All Blog
เกษตรฯชวนผู้บริโภครับประทานปลากะพงทดแทนนำเข้า
นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเปิดโครงการกรมประมงรวมใจชวนคนไทยร่วมใจบริโภคปลากะพงขาว ครั้งที่ 2 ภายใต้ธีม “ชาตินิยม กะพงไทย” (Sea bass Fair) ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 14 – 15 กันยายน 2563 ณ บริเวณหน้าอาคารสถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำจืด กรมประมง

โดยบอกว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ตระหนักถึงปัญหาของเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงปลากะพงขาว เนื่องจากเผชิญสภาวะปัญหาราคาตกต่ำ และมีสินค้าตกค้างรอการจำหน่ายเป็นจำนวนมาก จนเกษตรกรได้รับความเดือดร้อน จึงได้มอบหมายให้กรมประมงสร้างศักยภาพการแข่งขันทางด้านการตลาด




 



 
โดยการยกระดับคุณภาพสินค้าสัตว์น้ำด้วยกระบวนการเพาะเลี้ยงที่ได้รับรองมาตรฐานการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่ดีซึ่งถูกต้องตามหลักวิชาการ เพื่อจำหน่ายในตลาดให้กับประชาชนทั่วไปได้เลือกซื้อสินค้าปลากะพงขาวที่ผลิตจากเกษตรกรไทย และได้รับการรับรองจากกรมประมงว่าเป็นสินค้าที่มีความสด สะอาด ไร้สารตกค้าง

มีความปลอดภัยต่อผู้บริโภค ทั้งในรูปแบบการจำหน่ายสินค้าที่หน้าร้าน และการจำหน่ายด้วยช่องทางออนไลน์ ผ่านระบบ Fisheries shop ให้ผู้บริโภคที่แม้อยู่ต่างภูมิภาคก็สามารถมีการเข้าถึงได้สะดวก




 



 
สำหรับการจัดงานในวันนี้ ได้มุ่งเน้นประชาสัมพันธ์ให้คนไทยเกิดค่านิยมรับประทานปลากะพงขาวที่ได้จากการเพาะเลี้ยงของเกษตรกรไทย ซึ่งได้การรับรองด้วยตราสัญลักษณ์ “กะพงไทย” ทดแทนการรับประทานปลาที่นำเข้าจากต่างประเทศ เนื่องจากมีคุณค่าทางอาหารสูงใกล้เคียงกัน เป็นการสนับสนุนเกษตรกรให้ผลิตปลากะพงขาวป้อนสู่ตลาดได้อย่างต่อเนื่อง เกษตรกรมีความมั่นคงในอาชีพ เกิดรายได้และความความยั่งยืน

นายมีศักดิ์ ภักดีคง อธิบดีกรมประมง กล่าวว่า การจัดโครงการกรมประมงรวมใจชวนคนไทยร่วมใจบริโภคปลากะพงขาว ครั้งที่ 2 นี้ เป็นผลสืบเนื่องมาจากที่ในปี 2562 ที่ผ่านมา ได้จัดงานโครงการกรมประมงรวมใจชวนคนไทยร่วมใจบริโภคปลากะพงขาว ภายใต้ธีม “ชาตินิยม กะพงไทย” (Seabass Fair) ครั้งที่ 1 ขึ้น

เพื่อช่วยเหลือด้านราคาจำหน่ายปลากะพงขาวของเกษตรกรไทยที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งได้รับผลการตอบรับเป็นอย่างดี และสำหรับในปีนี้ ได้เกิดสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ส่งผลให้เกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก กรมประมงจึงได้มีแนวคิดในการจัดงานนี้เป็นครั้งที่ 2 เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกร



 



 
โดยมีวัตถุประสงค์ คือ 1) ส่งเสริมให้ประชาชนไทยได้บริโภคปลากะพงขาวที่มีคุณภาพ ปลอดภัย ไร้สารตกค้างที่ส่งตรงจากเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงปลากะพงขาวถึงผู้บริโภคโดยไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง 2) เพื่อเพิ่มช่องทางการตลาดให้กับสินค้าปลากะพงขาว และ 3) เพื่อเผยแพร่ข้อมูลทางวิชาการของกรมประมงที่เกี่ยวข้องกับมาตรฐานการผลิตปลากะพงขาวที่ปลอดภัย มีคุณภาพ และทราบถึงคุณค่าทางโภชนาการปลากะพงขาว

