"เกษตรกร"ขอสละสิทธิเงินช่วยเหลือโควิดได้ตั้งแต่บัดนี้
เกษตรกรที่ต้องการสละสิทธิเงินช่วยเหลือจากโครงการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการระบาด ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 สามารถยื่นคําร้องขอคืนสิทธิได้ตั้งแต่วันที่ 11 มิ.ย. 63 เป็นต้นไป ในวันเวลาราชการ
นายอนันต์ สุวรรณรัตน์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ออกแนวทางปฏิบัติการขอคืนสิทธิ (สละสิทธิ) การช่วยเหลือที่ได้รับ หรือการคืนเงินช่วยเหลือจากโครงการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการระบาด ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
โดยเกษตรกรสามารถยื่นแบบคําร้องขอคืนสิทธิ (สละสิทธิ) ด้วยตนเอง หรือทําหนังสือมอบอํานาจให้ผู้แทนมายื่นแบบคำร้องต่อเจ้าหน้าที่ของส่วนราชการรับขึ้นทะเบียนเกษตรกรทั้ง 7 หน่วยงาน สํานักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัด ทุกจังหวัด และส่วนกลาง ได้แก่
1) สํานักงานเกษตรอําเภอ และสํานักงานเกษตรพื้นที่ 1 มีนบุรี / สํานักงานเกษตรพื้นที่ 2 ลาดกระบัง / สํานักงานเกษตรพื้นที่ 3 ตลิ่งชัน / สํานักงานเกษตรพื้นที่ 4 ทวีวัฒนา
2) สํานักงานประมงจังหวัด และสํานักงานประมงอําเภอทุกแห่ง / สํานักงานประมงพื้นที่กรุงเทพมหานคร
3) สํานักงานปศุสัตว์จังหวัด และสํานักงานปศุสัตว์อําเภอทุกแห่ง
4) กรมหม่อนไหม และศูนย์หม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติฯ ทุกศูนย์ ทั้ง 21 แห่ง
5) การยางแห่งประเทศไทยจังหวัด และสาขาทุกแห่ง และสํานักงานกลาง
6) สํานักงานสรรพสามิตพื้นที่ / พื้นที่สาขาที่ออกใบอนุญาต
7) สํานักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ส่วนกลาง และส่วนภูมิภาคทุกแห่ง และเจ้าหน้าที่ประจําโรงงานน้ำตาล 57 แห่ง
8) สํานักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัด ทุกจังหวัด
9) ส่วนกลางที่ทั้ง 7 หน่วยงาน ได้แก่ กรมส่งเสริมการเกษตร กรมปศุสัตว์ กรมประมง กรมหม่อนไหม การยางแห่งประเทศไทย สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และสํานักงานเศรษฐกิจการเกษตร
ทั้งนี้ การยื่นคําร้องขอคืนสิทธิ ผู้มีสิทธิสามารถยื่นคําร้องขอคืนสิทธิได้ตั้งแต่วันที่ 11 มิถุนายน 2563 เป็นต้นไป ในวันเวลาราชการ โดยสามารถดาวน์โหลดเอกสารได้จาก https://www.moac.go.th และหลังจากที่เกษตรกรยื่นคําร้องขอคืนสิทธิ (สละสิทธิ) การช่วยเหลือแล้ว หน่วยงานรับคําร้องจะบันทึกคําร้องตามแบบฟอร์มเข้าระบบ และให้สํานักงานเศรษฐกิจการเกษตรดำเนินการรวบรวมส่งรายชื่อเกษตรกรผู้ยื่นขอคืนสิทธิทั้งหมดให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณการเกษตร (ธ.ก.ส.) ดําเนินการเรียกคืนเงินต่อไป
"นมโรงเรียน"ป่วนไม่รับซื้อน้ำนม-ไม่มีการผลิต ส่งมิลค์บอร์ดพิจารณาโทษ
นายพิเชษฐ์ นายพิเชษฐ์ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ และในฐานะประธานคณะอนุกรรมการบริหารนมทั้งระบบ เปิดเผยว่าจากกรณีที่ สหกรณ์โคนมชะอำ-ห้วยทราย จำกัด มีหนังสือที่ สค.062/2563 ลงวันที่ 14 พ.ค. แจ้งว่า สหกรณ์ได้ทำบันทึกข้อตกลง (เอ็มโอยู) การซื้อขายน้ำนมโค ปี 2562/2563 กับวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีเพชรบุรี (วษ.เพชรบุรี) ปริมาณน้ำนม 4 ตัน/วัน วัตถุประสงค์เพื่อนมโรงเรียน ซึ่งตลอดระยะเวลา 7 เดือน ที่ผ่านมา (ตุลาคม 2562-เมษายน 2563) ยังไม่มีการผลิต ตามประกาศคณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นม (มิลค์บอร์ด) เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไขและขั้นตอนการจัดทำบันทึกข้อตกลง (เอ็มโอยู) การซื้อขายน้ำนมโคปี 2562 อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 10(1) (2) และ (8) แห่งพระราชบัญญัติโคนมและผลิตภัณฑ์นม พ.ศ. 2551 จึงได้ออกประกาศ ภายใต้หลักการและแนวคิด 4 ข้อ ได้แก่ 1. หลักความถูกต้อง ผู้ที่ปฎิบัติตามเกณฑ์ เงื่อนไขต้องได้รับประโยชน์ และผู้ที่ไม่ปฎิบัติตามต้องได้รับบทลงโทษ
2.หลักความเป็นธรรม ผู้ได้รับสิทธิประโยชน์ ต้องร่วมรับผิดชอบปริมาณน้ำนมโคของเกษตรกรตามนสัดส่วนสิทิประโยชน์ที่ตนได้รับ 3. หลักความมั่นคง เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมและได้ขึ้นทะเบียนกับทางราชการต้องได้รับการดูแลให้มีแหล่งจำหน่ายน้ำนมโค และ 4.หลักความรับผิดชอบ มีความวางใจ และเคารพในสิทธิหน้าที่ระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย
แต่หากกรณีผู้ซื้อหรือผู้ขาย ไม่ปฎิบัติตามบันทึกข้อตกลงตามเอ็มโอยู เช่น ไม่รับซื้อหรือไม่ขายน้ำนมโค ให้คู่ค้าตามข้อตกลงโดยเจตนา ต้องยินยอมให้มิลค์บอร์ดพิจารณาตัดสิทธิต่างๆ ที่ควรจะได้รับแก่ผู้ซื้อหรือผู้ขายที่กระทำการดังกล่าวและหรือเบี้ยปรับ หรือบทลงโทษอื่นๆ ตามที่ มิลค์บอร์ด กำหนด และคำวินิจฉัยชี้ขาดมิลค์บอร์ดให้ถือเป็นที่สุด นายพิเชษฐ์ กล่าวว่า คณะอนุกรรมการบริหารนมทั้งระบบ ไม่ใช่เป็นบทบาทของคณะอนุกรรมการบริหารนมทั้งระบบที่จะลงโทษ เพียงแต่มอบให้กรมส่งเสริมสหกรณ์ และกรมปศุสัตว์ไปช่วยเหลือสหกรณ์โคนมชะอำ-ห้วยทราย จำกัด เพื่อบรรเทาผลกระทบ จากการที่ วษ.เพชรบุรี ไม่ปฎิบัตตามเอ็มโอยู ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่มิลค์บอร์ดกำหนด จะต้องถูกลงโทษ ก็แล้วแต่มิลค์บอร์ดจะมีมติอย่างไร ต้องตามผลมติประชุมมิลค์บอร์ด คาดว่าจะมีประชุมในเร็วๆนี้
ธ.ก.ส. ร่วม แม่โจ้ หนุนการจัดการเรียนรู้ตลอดชีวิตสู่การพัฒนาภาคเกษตร
มีพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความเข้าใจ “ความร่วมมือทางวิชาการการจัดการเรียนรู้ตลอดชีวิต” ระหว่าง รองศาสตราจารย์ ดร.วีระพล ทองมา อธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่โจ้ กับ นายภานิต ภัทรสาริน ผู้ช่วยผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เพื่อร่วมกันจัดการเรียนการสอนและส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ตลอดชีวิตให้กับบุคลากรของทั้งสองหน่วยงานตลอดจนนักศึกษาและเกษตรกรลูกค้าให้ได้เรียนรู้ทั้งภาคทฤษฎีและฝึกปฏิบัติงานจริง นายภานิต ภัทรสาริน ผู้ช่วยผู้จัดการ ธ.ก.ส. กล่าวว่า ความร่วมมือในครั้งนี้ ธ.ก.ส. จะร่วมดําเนินโครงการงานวิจัยหรืองานบริการวิชาการกับมหาวิทยาลัยแม่โจ้ อีกทั้งสนับสนุนบุคลากรในด้านวิชาการและดําเนินกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อถ่ายทอดประสบการณ์การทํางานในศาสตร์ที่เกี่ยวข้องแก่นักศึกษาและบุคลากรของมหาวิทยาลัย สนับสนุนการรับนักศึกษามหาวิทยาลัยแม่โจ้เข้าร่วมกิจกรรมฝึกประสบการณ์ทางวิชาชีพ (สหกิจศึกษา)
เพื่อเพิ่มทักษะและประสบการณ์ทํางานก่อนสําเร็จการศึกษา นอกจากนี้ยังสนับสนุนและส่งเสริมให้บุคลากรของ ธ.ก.ส. เกษตรกรลูกค้าและผู้ที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ เข้าร่วมการฝึกอบรมและการเรียน การสอนในลักษณะการจัดแบบหน่วยการเรียน (Module) เพื่อให้เกิดการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการให้ความรู้แก่บุคลากรของธนาคารจะทำให้สามารถนำความรู้เหล่านั้นไปต่อยอดสู่การยกระดับภาคเกษตรของประเทศต่อไป
รองศาสตราจารย์ ดร.วีระพล ทองมา อธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่โจ้ กล่าวว่า มหาวิทยาลัยจะร่วมให้บริการวิชาการด้านต่าง ๆ ตลอดจนการวิจัยทางด้านการเกษตร และเข้าร่วมโครงการหรือกิจกรรมต่าง ๆ ภายใต้การดําเนินงานของ ธ.ก.ส. อีกทั้งให้การสนับสนุนบุคลากรด้านวิชาการในการถ่ายทอดองค์ความรู้ทางวิชาการและเทคโนโลยี และดําเนินกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้และประสบการณ์การทํางานในศาสตร์ที่เกี่ยวข้องแก่บุคลากรและเกษตรกรลูกค้า ธ.ก.ส. ตลอดจนผู้ที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ รวมถึงการร่วมกันจัดทําหน่วยการเรียน (Module) กับมหาวิทยาลัย สําหรับเป็นเครื่องมือการจัดการเรียน การสอน เพื่อการรองรับนโยบายการเรียนรู้ตลอดชีวิตด้านระบบคลังเครดิต (Credit bank) และการเทียบโอนประสบการณ์/หลักสูตร Non-degree ของมหาวิทยาลัย
ตลอดจนการสนับสนุนและส่งเสริมให้บุคลากรของมหาวิทยาลัยเข้าร่วมการฝึกอบรมและการเรียนการสอน ในลักษณะการจัดแบบหน่วยการเรียน (Module) เพื่อเกิดการพัฒนาตนเอง
รมช.ประภัตร หนุนเกษตรปลูกข้าวพื้นนุ่ม ขยายพื้นที่เพาะปลูก33จว.รองรับความต้องการตลาดต่างประเทศ
เดินหน้าเตรียมพร้อมทหารกองประจำการสู่ทายาทเกษตรรุ่ปี 2
นายชาตรี บุญนาค รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวว่า กรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกรมเสมียนตรา กระทรวงกลาโหม โดยมณฑลทหารบก หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน และกองบิน ดำเนินการโครงการเตรียมความพร้อมทหารกองประจำการสู่การเป็นทายาทเกษตรรุ่นใหม่ ประจำปี 2563 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 เพื่อพัฒนาความรู้และทักษะด้านการเกษตรแก่ทหารกองประจำการให้สามารถนำไปประกอบอาชีพได้ภายหลังปลดประจำการ รวมถึงยังเป็นการบ่มเพาะและสร้างทายาทเกษตรกรรุ่นใหม่อีกด้วย โดยกำหนดจะเปิดรับสมัครทหารกองประจำการที่เป็นบุตรหลานเกษตรกรทั่วประเทศ จำนวน 200 นาย เพื่อเข้ารับการอบรมเป็นระยะเวลา 5 วัน ช่วงเดือนสิงหาคม – กันยายน 2563 ในหลักสูตรการทำการเกษตรแบบผสมผสาน ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ณ ศูนย์ปฏิบัติการต่างๆ ของกรมส่งเสริมการเกษตร ซึ่งตั้งอยู่ในแต่ละภูมิภาคทั่วประเทศ สำหรับรายละเอียดของหลักสูตรข้างต้น ประกอบด้วยวิชาการปรับแนวคิด การวิเคราะห์และจัดทำแผนพัฒนาตนเอง ระบบการทำการเกษตรแบบผสมผสาน การจัดการปัจจัยการผลิตทางการเกษตร กระบวนการเพาะปลูกพืช การใช้ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดิน การป้องกันกำจัดศัตรูพืชโดยวิธีผสมผสาน การแปรรูปและเพิ่มมูลค่าผลผลิตทางการเกษตร การตลาดสินค้าเกษตรในยุคประเทศไทย 4.0 การจัดทำแผนพัฒนาตนเองและแผนพัฒนาอาชีพ และ ICT กับการเกษตรเชิงพาณิชย์ โครงการเตรียมความพร้อมทหารกองประจำการสู่การเป็นทายาทเกษตรรุ่นใหม่ จัดขึ้นเป็นปีที่ 2 แล้ว โดยในปีที่ผ่านมาโครงการฯ ประสบผลสำเร็จเป็นอย่างดี มีทหารปลดประจำการแล้วหลายรายหันมาทำการเกษตรเป็นอาชีพหลัก บางรายทำการเกษตรเป็นอาชีพรอง และบางรายกลายเป็นเกษตรกรต้นแบบที่ช่วยเหลือเกษตรกรเพื่อนบ้านให้มีรายได้เพิ่มขึ้น ซึ่งในปี 2563 นี้ เราจึงเดินหน้าโครงการต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มความรู้ให้บุคคลเป้าหมายเหล่านี้ ซึ่งจะช่วยสร้างความมั่นคงให้กับภาคการเกษตรของไทยต่อไปในอนาคตด้วย