คนละฟากฟ่า - บทที่ 71
 

วันสุดท้ายของการทำงาน พราวพรายซึ่งเก็บสิ่งของส่วนตัวที่ยังหลงเหลืออยู่ในโต๊ะทำงาน เพื่อเอากลับไปบ้านเรียบร้อยแล้ว นั่งกระสับกระส่ายรอจอห์นที่ออกไปติดต่องานข้างนอกตั้งแต่ตอนสายๆ เพื่อร่ำลาเขาก่อนจะออกจากที่ทำงานที่ทำอยู่สี่ปีกว่า เพื่อนร่วมงานคนอื่นๆเข้ามาร่ำลาเธอและกลับบ้านไปหมดแล้ว แต่เธอยังกลับไม่ได้เพราะถึงอย่างไรก็ต้องร่ำลาและขอบคุณจอห์น เจ้านายผู้แสนดีที่เมตตาและให้ความเป็นกันเองกับเธอมาตลอด ขณะที่พราวพรายกำลังนั่งกระสับกระส่ายหมุนไปหมุนมาอยู่ จอห์นก็เปิดประตูออฟฟิศเข้ามา

“อ้าว พราว ยังอยู่อีกหรือ เลยเวลาเลิกงานไปเป็นชั่วโมงแล้ว” เขาทักเธอด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

พราวพรายซึ่งมีสีหน้าเศร้าหมองเหมือนคนมีปัญหาทางใจ ยิ้มแห้งๆให้เขา

“ฉันจะกลับได้ยังไงล่ะคะ จอห์น วันนี้ฉันทำงานเป็นวันสุดท้าย ถึงคุณจะกลับออฟฟิศกี่โมงฉันก็ต้องอยู่รอ จะไปโดยไม่ลาคุณได้อย่างไร”

หญิงสาวมองสีหน้าที่ทั้งเครียดทั้งเศร้าของเจ้านายอย่างแปลกใจ 

“เป็นอะไรหรือเปล่าคะ หน้าตาคุณไม่สบายเลย”

อีกฝ่ายมองหน้าเธอเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างแล้วกลับเปลี่ยนใจ

“รีบกลับหรือเปล่า ถ้าไม่รีบช่วยหากาแฟให้สักถ้วยได้ไหม”
“ได้สิคะ จอห์น รอสักครู่นะคะ เดี๋ยวฉันจะเอาเข้าไปให้ในห้อง”

พราวพรายขมีขมันลุกจากโต๊ะเข้าไปเสียบปลั๊กหม้อกาแฟ ที่เธอเพิ่งเข้ามาถอดปลั๊กเมื่อห้านาทีที่แล้ว เพราะเจ้านายของเธอเคยสั่งไว้ว่าหลังเลิกงานถ้าเขายังไม่กลับเข้ามา ให้ถอดปลั๊กหม้อต้มกาแฟออกเพื่อความปลอดภัย เพราะบางวันเขาไม่ได้กลับเข้ามาที่ออฟฟิศ อาจจะตรงกลับบ้านไปเลย

จอห์นซึ่งกำลังนั่งดูกระดาษแผ่นหนึ่งด้วยหน้าตาที่เคร่งเครียด รีบยัดกระดาษที่ถืออยู่เข้าไปในลิ้นชักโต๊ะ ทันทีที่พราวพรายนำกาแฟเข้ามาให้

“นั่งก่อนสิ พราว” เขาบอกหลังจากมองเธออยู่อึดใจหนึ่งเหมือนชั่งใจ

“ฉันมีข่าวไม่ค่อยดีจะบอกเธอ ฉันไม่รู้ว่าตอนนี้เธอกับนิคยังติดต่อกันอยู่หรือเปล่า แต่ก็คิดว่าเธอควรจะรู้เรื่องนี้ อย่างน้อยก็ในฐานะเพื่อนหรือคนรู้จัก”

พราวพรายสะดุ้งวาบเมือ่ได้ยินชื่อนิค สีหน้าของเธอเปลี่ยนไปทันที แต่จอห์นไม่เห็น เพราะตอนนั้นเขาไม่ได้มองหน้าเธอ

“มีอะไรเกี่ยวกับนิคหรือคะ จอห์น” หญิงสาวถามอย่างสงสัย

เธออดรู้สึกไม่ได้จอห์นทำท่าอ้ำอึ้งเหมือนไม่อยากพูดหรือพูดไม่ออก เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนตัดสินใจบอกเธอ

“เมื่อคืนนี้ตอนประมาณสองทุ่ม ฮอลำเลียงพลของเราในเวียตนาม ที่ออกไปปฎิบัติการกวาดล้างกองกำลังเวียตกงถูกยิงตก เครื่องระเบิดกลางอากาศระหว่างที่กำลังบินกลับที่ตั้ง ทหารทุกนายบนเครื่องเสียชีวิตหมด”

เขาอึ้งไปอีกอึดใจหนึ่งก่อนจะกล่าวต่อด้วยเสียงต่ำๆว่า “นิคเป็นหนึ่งในนั้น”

ขาดคำของเขาพราวพรายก็ทะลึ่งพรวดจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่ ตัวของเธอสั่นสะท้านอย่างบังคับไม่ได้ หัวใจก็แกว่งไกวไหวระริก ชาวูบไปหมดทั้งร่าง คิดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ แล้วเธอก็หน้ามืดล้มฟาดลงไปบนพื้นห้อง จอห์นซึ่งตกใจกับอาการของพราวพรายกระโดดจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่ วิ่งอ้อมโต๊ะทำงานออกมาหาเธอ เขาทุลักทุเลประคองร่างที่อ่อนปวกเปียกคอพับคออ่อนของเธอ ขึ้นจากพื้นแล้วพาไปนอนลงบนเก้าอี้ยาว ตบหน้าเธอเบาๆสองสามทีเพื่อกระตุ้นให้รู้สึกตัว

