ชีวิตก็คือละครหรือนิยายเรื่องหนึ่ง
|
||||
คนละฟากฟ้า - บทที่ 80 พราวพรายกับดิ๊กนั่งคุยกันอยู่ที่ล้อบบี้อีกพักใหญ่ ดิ๊กซึ่งเห็นว่าใกล้เวลาสองทุ่ม ที่ควรจะเริ่มรับประทานอาหารกันได้แล้ว แต่ยังมีเรื่องสำคัญอย่างน้อยก็อีกสองเรื่องที่เขาต้องพูดกับเธอ ซึงคงจะต้องใช้เวลาอีกนาน เธออาจจะหิวเกินไปก็ได้ “สองทุ่มแล้ว เราย้ายเข้าไปในห้องอาหารดีกว่า จะได้ทานกันไปคุยกันไป ดึกเกินไปเดี๋ยวคุณจะหิว” ความจริงพราวพรายไม่รู้สึกหิวเลย แม้จะเลยเวลาอาหารเย็นของเธอมานานแล้ว ความตื้นตันใจที่เกิดขึ้นทำให้แทบจะกลืนอะไรไม่ลงคอ แต่ก็รู้ว่าควรจะหาอะไรรองท้องเอาไว้บ้าง และอีกอย่าง ดิ๊กอาจจะหิวแล้วก็ได้ ระหว่างรับประทานอาหารดิ๊กก็วกกลับเข้าเรื่องเดิมที่ตั้งใจมา “คุณพราว ขอถามอะไรสักอย่างได้ไหม คงไม่หาว่าผมละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวของคุณหรอกนะ” หญิงสาวซึ่งสีหน้ายังไม่ค่อยดีเท่าไหร่เมื่อนึกถึงเรื่องระหว่างเธอกับนิค ที่ตอนนี้แม้จะดีใจมากที่รู้ว่าเขายังไม่ตาย แต่ก็อดนึกเสียใจไม่ได้ที่เธอหมดสิทธิแม้แต่จะพบเขาอีกแล้ว มองดิ๊กอย่างสงสัย กลัว่าว่าเขาจะมีเรื่องน่าตกใจอะไรมาให้เธออีก “จะถามอะไรหรือคะ?” “คุณไม่เคยบอกนิคเรื่องลูกหรอกหรือ” เขาโยนระเบิดให้เธอ พราวพรายตกใจจนช้อนในมือตกลงบนตัก เสียงของเธอสั่นเมื่อถามเขาว่า “คุณรู้เรื่องลูกฉันได้ยังไง” “คุณเคยบอกมันบ้างหรือเปล่าว่าคุณมีลูกกับมัน” ดิ๊กไม่ตอบแต่กลับถามคำถามเดิม หญิงสาวอึ้งไปอึดใจหนึ่งก่อนจะส่ายหน้า “เขาไม่รู้ว่าฉันท้อง ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน มารู้ก็หลังจากรู้ข่าวว่าเขาตายสักพัก พอรู้แล้วฉันก็ทำอะไรไม่ถูก หย่าก็หย่ากันไปแล้ว เขาก็ยังมาตายเสียอีก ฉันก็เลยต้องดั้นด้นไปหาพี่สาวที่อเมริกา อยู่กับเขาจนคลอดลูก” เสียงของเธอเศร้าสร้อยน่าสงสาร “ถ้าคุณรู้ว่าท้องก่อนที่ทางบ้านคุณจะขอให้หย่ากับนิค คุณยังจะหย่ากับมันอีกไหม?” พราวพรายตอบทันทีโดยไม่ลังเลว่า “ถ้าตอนนั้นฉันรู้ว่าท้อง ฉันคงไม่หย่ากับเขา ถึงยังไงฉันก็ต้องการให้ลูกฉันมีพ่ออย่างถูกต้อง ฉันคงต้องคิดถึงลูกของฉันก่อนคนอื่น” คำตอบแบบตรงไปตรงมาของเธอทำให้ดิ๊กยิ้มอย่างพอใจ แล้วบอกหน้าตาเฉยว่า “นิคกับนิกกี้พบกันแล้วละ” พราวพรายเบิกตากว้างอย่างตกใจ “พบกันแล้ว? นิครู้เรื่องนิกกี้แล้วหรือคะ เขารู้ได้ยังไง ” “มันยังไม่รู้หรอกว่านิกกี้เป็นลูกมัน มันเชื่อตามที่พี่สาวคุณบอก ว่านิกกี้เป็นลูกคนเล็กของเขากับสามี” “พี่สาวฉัน? เอ๊ะ นิครู้จักพี่สาวฉันด้วยหรือคะ” แต่ทันใดนั้นเธอก็นึกออก นิคคนที่เจิดจรัสพยายามเชียร์ให้เธอคนนั้น ก็คือนิคที่เป็นพ่อของนิกกี้นี่เอง เธอไม่ได้เฉลียวใจว่าจะเป็นนิคคนเดียวกัน ก็เพราะคิดว่าพ่อของนิกกี้ตายไปนานแล้ว “เมื่อเดือนที่แล้วผมไปกินเหล้ากับมัน มันเอานิกกี้มาค้างในค่ายด้วย ท่าทางนิกกี้ติดนิคมากเลย มันเองก็คงติดนิกกี้ด้วยเหมือนกัน ปรนนิบัติกันยังกะพ่อกับลูก เห็นมันเล่าว่าไปหานิกกี้ที่บ้านพี่สาวคุณบ่อยๆ” “พี่สาวฉันเคยเล่าให้ฟังเหมือนกัน แต่ตอนนั้นฉันไม่รู้ว่าผู้ชายคนนั้นคือนิค” สีหน้าของพราวพรายทั้งตื่นเต้นและเศร้าสร้อยไปพร้อมๆกัน แต่พอนึกขึ้นได้ก็ถามอย่างสงสัยว่า “คุณบอกว่านิคเองก็ไม่รู้ว่านิกกี้เป็นลูกเขา แต่ทำไมคุณรู้ล่ะคะ” ดิ๊กยิ้มกริ่ม “ไอ้นิคมันมีตาแต่ไม่มีแวว ผมน่ะเห็นหน้านิกกี้แวบเดียวก็สงสัยแล้ว ตากับจมูกเหมือนคุณมาก ส่วนคิ้วกับปากก็ถอดจากเจ้านิคมาชัดๆ ผมเผ้าก็เหมือนกัน พอผมบอกนิคว่านิกกี้หน้าเหมือนมันมาก บอกว่าเป็นพ่อลูกกันใครๆก็ต้องเชื่อ มันกลับหาว่าผมบ้าซะอีก” แล้วเขาก็ถามต่อว่า “คุณคิดจะทำอย่างไรต่อไป จะไม่บอกให้มันรู้หรือ ผมว่าถ้ารู้ว่านิกกี้เป็นลูกมัน มันคงดีใจมาก ทุกวันนี้มันก็รักและดูแลนิกกี้ราวกับลูกของมันอยู่แล้ว ที่สำคัญคือนิกกี้จะได้รู้จักพ่อแท้ๆของเขาเสียที ทุกวันนี้เขาเรียกพี่เขยคุณว่าพ่อไม่ใช่หรือ” แล้วเขาก็สงสัยจนต้องถามว่า “หรือว่าคุณยกนิกกี้ให้พี่สาวพี่เขยคุณไปแล้ว” พราวพรายยิ้มเฝื่อนๆ ส่ายหน้าเป็นเชิงปฏิเสธ “เปล่าหรอกค่ะ ไม่ได้ยกให้ใคร นิกกี้อยู่กับพี่สาวพี่เขยฉันมากกว่าอยู่กับฉัน เขาเลยเรียกตามริกกี้น่ะค่ะ ส่วนฉันก็เลยกลายเป็นมอมมี้แม่ของเขาไป” ดิ๊กตัดสินใจถามออกไปตรงๆว่า “คุณคิดจะทำยังไงต่อไป ผมหมายถึงเรื่องเพื่อนผม” หญิงสาวทำท่าอึกอักเมื่อนึกถึงคำบอกเล่าของเจิดจรัส ว่าผู้ชายคนนั้นเป็นแฟนของหมอจูดี้ เธอนิ่งไปเป็นครู่ก่อนกล่าวอย่างไม่ค่อยเต็มเสียงว่า “เวลาสี่ปีกว่าที่ผ่านมานี่ นอกจากเรื่องที่อยู่ในคุกที่เวียตนามแล้ว ฉันยังไม่รู้เลยว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับเขาอีกบ้างหรือเปล่า เอ้อ..