คนละฟากฟ้า - บทที่ 74
 


เสียงออดที่ประตูหน้าดังขึ้นในเวลาทุ่มตรง หญิงแม่บ้านวัยกลางคนที่ชื่อเดโบร่าห์ออกไปเปิดประตู รับเสื้อโค๊ตจากแขกสองคนมาแขวนไว้ตรงที่แขวนเสื้อโค๊ตใกล้ประตูทางเข้า แล้วพาคนทั้งสองเดินตามโถงยาวเข้าสู่ห้องโถงกว้างใหญ่ ที่เจ้าของบ้านชายหญิงนั่งดูโทรทัศน์จอใหญ่รออยู่ แฟรงค์และเจิดจรัสรู้ล่วงหน้าตั้งแต่เช้าแล้ว ว่าเพื่อนคนหนึ่งของจูดี้ต้องขอยกเลิกนัดคืนนี้ เพราะมีเรื่องด่วนกระทันหันต้องเดินทางไปต่างรัฐ

“ไฮ ” สองสามีภรรยากล่าวต้อนรับแพทย์หญิงจูดี้และแขกของเธอ

“ไฮ เจิด ไฮ แฟรงค์” จูดี้ทักตอบแล้วหันไปแนะนำชายหนุ่มที่มากับเธอให้คนทั้งสองรู้จัก

“ขอแนะนำให้รู้จักอย่างเป็นทางการนะคะ หนุ่มรูปหล่อคนนี้คือพันโทนิโคลัส แบรดเล่ย์ เรียกสั้นๆว่านิคก็ได้ค่ะ”

เธอหันไปทางชายหนุ่มที่มากับเธอ “นิคคะ ขอแนะนำให้รู้จัก ดร.แฟรงกลิน คอร์นวอล เจ้านายของฉันกับภรรยาคนสวยของเขาค่ะ เรียกเธอว่าเจิดก็คงได้นะคะได้ไหมคะ เจิด”

เจิดจรัสส่งมือของเธอไปให้ชายหนุ่มผู้นั้นจับ ยิ้มหวานให้เขา

“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ เรียกฉันว่าเจิดอย่างที่จูดี้บอกก็ได้ค่ะ ฉันชื่อเจิดจรัส แต่คนอเมริกันส่วนใหญ่เรียกไม่ค่อยถูก แม้แต่แฟรงค์ยังเรียกชื่อเต็มฉันไม่ค่อยถูกเลยค่ะ ฉันเลยกลายเป็นแค่ ‘เจิด’ ไปโดยปริยาย เชิญนั่งค่ะ”

นิคมองหน้าผู้หญิงสาวสวยรูปร่างสูงโปร่งอย่างแปลกใจ ก่อนมาจูดี้ไม่ได้บอกเขาว่าภรรยาของเจ้านายเธอเป็นคนเอเซีย เมื่อลงนั่งเรียบร้อยแล้วเจ้าของบ้านฝ่ายชายก็ถามความประสงค์ของแขกเรื่องเหล้า ก่อนจะเดินไปผสมให้ที่บาร์มุมห้อง ชายหนุ่มซึ่งเหลือบมองเจิดจรัสเป็นครั้งที่สาม ระหว่างที่เธอกำลังคุยกับจูดี้ รู้สึกสะดุดใจเหมือนเคยเห็นหญิงสาวผู้นี้มาก่อน

ขณะที่กำลังพยายามทบทวนความจำ ว่าเคยพบภรรยาของนายแพทย์หนุ่มใหญ่คนนี้ที่ไหน แฟรงค์ก็ยกแก้วเหล้ามาส่งให้เขาและจูดี้ 

“ภรรยาผมเป็นคนไทย แต่ก่อนเราทำงานด้วยกัน เธอเคยเป็นพยาบาลอยู่ในทีมศัลยกรรมของผม ที่โรงพยาบาลในนิวเจอร์ซี่”

นิคตกตะลึง ชาวาบไปทันที ใช่แล้ว..ภรรยาของหมอแฟรงค์คือพี่สาวของพราวพรายนั่นเอง เธอเคยเล่าให้เขาฟังว่าพี่สาวของเธอที่เป็นพยาบาล แอบแต่งงานกับแพทย์หนุ่มชาวอเมริกันโดยไม่บอกให้พ่อแม่รู้ มิน่าเล่าเขาถึงได้รู้สึกคุ้นหน้าเธอเสียเหลือเกิน แม้เจิดจรัสกับพราวพรายจะไม่ได้เหมือนกันมากนัก แต่ก็มีประพิมประพายที่บ่งบอกถึงความเป็นสายเลือดเดียวกันให้เห็นได้ แล้วตั้งแต่นาทีนั้นชายหนุ่มก็แทบจะคิดอะไรไม่ออกเลย เฝ้าแต่ลอบชำเลืองดูเจิดจรัสอีกหลายครั้ง เขาตอบคำถามในเชิงชวนพุดคุยของแฟรงค์ไปตามแกน

