"ปศุสัตว์"ย้ำเนื้อสัตว์ปลอดภัย แนะซื้อมีสัญลักษณ์ "ปศุสัตว์ OK"
นายสัตวแพทย์สรวิศ ธานีโต อธิบดีกรมปศุสัตว์ เปิดเผยว่า จากกระแสความสนใจด้านการบริโภคอาหารปลอดภัยของผู้บริโภคในปัจจุบัน มีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง กรมปศุสัตว์ในฐานะหน่วยงานที่กำกับดูแล ระบบการผลิตสินค้าปศุสัตว์ได้ให้ความสำคัญในเรื่องดังกล่าวเป็นอย่างยิ่ง
จึงผลักดันให้ผู้ประกอบการด้านปศุสัตว์มีการพัฒนากระบวนการผลิตตลอดห่วงโซ่จนถึงการจัดจำหน่าย ให้มีมาตรฐานและร่วมกันยกระดับความปลอดภัยในอาหารสู่ผู้บริโภค เพื่อให้ผู้บริโภคมั่นใจได้ว่าผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ทั้งเนื้อหมู เนื้อไก่ เนื้อวัว และไข่ไก่ที่ผลิตภายใต้มาตรฐานฟาร์มของกรมปศุสัตว์มีความปลอดภัยอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อเลือกซื้อจากร้านจำหน่ายที่มีตราสัญลักษณ์ “ปศุสัตว์ OK” ยิ่งตอกย้ำความเชื่อมั่นในระบบการผลิตและมาตรฐานการจัดจำหน่าย ที่สามารถตรวจสอบย้อนกลับถึงแหล่งที่มาได้ว่า มาจากการเลี้ยงในฟาร์มเลี้ยงมาตรฐาน ผ่านโรงฆ่าสัตว์และแปรรูปเนื้อสัตว์ที่มีใบอนุญาต และผ่านการตรวจสอบมาตรฐานจากพนักงานตรวจโรคสัตว์แล้ว
ผู้บริโภคควรใส่ใจเลือกสินค้าเนื้อสัตว์ จากสถานที่จำหน่ายที่ผ่านการรับรองมาตรฐาน ภายใต้สัญลักษณ์ “ปศุสัตว์ OK” ซึ่งมีการจำหน่ายเนื้อสัตว์ที่สะอาดถูกสุขลักษณะ มีความปลอดภัยสำหรับการบริโภค ปัจจุบันมีผู้ประกอบการร่วมโครงการนี้ทั้งในตลาดสด ร้านจำหน่ายเนื้อสัตว์ ร้านค้าโมเดิร์นเทรด ห้างสรรพสินค้า ถือเป็นการส่งเสริมผู้ประกอบการที่ได้มาตรฐานตลอดห่วงโซ่การผลิต ตั้งแต่ฟาร์ม โรงฆ่าสัตว์ จนถึงสถานที่จำหน่ายเนื้อสัตว์” อธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าว
อธิบดีกรมปศุสัตว์ แนะนำวิธีการเลือกซื้อเนื้อสัตว์ที่ดีว่า เนื้อหมูต้องมีสีชมพูสดถึงแดง แต่ต้องไม่แดงมาก เนื้อละเอียดไม่หยาบ กลิ่นต้องเป็นไปตามธรรมชาติ เมื่อใช้นิ้วกดเนื้อต้องคืนตัวได้ดีไม่เกิดรอยบุ๋มตามแรงกด ไม่ควรซื้อเนื้อหมูที่มีกลิ่นคาว กลิ่นเหม็นรุนแรง หรือมีเมือกลื่น มีสีคล้ำ หรือเนื้อหมูที่สีซีดเกินไปและมีน้ำซึมไหลออกมาแสดงว่าเป็นเนื้อที่เสื่อมคุณภาพ ส่วนเนื้อไก่ที่สดต้องมีเนื้อสีชมพูเรื่อๆ ไม่มีสีแดงมาก หรือไม่ซีดเกินไปจนเป็นสีขาว เนื้อต้องไม่แฟบแบน หนังมีสีขาวอมเหลือง เต่งตึงไม่เหี่ยวย่น และสังเกตที่ภาชนะบรรจุต้องไม่มีน้ำนองออกมาซึ่งแสดงว่าไก่ยังมีความสดอยู่
ที่สำคัญผู้บริโภคควรรับประทานเนื้อสัตว์ที่ปรุงสุกแล้วเท่านั้น ซึ่งจะสามารถฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ต่างๆที่อาจปนเปื้อนมากับเนื้อสัตว์ได้เพียงเท่านี้ผู้บริโภคก็จะได้บริโภคเนื้อสัตว์ปลอดภัยอย่างแน่นอน
กษ.จับมือตลาดทิพย์นิมิตร จำหน่ายสินค้าเกษตรตรงถึงผู้ซื้อและผู้บริโภค
ดร.ทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังการประชุมระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และตลาดทิพย์นิมิตร เพื่อหารือแนวทางสนับสนุนการจำหน่ายสินค้าเกษตรผ่านช่องทางตลาดทิพย์นิมิตร
โดยบอกว่า เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา หรือโควิด - 19 ที่ส่งผลกระทบกับภาคเกษตรโดยตรง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน) ได้มีนโยบายการเปิดตลาดในพื้นที่ต่าง ๆ ของประเทศ เพื่อเป็นการช่วยเหลือผู้ผลิต ผู้ประกอบการ รวมถึงพี่น้องเกษตรกร ซึ่งทางตลาดทิพย์นิมิตรเองก็มีความพร้อมในด้านต่าง ๆ และจะเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยให้สินค้าเกษตรเข้าถึงผู้ซื้อและผู้บริโภคในพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการ
ต้องขอขอบคุณทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ช่วยกันผลักดัน ขับเคลื่อนโครงการให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ซึ่งตรงตามนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในเรื่องของตลาดนำการผลิต และในส่วนของแผนงานต่าง ๆ ที่จะดำเนินการต่อไป ได้มอบหมายให้กรมส่งเสริมการเกษตร กรมปศุสัตว์ กรมหม่อนไหม กรมประมง กรมการข้าว และกรมส่งเสริมสหกรณ์ เริ่มดำเนินการส่งรายชื่อเกษตรกรที่จะเข้าร่วมให้กับทางตลาดทิพย์นิมิตร ภายในวันที่ 28 - 30 ตุลาคมนี้
เพื่อให้สามารถเริ่มโครงการได้ในวันที่ 13 -17 พฤศจิกายน 2563 ซึ่งได้เน้นย้ำกับทั้ง 6 หน่วยงาน ในเรื่องของการคัดสรรและตรวจสอบคุณภาพของสินค้าที่กลุ่มเกษตรกรจะนำมาจำหน่ายภายในงานต้องได้มาตรฐาน" ดร.ทองเปลว กล่าว ได้หารือมาตราการช่วยเหลือผู้เข้าร่วมโครงการ โดยในระยะแรก โดยทางตลาดทิพย์นิมิตรจะฟรีในส่วนของกิจกรรมประชาสัมพันธ์ และคิดค่าน้ำและค่าไฟในราคาเหมาจ่าย วันละ 50 บาท ระหว่างวันที่ 13 - 17 พฤศจิกายน 2563 และหากผู้จำหน่ายสินค้ามีความสนใจขายสินค้าต่อจากระยะเวลากิจกรรม
ทางตลาดจะไม่เก็บค่าเช่าเป็นระยะเวลา 3 เดือน ตั้งแต่วันที่ 13 พฤศจิกายน 2563 - 20 กุมภาพันธ์ 2564 และในระยะสุดทาย ทางตลาดจะลดค่าเช่าแผง 50% เป็นระยะเวลา 10 เดือน เริ่มตั้งแต่วันที่ 21 กุมภาพันธ์ - 31 ธันวาคม 2564
สำหรับกลุ่มเกษตรกรและสหกรณ์ที่มีความสนใจสามารถติดต่อขอรายละเอียดต่าง ๆ รวมถึงสมัครเข้าร่วมโครงการได้ที่กรมส่งเสริมการเกษตร กรมปศุสัตว์ กรมหม่อนไหม กรมประมง กรมการข้าว และกรมส่งเสริมสหกรณ์ ในพื้นที่ใกล้บ้านท่าน ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป จนถึง 28 ตุลาคม 2563
"กรมส่งเสริมการเกษตร"หนุนใช้กล้วยไม้สร้างรายได้เกษตรกร
นายเข้มแข็ง ยุติธรรมดำรง อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวว่า เนื่องในวันที่ระลึกคล้ายวันสถาปนากรมส่งเสริมการเกษตร ครบรอบ 53 ปี เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2563 ที่ผ่านมา กรมส่งเสริมการเกษตรได้ส่งเสริมและสนับสนุนการใช้กล้วยไม้ไทยในโอกาสพิเศษนี้ โดยการสั่งพวงมาลากล้วยไม้จากศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพการเกษตร จังหวัดสมุทรสาคร เพื่อกระจายและส่งต่อไปยังเครือข่ายเกษตรกรผู้ปลูกเลี้ยงกล้วยไม้ของสหกรณ์ผู้ประกอบการกล้วยไม้ไทย จำกัด ร้านมานะออร์คิด และร้านกล้วยไม้สาย 4 ทั้งแบบที่ใช้กล้วยไม้ตัดดอกและกล้วยไม้ต้น รวมทั้งใช้กล้วยไม้ตกแต่งสถานที่และจัดทำเป็นของชำร่วยสำหรับผู้มาร่วมงาน ซึ่งสามารถนำต้นกล้วยไม้ไปใช้ปลูกเลี้ยงและประดับอาคารบ้านเรือนต่อไปได้
อีกทั้งช่วยลดปัญหาการทิ้งขยะจากเศษวัสดุเหลือใช้ ถือเป็นการช่วยขยายตลาดกล้วยไม้ไทยในประเทศและส่งเสริมเกษตรกรให้เพิ่มมูลค่าด้วยการแปรรูป พร้อมใช้ประโยชน์เพิ่มจากเดิมที่เคยนิยมจำหน่ายในรูปแบบตัดดอก ร้อยมาลัย และกระเช้ากล้วยไม้เท่านั้น ประกอบกับช่วงเดือนสิงหาคม – พฤศจิกายนของทุกปี เป็นช่วงที่ดอกกล้วยไม้ออกมามากตามฤดูกาล และเป็นช่วงที่ตลาดต่างประเทศมีงานเทศกาลน้อย จึงมีความต้องการใช้กล้วยไม้ไทยน้อยกว่าช่วงปลายปี – ต้นปี และในช่วงเดือนเมษายน – พฤษภาคม ที่มีหลายเทศกาล
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ COVID-19 ซึ่งทำให้สถานการณ์การส่งออกกล้วยไม้ของไทยยังไม่อยู่ในภาวะปกติ ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ขอความร่วมมือให้หน่วยงานในสังกัด และนอกสังกัด รวมทั้งประชาชนทั่วไปใช้กล้วยไม้ไทยในโอกาสต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนการใช้ไม้ดอกไม้ประดับของไทย ทดแทนการนำเข้าจากต่างประเทศ
เกษตรฯเตรียมแผนเพาะปลูกพืชฤดูแล้ง 5.12 ล้านไร่
นายสำราญ สาราบรรณ์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยหลังประชุมศูนย์ติดตามและแก้ไขปัญหาภัยพิบัติด้านการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า คณะทำงานวางแผนการเพาะปลูกพืชฤดูแล้ง ได้พิจารณาวิเคราะห์สถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการเพาะปลูกพืชฤดูแล้ง ศักยภาพน้ำ ความเหมาะสมของพื้นที่ พันธุ์ข้าว แนวโน้มการตลาด และโครงการต่างๆของรัฐบาล ที่จะดำเนินการในช่วงฤดูแล้ง
ทั้งนี้ได้มีแผนการเพาะปลูกพืชฤดูแล้ง ปี 2563/64 ทั้งประเทศ จำนวน 5.12 ล้านไร่ แบ่งเป็น ข้าวรอบที่ 2 จำนวน 2.61 ล้านไร่ (ในเขตชลประทาน 1.12 ล้านไร่ นอกเขตชลประทาน 1.49 ล้านไร่) พืชไร่ พืชผัก จำนวน 2.51 ล้านไร่ (ในเขตชลประทาน 0.54 ล้านไร่ นอกเขตชลประทาน 1.97 ล้านไร่) สำหรับลุ่มน้ำเจ้าพระยา 22 จังหวัด มีแผนการเพาะปลูก จำนวน 1.04 ล้านไร่ และลุ่มน้ำแม่กอง 7 จังหวัด มีแผนการเพาะปลูก 0.30 ล้านไร่ นอกจากนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายประภัตร โพธสุธน) ได้มีการหารือร่วมกับส่วนราชการ พิจารณาโครงการเสริมสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรในช่วงฤดูแล้ง ปี 2563/64 เพื่อขอจัดสรรงบกลางในการสำรองจ่ายฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 7 โครงการ
ได้แก่ 1) โครงการส่งเสริมการปลูกพืชใช้น้ำน้อย (ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ถั่วเขียว) 2) โครงการพัฒนาเสริมทางเลือกอาชีพประมงในบ่อดิน (ปลาดุก, ปลาตะเพียนขาว) 3) โครงการเพิ่มผลผลิตกุ้งก้ามกรามและปลากินพืชในแหล่งน้ำชุมชน 4) โครงการส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์ปีก (ไก่พื้นเมือง, เป็ดไข่, เป็ดเทศ)
5) โครงการส่งเสริมปลูกพืชอาหารสัตว์ 6) โครงการสร้างรายได้และพัฒนาอาชีพการเกษตรให้แก่สมาชิกสถาบันเกษตรกร และ 7) โครงการส่งเสริมการแปรรูปสินค้าเกษตรเพื่อสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกร ทั้งนี้จะนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป สำหรับสถานการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมชลประทาน ได้มีการติดตั้งเครื่องสูบน้ำ เครื่องผลักดันน้ำ จัดเตรียมรถแบคโฮล รถบรรทุก กระสอบทราย และเครื่องฉีดน้ำปูน (Grout) นอกจากนี้ กรมปศุสัตว์ได้จัดเตรียมเสบียงอาหารสัตว์ ถุงยังชีพสำหรับสัตว์ คอกสัตว์สำหรับตั้งจุดอพยพสัตว์ และทีมสัตวแพทย์เคลื่อนที่
ได้ดำเนินการอพยพสัตว์แล้ว 4,062 ตัว และแจกจ่ายเสบียงอาหารสัตว์พระราชทาน 39.2 ตัน รวมถึงได้สนับสนุนเรือตรวจประมงน้ำจืดพร้อมเจ้าหน้าที่ เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมาอย่างไรก็ตาม หน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงพื้นที่เพื่อเยี่ยมเยียนและประเมินความเสียหายหลังน้ำลดต่อไป