ฉันไม่แน่ใจว่าเขา...” พราวพรายพูดไม่ออก แต่ดิ๊กเข้าใจดี ว่าเธอคงอยากรู้ว่านิคแต่งงานใหม่หรือยัง “คุณพราว เมื่อสักครู่ที่ผมถามว่าคุณพราวแต่งงานใหม่หรือยัง แล้วคุณตอบว่ายังไม่ได้แต่งน่ะ คุณรู้มั้ยว่าผมดีใจเกือบตาย เพราะอะไรรู้มั้ย” เมื่อเธอส่ายหน้าว่าไม่รู้ ชายหนุ่มก็กล่าวต่อว่า “เพราะแสดงว่าคุณยังลืมนิคไม่ได้ ส่วนเจ้านิคน่ะ มันไม่มีทางลืมคุณได้หรอก ทุกวันนี้มันก็ยังรักคุณอยู่ สีหน้ามันเศร้าหมองเวลาเผลอตัว เมาทีไรมันก็ต้องพูดถึงคุณทุกที” “แต่เขาก็ไม่เคยคิดจะมาหาฉันเลยนี่คะ เขากลับมาทำงานเกือบสองปีแล้วไม่ใช่หรือ” พราวพรายแย้งอย่างน้อยใจตามประสาผู้หญิง แม้จะรู้ว่าไม่มีสิทธิ รวมทั้งรู้อีกด้วยว่าคนทรนงอย่างเขาที่ถูกเมียขอหย่า คงไม่เสียเวลามาตามง้อเธออีกหรอก คนที่จะต้องง้อคือเธอไม่ใช่เขา คำพูดประโยคสุดท้ายของนิคก่อนจากกันในวันนั้นยังก้องอยู่ในหู ‘ หวังว่าเราคงไม่ต้องพบกันอีก’ ดิ๊กยิ้มกว้างให้เธอ “มันไม่กล้ามาหรอก ทั้งๆที่มันเป็นคนบอกผมเองว่าคุณอยู่ที่นี่ คงรู้จากพี่สาวคุณน่ะแหละ” “ทำไมถึงไม่กล้ามาล่ะคะ” “เพราะพี่สาวคุณบอกมันว่าคุณแต่งงานจนมีลูกแล้วน่ะสิ” “พี่เจิดบอกนิคว่าฉันแต่งงานมีลูกแล้ว? เอ๊ะ..ทำไมพี่สาวฉันบอกเขายังงั้น ในเมื่อ..” พราวพรายงงไปชั่วอึดใจเดียวก็นึกออก “อ๋อ..เข้าใจแล้วละ พี่เจิดไม่รู้หรอกว่าพ่อของนิกกี้ที่ฉันจดทะเบียนสมรสด้วยเป็นใคร ชื่ออะไร เขาอาจจะเคยเห็นผ่านๆตาในใบเกิดของนิกกี้ แต่ก็นานมากแล้ว คงจำไม่ได้ พี่สาวกับพี่เขยฉันรู้แต่เพียงว่า พ่อของนิกกี้ตายด้วยอุบัติเหตุก่อนเขาเกิดเท่านั้น พอนิคถามเขาก็เลยบอกข้อมูลเท่าที่เขารู้” “ตกลงคุณคิดจะพบกับนิคแล้วใช่มั้ย” ชายหนุ่มคาดคั้นอย่างมีความหวัง พราวพรายอึกอักอีก แม้จะรู้จากพี่สาวว่านิคกำลังคบหาดูใจกันอยู่ กับหมอสาวลูกน้องของแฟรงค์ ซึ่งก็หมายความว่าเขาคงยังไม่ได้แต่งงานกับใคร แต่เธอก็ยังไม่แน่ใจว่าเขาจะมีใครอื่นอีกหรือเปล่า จำเป็นต้องถามเพื่อนสนิทของเขาตรงๆให้หายข้องใจ “นิคยังไม่ได้แต่งงานใหม่หรอกหรือคะ” คราวนี้ดิ๊กหัวเราะร่า “ยัง มันยังไม่ได้แต่งงานใหม่ คงคอยให้คุณพราวเลิกกับคนที่พี่สาวคุณบอกว่าคุณแต่งงานด้วย กลับไปหามันอีกครั้งละมัง” ชายหนุ่มไม่คิดว่าเขาโกหกพราวพราย ก็เธอไม่ได้ถามสักหน่อยว่านิคกำลังคบใครอยู่หรือเปล่า เธอถามแต่เรื่องแต่งงานใหม่ เขาก็ตอบเรื่องจริงแล้วไง เพราะเพื่อนเขายังไม่ได้แต่งงานกับหมอผู้หญิงคนนั้น “ฉันอาจจะขอพบกับนิคสักครั้ง