“พราว พราว เป็นอะไรมากหรือเปล่า” เขาร้องถามเสียงดังอย่างกังวล

เมื่อเห็นหญิงสาวยังนอนหลับตานิ่งไม่ไหวติง หน้าซีดขาวราวกับกระดาษ จอห์นก็เหลียวหน้าเหลียวหลัง แล้วเหมือนนึกขึ้นได้ เขาผละจากเธอเดินแกมวิ่งเข้าไปในห้องแพนทรี เปิดตู้ลอยค้นหาจนพบขวดบรั่นดีที่ต้องการ รินบรั่นดีลงแก้วในใบเล็กๆ แล้วรีบร้อนกลับเข้ามาในห้องทำงาน เห็นพราวพรายนอนลืมตาอยู่เขาก็พยุงตัวเธอให้นั่งแล้วส่งแก้วบรั่นดีให้

“จิบบรั่นดีสักหน่อยนะ จะได้รู้สึกดีขึ้น เธอคงเป็นลมไปน่ะ”

หญิงสาวรับบรั่นดีมาดื่มเข้าไปจนหมด อีกครู่ต่อมาหน้าที่ซีดขาวจนเกือบเขียวของเธอก็เริ่มมีเลือดฝาดขึ้นเล็กน้อย

“รู้สึกดีขึ้นบ้างไหม?” เจ้านายของเธอถาม

เธอไม่ตอบได้แต่พยักหน้า ท่าทางงงๆเหมือนยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น

จอห์นพึมพำว่า “ขอโทษด้วย ฉันไม่น่าเล่าให้เธอฟังเลย”

แม้สีหน้าของพราวพรายจะดีขึ้น แต่ชายวัยกลางคนก็ยังเห็นอาการสั่นสะท้านของเธอ

“เอายังงี้ดีกว่านะพราว กลับบ้านไปพักผ่อนดีกว่า ฉันจะไปส่งเธอเอง เพื่อนเธออยู่บ้านไม่ใช่หรือ คืนนี้ฉันไม่อยากให้เธออยู่คนเดียว”

แต่หญิงสาวที่ตายังเบิกกว้างอย่างตื่นตระหนก ท่าทางกระสับกระส่ายร้อนรน

 “ฉันยังไปไหนไม่ได้ทั้งนั้นค่ะจอห์น ฉันต้องรู้เรื่องนี้ก่อน จอห์นคะ ทำไมคุณถึงบอกว่านิคตายแล้ว ฉันไม่เชื่อหรอก เป็นไปไม่ได้ คุณเข้าใจผิดหรือเปล่า เขาจะตายได้ยังไงคะ ตอนพบกันครั้งหลังสุดเขายังดีดีอยู่เลย” เสียงของเธอทั้งเบาทั้งสั่น

จอห์นมองหน้าพราวพรายอย่างกังวลใจ ไม่แน่ใจว่าควรจะเล่ารายละเอียดของเหตุการณ์ให้เธอฟังหรือไม่ เขากลัวว่าเธอจะรับไม่ได้มากขึ้นไปอีก แต่เมื่อเห็นแววตาวิงวอนของเธอ เขาก็จำเป็นต้องเล่าความจริงให้เธอรู้ตามสมตวร

“ถ้าเธออยากรู้จริงๆและแน่ใจว่ารับได้ ฉันก็จะเล่าให้ฟัง แต่เธอต้องตั้งสติให้ดีไม่งั้นอาจจะเป็นลมหรือข็อคไปอีกก็ได้ ฉันได้ข่าวเรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว วันนี้ก็ออกไปติดต่อประสานงานหลายแห่งตั้งแต่เช้า อย่างที่เธอเห็นนั่นแหละ ครั้งนี้เราสูญเสียหนัก นอกจากนิคซึ่งเป็นพันตรีแล้ว เรายังสูญเสียนายทหารยศร้อยเอกและร้อยโทอีกสองคน ที่เหลืออีกสิบสองคนก็เป็นทหารชั้นประทวนที่ผ่านการฝึกมาอย่างดี น่าเสียดายที่ไม่มีโอกาสได้ต่อสู้เลย เพราะเป็นเที่ยวกลับหลังเสร็จสิ้นภารกิจ พวกเวียตกงมันดักซุ่มคอยโจมตีด้วยอาวุธหนักในป่าลึก ตรงจุดที่ไม่ได้คาดคิด ทหารแต่ละคนหลังเสร็จภารกิจการกวาดล้างครั้งใหญ่ ต่างก็คงเหน็ดเหนื่อยอ่อนเพลีย คาดว่าส่วนใหญ่จะนั่งหลับด้วยซ้ำ คงไม่ได้คิดว่าจะถูกลอบโจมตี เพราะตอนนั้นฮอก็อยู่ห่างจากที่ตั้งไม่เท่าไหร่แล้ว”

พราวพรายซึ่งความรู้สึกยังชาอยู่ ถามด้วยความหวังลมๆแล้งๆว่า “ตายหมดทั้งลำเลยหรือคะ? ไม่มีใครรอดออกมาได้บ้างเลยหรือ”

จอห์นอึ้งไปครู่ก่อนจะยืนยันว่า “ตายหมดทั้งลำ ทางโน้นคอนเฟิร์มมาแล้ว”

แต่หญิงสาวก็ยังหวังต่อไป “นิคอยู่บนฮอเครื่องนั้นด้วยแน่หรือคะ จอห์น? จะมีการเข้าใจผิดได้ไหมคะ?”

