6:58:50 น.
  
สวัสดีค่ะ
จะทะยอยไล่อ่านยาวๆนะคะ
Have a very nice day
โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 8 มีนาคม 2566 เวลา:6:27:24 น.
  
ใช่ค่ะคุณไวน์ คนที่มีบ้านอยู่ดอยสะเก็ด แต่ตัวอยู่กรุงเทพฯ หลังๆนี่ไม่ค่อยได้เข้าบล็อกมากนัก แต่ก็ยังคิดถึงเพือนๆอนู่เสมอ คิดถึงคุณไวน์ด้วยค่ะ
โดย: ดอยสะเก็ด วันที่: 8 มีนาคม 2566 เวลา:9:40:16 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ดอยสะเก็ด
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 54 คน [?]



New Comments
Group Blog
มีนาคม 2566

 
 
 
1
3
4
5
6
7
9
10
11
12
13
14
15
17
18
19
20
21
22
23
24
25
27
28
29
31
 
 
All Blog
Friends Blog
[Add ดอยสะเก็ด's blog to your weblog]
  •  Bloggang.com