อย่างน้อยก็เพื่อขอโทษเขา ” ดิ๊กซึ่งกลัวว่าจะเสียเรื่อง ถามว่า “จะแค่ขอโทษเท่านั้นน่ะหรือ? พบกันแล้วก็ตกลงกลับไปอยู่ด้วยกันเหมือนเดิมก็สิ้นเรื่อง ถ้าเจ้านิครู้ว่าคุณยังไม่ได้แต่งงานใหม่ มันคงเผ่นมาหาคุณถึงที่นี่แทบไม่ทัน หรือคุณพราวเห็นว่าหย่ากันไปแล้วก็ให้แล้วๆกันไป ต่างคนต่างก็ไปหาคนใหม่เอาดีกว่า คิดยังงั้นหรือเปล่า” พราวพรายอึกอักพูดไม่ออกอีก ถึงจะอยากกลับไปหาเขา ไปอยู่กับเขาเหมือนเดิม แต่เธอก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ ในเมื่อหย่าขาดกันไปตั้งนานแล้ว มารดาของเธอน่ะหรือจะยอมให้เรื่องกลับไปเหมือนเดิม อีกอย่างตอนที่จากกันวันนั้นนิคแค้นใจเธอมาก เขาหรือจะยังอยากเห็นหน้าผู้หญิงคนที่บอกเขาอย่างเลือดเย็น ว่าเลือกเขาไม่ได้เพราะครอบครัวของเธอต้องมาก่อน “ผมไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไรอีกหรือเปล่าที่คุณไม่ได้เล่าให้ผมฟัง แต่ผมอยากจะบอกว่าถ้าคุณหรือเพื่อนผมคิดจะแต่งงานใหม่กับใครสักคน ไม่ว่าตอนนี้หรือในอนาคต คุณกับมันก็ต้องไปหย่ากันให้เรียบร้อยเสียก่อน” ดิ๊กค่อยๆทิ้งไพ่ใบสำคัญลงบนโต๊ะ หญิงสาวตกใจขึ้นมาอีก ไม่เข้าใจความหมายของเขาด้วย “เอ๊ะ..ทำไมต้องไปหย่าอีกล่ะคะ ก็ฉันกับนิคหย่าขาดกันไปตั้งสี่ปีแล้วนี่คะ” “นั่นเป็นความเข้าใจผิดของทั้งคุณทั้งนิค” ดิ๊กทำหน้ายิ้มๆอธิบาย “คุณคงเคยรู้มาบ้างจากนิค ว่าผมทำงานด้านการข่าวมาตลอด รู้จักพวกข้าราชการไทยหลายคน แหล่งข่าวของผมในเมืองไทย ตรวจสอบข้อมูลของคุณกับเพื่อนผมแล้ว หลักฐานการจดทะเบียนสมรสของคุณกับมัน ยังครบถ้วนสมบูรณ์ยังมีผลตามกฏหมาย” “เอ๊ะ..ก็ทั้งฉันทั้งนิคเซ็นชื่อในเอกสารหย่าเรียบร้อยแล้วนี่คะ” เธอแย้งอย่างมืดแปดด้าน แต่แล้วก็นึกขึ้นมาได้ถึงเอกสารฉบับนั้น ที่มารดาของเธอยึดเอาไปเก็บไว้เอง “คุณกับมันไปหย่ากันที่ไหน ตามหลักในกรณีของคุณกับเจ้านิค ต้องหย่ากันที่อำเภอหรือที่สถานทูตอเมริกันไม่ใช่หรือ ต้องไปด้วยตัวเองด้วย” ดิ๊กชี้แจงอย่างใจเย็น “ผมสอบถามทั้งเจ้าหน้าที่ที่ทำเรื่องการจดทะเบียนแต่งและทะเบียนหย่า รวมทั้งนักกฏหมายทางเมืองไทยแล้ว เขาบอกว่าไอ้ที่คุณกับเพื่อนผมเซ็นต์น่ะ อาจจะเป็นแค่หนังสือหย่าโดยความยินยอมเท่านั้น เจ้าหน้าที่ทะเบียนยังไม่ได้รับเรื่อง จะมีผลตามกฏหมายได้ก็ต่อเมื่อทั้งคุณและนิค ต่างฝ่ายต่างนำหนังสือตกลงหย่าขาดจากกันที่คุณสองคนเซ็นต์แล้ว