กิจกรรมภายในงาน ประกอบด้วย 1) การจัดนิทรรศการเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการส่งเสริมศักยภาพการผลิตปลากะพงขาว ภายใต้โลโก้ “กะพงไทย” ได้แก่ กระบวนการผลิตปลากะพงขาวคุณภาพให้ได้ตามมาตรฐานฟาร์มเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่ดี (GAP มกษ./CoC /GAP กรมประมง)




 



 
ข้อมูลคุณค่าทางโภชนาการของปลากะพงขาวเปรียบเทียบกับปลาแซลมอน เป็นต้น 2) กิจกรรมการจัดจำหน่ายปลากะพงขาวคุณภาพและผลิตภัณฑ์จากปลากะพงขาวในรูปแบบต่าง ๆ 3) กิจกรรมการสาธิตประกอบอาหารจากวัตถุดิบปลากะพงขาว

4) กิจกรรมการปรุงอาหารจากปลากะพงขาว โดยผู้บริหารของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และผู้บริหารของกรมประมง และ 5) กิจกรรมการแข่งขันเพื่อกระตุ้นการบริโภคปลากะพงขาว ได้แก่ การแข่งขันการขอดเกล็ดปลากะพง และการแข่งขันรับประทานเมนูปลากะพง






 

 



Create Date : 14 กันยายน 2563
Last Update : 14 กันยายน 2563 16:17:30 น.
Counter : 694 Pageviews.

1 comment
กรมประมงสร้างความรู้ชุมชนเขียนโครงการพัฒนาชุมชนพลิกฟื้นกิจกรรมเศรษฐกิจ
นายบัญชา สุขแก้ว รองอธิบดีกรมประมง เปิดเผยว่า รัฐบาลมีนโยบายที่จะส่งเสริมให้องค์กรภาค ประชาชน เข้ามามีบทบาทในการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในภาคการเกษตร ให้สามารถพลิกฟื้นกิจกรรม ทางเศรษฐกิจ เพิ่มศักยภาพและยกระดับการค้าให้ได้มาตรฐานคุณภาพและมูลค่าเพิ่มของสินค้าและผลิตภัณฑ์ ท้องถิ่นและชุมชน

เป็นการสร้างรายได้จากภาคการผลิตและการบริการที่ทันสมัย โดยเชื่อมโยงระหว่างการผลิต ท่องเที่ยว และบริการ เป็นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในชุมชนให้เข้มแข็งพึ่งพาตนเองได้ ซึ่งนโยบายดังกล่าวนี้ รัฐบาลได้ออกพระราชกําหนดเงินกู้ ในวงเงินงบประมาณ 400,000 ล้านบาท


 
 
 
 

 
เพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟู เศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิค2019 ซึ่งในวงเงินดังกล่าวนี้เป็น ช่องทางที่องค์กรภาคประชาชนในมิติต่างๆ สามารถเสนอโครงการได้ ผ่านการดําเนินงานคณะทํางานประสานงาน ข้อเสนอโครงการองค์กรภาคประชาชนผ่านหน่วยงานของรัฐฯ

มีหน้าที่กําหนดกรอบแนวทางการเสนอโครงการฯ และประสานงานกับองค์กรภาคประชาชน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้นำนโยบายมาเชื่อมต่อกับองค์กรภาคประชาชน โดยมอบหมายทุกกรมใน สังกัดดําเนินการขับเคลื่อนการดําเนินโครงการดังกล่าวโดยเร็ว



 



 
นายมีศักดิ์ ภักดีคง อธิบดีกรมประมง ได้สั่งการให้ประมงจังหวัดและประมงอําเภอทั้งประเทศ ลงพื้นที่ประชาสัมพันธ์สร้างความรู้ความ เข้าใจในการจัดทําข้อเสนอโครงการแก่องค์กรชุมชนประมงท้องถิ่นกว่า 2,000 แห่ง ทั้งการทําประมงชายฝั่ง การทํา ประมงนอกเขตทะเลชายฝั่ง การทําประมงน้ําจืดการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ํา