หัวใจภาคที่กำลังสับสนวุ่นวาย เฝ้าแต่สั่งให้เขาถามถึงข่าวคราวของผู้หญิงคนนั้น ในขณะที่อีกภาคหนึ่งของหัวใจที่ทรนงและเต็มไปด้วยความแค้น รวมทั้งรู้ว่าหมดสิทธิไปนานแล้ว ตั้งแต่วันที่จรดปากกาตวัดลายเซ็นต์ลงไปบนกระดาษสองแผ่นนั้นเมื่อสี่ปีที่แล้ว ไม่ยอมให้เขาทำเช่นนั้นได้ มันบอกเขาว่าป่านนี้เธอคงแต่งงานใหม่ มีความสุขกับผู้ชายคนที่มารดาของเธอเห็นชอบ เธอคงลืมเขาไปเสียนานแล้ว สี่ปีไม่ใช่เวลาสั้นๆ สี่ปีที่นำความเปลี่ยนแปลงมาให้ ไม่มีอะไรเหมือนเดิมแม้แต่ตัวเขาเอง

“คุณนิคคงไม่ค่อยสนุก เงียบจังเลยค่ะ” เจิดจรัสพูดกับชายหนุ่มที่นั่งดื่มเหล้าเงียบๆเหมือนใจลอยไปไกลตัว เธอคิดว่าเขาเป็นผู้ชายที่ ‘เข้าท่า’ ทีเดียว แม้จะไม่หล่อมากนัก บุคลิกดี ตาคมดุของเขามีแววเศร้าแฝงอยู่ลึกๆ ที่สามารถจะเห็นได้ชัดเวลาที่เขาเผลอตัว

“ขอโทษครับที่ผมเงียบไปหน่อย หวังว่าคุณ..เอ้อ..เจิดคงไม่ถือสา แต่ผมสนุกดีและชอบบรรยากาศที่นี่มาก”

จูดี้ที่นั่งอยูบนเก้าอี้นวมตัวยาวคู่กับนิค เอื้อมมือมาจับมือเขาอย่างเป็นเจ้าเข้าเจ้าของ ก่อนจะบอกกับเจ้าภาพว่า “นิคเพิ่งกลับจากเวียตนามได้สักสองปีค่ะ เจิด”

เจิดจรัสมองนิคด้วยความสนใจที่เพิ่มขึ้น “อ้อ คุณเคยไปรบในสงครามเวียตนามด้วยหรือคะ น่ากลัวนะคะ รบกันอยู่ใกล้กับประเทศฉันเลย จบสงครามเสียได้ค่อยโล่งใจหน่อย”

จูดี้ซึ่งขยับจะเล่าเรื่องของนิคให้เจิดจรัสและแฟรงค์ฟัง เห็นแววตาคมดุของชายหนุ่มที่มองสบตาเธอเป็นเชิงห้าม เลยต้องเสหันไปยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มต่อ คุยกันด้วยเรื่องสัพเพเหระทั่วๆไปอยู่อีกพักหนึ่ง เจิดจรัสซึ่งขอตัวเข้าไปดูว่าแม่บ้านจัดอาหารขึ้นโต๊ะเรียบร้อยแล้วหรือยัง กลับมาเชิญแขกของสามีให้เคลื่อนย้ายเข้าไปที่โต๊ะอาหารซึ่งอยู่ลึกเข้าไปด้านใน

“เชิญเลยนะคะ วันนี้เป็นอาหารไทยล้วนๆ จูดี้น่ะชอบอาหารไทยอยู่แล้ว นิคล่ะคะ ทานอาหารไทยได้ไหม”

สีหน้าของนิคขรึมขึ้นมาอีกเมื่อเห็นอาหารหลายจานบนโต๊ะ เขาเห็นยำที่พราวพรายเคยทำให้กินและบอกว่าเรียกว่ายำถั่วพลู เห็นมัสหมั่นไก่ที่แสน อร่อย จนนายดิ๊กชมเปาะและกินเข้าไปหลายจาน

“ผมเคยทานหลายอย่าง อาหารไทยอร่อยมาก” เขาตอบเจิดจรัสตามตรง แต่หญิงสาวคิดว่าเขาคงตอบตามมารยาทเท่านั้น

