ตนละฟวกฟ้า - บทที 72
นายแพทย์แฟรงกลิน ดี. คอร์นวอล กลับถึงบ้านซึ่งเป็นอพาร์ตเมนท์หรูหรา กินเนื้อที่เกือบครึ่งฟลอร์ของชั้นที่สิบหก บนถนนเงียบสงบสายหนึ่งแถบชานกรุงวอชิงตัน เขาเป็นชายอเมริกันผิวขาววัยสามสิบแปดปี รูปร่างสันทัด หน้าตาท่าทางเป็นคนอารมณ์ดี

เมื่อพบหน้าภรรยาสาวสวยที่เดินเข้ามารับเสื้อนอกที่เขาถอดออกจากตัว เขาก็จูบแก้มเธอเบาๆหนึ่งทีเป็นการทักทาย

“ทำไมวันนี้กลับเร็วล่ะคะ แฟรงค์ นึกว่าอย่างน้อยก็คงอีกสักชั่วโมง”

“ประชุมเสร็จเร็วกว่าที่คิด” เขามองไปรอบห้องโถงกว้าง แล้วถามว่า “เด็กๆไปไหนกันหมดล่ะ”

“ซูซี่พาลงไปเล่นที่สนามเด็กเล่นข้างล่างค่ะ เดี๋ยวคงขึ้นมา ใกล้เวลาอาหารแล้วนี่” ภรรยาของเขาที่ชื่อเจิดหรือเจิดจรัส ตอบด้วยหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส

แฟรงค์เดินเข้าไปในห้องนอนใหญ่มีเจิดจรัสเดินตามไปด้วย ระหว่างที่สามีเปลี่ยนเสื้อผ้าผลัดเป็นผ้าเช็ดตัวเพื่อเตรียมตัวอาบน้ำ เธอก็เปิดตู้หยิบเสื้อกางเกงชุดใหม่หลวมๆใส่สบายแบบอยู่กับบ้าน มาวางไว้ให้เขาตรงเก้าอี้ปลายเตียงนอน

ชายหนุ่มทำท่าเหมือนจะเปิดประตูห้องน้ำ แต่แล้วก็ชะงักเมื่อนึกขึ้นมาได้

“เออ..เจิด วันมะรืนนี้ถ้าผมชวนจูดี้กับเพื่อนอีกสองคนของเขา มากินข้าวเย็นที่บ้าน เจิดจะสะดวกไหม จูดี้เขาบ่นอยากพบเจิด เห็นว่ามีอะไรจะคุยด้วย"

เขาหมายถึงแพทย์หญิงจูดี้ เมย์เซ่น หมอผู้หญิงที่เป็นลูกน้องคนหนึ่งในทีมแพทย์ศัลยกรรมของเขา ที่สนิทสนมคุ้นเคยถูกอัธยาศัยกันดีกับเจิดจรัส

“จูดี้กลับจากพักร้อนแล้วหรือคะ” หญิงสาวถามอย่างดีใจ
"กลับมาได้หลายวันแล้วละ ตากแดดเสียดำไปเลย ตกลงว่าไง เจิดจะสะดวกหรือเปล่าเรื่องเลี้ยงที่ว่า"

"ได้สิคะ ไม่มีปัญหา ทั้งหมดสามคนรวมทั้งจูดี้ ใช่ไหมคะ"
"ใช่"

“จูดี้ชอบอาหารไทยนี่คะ งั้นฉันทำอาหารไทยดีไหม” หญิงสาวเสนอ อย่างกระตือรือร้น

“อะไรก็ได้ อาหารไทยก็ดีเหมือนกัน นานๆหมอที่โรงพยาบาลจะมีโอกาสได้กินสักที เวลาไปเลี้ยงกันข้างนอกก็มักจะเป็นอาหารจีนหรือญี่ปุ่น”

“งั้นพรุ่งนี้ฉันคงต้องไปตลาดไทย ของขาดหลายอย่างเหมือนกัน”