การแปรรูปโดยให้เสนอโครงการฯ ภายในวันที่ 15 ตุลาคม 2563 และคณะกรรมการกลั่นกรองฯ จะพิจารณาโครงการที่นําเสนอภายในเดือนตุลาคม ซึ่งภาคประชาชนจะสามารถดําเนินโครงการได้ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2563 เป็นต้นไปจนถึงกันยายน 2564 โดยโครงการที่เสนอมานั้น



 



 
ควรนําเสนอเหตุผลการการดําเนินการให้สอดคล้องกับนโยบายภาครัฐ หรือ แผนพัฒนาเศรษฐกิจชี้ให้เห็นถึงความต้องการและความจําเป็นที่ต้องดําเนินโครงการดังกล่าวพร้อมทั้งให้เห็นถึง เป้าหมาย กระบวนการดําเนินงาน ประโยชน์ที่สามารถจับต้องได้ การแสดงถึงความโปร่งใสป้องกันการทุจริต แผน บริหารจัดการความเสี่ยง

วงเงินงบประมาณที่ต้องดําเนินโครงการ ซึ่งรายละเอียดของการเขียนโครงการนั้นประมงจังหวัด ประมงอําเภอ และเจ้าหน้าที่กรมประมงในแต่ละพื้นที่จะเป็นผู้ให้คําแนะนํา โดยเสนอโครงการใน นามองค์กรชุมชนประมงท้องถิ่นที่จัดตั้งขึ้นตาม พรก.การประมง พ.ศ.2558 และฉบับแก้ไข ที่จะเป็นกลไกสําคัญ ขับเคลื่อนแผนงานโครงการเพื่อพี่เกษตรกรชาวประมงอย่างแท้จริง

 

 


 
เบื้องต้นได้มีตัวตัวอย่าง เช่นโครงการฟื้นฟูและพัฒนาศักยภาพการจัดการผลผลิตการประมงยั่งยืนและผลิตอาหารสัตว์จาก เศษอาหารในชุมชนประมงพื้นบ้าน” (โครงการ Post-Harvest Management From Smart Fish-Folk OrganizationandFeedbyproduct)ของทางสมาคมรักษ์ทะเลไทยซึ่งอยู่ในจังหวัดสงขลา ที่ได้มีการเสนอโครงการฯ มาตั้งแต่วันที่ 17 สิงหาคมที่ผ่านมา

โดยขณะนี้ได้ผ่านการพิจารณาในเบื้องต้นแล้ว ซึ่งโครงการดังกล่าว มีเป้าหมาย และกระบวนการดําเนินงานที่ชัดเจน ด้วยแนวคิดที่จะฟื้นฟูเศรษฐกิจสังคมในชุมชนประมงพื้นบ้านและ อุตสาหกรรมชุมชน จากวิธีการส่งเสริมพัฒนาการจัดการผลผลิตสัตว์น้ำและมาตรฐานสินค้าชุมชนประมงชายฝั่ง ยกระดับทั้งด้านปริมาณ คุณภาพด้วยระบบมาตรฐานรับรองผลผลิตสัตว์น้ําประมงพื้นบ้าน



 



 
ใช้นวัตกรรมเทคโนโลยี ในการผลิตอาหารสัตว์ระดับพรีเมี่ยม บริหารจัดการเศษเหลือจากการแปรรูปชั้นต้น ฯลฯ เพื่อเพิ่มรายได้ให้แก่ ชาวประมงพื้นบ้าน เกิดการจ้างงานในชุมชน และเกิดเป็นธุรกิจสินค้าประมงพื้นบ้านทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์ และจะเป็นต้นแบบในการแก้ไขปัญหาการประมงและเศรษฐกิจแบบครบวงจร จึงเห็นได้ว่าโครงการดังกล่าวนี้ สอดคล้องกับนโยบายการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมของรัฐบาล

นโยบายการให้ความช่วยเหลือของรัฐบาลในครั้งนี้ เป็นการเปิดโอกาสให้องค์กรภาคประชาชน ได้แสดงถึงศักยภาพของชุมชนโดยตรง โดยมุ่งหวังที่จะให้ทุกชุมชนประมงมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ดังนั้น จึงขอ ประชาสัมพันธ์แจ้งให้ชุมชนประมงท้องถิ่นในจังหวัดต่างๆ ทราบ เรียนรู้ และส่งโครงการฯ โดยกรมประมงจะคอย เป็นพี่เลี้ยงที่ให้แนวคิด แนวทาง แนวทําโครงการ ส่วนการจะดําเนินโครงการให้สําเร็จพี่น้องชาวประมงในพื้นที่ทุก คนต้องร่วมมือกัน






 



Create Date : 13 กันยายน 2563
Last Update : 13 กันยายน 2563 17:54:24 น.
Counter : 664 Pageviews.

