เคล็ดลับในการป้อนอาหารเด็ก
เทคนิคหรือวิธีการป้อนอาหารให้ลูก ก็มีความสำคัญมากพอๆกับ อาหารที่คุณป้อนให้แก่ลูก การพยายามบังคับให้ลูกทานอาหารตามที่คุณแม่อุตส่าห์เตรียมไว้ให้ แม้เพียงแค่คำสองคำ ก็อาจกลายเป็นสงครามย่อยๆ ที่ไม่มีผู้ใดชนะ แต่คุณพ่อคุณแม่อาจไม่ต้องกังวลนัก ถ้ารู้จักวิธีและเข้าใจในเรื่องการรับประทานอาหารของเด็กในแต่ละวัย
1. อย่าพยายามกำหนดว่าลูกจะต้องทานมากน้อยแค่ไหน ควรปล่อยให้ลูกเป็นผู้เลือกว่า เขาจะทานแค่ไหนจึงจะพอ แม้ว่าลูกอาจจะดูไม่อ้วนท้วนเหมือนลูกคนอื่นเขาและดูเหมือนว่า การทานแต่ละคำช่างยากเย็นเหลือเกิน ก็อย่าได้พยายามไปบังคับ (หรือกรอกอาหารให้เข้าปากเด็ก)เพื่อให้ลูก ทานให้ได้ เพราะร่างกายของเด็ก แต่ละคนจะมีการควบคุมตามธรรมชาติที่จะคอยบอกให้เด็กรู้สึกหิว หรืออิ่ม
การที่เด็กไม่ยอมทานอาหารจนหมดจานตามที่แม่ต้องการนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นจากการที่เขารู้สึกอิ่มแล้ว (แต่คุณแม่อาจจะยังรู้สึกว่าไม่พอ) การพยายามยัดเยียดหรือบังคับให้เด็กทาน ทั้งๆ ที่เขา ไม่อยากทานนั้น จะทำให้เด็กกลับรู้สึกต่อต้านมากขึ้น โดยเด็กอาจ อม บ้วน หรือ อาเจียน ขย้อน ออกมา และในเด็กบางรายจะจับจุดได้ว่า ถ้าเขาไม่ยอมทานอาหารตามที่แม่ต้องการจะทำให้เขาได้รับความสนใจ และได้เวลาของคุณแม่อย่างเต็มที่ เด็กจึงไม่ยอมกิน และอมข้าวจนเละในปาก หรือ ทานข้าวคำหนึ่งต้องเดินตามป้อนกันรอบบ้านไปครึ่งค่อนชั่วโมง คุณแม่ควรสังเกตอาการตอบสนองของเขาว่า ในขณะนี้เขากำลังหิว (ทำท่าคว้าช้อน หรือ อ้าปากอ้ำอยากทาน) หรือกำลังจะอิ่มแล้ว เพื่อที่จะได้ปรับเปลี่ยนจังหวะการป้อนหรือ หยุดป้อน เมื่อเด็กทำท่าว่าไม่สนใจอาหารแล้ว (อิ่มแล้ว)
2. พยายามให้อาหารที่ได้สมดุล การเลือกสารอาหารมาให้แก่เด็ก ควรจัดให้ได้ประมาณ 3 หมู่ ใน 5 หมู่ ในแต่ละมื้อ แต่ไม่ใช่ว่าต้องครบ 5 หมู่ ให้ได้ในแต่ละครั้ง และคอยผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปบ้างในแต่ละวัน หรือหลายวัน แม้ว่าลูกจะทำท่า ไม่ยอมทานอาหารประเภทใดเป็นพิเศษ ก็ควรจะหาอาหารประเภทอื่นๆ ที่สามารถ ทดแทนกันได้มาให้ เช่น ไม่ยอมทานผักใบเขียวก็อาจให้ทานผลไม้แทน หรือให้เป็นแครอท ฝักทอง หรือข้าวโพด (ที่ไม่เห็น เป็นสีเขียว) แทนได้ หรือไม่ชอบหมู ก็อาจใช้ ไข่,เต้าหู้,เนื้อปลาแทนได้
คุณพ่อคุณแม่จึงควรลองสำรวจดูเมนูอาหารของลูกว่ามีสารอาหารที่เป็นสมดุลแค่ไหน ไม่ใช่ว่าลูกจะทานแต่ข้าวไข่เจียว เลยทำแต่ข้าวไข่เจียวให้ การพยายามให้มีอาหารต่างชนิดกันมาให้เด็กได้ลอง แม้ว่าในตอนแรกเด็กอาจจะยังไม่คุ้นและไม่ยอมทาน แต่ก็จะเป็นการฝึกเด็กให้คุ้นเคยไปทีละน้อย และต่อมาก็จะทานได้เอง
