เตรียมจัดกิจกรรมวันดื่มนมโลกกระตุ้นคนไทยบริโภคมากขึ้น
กระทรวงเกษตรฯ โดย กรมปศุสัตว์ เตรียมจัดกิจกรรมวันดื่มนมโลก ประจำปี 2563 หวังกระตุ้นให้คนไทยบริโภคนมมากขึ้น โดยการจัดกิจกรรมผ่านระบบออนไลน์ มีกิจกรรม Learn,Challenge,Share และ Shopตามมาตรการการเว้นระยะห่างทางสังคมของรัฐบาล
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เยี่ยมชมบูธนิทรรศการ "วันดื่มนมโลก (World Milk Day) ประจำปี 2563" นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เปิดเผยว่า ตามที่องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ได้กำหนดให้วันที่ 1 มิถุนายนของทุกปี เป็น “วันดื่มนมโลก” หรือ “World Milk Day” เพื่อให้ประเทศและองค์กรต่าง ๆ ให้ความสำคัญและร่วมกันจัดกิจกรรมรณรงค์บริโภคนม โดยในปี 2020 ได้กำหนดแคมเปญไว้ว่า #EnjoyDairy ดังนั้นกิจกรรมวันดื่มนมโลก ประจำปี 2563 จึงกำหนดคำขวัญไว้ว่า “สร้างความสุข เสริมภูมิคุ้มกัน ดื่มนมทุกวัน ดื่มได้ทุกวัย บริโภคนมได้หลากหลายเมนู” และด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ยังคงมีอยู่ ทำให้ต้องคำนึงถึงมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม จึงได้จัดกิจกรรมรณรงค์วันดื่มนมโลก ประจำปี 2563 ผ่านระบบออนไลน์ขึ้น
นายสัตวแพทย์สรวิศ ธานีโต อธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในวันดื่มนมโลกปีนี้ กรมปศุสัตว์มีการกิจกรรมผ่านระบบออนไลน์ทั้งหมด 4 กิจกรรม ได้แก่
- Learn เป็นเรียนรู้การทำเมนูต่างๆ จากผลิตภัณฑ์นม เป็นหลักสูตรที่สอนผ่านระบบออนไลน์ โดยได้รับเกียรติจากผู้มีประสบการณ์การทำผลิตภัณฑ์ประเภทนมจากหลายสาขา ร่วมเป็นผู้สาธิตการทำเมนูต่างๆ จากนมโคของเกษตรกรไทย ระหว่างวันที่ 4 – 29 พฤษภาคม 2563 หากท่านที่สนใจสามารถเข้าไปรับชมได้ที่เว็บไซต์ product.dld.go.th หรือ แฮชแท๊ก #LearnWorldMilkDayThailand - Challenge เป็นการโพสต์คลิปวิดีโอลง Facebook ของตนเองโดยเปิดเป็นสาธารณะ พร้อมท้าเพื่อนๆ ให้ทำตาม 5 คน ตามคอนเซปต์ “การบริโภคนมโคแท้ 100% ที่สร้างสรรค์แปลกใหม่ในแบบของคุณ” วิดีโอที่บันทึกจะต้องมีความยาวไม่เกิน 1 นาที โดยต้องติดแฮชแท๊ก #ChallengeWorldMilkdayThailand โดยผู้ที่ต้องการร่วมกิจกรรมสามารถโพสต์ภาพถ่ายได้ตั้งแต่วันนี้ - วันที่ 31 พฤษภาคม 2563 คลิปวิดีโอที่ถูกใจกรรมการ 10 คลิป จะได้รับนมบริโภคฟรี 1 เดือน
- Share กิจกรรมแชร์ภาพถ่ายของตนเองขณะดื่มนมโคแท้ 100% หรือถ่ายรูปคู่ผลิตภัณฑ์นมต่างๆ พร้อมทั้งคิดแคปชั่นโดนใจ โพสต์ผ่าน Facebook ของตนเองและติดแฮชแท๊ก #ShareWorldMilkDayThailand โดยผู้ที่ต้องการร่วมกิจกรรมสามารถโพสต์ภาพถ่ายได้ตั้งแต่วันนี้ - วันที่ 31 พฤษภาคม 2563 ภาพถ่ายที่มียอดกดแชร์ กดถูกใจและกดแสดงความรู้สึกรวมกันมากที่สุด จำนวน 10 รางวัล จะได้รับนมบริโภคฟรี 1 เดือน - Shop กิจกรรมการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์นมในราคาพิเศษ แบ่งการจำหน่ายเป็นสองประเภท ผ่านระบบออนไลน์ต่างๆ และจำหน่ายผ่านระบบออฟไลน์ จากร้านค้าสวัสดิการกรมปศุสัตว์ และห้างสรรพสินค้าที่ร่วมรายการทั่วประเทศ