0 comment
กรมพัฒนาที่ดิน Kick Off วันดินโลก มุ่งสร้างความตระหนักถึงคุณค่าของทรัพยากรดิน
สหภาพวิทยาศาสตร์ทางดินนานาชาติ (International Union of Soil Sciences – IUSS) ได้ทูลเกล้าฯ ถวายรางวัล ประกาศนียบัตรและประกาศสดุดีพระเกียรติคุณ “นักวิทยาศาสตร์ดินเพื่อมนุษยธรรม” (The Humanitarian Soil Scientist) แด่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร

ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้วันที่ 5 ธันวาคมของทุกปีซึ่งเป็นวันพระราชสมภพ ของพระองค์ ให้เป็นวันดินโลก (World Soil Day) เพื่อเผยแพร่ความรู้ต่างๆ เกี่ยวกับการพัฒนาทรัพยากรดิน ความสำคัญของดิน การสร้างความหลากหลายชีวภาพในดิน การอนุรักษ์ดินและน้ำที่มีผลดีต่อการพัฒนาด้านการเกษตร



 



 
โดยองค์การสหประชาชาติได้ประกาศรับรองอย่างเป็นทางการให้วันที่ 5 ธันวาคมของทุกปีเป็นวันดินโลกครั้งแรกเมื่อปี 2557 ซึ่งทุกปีจะมีการจัดกิจกรรมรณรงค์ด้านทรัพยากรดินในทุกระดับ อีกทั้งให้ประเทศสมาชิกองค์การสหประชาชาติกว่า 200 ประเทศทั่วโลก จัดงานนิทรรศการวันดินโลก

เพื่อสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับความสำคัญของทรัพยากรดิน การอนุรักษ์ดินและน้ำที่มีผลดีต่อการพัฒนาด้านการเกษตร โภชนาการ และการสร้างความมั่นคงทางอาหาร เพื่อให้ประชากรทั่วโลกได้รับรู้และตระหนักถึงทรัพยากรดินที่มีความสำคัญต่อมนุษยชาติ ส่วนร่วมช่วยอนุรักษ์และรักษาไว้ซึ่งทรัพยากรดินให้คงความอุดมสมบูรณ์อย่างยั่งยืนตลอดไป



 



 
ในปี 2563 กลุ่มสมัชชาความร่วมมือทรัพยากรดินโลก (Global Soil Partnership : GSP) ได้กำหนดจัดงานวันดินโลก 5 ธันวาคม 2563 ในหัวข้อ “Keep Soil Alive Protect Soil Biodiversity : รักษ์ปฐพี คืนชีวีที่หลากหลายให้ผืนดิน”เน้นความสำคัญของการมีส่วนร่วมขององค์กรและบุคคล

ในรูปแบบของการร่วมมือและสร้างเครือข่ายมากขึ้น ผ่านนวัตกรรมที่เกิดขึ้นจากความร่วมมือในการสร้างความตระหนักถึงความสำคัญของทรัพยากรดินเพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหาร การสร้างความหลากหลายทางชีวภาพในดิน ที่ส่งผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อม  

โดยมีการสนับสนุนจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน ประชาสังคม ชุมชนและประชาชนทั่วไป รวมถึงการอนุรักษ์ดินและน้ำเพื่อป้องกันและลดการชะล้างพังทลายของดิน
สำหรับประเทศไทยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มอบหมายกรมพัฒนาที่ดินเป็นหน่วยงานหลักในการจัดงานวันดินโลก ประจำปี 63
 วันที่ 4 - 7 ธันวาคม 2563 ณ ศูนย์ความเป็นเลิศด้านการวิจัยดินแห่งเอเชีย (CESRA) อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา 

ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมพัฒนาที่ดิน มีนโยบายด้านการจัดการทรัพยากรดิน มีการจัดทำแผนปฏิบัติงาน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน หรือ Sustainable Development Goals (SDGs) ในเรื่องทรัพยากรดินและสิ่งแวดล้อม ความปลอดภัยและความมั่นคงทางอาหาร รวมทั้งร่วมผลักดันเรื่องวันดินโลก


 




 
ร่วมกับสมาคมดินและปุ๋ยแห่งประเทศไทย สมาคมอนุรักษ์ดินและน้ำ สมาคมดินโลก และองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) โดยได้มีการจัดงานวันดินโลกในวันที่ 5 ธันวาคมของทุกปี สำหรับในปี 2563 มีการจัดงานวันดินโลกภายใต้หัวข้อ “รักษ์ปฐพี คืนชีวีที่หลากหลายให้ผืนดิน” ซึ่งเป็นหัวข้อที่ให้ความสำคัญของนิเวศวิทยา และความหลากหลายทางชีวภาพในดินของสิ่งมีชีวิตตั้งแต่ระดับจุลินทรีย์ สิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก และสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่
 
ดังนั้นการประชุมทางวิชาการ “รักษ์ปฐพี คืนชีวีที่หลากหลายให้ผืนดิน” ที่กรมพัฒนาที่ดินจัดขึ้นในครั้งนี้ เพื่อเป็นการระดมความคิดและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างนักวิชาการ ให้นำไปสู่การสร้างเครือข่ายความร่วมมือด้านความหลากหลายทางชีวภาพในดิน รวมถึงสร้างเครือข่ายการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ในการดูแลรักษาทรัพยากรดินอย่างยั่งยืน พร้อมสร้างความตระหนัก การรับรู้ และความเข้าใจถึงความสำคัญของวันดินโลกด้วย



 



 
นางสาวเบญจพร ชาครานนท์ อธิบดีกรมพัฒนาที่ดิน กล่าวว่า การจัดงานวันดินโลกในวันที่ 5 ธันวาคมของทุกปี เพื่อเผยแพร่พระเกียรติคุณและพระราชกรณียกิจด้านการพัฒนาทรัพยากรดินที่ประสบผลสำเร็จ ผลงานเป็นที่ประจักษ์ชัดและเป็นที่ยอมรับในประเทศและนานาประเทศ ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร

รวมทั้งยังเป็นการเผยแพร่ความรู้ต่างๆ เกี่ยวกับการพัฒนาทรัพยากรดิน ความสำคัญของดิน การสร้างความหลากหลายชีวภาพในดิน การอนุรักษ์ดินและน้ำที่มีผลดีต่อการพัฒนาด้านการเกษตร 



 




 
ภายในงานวันดินโลกปี 2563 จะมีกิจกรรมถ่ายทอดความรู้ การจัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับการพัฒนาทรัพยากรดินในด้านต่างๆ ที่เสื่อมโทรมขาดความอุดมสมบูรณ์ให้กลับมาเอื้อประโยชน์และดำรงอยู่ได้อย่างยั่งยืนให้รับรู้กันอย่างกว้างขวางทั่วไป เพื่อให้ประชาชนทั่วไปเกิดความตระหนักรู้มากขึ้นและเกิดจิตสำนึกในการเห็นถึงความสำคัญของทรัพยากรดิน

มีส่วนร่วมในกลยุทธ์ที่จะฟื้นฟูรักษาทรัพยากรดิน รวมทั้งการจัดเสวนานักวิชาการเกษตรและหมอดินอาสา เพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ในการทำงาน นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมการประกวดแข่งขันต่างๆ การจัดจำหน่ายสินค้าผลิตภัณฑ์เกษตรอินทรีย์ เกษตรปลอดภัยของเกษตรกร ขอเชิญชวนเกษตรกรและผู้สนใจร่วมกิจกรรมวันดินโลก ระหว่างวันที่ 4 - 7 ธันวาคม 2563 ณ ศูนย์ความเป็นเลิศด้านการวิจัยดินแห่งเอเชีย (CESRA) อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา 





 



Create Date : 13 กันยายน 2563
Last Update : 13 กันยายน 2563 17:06:55 น.
Counter : 674 Pageviews.