3. อย่าใช้ของหวานเป็นรางวัล หรือเป็นการลงโทษเด็ก การบอกให้เด็กทานผักให้หมดจานแล้วจะได้ไอสครีม หรือลูกกวาดนั้น ไม่ได้ทำให้เด็กอยากทานผักง่ายขึ้น และการที่เด็กจะต้องอดขนม เพราะไม่ทานอาหารหมดจาน ตามที่คุณแม่ต้องการนั้นก็ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น เพราะเด็กส่วนใหญ่จะรู้ว่า อย่างไรก็ตามเขาก็จะเป็นผู้ชนะ และได้ขนมทานในที่สุดอาจจากคุณตาคุณยาย หรือพี่เลี้ยง นั่นเอง
การทำให้เด็กติดรสหวานตั้งแต่เล็ก อาจนำไปสู่ปัญหาการกินอื่นๆ เช่น ฟันผุ,โรคอ้วน เมื่อเด็กโตขึ้น คุณพ่อคุณแม่ควรใช้การให้รางวัลวิธีอื่นที่ไม่ใช่ของหวานแทน เพื่อสนับสนุนให้เด็กชอบทำพฤติกรรม บางอย่างที่ดี เช่น การอนุญาตให้ออกไปเล่นในสนามเด็กเล่น การได้ของเล่นชิ้นเล็กๆ หรือการได้ดูรายการทีวีที่เด็ก ชอบจะดีกว่าการพยายามติดสินบนเด็กด้วยของหวานให้ทำอย่างที่คุณพ่อคุณแม่ต้องการ
4. อย่าเป็นกังวลจนเกินไปกับการที่ลูกจู้จี้เลือกมาก และไม่ยอมทานอาหารที่คุณจัดให้ เด็กทุกคนในช่วงเวลาหนึ่งของการเจริญเติบโต จะมีลักษณะจู้จี้เลือกอาหารที่ทาน เพราะเด็กจะเรียนรู้ได้ว่า การทานอาหารนั้นเป็นกิจกรรมอย่างหนึ่ง ที่เขาสามารถมีอิทธิพลและควบคุมคนอื่นๆได้ (โดยเฉพาะคุณแม่)
ในช่วงที่เด็กกำลังเรียนรู้ที่จะทำอะไรเอง เด็กอาจจะจู้จี้เป็นพิเศษเรื่องการจัดวางอาหารในจาน เช่น ไม่เอาผักเขียว ฯลฯ ซึ่ง ไม่ว่าเด็กจะจู้จี้อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญ คือ ปฏิกิริยาที่คุณมีต่อเด็ก และการพยายามทำตามที่เด็กเลือกทำ จะทำให้เกิดการต่อต้านน้อยลง และเด็กจะเริ่มทานได้เองมากขึ้น เช่น เด็กอาจไม่ชอบให้ใส่ผักในข้าว คุณก็อาจเปลี่ยนโดยเอาผักมาวางไว้ข้างๆ แทนไม่เอาผักราดคลุกไปในข้าวให้เขา (เป็นการเตรียมการก่อน,ไม่ใช่คอยเลือกออกให้เห็นต่อหน้า) และปล่อยให้เขาลองทานดูเอง ซึ่งถ้าคุณพ่อคุณแม่ทำให้เด็กเห็นว่าคุณเองก็ทานผักอย่างสบายๆ และไม่ไปพยายามบังคับให้เขาทานอย่างคุณ ในเวลาต่อมาเด็กก็จะเริ่มลองทานผักเอง โดยอาจมาขอจากจานของคุณเองก็ได้ ในเด็กที่โตขึ้นมาอีกหน่อย คุณก็อาจฝึกให้เด็กได้ช่วยในการเลือกเมนูอาหาร และเตรียมอาหารในครัวบ้าง เพื่อให้เขารู้สึกภูมิใจที่ได้มีส่วนร่วม และจะทานอาหารจานโปรด ที่เขาได้มีส่วนช่วยทำได้ดีขึ้น
สิ่งสำคัญคือ อย่าได้วิตกกังวลไปจนเกินกว่าเหตุ เพราะการฝึกลูกให้ทานอาหารได้ดีนั้น ต้องใช้ความอดทน และความเข้าใจในพฤติกรรมเด็กแต่ละอายุโดยใช้เวลาเป็นเดือนๆ ไม่ใช่จะทำได้ตามใจเราภายในวันสองวัน ลูกจะไม่กลายเป็นเด็กขาดอาหารแน่นอน ถึงแม้เขาจะทานข้าวมื้อนี้ไม่หมดจานอย่างที่คุณต้องการ
พญ.จันท์ฑิตา พฤกษานานนท์ คลินืกเด็ก.คอม
Create Date : 17 มีนาคม 2552 |
|
0 comments |
Last Update : 9 ธันวาคม 2554 17:25:26 น. |
Counter : 1012 Pageviews. |
|
|
|