ทั้งนี้ กิจกรรม Challenge และ Share จะมีการประกาศผลผู้ชนะ ในวันที่ 1 มิถุนายน 2563 สำหรับผู้ที่สนใจจะเข้าร่วมกิจกรรมและสอบถามรายเอียดเพิ่มเติม สามารถติดต่อได้ที่ กองผลิตภัณฑ์ปศุสัตว์ กรมปศุสัตว์ พญาไท โทร.02-6534444 ต่อ 3377 และขอเชิญชวนทุกหน่วยงาน ทั้งภาครัฐและเอกชน ทุกครอบครัว ร่วมกันบริโภคผลิตภัณฑ์นม พร้อมแชร์ภาพผ่านสื่อออนไลน์ ในวันที่ 1 มิถุนายน 2563 ซึ่งเป็นวันดื่มนมโลก World Milk Day พร้อมติด #WorldMilkDay #EnjoyDairy #WorldMilkDayThailand
กยท.อัพเดทตรวจสอบสิทธิ์เงินไม่เข้าให้อุทธรณ์
นายณกรณ์ ตรรกวิรพัท รองผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย ด้านธุรกิจและปฏิบัติการ เผยความคืบหน้าโครงการเยียวยาเกษตรกรชาวสวนยาง 15,000 บาท ว่า ปัจจุบันทะเบียนเกษตรกรชาวสวนยางของ กยท. มีจำนวนกว่า 1.8 ล้านราย
กยท. ได้ส่งรายชื่อทั้งหมดให้ สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เพื่อรวบรวมส่ง กระทรวงการคลัง พิจารณาตรวจสอบสิทธิ์ โดยมีเกษตรกรชาวสวนยางได้รับเงินเยียวยาไปแล้วบางส่วน ซึ่งเป็นเกษตรกรชาวสวนยางที่ขึ้นทะเบียนกับทั้ง กยท. และกรมส่งเสริมการเกษตร (กสก.) ในส่วนของเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนกับ กยท. หน่วยเดียว ข้อมูลล่าสุดได้รับแจ้งว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะเปิดระบบให้ตรวจสอบสิทธิ์ได้ตั้งแต่วันที่ 28 พฤษภาคม เป็นต้นไป และ ธ.ก.ส. จะจ่ายเงินให้แล้วเสร็จภายในเดือนพฤษภาคม นี้ จึงขอให้เกษตรกรชาวสวนยางอย่าตื่นตระหนก หากในช่วงนี้ตรวจสอบทางระบบไม่พบชื่อตนเอง อย่างไรก็ตาม หากสิ้นเดือนพฤษภาคมแล้วเกษตรกรชาวสวนยางยังไม่ได้รับสิทธิ์เยียวยา สามารถแจ้งอุทธรณ์กับหน่วยงานที่รับขึ้นทะเบียนในส่วนกลางหรือภูมิภาคใกล้บ้านทั้ง 6 หน่วยงาน ได้แก่ 1. กยท. จังหวัด/สาขา 2. เกษตรจังหวัด/อำเภอ 3. ประมงจังหวัด/อำเภอ 4. ปศุสัตว์จังหวัด/อำเภอ 5. ศูนย์หม่อนไหมภูมิภาค
6. สำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัด ในเวลา 08.30 – 16.30 น. (ไม่เว้นวันหยุดราชการ) หรือที่ ศูนย์บริการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาด โรค Covid – 19 ของ กยท. โทร. 0-2435-3469, 0-2433-5772 ในเวลา 08.30 - 16.30 น. (ไม่เว้นวันหยุดราชการ) ได้ถึงวันที่ 5 มิถุนายน 2563
กยท.ปล่อยกู้ปลอดดอกหนุนกลุ่มหมอนยางสู้ COVID-19
นางณพรัตน์ วิชิตชลชัย รองผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทยด้านอุตสาหกรรมยางและการผลิตยาง เปิดเผยว่าจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID-19) ส่งผลให้ภาคการผลิต การตลาด และการส่งออกหยุดชะงักไป รวมถึงกลุ่มผู้ผลิตหมอนยางพารา ซึ่งได้รับผลกระทบเนื่องจากประเทศจีนซึ่งเป็นลูกค้ารายสำคัญชะลอการท่องเที่ยวในประเทศไทยและการสั่งซื้อหมอนยางพารา จึงจัดทำโครงการพัฒนาความร่วมมือการผลิตและการตลาดอุตสาหกรรมยางพารา (สินเชื่อฝากหมอนยางพารา) ให้กับสถาบันเกษตรกรชาวสวนยาง วิสาหกิจชุมชนผู้ผลิตหมอนยางพาราที่ขึ้นทะเบียนกับ กยท.