เมื่อแฟรงค์เข้าห้องน้ำไปแล้ว เจิดจรัสก็นั่งทำอะไรเล็กๆน้อยๆรอสามีอยู่ในห้องนอน พร้อมกับนึกถึงแพทย์สาวที่ชื่อจูดี้ไปด้วย หลังคลอดลูกเจิดจรัสลาออกจากงานในหน้าที่พยาบาล มาเป็นแม่บ้านเลี้ยงลูกอย่างเดียว ตั้งแต่ตอนยังอยู่ที่นิวเจอร์ซี่ หลังจากนั้นอีกประมาณสองปี แฟรงค์ก็ย้ายมาทำงานที่โรงพยาบาลใหญ่แห่งหนึ่งในวอชิงตันดี.ซี ในตำแหน่งหัวหน้าแผนกศัลยกรรม

ส่วนจูดี้เพิ่งมาทำงานที่โรงพยาบาลแห่งนี้ได้ยังไม่ครบปี เจิดจรัสรู้จักแพทย์หญิงวัยสามสิบสองผู้นี้ค่อนข้างดี จูดี้เคยแต่งงานและหย่าร้างมาแล้วแต่ไม่มีบุตร เธอเป็นสาวอเมริกันที่สวย ท่าทางสง่างาม แม้จะไม่ได้พบกันบ่อยนัก แต่เจิดจรัสก็รู้ข่าวคราวความเคลื่อนไหว ของหญิงสาวผู้นั้นพอสมควร จากคำบอกเล่าของแฟรงค์

เจิดจรัสชอบจูดี้เพราะเธอเป็นคนเปิดเผย พูดอะไรตรงไปตรงมา เธอรู้ว่าจูดี้ออกเดทกับหมอหนุ่มๆหลายคนในโรงพยาบาลที่ทำงานอยู่ แต่ก็ยังไม่เห็นลงเอยกับใคร เมื่อเจิดจรัสซักถามในฐานะเพื่อน จูดี้ก็เล่าให้ฟังว่ายังไม่คิดจะจริงจังกับใคร เพราะยังเข็ดไม่หายกับชีวิตแต่งงานที่ไม่ประสพความสำเร็จ

"ฉันไม่ชอบผู้ชายโง่ พูดพล่าม แล้วก็อวดดีทั้งๆที่ไม่มีดีจะอวด ผู้ชายที่ชอบพูดแต่เรื่องความเก่งของตัวเอง ฉันทนผู้ชายพวกนี้ไม่ไหวหรอก เจิด" จูดี้เคยพูดให้เจิดจรัสฟัง

"สามีเก่าของฉันเป็นคนประเภทนี้แหละ อยู่กันได้แค่ปีเดียวก็ต้องเลิกกัน ที่แย่ที่สุดคือเขาแอนตี้ผู้หญิงเก่ง เขาหาว่าฉันเก่งเกินไปจนเขาทนไม่ไหว ตลกไหม?"

เมื่อเจิดจรัสถามว่าจูดี้ชอบผู้ชายแบบไหน คำตอบของแพทย์สาวก็คือ "ยังตอบไม่ได้หรอกเจิด แต่ของอย่างนี้เวลาพบคนที่ใช่เราก็จะรู้เองแหละ จริงไหม? แต่ถึงยังไม่พบฉันก็ไม่เดือดร้อนหรอก อยู่เป็นโสดแบบนี้ไปเรื่อยๆก็ดีเหมือนกัน"

เมื่อนึกถึงจูดี้ เจิดจรัสก็อดยิ้มกับตัวเองไม่ได้ เธอเคยบอกหญิงสาวผู้นั้นว่าเจตน์ พี่ชายของเธอเป็นผู้ชายแบบที่จูดี้อาจจะสนใจและเอารูปให้ดู

"ว๊าว พี่ชายเจิดหล่อจัง แต่ก็ไม่น่าแปลกใจหรอกนะ เพราะเจิดเองก็สวยมากเหมือนกัน"

เมื่อเจิดจรัสเล่าให้ฟังว่าพี่ชายเธอทำงานเป็นหัวหน้าวิศวกร ในบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง จูดี้ก็มีท่าทางสนใจมากขึ้น แต่เมื่อเล่าให้แฟรงค์ฟัง เขาก็หัวเราะแล้วบอกเธอว่า อย่าหาเรื่องให้มารดาของเธอความดันขึ้นจนต้องไปนอนโรงพยาบาลอีกเลย แต่เจิดจรัสก็วางแผนเอาไว้แล้วว่าจะหาทางให้พี่ชายของเธอกับแพทย์สาวได้พบกันสักครั้ง ตอนที่เจตน์มาประชุมที่บริษัทแม่ในอเมริกาในอีกสองเดือนข้างหน้า