อีกฝ่ายมองเธออย่างสงสารเพราะเข้าใจความรู้สึกของเธอดี

“ฉันเองก็อยากให้เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน อย่าลืมว่าฉันรู้จักสนิทสนมกับครอบครัวของเขาดี ตัวเขาเองฉันก็เคยเห็นมาตั้งแต่รุ่นหนุ่ม แต่ข่าวนี้คอนเฟิร์มแล้ว ก่อนจะขึ้นเครื่องออกไปปฎิบัติการทุกครั้ง ทหารทุกนายต้องแสดงตนและเซ็นชื่อ มีการตรวจเช็คเรียบร้อย ทั้งก่อนขึ้นเครื่องออกจากค่ายและเมื่อคืน ก่อนที่ฮอ.จะออกเดินทางกลับหลังเสร็จสิ้นภารกิจ นิคอยู่บนเครื่องแน่นอน”

“แล้ว..แล้ว เอ้อ..ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนคะ จะทำอย่างไรกับ..เอ้อ..เขาต่อไป” พราวพรายตะกุกตะกัก ไม่อาจทำใจให้เรียกเขาว่า ‘ศพ’ ได้

“พ่อของนิคกำลังเดินทางมา ถ้าเอา.เอ้อ.กลับไปทำพิธีที่บ้านได้ก็คงเอากลับไป”

เจ้านายของพราวพรายตอบเลี่ยงๆเพียงแค่นั้น เขาไม่คิดจะบอกอะไรเธออีก เขากลัวว่าเมื่อรู้ทุกอย่างโดยละเอียดอย่างที่เขารู้ เธออาจจะรับไม่ได้จนช็อคไปอีกครั้ง กับความน่าสยดสยองของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เขาทำได้เพียงพยายามปลอบใจพราวพรายว่า ชีวิตของชายหนุ่มอนาคตไกลคนนั้น ต้องดับสิ้นลงไปก็เพราะความประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า หรือที่เรียกกันว่าชะตากรรมตามความเชื่อทางพุทธศาสนา

"นิคอาจจะถึงที่ตายก็ได้ เพราะวันนั้นไม่ใช่เวรของเขาที่จะต้องออกไปปฏิบัติภารกิจ แต่เขาอาสานำทีมไป ฉันก็ไม่รู้ว่าทำไม แล้วในที่สุดก็เกิดเรื่องอย่างที่บอก อย่าเสียใจมากเกินไปเลยนะพราว พระผู้เป็นเจ้าคงกำหนดชะตาชีวิตของเขาเอาไว้แค่นั้น"

"โธ่นิค ไม่น่าเลย ทำไมต้องทำแบบนั้น"

พราวพรายร่ำไห้หนักขึ้นไปอีกเมื่อได้ยินคำพูดของจอห์น ช่วยไม่ได้ที่เธอจะนึกโทษตัวเองที่เป็นต้นเหตุให้นิคต้องตาย แล้วยังโกรธเลยไปถึงมารดาด้วย ที่บีบบังคับเธอให้จนมุมต้องขอหย่ากับเขา

เย็นนั้นจอห์นต้องขับรถพาพราวพรายไปส่งบ้าน เพราะเมื่อเห็นท่าทางเหม่อลอยไม่พูดไม่จาเหมือนสติไม่อยู่กับตัว รวมทั้งอาการอ่อนเปลี้ยจนแทบจะยกขาก้าวเดินไม่ไหวของเธอแล้ว เขาก็รู้สึกเป็นห่วงจนไม่อาจปล่อยให้เธอต้องเดินไปขึ้นรถเมล์ออกไปหน้าค่าย แล้วไปต่อสามล้อกลับบ้านด้วยตัวเองอย่างที่เธอทำใจแข็งบอกเขา

คืนนั้นพราวพรายนอนไม่หลับ หลับตาลงครั้งใดก็เห็นแต่ภาพนิคที่นอนตายอยู่กลางป่า เนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผลเหวอะหวะ บางครั้งก็นึกเห็นภาพชิ้นส่วนแขนขาและอวัยวะส่วนอื่นๆของเขา ที่แหลกเหลวหรือขาดออกจากร่างด้วยแรงระเบิด กระเด็นกระจัดกระจายไปทั่วบริเวณ บางครั้งก็อุปาทานเหมือนได้กลิ่นคาวเลือดสดๆ ที่ทะลักทลายออกจากร่างของเขา

แล้วเธอก็ร้องกรี๊ดออกมาเนื้อตัวสั่นเทา ผลุดลุกผลุดนั่งอยู่อย่างนั้น โอ๊ย..นี่ฉันฝันไปเองหรอกหรือ นิคยังอยู่ดีไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย นิค..นิค แล้วต่อมาก็นึกขึ้นมาได้ว่านิคตายแล้ว ไม่มีเขาอีกต่อไปแล้ว เธอจะไม่ได้เห็นร่างสูงตรงอกผายไหล่ผึ่งที่เจนตาอีกต่อไป ไม่มีอ้อมกอดอบอุ่นให้เธอได้ซุกซบ ไม่มีอีกแล้วผู้ชายแสนดีแสนน่ารัก ผู้มอบความรักอย่างล้นเหลือให้เธอมาตลอด

ความฝันที่จะได้อยู่ด้วยกันจนแก่จนเฒ่า ที่เขาเคยพูดอยู่บ่อยๆก็ไม่สามารถจะเกิดขึ้นได้ เขาจากเธอไปแล้ว ทิ้งให้เธอต้องผจญเวรผจญกรรมต่อไปตามลำพัง ถ้ารู้ล่วงหน้าว่าเขาจะตาย เธอจะไม่มีวันหย่ากับเขาอย่างเด็ดขาด จะอยู่กับเขาจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต

แล้วพราวพรายก็เริ่มตระหนักว่า การต้องพลัดพรากจากคนที่รักจนหมดหัวใจด้วยการหย่าร้าง ก็ยังดีกว่าต้องจากกันเพราะความตายมาพราก จากเป็นยังมีโอกาสที่จะกลับมาพบกันได้ใหม่ แต่จากตายนี่สิโหดร้ายทารุณมากกว่าหลายต่อหลายเท่านัก ไม่รู้ว่าจะไปตามหาเขาได้ที่ไหน อยู่ๆเขาก็มลายหายวับ กลายเป็นอากาศธาตุไปไม่เหลือแม้แต่ซาก

หญิงสาวร้องไห้คร่ำครวญกับความจริงที่เจ็บปวดรวดร้าวแสนสาหัส เธอจะอยู่ต่อไปได้อย่างไรกับชีวิตที่ไม่มีเขา จะมีใครสักกี่คนที่จะรักเธอให้อภัยเธอมากมายได้เหมือนเขา แล้วเธอเล่าเคยให้อะไรตอบแทนเขาบ้าง แม้แต่ความเป็นเมียที่ควรจะยืนหยัดอยู่เคียงข้างเขาในทุกสถานการณ์ ไม่ใช่เมียที่พร้อมจะทิ้งเขาเอาตัวรอดทันทีที่มีปัญหา คงเป็นเวรเป็นกรรมของเขา ที่ต้องมาพบมารักและมาแต่งงานกับเธอ

พราวพรายอดคิดไม่ได้ว่าถ้าไม่ได้แต่งงานกับเธอ วันนี้นิคอาจจะยังไม่ตายก็ได้ เขาเพิ่งเครียดอย่างหนักกับการหย่าร้างที่ไม่เต็มใจ ได้เพียงสองอาทิตย์เท่านั้น เธอรู้ว่าเขาทั้งเสียใจและแค้นใจ ที่เธอทำเหมือนไม่เห็นความสำคัญของเขาเลย เมื่อเข้าที่คับขันแทนที่เธอจะเลือกเขา ยืนเคียงคู่กับเขา เธอกลับเลือกครอบครัวของเธอ

ระหว่างที่ออกไปปฏิบัติภารกิจเธอไม่รู้ว่าสภาวะทางจิตใจของเขาเป็นอย่างไร มันคงไม่เต็มร้อยเหมือนทุกครั้ง มันอาจจะมีส่วนที่ทำให้เขาต้องประสพชตากรรมที่เลวร้าย ต้องทอดร่างลงนอนตายอย่างอ้างว้างเดียวดายในป่าเปลี่ยว ไกลแสนไกลจากบ้านเกิด ไม่มีทั้งพ่อแม่พี่น้องหรือแม้แต่อดีตภรรยา มาเหลียวแลดูใจเป็นครั้งสุดท้าย

นิค..นิค..นิคจ๋า คุณตายแล้วจริงๆหรือ คุณจะตายได้อย่างไร ไหนคุณเคยสัญญาว่าจะดูแลฉันตลอดไปไง ทำไมไม่รักษาสัญญา ทำไมทิ้งฉันไปอย่างโหดร้ายแบบนี้ นิค..นิค กลับมาหาฉันเถิดนะ ฉันจะยอมเสียทุกอย่างในโลกนี้ แม้แต่..แม้แต่พ่อแม่พี่น้อง เพื่อแลกกับการมีชีวิตอยู่ของคุณ กลับมานะนิคนะ ฉันไม่เชื่อหรอกว่าคุณตายแล้ว จะไม่กลับมาหาฉันอีกแล้ว ตอนนี้ฉันกำลังฝันร้ายอยู่ใช่ไหม ฝันว่าคุณตายแล้วแต่ความจริงคุณยังไม่ตายสักหน่อย คุณกำลังรอฉันอยู่ในเวียตนามใช่ไหม ฉันอยากตื่นเต็มทีแล้วนะ ตื่นเสียทีสิ ตื่นแล้วฝันร้ายจะได้หายไป ตื่นแล้วฉันจะได้ไปหาคุณไง ไปบอกคุณว่าฉันรักคุณยิ่งกว่าชีวิต

ฉันเปลี่ยนใจแล้ว ฉันไม่สนใจอีกแล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราจะไปจดทะเบียนสมรสกันใหม่นะนิคนะ แล้วฉันก็จะทิ้งทุกคนและทุกอย่างที่มาขวางทางเรา ฉันจะไปอยู่กับคุณที่เวียตนาม อเมริกาหรือแม้แต่ขั้วโลก ที่ไหนก็ได้ที่มีคุณ ตกลงนะ รอฉันนะ แล้วอย่าลืมไปรับฉันที่ฮอ.เหมือนทุกครั้งด้วยนะ โธ่..เมื่อไหร่จะเช้าเสียทีหนอ ฉันจะได้รีบกลับไปหาคุณ ฉันรักคุณนะนิค ฉันรักคุณคนเดียว

พราวพรายฟุ้งซ่านวาดภาพหลอกตัวเองต่อไปเรื่อยๆ ไม่อาจทำใจให้ยอมรับความจริงได้ว่านิคตายแล้ว แล้วตกดึกคืนนั้นเธอก็รู้สึกไม่สบาย เริ่มต้นด้วยการปวดศีรษะอย่างรุนแรงราวกับสมองจะระเบิดออกมา ต่อมาก็แน่นหน้าอกหายใจไม่ออก หญิงสาวที่รู้สึกเหมือนกำลังจะขาดใจตายโ ซเซออกจากห้องไปเคาะประตูเรียกสุนิสาที่นอนอยู่ในห้องใกล้ๆกัน

พองัวเงียเปิดประตูออกมาเจอพราวพรายที่หมอบฟุบอยู่หน้าห้องสุนิสาก็ตกใจ ก้มลงประคองเพื่อน ปากก็ถามด้วยเสียงที่สั่นด้วยความตกใจ 