0 comment
ใต้นำร่องแปลงทดสอบควบคุมโรคลำต้นเน่าปาล์มน้ำมัน
กรมส่งเสริมการเกษตร จัดทำแปลงทดสอบเทคโนโลยีการควบคุมโรคลำต้นเน่าของปาล์มน้ำมัน สาเหตุจากเชื้อรา Ganoderma sp. (เชื้อรากาโนเดอร์มา) เป็นโรคสำคัญทางเศรษฐกิจ
พบระบาดในพื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมันทางภาคใต้ และกำลังกลายเป็นปัญหาลุกลามส่งผลต่อผลผลิตในระยะยาว หากไม่ได้รับการจัดการควบคุมโรคที่มีประสิทธิภาพตั้งแต่ระยะเริ่มแรก

นายทวี มาสขาว รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวว่า โรคลำต้นเน่าของปาล์มน้ำมัน มีสาเหตุมาจากเชื้อรา Ganoderma sp. โดยเชื้อราจะเข้าทำลายจากรากสู่ลำต้นผ่านทางท่อลำเลียงอาหารและน้ำ ทำให้เนื้อเยื่อภายในลำต้นเกิดแผลเน่าสีน้ำตาล อาการผิดปกติภายนอกที่พบ คือ ใบมีสีซีดจางกว่าปกติ ทางใบแก่ล่างจะหักพับทิ้งตัวห้อยลงรอบๆ ลำต้น



 



 
ยอดที่ยังไม่คลี่มีสีเหลือง หรือมีจำนวนมากกว่าปกติ ในระยะรุนแรงเชื้อราจะพัฒนาและเจริญเติบโตเป็นดอกเห็ดบริเวณโคนต้น รากและเนื้อเยื่อภายในลำต้นจะเปื่อยแห้งเป็นผง จนเกิดเป็นโพรงในที่สุด ทำให้ต้นปาล์มน้ำมันยืนต้นตายหรือหักล้มลง การระบาดเกิดจากการแพร่กระจายทางลมของสปอร์ดอกเห็ดที่เกิดบริเวณโคนต้น

ตอหรือซากปาล์มเก่า หรือจากการสัมผัสกันของรากต้นที่เป็นโรคและรากของต้นปกติในดินที่อยู่บริเวณใกล้เคียงกัน โดยการวินิจฉัยโรคในแปลงปลูกต้องอาศัยการสังเกตลักษณะอาการภายนอกของต้นปาล์มน้ำมันและต้นข้างเคียง รวมถึงประวัติการเกิดโรคลำต้นเน่าในแปลง และเมื่อพบต้นเป็นโรคแล้วต้องรีบดำเนินการควบคุมโดยทันที



 



 
การจัดการโรคสามารถใช้วิธีการเขตกรรม เช่น การหมั่นสำรวจและทำความสะอาดแปลงอยู่เสมอ การกำจัดซากต้นปาล์มเก่า การเผาทำลายต้นที่เกิดโรคและดอกเห็ด การจัดการระบายน้ำในแปลง และการใช้สารเคมี หรือชีววิธี เช่น การใช้เชื้อราปฏิปักษ์ Trichoderma sp. (เชื้อราไตรโคเดอร์มา) เป็นต้น

เนื่องจากที่ผ่านมาการศึกษาเกี่ยวกับการควบคุมโรคลำต้นเน่าของปาล์มน้ำมัน จะทำในระดับห้องปฏิบัติการเท่านั้น ยังไม่ได้ลงสู่การทดสอบในสภาพแปลงปลูกจริง ดังนั้น จึงได้นำวิธีการที่ผ่านการทดสอบในห้องปฏิบัติแล้วว่าได้ผล นำมาทดสอบในสภาพแปลงปลูกจริง เพื่อหาวิธีการที่มีประสิทธิภาพสำหรับนำไปถ่ายทอด ให้ความรู้ และส่งเสริมใช้เป็นคำแนะนำแก่เจ้าหน้าที่ของกรมส่งเสริมการเกษตรและเกษตรกรเพื่อใช้จัดการควบคุมโรคในพื้นที่อย่างเหมาะสม และง่ายต่อการปฏิบัติ ดำเนินการทดสอบ จำนวน 5 จุด ดังนี้



 