ระหว่างรับประทานอาหารคนทั้งสี่ก็คุยกันไปเรื่อยๆ เจิดจรัสอดสังเกตไม่ได้ว่านายทหารหนุ่มมาดดีคนนั้น สนใจยำถั่วพลูและมัสหมั่นไก่มากกว่าอาหารจานอื่น เธอไม่รู้หรอกว่านิคใจจรดใจจ่อกับอาหารสองจานนั้น ด้วยความรู้สึกคิดถึงน้องสาวของเธอจนล้นหัวใจ

“เป็นไงมั่งคะ อาหารไทย” เจิดจรัสถามนิคยิ้มๆ

นิคยิ้มอย่างสุภาพที่ทำให้หน้าดุๆของเขาอ่อนโยนขึ้น

“อร่อยมาก คุณเจิดทำเองทุกอย่างเลยหรือครับ”

“ค่ะ ฉันทำเอง ดีใจที่คุณชอบ เคยทานมาก่อนหรือเปล่าคะ ฉันหมายถึงมัสมั่นไก่น่ะคะ เพราะร้านอาหารไทยที่นี่ไม่ค่อยทำขาย”

ชายหนุ่มผู้กำลังตื้นตันใจกับความหลังเมื่อหลายปีมาแล้ว ลืมตัวตอบออกไปตามตรงว่า “เคยทานมาก่อนหน้านี้ครั้งนึง รสชาดเหมือนกันมากเลย”

“คุณคงทานที่เวียตนามล่ะสิ” จูดี้พูดกับนิคเป็นเชิงถาม “เวียตนามกับไทยก็อยู่ใกล้กันแค่นั้นเอง”

นิคไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ ฝีมือทำอาหารของพี่น้องสองสาวอร่อยใกล้เคียงกันมาก

ชายหนุ่มได้ยินจูดี้ถามภรรยาของแฟรงค์ว่า “เจิดไปเรียนทำอาหารจากที่ไหนหรือคะ”

เจิดจรัสยิ้มหวาน “จากแม่น่ะค่ะ ฉันกับน้องสาวถูกแม่บังคับให้เข้าครัวมาตั้งแต่เด็ก เราทั้งคู่ไม่ชอบทำกับข้าวพอๆกันเลย แต่ก็ต้องฝืนใจทำจนเป็น”

แล้วเธอก็เล่าต่อด้วยเสียงหัวเราะว่า “ตอนโตขึ้นมาฉันกับน้องสาวตั้งใจเหมือนกันเป๊ะเลยว่า พ้นจากบ้านเมื่อไรจะไม่ยอมเข้าครัวทำกับข้าวให้ใครกินเป็นอันขาด แต่ดูสิคะ ตอนนี้ฉันต้องมาเข้าครัวทำอาหารไทยให้แฟรงค์แทบทุกวันเลย”

แฟรงค์ยิ้มให้ภรรยาอย่างรักใคร่ “เจิดเขารักผมมากจนยอมทิ้งความตั้งใจเดิมไปเลย”

เจิดจรัสค้อนสามีของเธอน้อยๆพองาม บอกจูดี้ว่า “แต่ก่อนนี้ฉันกับน้องสาวโมโหแม่บ่อยๆที่บังคับเรื่องทำอาหาร แต่ตอนนี้กลับรู้สึกขอบคุณท่านมาก ถ้าแม่ไม่บังคับจนเก่งไปเอง ป่านนี้ฉันก็คงไม่มีปัญญาทำอาหารอร่อยๆให้แฟรงค์ทานหรอก อย่างดีก็ให้แม่บ้านเป็นคนทำอาหารฝรั่งให้เขาทุกวัน”

นิคมองสายตาที่สบกันของสามีภรรยาตรงหน้าอย่างอิจฉานิดๆ เขาเห็นแล้วว่าแฟรงค์รักภรรยาคนไทยของเขามาก และเธอผู้นั้นก็ทั้งสวยทั้งหวานและน่ารักควรที่สามีจะหลง ดูเธออ่อนหวานช่างเอาอกเอาใจ ผิดไปจากอดีตภรรยาของเขาที่คอยแต่บังคับเขาให้เอาใจเธอ นานๆหรอกเธอถึงจะเอาอกเอาใจเขาสักที แล้วชายหนุ่มก็แอบถอนใจเมื่อนึกถึงความหลัง ที่ทั้งเปี่ยมสุขและแสนเศร้าที่ผ่านมา

หลังอาหารเจ้าภาพเชิญแขกกลับไปนั่งในห้องโถงใหญ่เหมือนเดิม แม่บ้านนำกาแฟและผลไม้มาเสิร์ฟ ผู้หญิงสองคนดื่มกาแฟและรับประทานผลไม้สด ส่วนฝ่ายชายดื่มไวน์หลังอาหาร ระหว่างที่แฟรงค์ซึ่งสนใจเรื่องเกี่ยวกับสงครามเวียตนามและเคยติดตามข่าวสารต่างๆมาตลอด