“พราว เป็นอะไรน่ะ ไม่สบายใช่ไหม บอกเราซิว่าพราวเป็นอะไร?”
“แอ๋ว..แอ๋ว เราปวดหัวมาก แน่นหน้าอกด้วย หายใจไม่ออก” อีกฝ่ายบอกด้วยเสียงแผ่วๆที่ขาดเป็นช่วงๆ แถมด้วยอาการหอบหนักๆ

“มียากินหรือเปล่า”

“ไม่มี ไม่เคยเป็นเแบบนี้มาก่อน”

ฟังแล้วสุนิสาก็ยิ่งตกใจมากขึ้น “ไปโรงพยาบาลดีกว่านะ พราว ให้หมอเขาตรวจดูหน่อย”

อีกฝ่ายไม่ตอบหรือแย้งว่าอะไร สุนิสามองหน้าที่ซีดขาวเหงื่อไหลพราวราวกับเม็ดฝนของเพื่อนอย่างกังวล

“เอ..แล้วจะไปกันยังไงล่ะ ดึกดื่นป่านนี้คงไม่มีสามล้อหรอก แต่ความจริงโรงพยาบาลก็อยู่ใกล้แค่นี้เอง หรือจะโทรไปเรียกพี่ณพให้เอารถมารับดี”

คราวนี้พราวพรายส่ายหน้าเป็นเชิงปฏิเสธ “อย่าเลย อย่าไปกวนเขาเลย ไปสามล้อก็ได้ อาจจะมีหลงมาแถวนี้สักคัน”

สุนิสารีบเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนจะหยิบเสื้อผ้ามาเปลี่ยนให้พราวพราย หลังจากนั้นก็ประคองเพื่อนเดินช้าๆออกจากบ้านไปที่ถนน คอยมองหาสามล้อ โชคดีที่หลังจากยืนชะเง้อชะแง้หาอยู่เพียงสิบนาที ก็มีสามล้อคันหนึ่งบังเอิญผ่านมา

สุนิสานั่งรออย่างกระสับกระส่าย ระหว่างที่หมอกำลังตรวจอาการของพราวพราย หลังการตรวจโดยละเอียดและพูดจาซักถามคนไข้อยู่พักหนึ่ง หมอก็วินิจฉัยว่าอาการของเธอเกิดจากความเครียดอย่างรุนแรง และการที่ร่างกายขาดทั้งอาหารและน้ำ รวมทั้งการพักผ่อนไม่เพียงพอ คืนนั้นพราวพรายต้องนอนโรงพยาบาลเพื่อให้น้ำเกลือ เนื่องจากร่างกายอ่อนเพลียมาก โดยสุนิสานอนเป็นเพื่อนในห้องพิเศษ

เช้าวันรุ่งขึ้นสุนิสาต้องตกใจอีกครั้งเมื่อเห็นพราวพราย นอนร้องไห้สะอึกสะอื้นเหมือนหัวใจสลายอยู่บนเตียงคนไข้

“พราว พราวเป็นอะไร มีเรื่องอะไรหรือ ถึงได้ร้องไห้มากมายขนาดนี้”

“แอ๋ว เราไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไป เราอยากตาย ไม่อยากอยู่อีกแล้ว”

สุนิสาตกใจที่ได้ยินเพื่อนร่ำร้องอยากตาย รู้ว่าต้องมีเรื่องร้ายแรงอะไรเกิดขึ้นแน่

“ทำไมถึงจะอยากตาย อย่าพูดอะไรบ้าๆแบบนั้น คุณแม่พราวเป็นอะไรหรือเปล่า”

อีกฝ่ายส่ายหน้าปฎิเสธ บอกด้วยเสียงสะอื้นว่า “ไม่ใช่แม่หรอก แม่ไม่เป็นอะไร”

“แล้วใครเป็นอะไรงั้นหรือ?” อีกฝ่ายรู้สึกมืดแปดด้าน “อยากเล่าให้เราฟังไหม ถึงจะช่วยไม่ได้แต่อย่างน้อยก็ช่วยรับฟัง พราวอาจจะสบายใจขึ้นบ้างก็ได้นะ”

พราวพรายขยับตัวลุกขึ้นนั่ง สุนิสาเห็นเช่นนั้นจึงเดินไปไขหัวเตียงให้สูงขึ้น หยิบหมอนที่เธอใช้หนุนนอนเมื่อคืนที่ผ่านมา สอดเข้าไปทางด้านหลังของเพื่อน ส่วนตัวเองนั่งลงบนเก้าอี้หน้าเตียง

“ถ้าอึดอัดมากก็เล่าออกมาเถิดนะ พราว อย่าเก็บไว้คนเดียวเลย ถ้าเป็นเรื่องส่วนตัวที่ไม่อยากให้ใครรู้ เรารับรองว่าจะไม่ปริปากเล่าให้ใครฟังแม้แต่พี่ณพ”

ในที่สุดพราวพรายซึ่งอัดอั้นตันใจอย่างหนักกับปัญหาใหญ่ๆที่เกิดขึ้นซ้อนๆกันอย่างต่อเนื่อง ก็ตัดสินใจเล่าให้สุนิสาฟัง แต่ไม่ได้เล่าทั้งหมด เธอเล่าเรื่องการจดทะเบียนสมรสกับนิค และการถูกมารดาบังคับทางอ้อมให้หย่าขาดจากเขา จนถึงตอนที่นิคเสียชีวิต เธอไม่ได้เล่าเรื่องระหว่างเธอกับนิคก่อนหน้านั้น