เพื่อเพิ่มสภาพคล่อง ขยายกำลังการผลิต และส่งเสริมสนับสนุนให้มีการใช้ยางภายในประเทศ โดยการแปรรูปยางเพื่อเพิ่มมูลค่า รวมถึงเพิ่มช่องทางจำหน่ายยางให้มากขึ้น ซึ่ง กยท. จะปล่อยสินเชื่อปลอดดอกเบี้ย ให้กับสถาบันเกษตรกรชาวสวนยางหรือวิสาหกิจชุมชน ที่ได้รับการอนุมัติวงเงินตามปริมาณสต๊อกหมอนยางที่มี โดยใช้เกณฑ์คุณภาพหมอนยางพารามาทำการประเมินราคากำหนดวงเงินสินเชื่อแบ่งเป็นเกรด A วงเงินสูงสุด 80%เกรด B วงเงินสูงสุด 70% และ เกรด C วงเงินสูงสุด 50% ของมูลค่าหมอนยางตามที่ กยท.กำหนด ซึ่งจะมีคณะกรรมการเข้าตรวจสอบสินค้าตามเกณฑ์การประเมินของโครงการ
ผู้เข้าร่วมโครงการจะต้องมีสต๊อกหมอนยางพาราเป็นของตนเอง เพื่อใช้ในการประเมินสินเชื่อ และค้ำประกัน อีกทั้งต้องมีสถานที่จัดเก็บที่เหมาะสมตลอดระยะเวลาที่เข้าร่วมโครงการ และเมื่อผู้เข้าร่วมโครงการจำหน่ายหมอนยางพาราได้ หรือมีความพร้อมในการคืนเงิน สามารถชำระเงินคืนให้กับ กยท. ได้ตลอดระยะเวลาโครงการ ซึ่งจะสิ้นสุดในเดือนกันยายน 2563 ภายใต้งบประมาณตลอดโครงการ 11,312,000 บาท
สำหรับสถาบันเกษตรกรชาวสวนยางหรือวิสาหกิจชุมชนใดที่สนใจเข้าร่วมโครงการฯ สามารถสมัครได้ตั้งแต่วันนี้ - วันที่ 30 มิถุนายน 2563 ณ สำนักงานการยางแห่งประเทศไทยสาขาใกล้บ้านท่าน สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 02-433-2222 ต่อ 206,245
ชู 2 ปุ๋ยชีวภาพสลายฟอสฟอรัสเพิ่มปริมาณ-คุณภาพผลผลิต-ต้านโรค
นางสาวเสริมสุข สลักเพ็ชร์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่า ปุ๋ยชีวภาพเป็นปุ๋ยที่ประกอบด้วยจุลินทรีย์มีชีวิตที่สามารถสร้างและให้ธาตุอาหารที่เป็นประโยชน์กับพืช ปุ๋ยชีวภาพจึงเป็นปุ๋ยทางเลือกหนึ่งในการนำมาใช้ช่วยทดแทนและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ปุ๋ยเคมี กองวิจัยพัฒนาปัจจัยการผลิตทางการเกษตร กรมวิชาการเกษตร
ได้ศึกษาวิจัยเกี่ยวกับจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ทางการเกษตรได้ค้นพบไมโคไรซาซึ่งเป็นเชื้อราในดินกลุ่มหนึ่งที่อาศัยอยู่บริเวณรากพืชและเจริญเข้าไปในรากอยู่ร่วมกับรากพืชในรูปแบบพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน
พืชจะให้อาหารประเภทน้ำตาลที่ได้จากการสังเคราะห์แสงแก่ไมโคไรซ่า ซึ่งเซลล์ของรากพืชและเชื้อราไมโคไรซ่าจะสามารถถ่ายทอดอาหารซึ่งกันและกันได้ เส้นใยของราไมโคไรซ่าที่เจริญห่อหุ้มรากจะช่วยเพิ่มพื้นที่ผิวรากพืชให้สามารถดูดน้ำและธาตุอาหารที่สำคัญต่อการเจริญเติบโตในดินส่งต่อให้พืชโดยเฉพาะธาตุอาหารที่สลายตัวยากหรืออยู่ในรูปที่ถูกตรึงไว้ในดินส่งต่อให้กับพืชโดยเฉพาะธาตุฟอสฟอรัสที่มักถูกตรึงไว้ในดิน จากคุณสมบัติของเชื้อราไมโคไรซ่าดังกล่าวกรมวิชาการเกษตรจึงได้นำมาผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ปุ๋ยชีวภาพเพื่อส่งต่อให้เกษตรกรได้นำไปใช้ประโยชน์ในการปลูกพืชเพื่อช่วยเพิ่มคุณภาพและผลผลิตพืชเจริญเติบโตและทนแล้งได้ดี