กำลังพูดคุยซักถามนิคอยู่อย่างออกรส เด็กผู้ชายตัวเล็กๆสองคนในชุดนอนลายการ์ตูนก็วิ่งไล่กันเข้ามาในห้อง เด็กคนแรกซึ่งตัวเล็กกว่าคนหลังเล็กน้อยวิ่งถลาเข้ามา แล้วสะดุดอะไรอย่างหนึ่งล้มลงใกล้กับตรงที่นิคนั่งอยู่ ชายหนุ่มลุกขึ้นจับตัวเด็กชายที่กำลังร้องไห้จ้าให้ลุกขึ้นยืน ไม่ได้สังหรณ์ใจแม้แต่น้อยว่าร่างที่เขากำลังโอบอยู่ เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเขาเอง แม้จะสังเกตเห็นดวงตาหยาดเยิ้มเหมือนมีน้ำหล่อเลี้ยง และจมูกโด่งแหลมปลายงอนขึ้นที่คุ้นตาและติดตรึงอยู่ในความทรงจำก็ตาม

เด็กชายที่วิ่งตามหลังมาวิ่งเข้าไปกอดเจิดจรัส ส่วนเด็กตัวเล็กกว่าซึ่งตอนนี้หยุดร้องไห้แล้ว สะบัดตัวหลุดจากแขนนิคที่โอบอยู่ วิ่งเข้าไปหาเจิดจรัสเหมือนกัน แล้วพยายามยื้อแย่งพื้นที่บนตักของหญิงสาวผู้นั้น ซึ่งกำลังหัวเราะอย่างรักใคร่เอ็นดู ซูซี่พี่เลี้ยงที่เดินตามหลังเด็กชายทั้งสองเข้ามาในห้องบอกเธอว่า

“ริกกี้กับนิกกี้จะมาจูบกู๊ดไนท์มาดามกับคุณหมอ ลาไปนอนน่ะค่ะ”

นิคมองเด็กทั้งสองที่กำลังแย่งชิงความสนใจจากเจิดจรัส “มอมมี้ จูบผมหน่อย”

“ไม่..อาวนะ มอมมี้..มอมมี้ หอมนิกกี้ อย่าหอมริกกี้นะ นะ..มอมมี้”

เจิดจรัสจูบแก้มเด็กทั้งสอง “กู๊ดไนท์จ้ะ นิกกี้ กู๊ดไนท์นะจ๊ะ ริกกี้ ไปนอนได้แล้ว”

เด็กทั้งคู่ก็ลงจากตักเจิดจรัสวิ่งเข้าไปหาแฟรงค์ เอียงแก้มให้เขาจูบแล้วทำท่าจะวิ่งตามซูซี่ออกไปจากห้อง แต่เจิดจรัสซึ่งนึกขึ้นได้ว่าเด็กทั้งสองควรจะแสดงมารยาทสังคมกับแขกทั้งสองบ้าง กล่าวกับเด็กชายว่า “เดี๋ยวก่อน ริกกี้ นิกกี้ เซย์กู๊ดไนท์กับอานตี้จูดี้กับอังเคิลนิคก่อน”

ริกกี้เพียงแต่ยิ้มและกล่าวกับแขกทั้งสองอย่างสุภาพเรียบร้อยว่า “กู๊ดไนท์ อานตี้จูดี้ กู๊ดไนท์อังเคิลนิค”

แต่นิกกี้ซึ่งมักชอบทำอะไรที่ล้ำหน้าริกกี้อยู่เป็นประจำ ปีนขึ้นไปบนตักนิคซึ่งอยู่ใกล้ตัวที่สุด ใช้จมูกงอนๆของเขาแตะเข้าไปที่แก้มชายหนุ่ม

“กู๊ดไนท์ อังเคิลนิค” แล้วเสริมอีกหน่อยอย่างประจบประแจงว่า “นิกกี้..ชอบ..นิค”

ผู้ใหญ่สามคนหัวเราะขึ้นมาพร้อมๆกันอย่างขบขัน ในขณะที่ผู้ที่ถูกจูบทำหน้าชอบกล แต่หัวใจกลับรู้สึกเต็มตื้นและเป็นสุขโดยไม่รู้สาเหตุ ส่วนผู้จูบเมื่อเห็นริกกี้วิ่งตามซูซี่ไปแล้วก็ตะกายลงจากตักนิค วิ่งปร๋อตามไปโดยเร็ว