ฟังจบสุนิสาก็น้ำตาไหล หลุดปากออกมาว่า “โธ่ พราว เราสงสารพราวเหลือเกิน สงสารนิคมากด้วย เรารู้สึกมานานแล้วว่าเขาเป็นคนดี ไม่นึกว่าจะอายุสั้นอย่างนี้ แล้วนี่พราวจะทำอย่างไรต่อไป”

แล้วพอนึกขึ้นได้สุนิสาก็ถามต่อว่า “แล้วพราวไม่คิดจะขึ้นไปดู..เอ้อ..เขาที่โน่นบ้างหรือ อย่างน้อยก็ไปลาเขาเป็นครั้งสุดท้าย”

พราวพรายสะอื้นฮัก “คงไปไม่ได้หรอก ฉันจะไปแสดงตัวในฐานะอะไรล่ะ ไม่มีใครรู้ว่าฉันกับเขาเป็นอะไรกัน แม้แต่จอห์นก็ไม่รู้ ได้ข่าวว่าพ่อเขากำลังเดินทางมาจากอเมริกา ฉันไม่อยากพบเขา แล้วอีกอย่าง..ฉันทนเห็นนิคในสภาพนั้นไม่ได้หรอก แอ๋ว ไหนๆเขาก็ตายไปแล้ว ฉันอยากจะเก็บความทรงจำเกี่ยวกับเขา ในสภาพนิคคนเดิมของฉันมากกว่า”

กล่าวจบหญิงสาวที่กำลังหัวใจสลายก็ยิ่งร่ำไห้หนักขึ้นไปอีก จนสุนิสาซึ่งน้ำตาไหลพราก เพราะสงสารทั้งเพื่อนและชายหนุ่มผู้นั้น ต้องลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่ โน้มตัวไปกอดพราวพรายไว้แนบอก ปากก็พึมพำปลอบใจไปเรื่อยๆ แม้จะรู้ว่าคำปลอบใจของเธอไม่สามารถทำให้เรื่องร้ายกลายเป็นดีได้ แต่อย่างน้อยเพื่อนของเธอ ก็จะไม่รู้สึกว้าเหว่เดียวดายไร้ที่พึ่งพิงมากจนเกินไป

พราวพรายออกจากโรงพยาบาลในอีกสองวันต่อมา เธอกลับไปพักต่อที่บ้านเช่า เพราะยังไม่แข็งแรงพอที่จะเดินทางกลับกรุงเทพฯ รวมทั้งจิตใจที่ยังระส่ำระสายอย่างหนัก ทำให้ยังไม่นึกอยากกลับไปเผชิญหน้ากับมารดา เวลาที่อยู่คนเดียว หญิงสาวก็ร่ำไห้คิดย้อนไปถึงวันที่รีบร้อนเดินทางกลับไปบ้าน เพื่อไปเกลี้ยกล่อมมารดาให้เข้ารักษาตัว พอเห็นหน้าเธอคุณจิตราก็มีท่าทางดีใจ แล้วพอเธอส่งเอกสารสำคัญให้ มารดาของเธอก็คว้าไปดูอย่างรวดเร็ว ก่อนจะรีบเอาเข้าไปเก็บไว้ในตู้เซฟในห้องนอน

เมื่อเธอชี้แจงว่าจะต้องเอาเอกสารฉบับนั้นไปยื่นที่อำเภอ คุณจิตราก็บอกว่าไม่เป็นไร เธอจะเก็บไว้เองก่อน หลังจากที่พราวพรายกลับจากเคลียร์งานให้เจ้านายเรียบร้อยแล้ว ค่อยมาเอาไปยื่นที่อำเภอ หญิงสาวอดสังเกตไม่ได้ว่า ตั้งแต่วันนั้นมารดาของเธอก็แทบจะหายป่วยเป็นปลิดทิ้ง ไม่บ่นเรื่องความดันอีกเลย แล้วก็ขยันกินยาตามที่หมอสั่งอย่างเคร่งครัด ยิ่งคิดพราวพรายก็ยิ่งปวดร้าว ถามตัวเองว่าเธอหลงกลมารดาจนต้องยอมบีบบังคับนิคให้เซ็นหย่า ทำให่เขาเครียดหนักและไปตายในที่สุดหรือเปล่า

ความจริงตอนนี้สุนิสาจะต้องย้ายไปปราณบุรีพร้อมอรรณพแล้ว แต่ด้วยความเป็นห่วงเพื่อนที่ยังอาการหนักเพราะบาดแผลทางใจ นอนซมอยู่บนเตียงเกือบตลอดเวลา ไม่พูดไม่จากับใคร เธอก็เลยบอกอรรณพให้เดินทางล่วงหน้าไปก่อน ส่วนเธอจะตามไปทีหลัง

ในช่วงนั้นสุนิสาดูแลพราวพรายอย่างใกล้ชิด ชวนพูดชวนคุยบ้างเป็นครั้งคราว ปลุกปลอบใจเพื่อนให้เข้มแข็ง ลุกขึ้นยืนแล้วเดินหน้าต่อไป หนทางชีวิตข้างหน้ายังอีกยาวไกล ใครจะรู้ว่าเมื่อเวลามาถึง แม้จะยังไม่สามารถลืมนิคได้ เพื่อนเธอก็อาจจะได้พบผู้ชายคนใหม่ที่ไม่ได้ด้อยกว่านิค สุนิสาคิดฟุ้งซ่านเลยไปถึงเขตต์ด้วยซ้ำ

แล้วสายๆของวันที่สามที่เธอนอนซมอยู่บนเตียง สุนิสาก็เดินหน้าเริ่ดเข้ามา
"พราว คุณแม่โทร.มา จะขอพูดกับพราว ลุกไหวไหม?"