 
จุดที่ 1 ดำเนินการในพื้นที่ หมู่ที่ 4 ตำบลคลองยา อำเภออ่าวลึก จังหวัดกระบี่

จุดที่ 2 ดำเนินการในพื้นที่ หมู่ที่ 6 ตำบลคีรีวง อำเภอปลายพระยา จังหวัดกระบี่

จุดที่ 3 ดำเนินการในพื้นที่ หมู่ที่ 8 ตำบลนากระตาม อำเภอท่าแซะ จังหวัดชุมพร

จุดที่ 4 ดำเนินการในพื้นที่ หมู่ที่ 12 ตำบลบางหมาก อำเภอเมืองชุมพร จังหวัดชุมพร

จุดที่ 5 ดำเนินการในพื้นที่ หมู่ที่ 3 ตำบลกะลาเส อำเภอสิเกา จังหวัดตรัง

ประกอบด้วยวิธีการควบคุม 3 วิธี ได้แก่ 1) การใช้สารเคมี 2) การใช้เชื้อราไตรโคเดอร์มาสายพันธุ์ท้องถิ่น 1 ผสมกับปุ๋ยอินทรีย์ และ 3) การใช้เชื้อราไตรโคเดอร์มาสายพันธุ์ท้องถิ่น 2 ผสมกับปุ๋ยอินทรีย์



 



 
ทำการเก็บข้อมูลโดยนำตัวอย่างดินบริเวณโคนต้นส่งตรวจวิเคราะห์ปริมาณเชื้อรากาโนเดอร์มาและเชื้อราไตรโคเดอร์มากับห้องปฏิบัติการของมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ และบันทึกลักษณะอาการของต้นปาล์มน้ำมันที่เกิดโรคทำการเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างต้นที่ดำเนินการควบคุมและต้นที่ไม่ได้ดำเนินการควบคุม

ทั้งนี้ ภายหลังการดำเนินการจัดทำแปลงทดสอบในครั้งนี้เสร็จเรียบร้อย คาดว่าจะได้แนวโน้มการจัดการควบคุมโรคลำต้นเน่าของปาล์มน้ำมันที่มีประสิทธิภาพเหมาะสมกับการปลูกในสภาพแปลงของพื้นที่ และถูกนำไปพัฒนาหรือใช้ในการจัดทำแปลงต้นแบบเพื่อการส่งเสริมและเผยแพร่สู่เกษตรกรในอนาคตต่อไป







 



Create Date : 11 กันยายน 2563
Last Update : 11 กันยายน 2563 16:09:34 น.
Counter : 1717 Pageviews.

1 comment
"ม.เกษตร"เตรียมปล่อย‘นิล4.0’ เวอร์ชั่น 2 หนุนผลผลิตปลานิลหมื่นล้านบาท


 


รศ.ดร.วราห์ เทพาหุดี อาจารย์ภาควิชาเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า หลังจากที่ในปี 2560 ทางคณะประมงฯได้เปิดตัว แอปพลิเคชั่น ‘นิล4.0’  ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการการพัฒนาโปรแกรมการจัดการการเลี้ยงสัตว์น้ำแบบแม่นยำสูงสำหรับปลานิล ภายใต้โครงการการปฏิรูปเกษตรกรไทยด้วยระบบดิจิทัล

เป็นแอปพลิเคชั่นที่ช่วยเหลือให้เกษตรกรมีเครื่องมือในการบริหารจัดการการเลี้ยงปลานิลได้อย่างครบวงจรนั้น ล่าสุดภายใต้โครงการเดียวกันนี้กำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาแอปพลิเคชั่นนิล 4.0 เวอร์ชั่น 2 ซึ่งจะมีการนำระบบปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI เข้ามาช่วยในเรื่องของการเตือนภัย เช่นกรณีของสภาพอากาศและจะเชื่อมโยงไปยังข้อแนะนำการให้อาหารปลา



 




 
“ความคืบหน้าการพัฒนาแอปพลิเคชั่นนิล 4.0 ในเวอร์ชั่น2 ตอนนี้พัฒนาเสร็จแล้วแต่ยังอยู่ระหว่างการทดสอบและปรับแต่งระบบอีกเล็กน้อยอีกไม่นานจะสามารถเปิดใช้ได้ นอกจากนำ AI เข้ามาใช้มากขึ้นแล้วในเวอร์ชั่นนี้จะสามารถใช้กับโทรศัพท์มือถือระบบปฏิบัติการไอโอเอสได้ด้วย จากที่เวอร์ชั่นแรกจะอยู่ในระบบแอนดรอยด์เท่านั้น” รศ.ดร.วราห์กล่าว

พร้อมกับการพัฒนาแอปพลิเคชั่นเวอร์ชั่น2ได้มีการพัฒนาฐานข้อมูลขนาดใหญ่รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับปลานิลทั้วประเทศไว้ในเว็บไซต์เดียว โดยใช้ชื่อเว็บไซต์ ‘บิ๊กนิล’ซึ่งเว็บไซต์นี้จะเชื่อมโยงกับแอปพลิเคชั่นเวอร์ชั่นใหม่ด้วย



 



 
ทั้งนี้เนื่องจากเห็นว่าฐานข้อมูลที่ถูกพัฒนาขึ้นนี้จะเป็นประโยชน์กับทั้งเกษตรกรผู้เลี้ยงปลานิล และทางการโดยเฉพาะกรมประมง ในเดือนกันยายนนี้ได้มีนัดหารือที่จะนำเสนอให้กรมประมงนำฐานข้อมูลบิ๊กนิล และแอปพลิเคชั่นนิล4.0 นี้ไปขยายผลต่อให้ผู้เลี้ยงปลาได้ใช้ประโยชน์เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการเลี้ยงปลาต่อไป

ปัจจุบันปลานิลถือเป็นสัตว์น้ำจืดที่มีความสำคัญด้านเศรษฐกิจ โดยข้อมูล ณ ปี 2561พบว่า จากผลผลิตน้ำจืดทั้งหมด 425,837 ตัน มูลค่ารวม 26,202 ล้านบาท พบว่าปลานิลและทับทิมเป็นสัตว์น้ำจืดที่ผลิตได้มากที่สุดที่ 216,600 ตัน คิดเป็น 50.86%ของปริมาณการผลิตทั้งหมด และมีมูลค่าทางการค้ารวมต่อปี 10,141 ล้านบาท

ส่วนสัตว์น้ำที่มีปริมาณการเลี้ยงและมูลค่ารองลงมาคือ ปลาดุกผลผลิต 216,600 ตัน มูลค่า 4,666 ล้านบาท และกุ้งก้ามกราม 31,838 ตัน มูลค่า 7,907 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาแม้ปลานิลจะเป็นสัตว์น้ำที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ แต่เกษตรกรผู้เลี้ยงปลานิลจำนวนมากยังคงเลี้ยงปลาด้วยองค์ความรู้ดั้งเดิมมีภาระต้นทุนการเลี้ยงสูง



 



บกรับความเสี่ยงจากโรคต่างๆซึ่งนำไปสู่ความไม่แน่นนอนของรายได้ มีผลตอบแทนต่ำ และเสี่ยงต่อการขาดทุนปัญหาดังกล่าวถึงเป็นที่มาของการพัฒนาแอปพลิเคชั่นนิล4.0 และฐานข้อมูลบิ๊กนิลเพื่อให้ผู้เลี้ยงปลามีเครื่องมือในการบริหารจัดการการเลี้ยงได้อย่างครบวงจรและลดความเสี่ยงด้านต่างๆลง

สำหรับเกษตรกรผู้เลี้ยงปลานิลหรือประชาชนที่สนใจเกี่ยวกับการใช้แอปพลิเคชั่นนิล4.0 และฐานข้อมูลปลานิล ‘บิ๊กนิล’ สามารถติดต่อ รศ.ดร.วราห์ เทพาหุดีอาจารย์ภาควิชาเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โทร 02-579-2924 หรือ ทางอีเมล ffiswrt@ku.ac.th




 



 



Create Date : 08 กันยายน 2563
Last Update : 8 กันยายน 2563 17:14:40 น.
Counter : 534 Pageviews.

1 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  94  95  96  97  98  99  100  101  102  103  104  105  106  107  108  109  110  111  112  113  114  115  

สมาชิกหมายเลข 3402302
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



contact >> parwnation@gmail.com
hello welcome
contact =>>parwnation@gmail.com
New Comments