เมื่อสองสามีภรรยาออกจากห้องนอน เข้าไปในส่วนที่อยู่ติดต่อกับห้องแพนทรี ซึ่งจัดเป็นส่วนรับประทานอาหาร ก็เห็นเด็กผู้ชายตัวเล็กๆสองคน นั่งรับประทานอาหารกันอยู่แล้ว ที่ปลายโต๊ะอาหารด้านหนึ่ง มีพี่เลี้ยงที่ชื่อซูซี่ช่วยดูแลอยู่ใกล้ๆ

“ไฮ แดดดี้!” สองเสียงร้องออกมาพร้อมๆกัน
“ไง เด็กๆ วันนี้ไปซนที่ไหนกันมา”

แฟรงค์ทักทายตอบแล้วนั่งลงตรงหัวโต๊ะ ตรงข้ามกับเด็กชายทั้งสอง ส่วนเจิดจรัสเข้าไปในห้องแพนทรี จัดการให้แม่บ้านยกอาหารที่เตรียมไว้สำหรับตัวเองและสามีออกมาเสิร์ฟ

ริกกี้อายุสี่ขวบกว่า ส่วนนิกกี้สามขวบ คนโตหน้าตาคล้ายแฟรงค์ ส่วนคนเล็กคล้ายเจิดจรัส

“ซูพาเราไปเล่นไม้กระดก แล้วก็ลอดอุโมงค์ด้วยละ แดดดี้” ริกกี้พูดชัดถ้อยชัดคำ
“ช่าย..ช่าย แดดดี้ นิกกี้..เล่นไม้..กา..ดก ด้วยละ” นิกกี้พูดตามพี่ชาย เขายังพูดไม่ค่อยชัดเท่าไร

“แดดดี้ฮะ นิกกี้ผลักผมด้วยละ เกือบตกไม้กะดกแน่ะ” ริกกี้ฟ้องบิดา ซึ่งกำลังเริ่มรับประทานอาหาร

"ไม่ด้ายผลักซักกาหน่อย ริกกี้ขี้โกง ชอบหาเรื่องเค้า"

โต้ตอบจบหนูน้อยนิกกี้ซึ่งถือช้อนซ่อมอยู่ในมือก็ทำปากยื่น แล้วหันขวับเอาซ่อมคันนั้นเคาะโป้กเข้าไปตรงหน้าผากของริกกี้ ปากก็ร้องเป็นจังหวะ 

“นี่..แน่ะ.นี่..แน่ะ” ในขณะที่ริกกี้ก็คว้าช้อนของตัวเองที่วางทิ้งไว้ในจาน ทำท่าจะเคาะหน้าผากของอีกฝ่ายบ้าง

ก่อนจะเกิดสงครามย่อยๆ เจิดจรัสก็ออกจากห้องแพนทรีเพื่อมาร่วมรับประทานอาหารกับสามี

“อะไรกัน เด็กสองคนนี่เป็นยังไงนะ ชอบทะเลาะกันอยู่เรื่อย เดี๋ยวตีซะทั้งคู่เลย กินอาหารให้หมดเดี๋ยวนี้”

คู่กรณีรีบสงบศึกโดยเร็ว ก้มหน้าก้มตาตักอาหารในจานตรงหน้าเข้าปาก เพราะรู้ฤทธิ์เดชไม้เรียวอันเล็กๆของมอมมี้ของพวกเขาดี มอมมี้ไม่ค่อยได้ตีหรอกเพราะแดดดี้ไม่ชอบ แต่นานๆมอมมี้ก็แอบตีบ้าง เวลาที่แดดดี้ไม่เห็นหรือไปทำงาน ถ้าทะเลาะกันเมื่อไรไม้เรียวอันเล็กๆนั่นก็จะไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ไม่มีการสอบสวนหาว่าใครผิดใครถูก อยากทะเลาะกันก็ต้องยอมถูกตีไปด้วยกันทุกครั้งทั้งคู่