ความจริงพราวพรายไม่มีแก่ใจจะพูดกับใครทั้งนั้น แม้แต่เรี่ยวแรงก็แทบจะไม่มีเหลือ แต่ก็ต้องฝืนใจยันตัวลุกขึ้นจากเตียงไปรับโทรศัพท์ โดยสุนิสาช่วยประคอง

"นี่..แม่พราว เมื่อไหร่จะมากรุงเทพฯ จะได้ไปจัดการเรื่องนั้นให้เรียบร้อยเสียที จะได้จบๆกันไป" คุณจิตราถามด้วยเสียงแข็งๆ ไม่มีการทักทายใดใดทั้งสิ้น

หญิงสาวเสียววาบปลาบในหัวใจขึ้นมาทันที เข้าใจดีว่า 'เรื่องนั้น' ของมารดาหมายถึงเรื่องใด เธออึ้งไปนานกว่าจะตอบออกไปได้ว่า "ตอนนี้พราวยังกลับไปไม่ได้หรอกค่ะ พราวไม่สบายเพิ่งออกจากโรงพยาบาล"

คุณจิตราถามอย่างเสียไม่ได้ว่า "เป็นอะไรไปล่ะ ไม่เห็นเคยเจ็บเคยป่วยถึงขนาดต้องนอนโรงพยาบาลสักที" เธอเงียบไปอึดใจหนึ่งก่อนจะคาดคั้นว่า "ป่วยจริงหรือว่าป่วยการเมืองแอบกลับไปหาไอ้เจ้าคนนั้นอีก อย่าเชียวนะ จบแล้วก็ให้มันจบไป อย่ามาเล่นตลกกลับไปกลับมา"

พราวพรายกัดริมฝีปากจนห้อเลือด แทบจะร้องกริ้ดออกมาด้วยความอัดอั้นตันใจ ในที่สุดก็หลุดปากเสียงดังออกไปด้วยแรงอารมณ์ 

"แม่ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ถึงตอนนี้พราวจะอยากกลับไปหาเขาก็เป็นไปไม่ได้แล้ว เขาตายแล้วค่ะ ได้ยินไหมคะแม่ ว่าเขาตายแล้ว"

พูดจบหญิงสาวก็วางโทรศัพท์ลง ก่อนจะเซซวนไปฟุบลงบนเก้าอี้ตัวที่อยู่ใกล้ที่สุด ร้องไห้สะอึกสะอื้นจนตัวสั่นสะท้าน ทำให้สุนิสาที่หลบออกไปอยู่หน้าห้อง เพื่อเปิดโอกาสให้แม่ลูกได้พูดกันโดยสะดวก ต้องวิ่งเข้ามาปลอบโยนเพื่อนอย่างแสนสงสาร

กลับมาได้ไม่กี่วันคุณพนัสก็เริ่มเห็นความผิดปกติในบ้าน เขาสังเกตเห็นการเลี่ยงกันไปเลี่ยงกันมา และความหมางเมินระหว่างคุณจิตรากับบุตรีคนสุดท้อง พราวพรายนั้นผ่ายผอมจนผิดรูป สีหน้าแววตาแห้งแล้ง มักจะใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในห้องส่วนตัว ถ้าลงมาข้างล่างเพื่อรับประทานอาหารเย็นร่วมกับบิดามารดา เธอก็จะก้มหน้าก้มตาตักข้าวเข้าปากเงียบๆไม่พูดไม่จากับใคร เมื่อคุณพนัสสอบถามด้วยความเป็นห่วง หญิงสาวก็เพียงแต่ยิ้มน้อยๆแล้วบอกว่าเธอสบายดี ในขณะที่คุณจิตราทำสีหน้าหมางเมินเหมือนมีเรื่องขุ่นข้องหมองใจ

กลับมาอยู่บ้านได้เพียงสองสัปดาห์ พราวพรายก็ล้มป่วยจนต้องเข้าโรงพยาบาล ซึ่งแพทย์วินิจฉัยว่าเป็นเพราะความเครียดอย่างรุนแรงและไม่ดูแลตัวเองเท่าที่ควร ระหว่างนอนป่วยอยู่ในโรงพยาบาลคุณจิตราไม่เคยไปเยี่ยม มีแต่คุณพนัสเท่านั้นที่แวะไปเยี่ยมทุกเย็น และคอยซักถามอาการของเธอจากแพทย์ แล้วก็เป็นในช่วงนี้เองที่ความสงสัยของคุณพนัส เกี่ยวกับสาเหตุความหมางเมินระหว่างภรรยากับบุตรี ซึ่งนำไปสู่การล้มป่วยของพราวพรายได้รับการคลี่คลาย

เมื่อถูกคาดคั้นหนักๆเข้าคุณจิตราก็ต้องเปิดปากเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้สามีฟัง ฟังแล้วคุณพนัสก็นึกโกรธภรรยาที่กระทำการแบบหักหาญทำร้ายจิตใจลูก เขาเสียใจก็จริงที่พราวพรายแอบจดทะเบียนสมรสกับหนุ่มต่างชาติโดยพลการ แต่เมื่อแก้ไขอะไรไม่ได้เพราะเรื่องมันเกิดขึ้นแล้ว เขาก็คิดว่าควรจะปล่อยเลยตามเลย คุณจิตราเช็ดน้ำตาป้อยๆเมื่อได้รับคำตำหนิจากสามี

หลังจากนั้นคุณพนัส ซึ่งคิดว่ายังไม่สายเกินไปก็เข้าไปพูดคุยกับบุตรสาว ซึ่งตอนนั้นออกจากโรงพยาบาลมาพักฟื้นที่บ้านแล้ว เมื่อรู้จุดประสงค์ของบิดาที่ต้องการจะพบนิค พราวพรายก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นจนตัวสั่น กว่าจะบอกเขาได้ว่าชายหนุ่มผู้นั้นเสียชีวิตไปแล้ว คุณพนัสก็ได้แต่ทอดถอนใจและเฝ้ามองพราวพรายต่อไปอย่างเป็นห่วง