“ลูกชายคุณน่ารักจัง กี่ขวบแล้วคะ รู้สึกจะห่างกันไม่กี่ปี” จูดี้ถามขึ้นมา

เจิดจรัสหัวเราะอย่างอารมณ์ดี “คนโตที่ชื่อริกกี้สี่ขวบกว่าแล้วค่ะ ส่วนนิกกี้สามขวบ”

จูดี้หันไปพูดกับชายหนุ่มของเธอเป็นเชิงล้อว่า “ชื่อคล้ายๆคุณเลยค่ะ นิค”

นิคสะดุ้งอยู่ในใจแต่ก็ยังไม่ได้คิดอะไรไปไกลกว่านั้น แม้แต่หน้าตาที่คุ้นๆของเด็กชายที่ชื่อนิกกี้ ชายหนุ่มก็คิดแต่เพียงว่าเขาเหมือนแม่มากกว่าพ่อ

“ท่าทางฉลาดทั้งคู่ ซนไหมครับ”

แฟรงค์อมยิ้ม แต่เจิดจรัสหัวเราะแล้วแถลงว่า “ซนมากทั้งคู่เลยค่ะ แต่นิกกี้ซนกว่า เห็นตัวเล็กๆยังงี้เถอะซนผาดโผนกว่าริกกี้ ชอบเล่นอะไรแผลงๆด้วย ไม่กลัวอะไรเลย ขี้โมโหด้วย เวลาไม่ได้ดังใจก็ชอบอาละวาดเหมือน..”

เจิดจรัสชะงักคำว่า ‘เหมือนแม่เขา’ ที่กำลังจะหลุดจากปากเมื่อได้ยินเสียง กระแอมของสามี ซึ่งหลังจากกระแอมแล้วก็รีบพูดต่ออย่างขันๆว่า “ริกกี้ใจเย็นกว่านิกกี้เยอะ นิกกี้เป็นเด็กใจร้อนแล้วก็ดุ เป็นนักเลงโตประจำบ้าน”

“อาวุธประจำตัวเขาคือฟันค่ะ” ฝ่ายภรรยาเสริมบ้างด้วยเสียงหัวเราะ “ คนบ้านนี้โดนนิกกี้กัดกันทั่วหน้า ริกกี้นี่ขาประจำเลย”

นิคฟังแล้วก็นึกถึงเด็กชายตัวเล็กๆที่จูบแก้มเขาอย่างเอ็นดู ไม่รู้ตัวเลยว่าเริ่มสนใจนิกกี้เข้าให้แล้ว

หลังจากนั้นอีกครู่หนึ่งผู้หญิงสองคนก็ขอตัวเข้าไปที่ห้องด้านใน เพราะจูดี้อยากเห็นผ้าไหมไทยจากจังหวัดต่างๆ ที่เจิดจรัสสะสมไว้หลายผืน ทิ้งผู้ชายสองคนให้ดื่มไวน์และพูดคุยกันตามสะดวก ระหว่างที่จูดี้กำลังเพลิดเพลินกับผ้าซิ่นไหมหลายผืน ที่เจ้าของบ้านเอาออกมาให้ชม เจิดจรัสก็ถามว่า

“จูดี้ นิคเป็นคนพิเศษของคุณหรือเปล่า ทำไมไม่เคยเล่าให้ฟังบ้างเลยล่ะคะ"

"ที่ไม่ได้พามาแนะนำก่อนหน้านี้ก็เพราะเพิ่งคบกันใหม่ๆ ยังไม่ค่อยแน่ใจน่ะค่ะ" แพทยสาวตอบยิ้มๆ หน้าตามีความสุข

"แสดงว่าตอนนี้แน่ใจแล้วใช่ไหมคะ?"
"ก็คงทำนองนั้น"

"แหม แบบนี้พี่ชายฉันก็หมดหวังแล้วสิคะ อุตส่าห์เชียร์เกือบตาย" เจิดจรัสต่อว่าทีเล่นทีจริง แล้วถามต่อทันทีว่า "ไปพบกันได้ยังไงคะ"

แพทย์หญิงสาวสวยมีสีหน้าชื่นบาน ยังไม่ตอบคำถามของเจิดจรัส แต่กลับย้อนถามอย่างกระตือรือร้นว่า “เจิด คุณคิดว่านิคเป็นยังไงคะ?”