ระหว่างรับประทานอาหาร แฟรงค์ถามภรรยาว่า “เมื่อไรน้องสาวคุณจะมาเยี่ยมเราบ้างล่ะ ไปหลายเดือนแล้ว”

“คงอีกสักพักแหละค่ะ เขาเพิ่งไปรับงานใหม่ คงต้องใช้เวลาปรับตัวอีกหน่อย”

“ทำไมต้องปรับ มันก็งานแบบเดียวกันไม่ใช่หรือ”

“ค่ะ ก็งานแปลข่าวแปลเอกสาร บางครั้งก็ทำหน้าที่ผู้ประกาศข่าวภาคภาษาไทยตอนที่คนขาดเหมือนตอนอยู่ที่นี่ แต่ที่ยายพราวเขาว่าขอเวลาปรับตัวหน่อย ก็คงเกี่ยวกับคนและที่ทำงานมั้งคะ ฉันเองก็ไม่รู้อะไรนักหรอก พราวเขาสนิทกับคนยาก ก็คงเรื่องนี้แหละ”

“ความจริงบีบีซีในอเมริกานี่ก็ดีแล้ว ทำไมอยู่ๆถึงยอมย้ายไปที่โน่น” แฟรงค์บ่นในทำนองนี้มาหลายครั้งแล้ว

เจิดจรัสตักอาหารใส่ลงในจานของสามี ก่อนจะอธิบายว่า “ก็ไปชั่วคราวเท่านั้นนี่คะ เข้าใจว่าจะเป็นการสับเปลี่ยนกัน เขาก็บอกแล้วว่าปีเดียวหรืออาจจะไม่ถึงปีด้วยซ้ำ เขาก็จะกลับมาทำงานที่เดิม คุณก็รู้ พราวเองเขาอยากไปทำงานที่อังกฤษมานานแล้ว มีโอกาสได้ไปโดยไม่คาดฝันแบบนี้ ทำไมเขาจะไม่ยอมไปเล่าคะ”

ความจริงแฟรงค์รู้เรื่องของพราวพรายพอๆกับเธอ แต่บางครั้งเขาก็จะถามแบบนี้เพราะไม่ค่อยเห็นด้วย ที่น้องภรรยาจะต้องไปทำงานไกลถึงอังกฤษ เจิดจรัสรู้สึกขอบคุณสามีของเธอเสมอ ที่ไม่เคยรังเกียจเดียจฉันท์พี่น้องของเธอ ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น เขาปฎิบัติต่อพราวพรายราวกับน้องสาวแท้ๆของเขา แฟรงค์เป็นผู้ชายใจกว้าง อารมณ์ดี หญิงสาวไม่รู้สึกเสียใจเลยแม้แต่น้อย ที่ฝ่าฝืนข้อห้ามของมารดาแอบแต่งงานกับเขาไม่ให้ทางบ้านรู้

บิดามารดาของเจิดจรัสรู้ว่าเธอมีลูกแล้ว แรกๆคุณจิตราไม่ยอมดูดำดูดี เธอโกรธมากตั้งแต่รู้ว่าลูกสาวคนโตแอบแต่งงาน กับแพทย์หนุ่มชาวอเมริกันที่ทำงานอยู่ด้วยกันโดยพลการ หลังแต่งงานได้ประมาณหกเดือน เจิดจรัสเคยพาแฟรงค์ไปหาบิดามารดาที่เมืองไทย แต่โชคร้ายที่ช่วงนั้นคุณพนัสไปราชการต่างประเทศ คุณจิตราจึงแผลงฤทธิ์ได้เต็มที่ เธอไม่ยอมให้หนุ่มสาวทั้งสองเข้าบ้าน ส่งแต่สาวใช้ออกไปบอกเจิดจรัสว่าเธอไม่สบาย ไม่ต้องการพบใครทั้งนั้น ขอให้กลับไปเสีย และแถมอีกหน่อยว่าเธอไม่เคยมีลูกสาวที่ชื่อเจิดจรัส