รวมทั้งยังทนทานต่อโรครากเน่าหรือโคนเน่าที่มีสาเหตุมาจากเชื้อรา เนื่องจากราไมโคไรซ่าที่เข้าไปอาศัยอยู่ในรากพืชจะช่วยป้องกันไม่ให้เชื้อราที่เป็นสาเหตุโรครากเน่าเข้าสู่รากพืชได้และยังช่วยลดการใช้ปุ๋ยเคมีได้ครึ่งหนึ่งของอัตราการใช้ปุ๋ยปกติ
แม้ปุ๋ยชีวภาพไมโคไรซ่าจะมีคุณสมบัติที่ช่วยดูดธาตุอาหารที่สลายตัวได้ยากหรือถูกตรึงอยู่ในดินส่งต่อให้พืชได้นำไปใช้ประโยชน์แล้วก็ตาม แต่ถ้าหากใช้ร่วมกับปุ๋ยชีวภาพละลายฟอสเฟต ซึ่งมีคุณสมบัติที่ช่วยละลายธาตุฟอสฟอรัสที่ถูกตรึงอยู่ในดินร่วมด้วยจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับพืชมากขึ้น เนื่องจากจุลินทรีย์กลุ่มนี้มีประโยชน์ในการละลายฟอสเฟตออกมาใช้งานเช่นกัน ใส่ปุ๋ยชีวภาพละลายฟอสเฟตให้บางชุดดินที่วิเคราะห์แล้วพบว่ามีปริมาณฟอสฟอรัสในดินสูง ซึ่งจุลินทรีย์ที่ใส่เติมลงไปจะไปละลายฟอสฟอรัสที่ถูกยึดตรึงอยู่ในดินออกมาเป็นประโยชน์ต่อพืชอีกครั้งและยังมีคุณสมบัติพิเศษสามารถสังเคราะห์สารช่วยในการเจริญเติบโตของพืช ช่วยให้พืชได้ธาตุอาหารฟอสฟอรัสเพิ่มขึ้นส่งเสริมต่อการเจริญเติบโตของพืช
ฟอสฟอรัสเป็นธาตุอาหารหลักของพืช ในดินที่ใช้ทำการเกษตรส่วนใหญ่จะมีฟอสฟอรัสสำรองอยู่ในดินปริมาณมากอยู่แล้ว เกิดจากการที่เกษตรกรใส่ปุ๋ยเคมีให้กับพืชระหว่างการเพาะปลูกแต่พืชสามารถดูดไปใช้ได้เพียงบางส่วนเท่านั้น
ส่วนใหญ่จะเหลือตกค้างอยู่ในดินโดยถูกดินยึดตรึงเอาไว้ จึงทำให้เกิดการสะสมของฟอสฟอรัสในดิน แต่ฟอสฟอรัสในดินส่วนใหญ่ประมาณ 95-99 เปอร์เซ็นต์อยู่ในรูปที่ไม่ละลายพืชจึงนำไปใช้ประโยชน์ไม่ได้ การขาดฟอสฟอรัสในดินจึงเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นทั่วโลก
ปุ๋ยชีวภาพไมโคไรซาเป็นเชื้อราในดินที่จะเข้าไปอยู่ในรากของต้นไม้ เป็นกลุ่มที่ให้ธาตุอาหารฟอสฟอรัส มีความสำคัญต่อการแตกราก ช่วยเพิ่มปริมาณรากให้กับต้นไม้ได้ดี ถ้าขาดฟอสฟอรัสต้นไม้จะแคระแกร็น ส่งผลต่อการติดดอกออกผล ส่วนปุ๋ยชีวภาพละลายฟอสเฟตมีจุลินทรีย์ที่สามารถละลายฟอสเฟตที่มีอยู่ในดินบางรูปที่พืชใช้ไม่ได้ให้ละลายออกมาเป็นประโยชน์แก่พืช ช่วยให้พืชได้ธาตุอาหารฟอสฟอรัสเพิ่มขึ้น ปุ๋ยชีวภาพละลายฟอสเฟตจะทำงานอยู่นอกรากพืช
ในขณะที่ปุ๋ยชีวภาพไมโคไรซ่าจะทำงานอยู่ในรากพืช ดังนั้นหากใช้ร่วมกันจะช่วยให้พืชได้รับธาตุอาหารฟอสฟอรัสซึ่งเป็นธาตุอาหารสำคัญที่ส่งผลต่อการเจริญเติบโตของพืชได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ที่สำคัญช่วยลดต้นทุนการผลิตเพราะสามารถลดการใช้ปุ๋ยเคมีของเกษตรกรลงได้ถึงครึ่งหนึ่ง
การใส่ปุ๋ยชีวภาพเพียงครั้งเดียวสามารถทำงานอยู่ได้จนตลอดชีวิตของพืช เกษตรกรที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ กลุ่มงานวิจัยจุลินทรีย์ดิน กองวิจัยพัฒนาปัจจัยการผลิตทางการเกษตร 0-2579-7522-3