อีกฝ่ายทำหน้าคิดแล้วตอบว่า “เป็นผู้ชายที่มีบุคลิกผู้นำสูงมาก ไม่หล่อเท่าไหร่ แต่หน้าตาเป็นแมนดี เขาไม่ค่อยพูดนะคะ ค่อนข้างขรึมทีเดียว”

“ค่ะ เขาค่อนข้างขรึม แต่เขาเป็นคนน่ารักนะคะ เป็นคนจริงจังด้วย”

เจิดจรัสถามอีกว่า “ไปพบกันได้ยังไงคะ”

จูดี้วางผ้าซิ่นพื้นเมืองในมือลง เล่าอย่างมีความสุขว่า “ตอนนั้นฉันทำงาน อยู่ที่โรงพยาบาลทหารในมิชิแกน นิคซึ่งตอนนั้นยังเป็นพันตรี ถูกส่งมารักษาตัวที่โรงพยาบาล ฉันเป็นหมอที่ต้องดูแลรักษาเขา”

“เขาเป็นอะไรหรือคะ”

“ คงต้องเล่าย้อนไปหน่อย นิคเป็นเชลยศึกในสงครามเวียตนาม รู้สึกว่าเขานำกำลังออกไปช่วยหน่วยทหารผสมเวียตนามอเมริกัน ที่ถูกพวกเวียตกงโจมตีล้อมกรอบอยู่ที่ไหนสักแห่งในเวียตนาม หรือเรื่องอะไรสักอย่างคล้ายๆอย่างนี้แหละ ฉันก็จำไม่ค่อยได้

หลังจากเสร็จภารกิจเขาก็จะกลับที่ตั้ง แต่ระหว่างทางเฮลิคอปเตอร์ของเขา ถูกพวกเวียตกงยิงตกในป่า ทหารที่มาด้วยเสียชีวิตทั้งหมด มีนิคกับพลทหารอีกคนบาดเจ็บสาหัสแต่ยังไม่ตาย คนอื่นๆถูกไฟคลอกตายหมด ที่รอดมาได้ไม่ถูกไฟคลอกตาย ก็เพราะกระเด็นหลุดออกมาก่อนที่ฮอ.จะตกถึงพื้นแล้วระเบิดจนไฟไหม้ เขาสองคนถูกจับเป็นเชลย นิคติดคุกอยู่ในเขตยึดครองของพวกเวียตกงอยู่เกือบสองปี หลังสงครามสงบเมื่อมีการแลกเปลี่ยนเชลยศึกกัน เขาก็ถูกปล่อยตัวกลับบ้าน แต่สุขภาพเขาทรุดโทรมมาก ถูกส่งเข้ามารักษาในโรงพยาบาลทหารที่ฉันเป็นหมออยู่ เราก็เลยรู้จักกันตั้งแต่ตอนนั้น”

เจิดจรัสมีสีหน้าเศร้า “โถ น่าสงสาร มิน่า..ฉันรู้สึกว่าเขามีอะไรเศร้าๆ คงจะเป็นเพราะเรื่องนี้ละมัง”

“ฉันก็ไม่รู้หรอกค่ะ แต่อาจจะเป็นสิ่งที่เขาเจอมาก็ได้ เขาเคยเล่าให้ฉันฟังนิดหน่อยว่าสองปีในคุกเวียตกง เขาถูกทรมานทรกรรมด้วยวิธีต่างๆเหมือนไม่ใช่มนุษย์ แต่เขาบอกว่าเขาไม่เคยท้อถอยหรือสิ้นหวังเลย”

หน้าของแพทย์สาวเศร้าลงไป “ถ้าเห็นสภาพเขาตอนนั้นคุณจะตกใจ เขาผอมจนแทบจะเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก เดินก็แทบจะไม่ไหว ตามเนื้อตามตัวก็มีแต่ร่องรอยถูกทำร้าย ทั้งรอยถูกจี้ด้วยบุหรี่ รอยมีด ร่องรอยบอบช้ำและแผลเป็นเต็มไปหมด เขาต้องเข้าผ่าตัดหลายครั้ง เพื่อเอาสะเก็ดระเบิดที่ฝังอยู่ตามตัวหลายจุดออก"

“โอย ขนาดนั้นเลยหรือคะ น่ากลัวจัง สงสัยคงต้องรักษาตัวอยู่นาน ใช่มั้ยคะ” เจิดจรัสหน้าเสีย

“ก็นานพอดู สักเจ็ดแปดเดือนเห็นจะได้ แต่เขาก็ฟื้นตัวเร็วมากนะคะ”

“แต่ตอนนี้เขาดูปกตินะคะ ร่างกายก็ดูสมบูรณ์แข็งแรงดี ถ้าคุณไม่บอกฉันก็คงไม่รู้หรอกว่าเขาเคยเจออะไรที่น่ากลัวแบบนั้น”