ไปยื่นจดทะเบียนหย่าต่อนายทะเบียน คุณคงต้องไปยื่นที่อำเภอ ส่วนนิคก็ต้องไปยื่นที่สถานทูตอเมริกัน จึงจะมีผลสมบูรณ์ตามกฏหมายทั้งสองฝ่าย แต่ในกรณีของคุณเราพบแต่หลักฐานการจดทะเบียนสมรสเท่านั้น ไม่มีหลักฐานการหย่ามาลบล้าง ตามกฏหมายก็ต้องถือว่าคุณกับเพื่อนผมยังเป็นสามีภรรยากัน ตั้งแต่วันที่จดทะเบียนสมรสจนถึงปัจจุบัน ผมถึงได้บอกว่าถ้าคุณหรือเจ้านิคจะแต่งงานใหม่กับใครก็ตาม จะต้องไปทำเรื่องหย่าขาดจากกันให้เรียบร้อยก่อน จึงจะไปจดทะเบียนใหม่กับคนใหม่ได้” พูดจบดิ๊กก็หยิบซองเอกสารที่ถือติดมือมาด้วยส่งให้พราวพราย “นี่คือหลักฐานทั้งหมดที่ผมหามาได้ ผมอยากให้คุณดูเอกสารพวกนี้ เพื่อความแน่ใจว่า เรื่องทั้งหมดที่ผมพูดเกี่ยวกับการหย่าของคุณกับเจ้านิค ว่าไม่มีผลทางกฏหมายเป็นความจริง ผมเข้าใจว่าทั้งคุณทั้งมันไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน” พราวพรายรับซองที่ดิ๋กส่งให้มาเปิด หยิบเอกสารข้างในออกมาดูทุกแผ่น รวมทั้งเอกสารที่เกี่ยวข้องกับนิกกี้ด้วยจนแน่ใจ แล้วน้ำตาของเธอก็ไหลออกมาอีก สีหน้าของเธอเปลี่ยนไปเรื่อยๆ จากตกใจเป็นดีใจ จากดีใจเป็นสับสนแล้วกลับมาตกใจอีก เมื่อได้ฟังคำอธิบายของดิ๊กเธอก็นึกถึงหนังสือหย่าโดยความยินยอม ที่เซ็นต์โดยเธอและนิคที่คุณจิตรายึดเอาไป เธอไม่รู้ว่ามารดาเอาไปทำอะไรต่อหรือไม่ หญิงสาวเคยคิดจะถามมารดาหลายครั้งหลังจากนั้น แต่ต่อมาก็คิดว่าเอกสารฉบับนั้นไม่น่าจะสำคัญอะไรอีกต่อไปแล้ว เพราะเขาซึ่งเป็นคู่สมรสของเธอตายไปแล้ว พราวพรายจึงนอนใจเรื่อยมา คิดว่าทุกอย่างจบสิ้นลงไปแล้ว เพราะกฏหมายถือว่าการสมรสสิ้นสุดลง เมื่อคู่สมรสคนใดคนหนึ่งเสียชีวิต “หมายความว่า..ว่าฉันกับ..” เสียงของเธอสั่น ดิ๊กพยักหน้า มองเธอยิ้มๆ “ใช่ คุณกับเพื่อนผมยังเป็นสามีภรรยากันตามกฏหมาย ถ้าจะแต่งงานใหม่กับใคร ก็ต้องไปหย่ากันให้ถูกต้องเสียก่อน” “เอ้อ..แล้วนิครู้เรื่องนี้มั้ยคะ” ชายหนุ่มปฏิเสธด้วยการส่ายหน้า “ยังไม่รู้หรอก ผมเองก็เพิ่งรู้ก่อนเดินทางมาพบคุณไม่กี่วัน ถ้ารู้เรื่องนี้มันคงดีใจแทบตายเลย” “คุณรู้ได้ยังไงคะ ดิ๊ก ว่าเขาจะดีใจ เขาอาจจะผิดหวังมากก็ได้” “ไม่มีทางหรอก เชื่อผมเถอะ มันรักคุณมาก ผมกับมันคบกันมาตั้งแต่เด็กๆ แทบจะเรียกได้ว่าโตมาด้วยกัน ผมรู้จักมันดี ทุกวันนี้มันก็ยังเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่เลย” เขาพยายามกล่อมเธอต่อว่า “อย่าคิดมากเกินกว่าเหตุเลยนะ คุณพราว ถ้าไม่คิดถึงตัวเองหรือเจ้านิค ก็คิดถึงนิกกี้มั่ง เด้กมันจะดีใจแค่ไหน ที่คนที่มันเรียกว่าลุงกลายมาเป็นพ่อแท้ๆของมัน” “ค่ะ ดิ๊ก ขอบคุณมากสำหรับคำแนะนำและทุกสิ่งทุกอย่าง ที่ทำให้ฉันกับนิค” เธอพูดอย่างตื้นตันใจต่อความหวังดี ของผู้ชายคนที่เธอเคยนึกไม่ชอบหน้า เพราะคิดว่าชอบชวนนิคไปจีบผู้หญิง “คุณจะบอกเรื่องทั้งหมดนี่กับนิคหรือเปล่าคะ” “ผมกะว่ากลับไปนี่จะบอกมันให้รู้เรื่อง มันจะได้ดีใจหายเศร้าซะที ที่ผมยังเก็บเรื่องไว้ไม่ได้บอกมัน ก็เพราะต้องการมาคุยกับคุณก่อนด้วยเรื่องข้อมูลบางอย่าง ตอนนี้ทุกอย่างเคลียร์หมดแล้ว ผมก็บอกมันได้แล้ว" “ดิ๊กคะ คุณอยากจะบอกอะไรเขาก็บอกไปเถอะ ขอเรื่องนิกกี้เรื่องเดียวได้ไหมคะ” สีหน้าสงสัยของดิ๊กทำให้หญิงสาวต้องพูดต่อโดยเร็ว “คือฉันอยากบอกเรื่องนิกกี้กับเขาด้วยตัวเองน่ะค่ะ” “ดีเหมือนกัน เอาตามนี้ก็ได้ คุณคิดว่าจะกลับไปอเมริกาเมื่อไหร่ล่ะ” “ช่วงคริสต์มาสที่จะถึงนี่แหละค่ะ อีกไม่กี่วันเอง ฉันบอกพี่เจิดไปแล้วว่าจะกลับอเมริกาไปฉลองคริสมาตส์ด้วยกัน” อึ้งไปอึดใจเธอก็กล่าวต่อว่า "ฉันคิดว่าคงจะมีโอกาสได้พบนิคตอนนั้น" ดิ๊กลาพราวพรายกลับไปด้วยความรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจ ที่ได้ทำหน้าที่ทูตพิเศษช่วยให้คนสองคนที่รักกันมาก ได้กลับมาเข้าใจกันอีกครั้งหนึ่ง และทำให้เด็กตัวเล็กๆคนหนึ่งได้มีพ่อมีแม่พร้อมหน้าเสียที ยกให้ดิ๊กเป็นพระเอกของเรื่องเลยค่ะ อิอิ
โดย: ฟ้าใสวันใหม่ วันที่: 23 กรกฎาคม 2566 เวลา:12:02:49 น.
สวัสดี จ้ะ น้องดอยสะเก็ด
บล็อกนี้ ต้องยกให้ ดิ๊ก เป็นพระเอก จ้ะ เป็นเพื่อนที่ดี พยายาม หาข้อมูล มาช่วย นิค และ แพรวพราย ให้กลับมารักกัน ให้กลับมาเป็น ครอบครัว พ่อแม่ลูก ที่อบอุ่น บล็อกนี้ ดิ๊ก น่ารักที่สุด จ้ะ อิอิ รออ่านต่อไป นะจ๊ะ โหวดหมวด งานเขียน ฯ โดย: อาจารย์สุวิมล วันที่: 23 กรกฎาคม 2566 เวลา:13:59:24 น.
ว้าวๆๆ
ทีนี้เหลือแต่ฝั่งพราวฯ เท่านั้น ว่าจะมีทิฐิ คิดเยอะปานใด ใกล้อวสานต์แย้ว โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 26 กรกฎาคม 2566 เวลา:17:17:34 น.
|
ดอยสะเก็ด
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 54 คน [?]
Group Blog
All Blog
Friends Blog
|
|||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |