All Blog
โก โฮลเซลล์ เปิด“HoReCa GO MORE ”หนุนร้านอาหาร สร้างโอกาสจากวิกฤติ

 

โก โฮลเซลล์ เปิดงาน “HoReCa GO MORE ” หนุนร้านอาหาร สร้างโอกาสจากวิกฤติ จัดเต็มสินค้าประหยัดต้นทุน ชู ‘เวิร์กชอป’ ทั่วไทย ติดอาวุธผู้ประกอบการสู้เศรษฐกิจ

 

โก โฮลเซลล์ (GO WHOLESALE) ศูนย์ค้าส่งวัตถุดิบอาหาร ที่มีความสดใหม่ตลอดเวลาเพื่อผู้ประกอบการ ภายใต้การดำเนินงานของ บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด โฮลเซลล์ จำกัด จัดกิจกรรม “HoReCa GO MORE โปรแรง ขายง่าย กำไรงาม” เดินหน้าสนับสนุนผู้ประกอบการร้านอาหาร ธุรกิจโฮเรก้า สู้พิษเศรษฐกิจ ขนทัพสินค้าลดต้นทุนหนุนธุรกิจรายเล็ก พร้อมจัดเวิร์กชอป เสริมทักษะเพิ่มโอกาสทำเงินทุกสาขาทั่วไทย ตั้งแต่ 4 มิถุนายน – 12 สิงหาคมนี้



 

 





 

นายริคาร์โด้ เบารอตโต้  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธุรกิจเซ็นทรัล ฟู้ด โฮลเซลล์ ประเทศไทย กล่าวว่า  โก โฮลเซลล์ เข้าใจดีถึงสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ผู้ประกอบการร้านอาหาร ผู้เกี่ยวข้องในธุรกิจโฮเรก้า กำลังเผชิญกับความท้าทายที่เกิดขึ้นจาก ปัญหาค่าครองชีพสูง กำลังซื้อชะลอตัว ภาคการท่องเที่ยวซบเซา


โก โฮลเซลล์ จึงได้จัดกิจกรรม “HoReCa GO MORE โปรแรง ขายง่าย กำไรงาม”  เพื่อช่วยบรรเทาภาระในด้านต้นทุนสินค้า วัตถุดิบต่างๆ โดยเราร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจ พร้อมใจกันลดราคาสินค้าสำหรับผู้ประกอบการ อีกทั้งยังร่วมกับสมาคมสมาพันธ์เชฟประเทศไทย จัดเวิร์กชอป จำนวน 60 คอร์ส กระจายให้ความรู้ เพิ่มทักษะการสร้างสรรค์เมนูสร้างรายได้ เสริมความแข็งแกร่งให้ผู้ประกอบการได้นำไปต่อยอดธุรกิจได้ทันท่วงที





 




 

กิจกรรมต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในงานนี้จะช่วยเสริมสร้างโอกาสให้แก่ธุรกิจ ในด้านต่างๆ ทั้งสินค้าและวัตถุดิบราคาประหยัดต้นทุน การเสวนาให้ความรู้และแชร์ประสบการณ์จากผู้ที่อยู่ในแวดวงธุรกิจร้านอาหารของประเทศ การแนะนำเมนูอาหาร เครื่องดื่มใหม่ๆ เพื่อเพิ่มผลตอบแทน


รวมถึงกิจกรรมเวิร์กชอปที่สอนโดยเชฟมืออาชีพจากสมาคมสมาพันธ์เชฟประเทศไทย ซึ่งจะช่วยจุดประกายความคิดและไอเดียต่อยอดสร้างรายได้เพิ่มอีกมากมาย โดยเราได้วางโรดแมปการจัดกิจกรรมหมุนเวียนทุกสาขาทั่วประเทศ เพื่อให้ผู้ประกอบการในพื้นที่ต่างๆ ได้เข้าถึง




 





 

สำหรับพิธีเปิดกิจกรรม “HoReCa GO MORE โปรแรง ขายง่าย กำไรงาม” จัดขึ้นที่ โก โฮลเซลล์ สาขาศรีนครินทร์ โดยมี นายกรนิจ  โนนจุ้ย รองอธิบดีกรมการค้าภายใน เป็นประธานเปิดงาน ร่วมด้วย นายกสมาคมสมาพันธ์เชฟประเทศไทย นายกสมาคมผู้ประกอบการร้านอาหาร


โดยมี นายริคาร์โด้ เบารอตโต้  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธุรกิจเซ็นทรัล ฟู้ด โฮลเซลล์ ประเทศไทย นางซันนี่ ซิดิค รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานบริหารสินค้าธุรกิจค้าส่ง และคณะผู้บริหาร ให้การต้อนรับ พร้อมกันนั้นได้จัดเวทีเสวนาภายใต้หัวข้อ “สร้างโอกาสในวิกฤติ พลิกวิธีคิดสู่ทางรอดธุรกิจร้านอาหาร”


โดยกูรูด้านธุรกิจอาหารมาร่วมแลกเปลี่ยนความรู้ ดำเนินรายการโดย ต่อเพนกวิน - ธนพงศ์ วงศ์ชินศรี อินฟลูเอนเซอร์ดัง ผู้เป็น CEO บริษัท PenguinX และเจ้าของเพจ Torpenguin ที่มีผู้ประกอบการร้านอาหารในเมืองไทยติดตามเป็นจำนวนมาก




 




 

พร้อมกันนั้น ในสาขาอื่นๆ ของ โก โฮลเซลล์ ทั่วประเทศ ได้หมุนเวียนจัดกิจกรรม “HoReCa GO MORE” ไปอย่างต่อเนื่อง เริ่มตั้งแต่วันที่ 4 มิถุนายน – 12 สิงหาคม 2568 ซึ่งนอกจากมีสินค้าราคาประหยัดจากแบรนด์ดัง และพันธมิตรทางธุรกิจที่ขนทัพมาช่วยผู้ประกอบการประหยัดต้นทุนมากมายแล้ว


ยังมี กิจกรรม Cooking Show จากเซเลบริตี้เชฟชื่อดัง และสิทธิประโยชน์พิเศษเพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็น คูปองออนท็อปสุดพิเศษ การลุ้นรับรางวัล รวมถึงการเพลิดเพลินกับการลองลิ้มชิมรส สินค้า Own Brand “ A-Choice” ที่จะนำมาจัดราคาพิเศษด้วย





 





 





 

ผู้ประกอบการร้านอาหาร ธุรกิจโฮเรก้า ที่สนใจเข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าว ติดตามรายละเอียดได้ที่ โก โฮลเซลล์ ทุกสาขา หรือหน้าเพจเฟชบุ๊ค https://www.facebook.com/gowholesaleth/ หรือที่เว็บไซต์ https://centralfoodwholesale.co.th/ ใกล้ที่ไหนไปที่นั่น #GOWHOLESALE #GOAlwaysFreshForward #GOสดใหม่ตลอดเวลาเพื่อคุณ #GOสดครบคุ้ม


 




Create Date : 04 มิถุนายน 2568
Last Update : 4 มิถุนายน 2568 16:21:23 น.
Counter : 186 Pageviews.
0 comment
(โหวต blog นี้) 
ธ.ก.ส.เปิดตัว“เงินฝากเลี่ยมทอง”

ธ.ก.ส. เปิดตัว “เงินฝากเลี่ยมทอง” เงินฝากออมทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนแน่นอน รับดอกเบี้ยทุกวันสิ้นเดือน ฝากเงินขั้นต่ำครั้งละ 100,000 บาท สูงสุดไม่เกิน 100 ล้านบาท/ราย ระยะเวลาฝาก 8 เดือน เปิดรับฝากตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน – 31 พฤษภาคม 2568 


นายไพศาล หงษ์ทอง รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า เพื่อส่งเสริมการออมให้กับลูกค้า ประชาชน และเกษตรกร ที่ต้องการเก็บออมเงินกับผลิตภัณฑ์เงินฝากอัตราดอกเบี้ยสูงและให้ผลตอบแทนที่แน่นอน รับดอกเบี้ยทุกเดือน





 





ธ.ก.ส. จึงได้เปิดตัว “เงินฝากเลี่ยมทอง” เงินฝากออมทรัพย์ที่ให้ดอกเบี้ยตามยอดเงินฝากคงเหลือ สูงสุดถึงร้อยละ 1.50 ต่อปี แบ่งเป็น 4 ระดับ ประกอบด้วย (1) กรณียอดเงินฝากคงเหลือสิ้นวันตั้งแต่ 100,000 บาท แต่ไม่เกิน 1 ล้านบาท รับดอกเบี้ยร้อยละ 1.20 ต่อปี


(2) กรณียอดเงินฝากคงเหลือสิ้นวัน ตั้งแต่ 1,000,000.01 บาท แต่ไม่เกิน 5 ล้านบาท รับดอกเบี้ยร้อยละ 1.30 ต่อปี (3) กรณียอดเงินฝากคงเหลือสิ้นวันตั้งแต่ 5,000,000.01 แต่ไม่เกิน 10 ล้านบาท รับดอกเบี้ยร้อยละ 1.40 ต่อปี





 





(4) กรณียอดเงินฝากคงเหลือสิ้นวันตั้งแต่ 10,000,000.01 บาทขึ้นไป รับดอกเบี้ยร้อยละ 1.50 ต่อปี โดยธนาคารจะจ่ายดอกเบี้ยเงินฝากเข้าบัญชีเงินฝากออมทรัพย์คู่โอนของผู้เปิดบัญชีเป็นรายเดือนทุกวันสิ้นเดือน และสามารถถอนดอกเบี้ยไปใช้จ่ายได้ทันที ในวันที่ 1 ของเดือนถัดไป


รับฝากขั้นต่ำครั้งละ 100,000 บาท สูงสุดไม่เกิน 100 ล้านบาท/ราย ระยะเวลาฝากไม่เกิน 8 เดือน (ครบกำหนดโครงการ 30 พฤศจิกายน 2568) และบุคคลธรรมดาไม่เสียภาษีดอกเบี้ยเงินฝากอีกด้วย





 





สำหรับ ลูกค้าที่สนใจออมเงินกับเงินออมทรัพย์ “เงินฝากเลี่ยมทอง” สามารถติดต่อเปิดบัญชีได้ที่สาขาของธ.ก.ส. ทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน - 31 พฤษภาคม 2568 หรือปิดรับฝากก่อน กำหนดเมื่อมีผู้ฝากเงินครบวงเงินรวมโครงการ 50,000 ล้านบาท


กรณีลูกค้ามียอดเงินฝากคงในบัญชีเงินฝากเลี่ยมทองน้อยกว่า 100,000 บาท จะถือว่าออกจากโครงการแต่ยังสามารถฝากเงินในบัญชีประเภทอื่น ๆ ของธนาคารได้สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Call Center 02 555 0555




 

 



Create Date : 01 เมษายน 2568
Last Update : 1 เมษายน 2568 16:26:18 น.
Counter : 230 Pageviews.
0 comment
(โหวต blog นี้) 
บีโอไอเคาะส่งเสริมรถไฟฟ้าสีส้ม – ดาต้า เซ็นเตอร์ยกระดับนิเวศดิจิทัล


บีโอไอเคาะส่งเสริม รถไฟฟ้าสีส้ม – ดาต้า เซ็นเตอร์ ลงทุนกว่า 2 แสนล้าน ยกระดับนิเวศดิจิทัลรองรับยุค AI

 

บอร์ดบีโอไอ อนุมัติส่งเสริมลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 4 โครงการใหญ่ มูลค่ากว่า 2 แสนล้านบาทั้งรถไฟฟ้าสายสีส้ม และ Data Center 3 แห่งจากบริษัทไทย จีน และสิงคโปร์ เสริมแกร่ระบบนิเวศดิจิทัล รองรับยุค AI พร้อมสนับสนุนให้เอกชนร่วมลงทุนกิจการโรงพยาบาลของรัฐ ยกระดับบริการทางการแพทย์อย่างทั่วถึง


นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า การประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บอร์ดบีโอไอ) ที่มีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายก รัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธาน ได้อนุมัติส่งเสริมการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญขนาดใหญ่ 4 โครงการ รวมมูลค่าเงินลงทุนกว่า 200,000 ล้านบาท


ทั้งนี้ได้แก่ โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ - มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ของบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เงินลงทุน 109,210 ล้านบาท และโครงการ Data Center 3 โครงการจากประเทศไทย จีน และสิงคโปร์ ได้แก่ (1) บริษัท จีเอสเอ ดาต้า เซนเตอร์ 02 จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างกลุ่ม Gulf, Singapore Telecommunications และ AIS เงินลงทุน 13,480 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่จังหวัดชลบุรี  





 





(2) บริษัท Beijing Haoyang Cloud Data Technology จากประเทศจีน เงินลงทุน 72,670 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่จังหวัดระยอง (3) บริษัทในเครือ Empyrion Digital ประเทศสิงคโปร์ เงินลงทุน 4,720 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่กรุงเทพมหานคร