"ค่ะ ตอนนี้เขาโอเคแล้ว กลับไปทำงานได้ปีกว่าแล้ว เขาเพิ่งได้เลื่อนยศเป็นพันโทไม่นาน ผลงานสมัยอยู่เวียตนามของเขาโดดเด่นมาก” จูดี้พูดอย่างชื่นชม แล้วรีบออกตัวว่า “ เรื่องนี้นิคไม่ได้บอกฉันหรอกค่ะ ฉันรู้จากคนรู้จักที่เป็นนายทหารระดับสูงคนหนึ่ง”

เจิดจรัสท้วงว่า “ แต่ก็คงไม่คุ้มกับความทรมานและเวลาที่เสียไปตั้งสองสามปี จริงมั้ยคะ” แล้วถามต่ออย่างสนใจว่า “ตกลงคบกันตั้งแต่ตอนนั้นเลยหรือคะ”

อีกฝ่ายหัวเราะเสียงใส เล่าต่ออย่างมีความสุขว่า “ยังค่ะ ตอนนั้นยังเป็นแค่หมอกับคนไข้เท่านั้น เราเพิ่งกลับมาเจอกันอีกครั้งที่วอชิงตัน ดีซี.นี่เอง เจอกันโดยบังเอิญสักสี่ห้าเดือนที่แล้ว พบกันคุยกันบ่อยๆ เพิ่งจะตกลงคบกันได้สามเดือนเอง”

"จะแจกการ์ดเมื่อไรคะ”

จูดี้โบกไม้โบกมือว่อน “ยังไม่รู้เลยค่ะ เขายังไม่เคยขอฉันแต่งงานนี่คะ คงต้องคบกันแบบนี้ไปเรื่อยๆก่อน ฉันเองก็ยังไม่ค่อยรู้จักเขาเท่าไรนัก เขาอาจจะมีความหลังอะไรบางอย่างที่ยังลืมไม่ได้”

“ไม่เคยคุยกันเลยหรือคะ”

“ฉันเคยถามเขาเหมือนกัน แต่เขาบอกว่ายังไม่ถึงเวลา ถ้าถึงเวลาเมื่อไรเขาจะเล่าทุกอย่างให้ฉันฟัง”

“ถ้างั้นคงอีกไม่นานหรอกค่ะ เขาก็คงอยากจะแต่งงานมีครอบครัวเหมือนกันเมื่อกี้คุณไม่เห็นสายตาที่เขามองริกกี้กับนิกกี้หรือคะ ท่าทางเขาคงอยากจะมีลูกสักคน”

คราวนี้สาวอเมริกันยิ้มออกมาได้ “คุณก็เห็นเหมือนกันหรือคะ? รู้สึกเขาจะเอ็นดูลูกชายคนเล็กของคุณมากนะคะ เห็นทำหน้ายิ้มๆมองอยู่ตั้งนาน”

“ค่ะ นิกกี้เขาเป็นเด็กหน้าตาน่ารัก ใครเห็นก็อดเอ็นดูไม่ได้”

แล้วคืนนั้นเมื่อพราวพรายโทรศัพท์จากลอนดอน มาพูดคุยกับพี่สาวและสอบถามทุกข์สุขของนิกกี้อยู่พักหนึ่ง ตามปกติที่จะโทรมาเดือนละหลายครั้ง เจิดจรัสก็อดพูดถึงชายหนุ่มที่ชื่อนิคให้น้องสาวฟังไม่ได้

“วันนี้พี่มีโอกาสได้รู้จักผู้ชายคนนึง น่าสนใจมากเลย บุคลิกเขาดีมาก หน้าขรึมพูดน้อย อยากจะแนะนำให้เธอจังเลย แต่เสียดายที่เขามีแฟนซะแล้ว”

เสียงพราวพรายหัวเราะมาตามสาย “เอาอีกแล้วพี่เจิด เริ่มรายการหาคู่ให้พราวอีกแล้ว ไม่ต้องหรอกค่ะ ตอนนี้พราวก็เลือกไม่หวาดไม่ไหวอยู่แล้ว แต่พี่เจิดไม่ต้องห่วงหรอก ยังไงพราวก็ต้องแต่งงานใหม่แน่ ไม่อยากต้องว้าเหว่อยู่กับนิกกี้สองคนไปตลอดชีวิต”

“ให้มันจริงเถอะ รีบๆเลือกหน่อยก็จะดีหรอก แต่พูดจริงๆนะ พี่เสียดายผู้ชายคนนี้จัง”

“แหม..อยากเห็นจัง นานๆจะได้ยินพี่เจิดชมหนุ่มสักคน ยกเว้นแฟรงค์ พี่เจิดรู้ได้ไงคะว่าเขามีแฟนแล้ว”