แม้จะเสียใจกับคำพูดที่มารดาฝากมา แต่เจิดจรัสก็เข้มแข็งพอที่จะไม่เลิกล้มความพยายาม เธอดั้นค้นไปหามารดาอีกสองครั้งในปีต่อมา โดยทิ้งแฟรงค์ไว้ที่โรงแรม ในที่สุดเมื่อทนลูกตื๊อของเจิดจรัสไม่ไหว คุณจิตราก็ยอมให้เธอเข้ามาพบในบ้านได้ โดยยื่นคำขาดว่าไม่ให้พาสามีมาด้วย

หญิงสาวผู้นั้นทำไม่รู้ไม่ชี้กับท่าทางหมางเมินของมารดา ยังทำตัวเหมือนเจิดจรัสคนเดิมที่พูดจาอ่อนหวาน เอาอกเอาใจและยอมรับผิดทุกประการ ไม่เถียงเลยแม้แต่คำเดียวเมื่อคุณจิตรากราดเกรี้ยวเข้าใส่ พอเหนื่อยหนักเข้าเธอก็หยุดไปเอง

ตอนที่ตั้งท้องลูกคนแรกใหม่ๆ หญิงสาวโทรศัพท์ไปบอกมารดา ผู้ยอมพูดโทรศัพท์ด้วยก็จริง แต่ก็ไม่ซักถามเรื่องเด้กในครรภ์ เธอเพียงแต่ฟังอยู่เงียบๆครู่หนึ่งแล้วก็วางสายไปเฉยๆไม่ร่ำไม่ลา

พอริกกี้อายุสามขวบเธอก็หอบเขาไปเมืองไทย ไปทิ้งไว้กับมารดาให้ช่วยดูแลระหว่างที่เธอกับแฟรงค์ ไปเที่ยวทางภาคเหนือของเมืองไทยสองสัปดาห์ ท่ามกลางเสียงประท้วงอย่างไม่พอใจของคุณจิตรา แต่เมื่อเจิดจรัสดื้อเข้าใส่แบบยิ้มแย้มแจ่มใสตามสไตล์เดิมๆ สามารถเดินผละจากลูกชายตัวน้อยที่พยายามจะวิ่งตามเธอมาได้อย่างหน้าตาเฉย คุณจิตราผู้ไม่มีทางเลือกก็เลยจำใจต้องดูแลหลานชายคนแรกของเธอ ที่เธอคิดแบบมีอคติว่า ‘ชนยังกะลูกลิงลูกค่าง นี่ถ้าพ่อมันเป็นคนไทย คงเรียบร้อยว่านอนสอนง่ายกว่านี้’

แต่หลังจากสองสัปดาห์ผ่านไปเมื่อเจิดจรัสกลับมารับลูก คุณจิตราก็อิดๆออดๆ ไม่อยากให้ริกกี้กลับไปอเมริกา เพราะตอนนี้เธอเริ่มติดหลานเสียแล้ว ชีวิตแม่บ้านที่ซ้ำซากจำเจ ลูกสาวสองคนต่างก็โบยบินออกจากบ้าน ลูกชายคนเดียวก็ไม่ค่อยมาอยู่ใกล้ๆให้เธอได้พูดได้คุย สามีคนดีก็วุ่นวายอยู่แต่กับงานของเขา ถ้าอยู่บ้านเขาก็มักจะหมกตัวอยู่ในห้องทำงาน ทำให้เธอรู้สึกเหงาและบางครั้งถึงขั้นเบื่อ

เมื่อมีหลานชายตัวเล็กๆมาให้ดูแล วิ่งเล่นตึงๆไปทั่วบ้าน ปากน้อยๆ ที่ช่างจำนรรจาก็คอยซักโน่นถามนี่กับสิ่งที่เขาไม่คุ้นชิน ทำให้คุณจิตราเพลิดเพลินและเริ่มผูกพัน เธอพยายามสอนให้ริกกี้เรียกเธอและคุณพนัสเป็นภาษาไทยว่ายายกับตาจนสำเร็จ ซึ่งทำให้เธอดีใจมากถึงขนาดวางแผนว่า ถ้าเจิดจรัสยอมทิ้งลูกไว้กับเธออีกสักสี่ห้าเดือน เธอจะหัดให้เขาพูดภาษาไทยให้เก่งจนลืมภาษา ‘ต่างด้าว’ ไปเลย

ส่วนนิกกี้ซึ่งเกิดหลังริกกี้ปีกว่าๆนั้น คุณจิตรายังไม่เคยเห็น เพราะเจิดจรัสไม่เคยพาเขาไปเมืองไทย แม้แต่ตัวเธอเองและสามีก็ว่างเว้นการเดินทางไกลมานาน เนื่องจากตั้งแต่ย้ายมาทำงานในโรงพยาบาลที่กรุงวอชิงตัน แฟรงค์ต้องทำงานหนักมากแทบไม่มีวันหยุด

หลังรับประทานอาหารเสร็จ เด็กสองคนออกจากห้องไปกับพี่เลี้ยง ส่วนสองสามีภรรยาลงนั่งดูโทรทัศน์อยู่ด้วยกัน

"เมื่อไหร่น้องสาวคุณจะแต่งงานใหม่เสียทีล่ะ เรื่องนั้นมันก็ผ่านไปหลายปีแล้ว น่าจะลืมๆได้แล้ว" แฟรงค์ชวนคุย "ตั้งสี่ห้าปีแล้วไม่ใช่หรือ?"

"สี่ปีกว่าๆค่ะ ยังไม่ถึงห้าปี ยายพราวเดินทางมาอเมริกาหลังเกิดเรื่องไม่นาน"

"นั่นสิ ตั้งสี่ปีแล้วยังทำใจไม่ได้อีกหรือ คนตายก็ตายไปแล้ว คนที่ยังอยู่ก็ต้องเดินหน้าต่อไป อายุก็ยังไม่เท่าไร จะอยู่คนเดียวแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน"

"เขาก็คงจะทำใจได้แล้วละค่ะ แต่ที่ยังไม่แต่งงานก็อาจจะเพราะยังไม่พบคนที่ถูกใจมากกว่า ฉันก็ไม่รู้ใจเขา คุณก็เห็นอยู่แล้วว่ายายพราวเป็นคนเงียบๆ ประเภทถามคำตอบคำ บางครั้งก็ไม่ตอบเสียด้วยซ้ำ เขาคิดอะไรเราก็ไม่รู้"

"แล้วผู้ชายไทยคนนั้นล่ะ จะลงเอยกันไหม? เขาติดต่อกันเป็นประจำไม่ใช่หรือ?"

"คนไหนคะ?" เจิดจรัสทำท่าคิด แต่แล้วก็นึกออกว่าเขาหมายถึงใคร "อ๋อ..เพื่อนเก่าเขาคนนั้นน่ะหรือ ก็ไม่เห็นมีอะไรนี่คะ เขาเคยมาเจอกันที่นี่แค่ครั้งเดียว หลังจากนั้นก็ติดต่อกันทางโทรศัพท์หรือจดหมายบ้างเท่านั้น"

เขตต์เคยมาเที่ยวอเมริกาครั้งหนึ่งเมื่อปีที่แล้ว เขาแวะมาเยี่ยมพราวพรายโดยบอกว่าได้ที่อยู่จากคุณจิตรา เจิดจรัสเห็นน้องสาวทำท่าดีใจ ต้อนรับขับสู้เขาอย่างดี ขับรถพาเขาไปเที่ยวในที่ต่างๆ เมื่อเขตต์กลับเมืองไทยไปแล้ว ก็ติดต่อกันเป็นประจำทางโทรศัพท์ เจิดจรัสเคยสอบถามพราวพรายเกี่ยวกับผู้ชายคนนั้น แต่ก็ไม่ได้คำตอบอะไรมากมาย

"ผมว่าเขาสมกันนะ ผู้ชายท่าทางดีทีเดียว" แฟรงค์ออกความเห็น
"ฉันเคยถามเขาเหมือนกัน แต่ยายพราวเขาก็ยืนยันว่าไม่มีอะไร ยังเป็นแค่เพื่อนกันเท่านั้น"

"ผมอยากให้น้องสาวคุณเลิกจมอยู่กับอดีต เขาควรจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้แล้ว"

"แต่ยายพราวเขาก็ไม่ถึงกับปิดกั้นตัวเองนะคะ แฟรงค์ เท่าที่ฉันรู้เขาออกเดทนานๆครั้ง มีคนมาชอบเขาหลายคนเหมือนกัน แต่อาจจะยังไม่ถุกใจละมัง"

"เขาสนใจหมอไหมล่ะ ที่โรงพยาบาลมีหมอหนุ่มๆหลายคน จะลองแนะนำให้รู้จัก เขาจะโอเคไหม"

คราวนี้เจิดจรัสห้วเราะขันสามี "จะเป็นพ่อสื่อหรือคะ ก็ดีเหมือนกันนะคะ ลองแนะนำให้เขารู้จักสักคน แต่เขาจะสนใจหรือเปล่าฉันก็ไม่รู้ เขาอาจจะเลือกมากกว่าเก่าก็ได้"

"อาจจะกลัวไม่ถูกใจแม่คุณอีกละมัง" แฟรงค์ทำหน้ายิ้มๆเมื่อนึกถึงแม่ยาย ที่ยังไม่ยอมญาติดีกับเขาเท่าที่ควรจนป่านนี้ แม้ตอนนี้เธอจะยอมให้เขาเข้าบ้านได้แล้วก็ตาม โดยอ้างกับเจิดจรัสว่าที่ยอมก็เพราะเห็นแก่หลาน

"คิดไปคิดมาแล้วไม่ยุ่งด้วยดีกว่า เดี๋ยวแม่คุณจะมาโกรธผม มีลูกเขยฝรั่งอย่างผมคนเดียวก็เกินพอแล้ว"

เจิดจรัสค้อนสามี "แหม ฟังพูดเข้า ไม่แน่นะคะ ถ้าตอนนี้พราวเขาแต่งกับฝรั่ง แม่ฉันอาจจะไม่ค้านแล้วก็ได้ คงต้องฟังคุณพ่อพอสมควร เพราะคราวก่อนแม่ถูกคุณพ่อโกรธอยู่ตั้งนาน คุณพ่อถือคติปลูกเรือนตามใจผู้อยู่ค่ะ"

แฟรงค์หัวเราะแล้วลุกขึ้นยืน "นอนดีกว่า พรุ่งนี้มีผ่าตัดแต่เช้า"

สองสามีภรรยาเดินไปด้วยกัน แฟรงค์เข้าห้องนอน ส่วนเจิดจรัสเดินแยกไปอีกทางหนึ่ง เพื่อเข้าไปดูลูกในห้องนอนเล็กที่อยู่ใกล้ๆ






 



Create Date : 24 มิถุนายน 2566
Last Update : 24 มิถุนายน 2566 21:23:46 น.
Counter : 549 Pageviews.

3 comments

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณฟ้าใสวันใหม่, คุณนายแว่นขยันเที่ยว, คุณปัญญา Dh, คุณhaiku, คุณโอน่าจอมซ่าส์, คุณสองแผ่นดิน, คุณSweet_pills, คุณหอมกร

  
ดีใจจะได้อ่านยาว ๆ แต่จริง ๆ คือ
ลงซ้ำ 2 จบเลยค่ะ แก้ไขแล้วเพิ่มเนื้อเรื่องด้วยดีไหมคะ อิอิ

โดย: ฟ้าใสวันใหม่ วันที่: 24 มิถุนายน 2566 เวลา:21:05:04 น.
  
ส่งกำลังใจไว้ก่อนครับ
โดย: สองแผ่นดิน วันที่: 24 มิถุนายน 2566 เวลา:23:12:32 น.
  
วันนี้โหวตบล็อกนี้ก่อนค่ะคุณตุ้ย

โดย: หอมกร วันที่: 25 มิถุนายน 2566 เวลา:12:11:13 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ดอยสะเก็ด
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 54 คน [?]



New Comments
Group Blog
มิถุนายน 2566

 
 
 
 
1
2
3
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
18
19
20
21
22
23
26
27
28
29
30
 
 
24 มิถุนายน 2566
All Blog
Friends Blog
[Add ดอยสะเก็ด's blog to your weblog]
  •  Bloggang.com