แต่ต่อมาเมื่ออาการของเธอยังไม่ดีขึ้น ยังซึมเซื่องไม่ยินดียินร้ายกับสภาพรอบตัว บิดามารดาก็ต้องหันหน้าเข้าปรึกษากันอย่างเคร่งเครียด ว่าจะทำอย่างไรต่อไปกับบุตรี ที่ทำท่าหมดอาลัยตายอยากกับชีวิต แล้วในที่สุดคุณพนัสก็ตัดสินใจจะส่งพราวพรายไปอยู่กับเจิดจรัสสักพักหนึ่ง โดยหวังว่าการเปลี่ยนสถานที่ สภาพแวดล้อมและการได้อยู่กับพี่สาวที่สนิทสนมรู้ใจกัน จะทำให้อาการของเธอค่อยๆดีขึ้น หลังจากนั้นพราวพรายก็เดินทางไปหาเจิดจรัสที่นิวเจอร์ซี

หญิงสาวตระหนักว่าชีวิตคู่ของเธอกับนิคปิดฉากลงไปแล้วชั่วนิรันดร์ เพราะความตายมาพราก เธอกำลังจะไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ในโลกใบใหม่ สุนิสาพูดกับเธอที่สนามบินว่ากาลเวลาจะช่วยให้เธอเลิกนึกถึงอดีต แล้วเดินหน้าต่อไป และก็กาลเวลาอีกเช่นเดียวกันที่จะพัดพารักครั้งใหม่มาให้ เพราะคนเราสามารถมีรักใหม่ได้เสมอ แต่พราวพรายไม่เชื่อหรอก เธอบอกตัวเองว่าจะไม่มีวันรักใครอีกแล้วเพราะกลัวการพลัดพราก แต่ใครเลยจะล่วงรู้อนาคต

















 




Create Date : 17 มิถุนายน 2566
Last Update : 17 มิถุนายน 2566 11:40:39 น.
Counter : 616 Pageviews.

10 comments

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณเริงฤดีนะ, คุณฟ้าใสวันใหม่, คุณปัญญา Dh, คุณโอน่าจอมซ่าส์, คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณโอพีย์, คุณปรศุราม, คุณอาจารย์สุวิมล, คุณสองแผ่นดิน, คุณhaiku, คุณSweet_pills, คุณแมวเซาผู้น่าสงสาร, คุณJohnV, คุณThe Kop Civil, คุณทนายอ้วน, คุณกิ่งฟ้า, คุณ**mp5**, คุณnewyorknurse

  
เป็นโควิดอยู่หลายวันเลค่ะ เพิ่งหาย
โดย: ดอยสะเก็ด วันที่: 17 มิถุนายน 2566 เวลา:10:10:38 น.
  
Take care.,ค่ะ
เดี๋ยวนี้เป็นไว..หายไว


สงสารนางเอกจังค่ะ
ชีวิตจะmove on ต่อไปอย่างไร..
ติดตาม..ตามติด..
โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 17 มิถุนายน 2566 เวลา:11:06:42 น.
  
พระเอกตายไม่ได้ค่ะ อิอิ
คงต้องมีอะไรหักมุมแน่ ๆ ค่ะ

โดย: ฟ้าใสวันใหม่ วันที่: 17 มิถุนายน 2566 เวลา:11:53:02 น.
  
คิดเหมือนคุณฟ้า พระเอกไม่ตายหรอกค่ะ
คุณตุ้ยหายป่วยไวไวนะคะดเป็นห่วง

โดย: หอมกร วันที่: 17 มิถุนายน 2566 เวลา:14:44:03 น.
  
สวัสดี จ้ะ น้องดอยสะเก็ด

ตามมาอ่านนิยายของน้องต่อไป จ้ะ ตอนนี้ อ่านแล้วเศร้าจังเลย
สงสารแพรวพรายมาก จ้ะ ยิ่งสงสารนิคมากด้วย ข่าวการตายของนิค
คงจะมีการหักมุม นะ พระเอกคงไม่ตายนะ อิอิ รออ่านต่อ จ้ะ

โหวดหมวด งานเขียน ฯ
โดย: อาจารย์สุวิมล วันที่: 17 มิถุนายน 2566 เวลา:21:42:01 น.
  
ส่งกำลังใจไว้ก่อนครับ
โดย: สองแผ่นดิน วันที่: 17 มิถุนายน 2566 เวลา:21:58:02 น.
  
ขอบคุณพี่ตุ้ยสำหรับกำลังใจค่ะ

โดย: Sweet_pills วันที่: 18 มิถุนายน 2566 เวลา:0:05:32 น.
  
เรื่องนี้มีหักมุมมั๊ยครับ
โดย: The Kop Civil วันที่: 19 มิถุนายน 2566 เวลา:10:43:52 น.
  
หักทั้งเรื่องเลยค่า 555
โดย: ดอยสะเก็ด วันที่: 19 มิถุนายน 2566 เวลา:16:31:09 น.
  
เป็นกำลังใจให้พราวพรายครับ
โดย: ทนายอ้วน วันที่: 20 มิถุนายน 2566 เวลา:16:59:03 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ดอยสะเก็ด
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 54 คน [?]



New Comments
Group Blog
มิถุนายน 2566

 
 
 
 
1
2
3
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
18
19
20
21
22
23
26
27
28
29
30
 
 
17 มิถุนายน 2566
All Blog
Friends Blog
[Add ดอยสะเก็ด's blog to your weblog]
  •  Bloggang.com