“เขามากินข้าวที่บ้านพี่กับแฟนเขา หมอจูดี้ หมอที่โรงพยาบาลแฟรงค์ไง”

“หมอจูดี้” เสียงของอีกฝ่ายบอกความฉงน

“ฮื่อ หมอจูดี้ลูกน้องของแฟรงค์ แต่เธอไม่รู้จักเขาหรอก ตอนที่เขาย้ายมาเธอไปทำงานที่โน่นแล้ว จูดี้เขาสวยน่ารัก ไม่ทำตัวเป็นคุณหมอยี่สิบสี่ชั่วโมงหรอก เออ..พราว ช่วงคริสต์มาสจะกลับมาที่นี่หรือเปล่า”

“คงจะกลับค่ะ คิดถึงนิกกี้เต็มทีแล้ว แต่ก็อีกตั้งสองสามเดือนนี่คะ”

พี่น้องสองสาวคุยกันอีกพักใหญ่ก็วางสายไป ไม่มีใครสังหรณ์ใจเลยว่าผู้ชายคนที่เจิดจรัสเอ่ยปากชื่นชมนั้น คือคนๆเดียวกับผู้ชายคนที่พราวพรายคิดว่าตายไปแล้วเมื่อสี่ปีก่อน


 




Create Date : 01 กรกฎาคม 2566
Last Update : 1 กรกฎาคม 2566 10:55:13 น.
Counter : 556 Pageviews.

8 comments

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณโอน่าจอมซ่าส์, คุณแมวเซาผู้น่าสงสาร, คุณฟ้าใสวันใหม่, คุณอุ้มสี, คุณเริงฤดีนะ, คุณปรศุราม, คุณปัญญา Dh, คุณhaiku, คุณสองแผ่นดิน, คุณSweet_pills, คุณอาจารย์สุวิมล, คุณหอมกร, คุณJohnV, คุณThe Kop Civil, คุณ**mp5**

  
นึกแล้วว่าพระเอกต้องไม่ตาย อิอิ
แต่ทำไมมาโผล่ช้าจัง แล้วก็พี่สาวนางเอกก็ช่างไม่ get อะไรบ้างเลย
ขัดใจคนอ่านจังค่ะ 555

โดย: ฟ้าใสวันใหม่ วันที่: 1 กรกฎาคม 2566 เวลา:18:59:07 น.
  
ลุ้นเหมือนกันค่ะ
โดย: อุ้มสี วันที่: 1 กรกฎาคม 2566 เวลา:20:21:06 น.
  
Wow!! ตื่นเต้นๆ
นิคยังไม่ตาย
ลุ้นๆว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป
โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 1 กรกฎาคม 2566 เวลา:20:31:37 น.
  
สวัสดี จ้ะ น้องดอยสะเก็ด

ค่อยยังชั่ว พระเอกนิคเรายังไม่ตาย อิอิ คนดี ย่อมไม่ตายง่าย ๆ
เนาะ คนที่น่าสงสารมาก คือ แพรวพราย นางเอกที่เข้าใจว่า นิคตาย
อ้อ เปิดตัวละครใหม่ นิคกี้ ลูกของนิคและแพรวพราย โซ่ แห่งความ
รักของพระเอกและนางเอก จะติดตามอ่านต่อไป จ้ะ

โหวดหมวด งานเขียน ฯ
โดย: อาจารย์สุวิมล วันที่: 2 กรกฎาคม 2566 เวลา:15:39:59 น.
  
เสียใจด้วยค่ะคุณตุ้ยที่หลอกนักอ่านไม่ได้นะคะ

โดย: หอมกร วันที่: 2 กรกฎาคม 2566 เวลา:17:27:33 น.
  
สวัสดีครับ
โดย: ปัญญา Dh วันที่: 3 กรกฎาคม 2566 เวลา:16:30:54 น.
  
ตกลงนิคยังไม่ตายนะครับ ผมต้องกลับไปอ่านตอนเก่าสักหน่อยละครับ รุ้สึกพลาดไปหลายตอน
โดย: The Kop Civil วันที่: 5 กรกฎาคม 2566 เวลา:10:56:48 น.
  
แวะมาเยี่ยมและส่งกำลังใจครับ
โดย: **mp5** วันที่: 5 กรกฎาคม 2566 เวลา:11:15:13 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ดอยสะเก็ด
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 54 คน [?]



New Comments
Group Blog
กรกฏาคม 2566

 
 
 
 
 
 
2
3
4
6
7
8
9
10
12
13
15
16
17
18
20
21
22
24
25
26
27
28
30
31
 
 
All Blog
Friends Blog
[Add ดอยสะเก็ด's blog to your weblog]
  •  Bloggang.com