Data Center ถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น สำหรับรองรับความต้องการในยุคเศรษฐกิจดิจิทัลและการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของเทคโนโลยี AI การที่มีบริษัทระดับโลกเข้ามาลงทุนจัดตั้ง Data Center ในไทยก่อให้เกิดประโยชน์หลายด้าน


นอกจากจะส่งเสริมให้ไทยเป็นดิจิทัลฮับของภูมิภาคแล้ว ยังช่วยเพิ่มโอกาสให้ผู้ประกอบการและประชาชนได้เข้าถึงบริการของศูนย์ข้อมูลและบริการคลาวด์ที่มีมาตรฐาน มีความปลอดภัยสูง และมีความเสถียรในการให้บริการดิจิทัล ลดต้นทุนบริษัทในการทำศูนย์ข้อมูลของตนเอง


ช่วยรักษาข้อมูลสำคัญให้ถูกเก็บและประมวลผลในประเทศซึ่งจะเป็นประโยชน์ด้านความมั่นคง ช่วยสนับสนุนการใช้แอปพลิเคชันและเทคโนโลยีดิจิทัลในการยกระดับภาคส่วนต่าง ๆ อีกทั้งจะส่งผลดีต่อธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจโทรคมนาคม สาธารณูปโภค พลังงาน อุปกรณ์ไอที บริษัทก่อสร้างและวางระบบขั้นสูง System Integrator ด้านต่าง ๆ รวมถึงช่วยสร้างงานที่มีคุณค่าสูงให้กับคนไทย เช่น ผู้ดูแลระบบโครงข่าย งานด้านวิเคราะห์ข้อมูล การพัฒนาโปรแกรม ความปลอดภัยทางไซเบอร์ และงานสนับสนุนด้านไอที


ทั้งนี้ ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ. 2565-2567) มีโครงการที่ขอรับส่งเสริมการลงทุนในกิจการ Data Center และ Cloud Service จำนวน 27 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวม 2.9 แสนล้านบาท





 






ส่งเสริมการร่วมลงทุนรัฐ-เอกชนในกิจการโรงพยาบาล



ตามที่รัฐบาลมีแนวทางส่งเสริมให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในบริการด้านสาธารณสุขมากขึ้นในรูปแบบ PPP (Public-Private Partnership) เพื่อยกระดับมาตรฐานและเพิ่มขีดความสามารถทางการรักษาพยาบาล โดยลดภาระงบประมาณภาครัฐ แต่สามารถบรรลุเป้าหมายการเป็นโรงพยาบาลที่รับผู้ป่วยที่เป็นผู้ประกันตนได้จำนวนมาก


โดยการผสานจุดแข็งของภาครัฐที่มีความเชี่ยวชาญของบุคลากรทางการแพทย์ ขณะที่ภาคเอกชนมีความคล่องตัว ในการบริหารจัดการและความพร้อมด้านการลงทุนเทคโนโลยี บอร์ดบีโอไอจึงได้เห็นชอบให้กำหนดสิทธิประโยชน์พิเศษสำหรับกิจการโรงพยาบาลขนาดใหญ่ที่มีจำนวนเตียงรับผู้ป่วยไว้ค้างคืนตั้งแต่ 91 เตียงขึ้นไป


ในกรณีที่มีการร่วมทุนในรูปแบบ PPP กับหน่วยงานรัฐ จะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นอากรเครื่องจักรและอุปกรณ์ และยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นเวลา 5 ปี (โรงพยาบาลทั่วไป จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3 ปี)


นอกจากนี้ บอร์ดบีโอไอ ได้อนุมัติหลักการในการส่งเสริม “โครงการโรงพยาบาลปลวกแดง 2 จังหวัดระยอง” ซึ่งจะเป็นการร่วมทุนรัฐ-เอกชนในรูปแบบ PPP ครั้งแรกของกระทรวงสาธารณสุข ให้ได้รับสิทธิประโยชน์ตามมาตรการนี้เป็นโครงการแรกด้วย  






 





 
สนับสนุนการลดก๊าซเรือนกระจก


เพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนในภาคอุตสาหกรรม ที่ประชุมได้เห็นชอบให้กิจการที่มีการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน เช่น ลมหรือแสงอาทิตย์ไปแล้ว แต่ต้องการติดตั้งระบบกักเก็บพลังงานไฟฟ้า (Battery Energy Storage System: BESS) และเครื่องแปลงกระแสไฟฟ้า (Inverter) ของระบบ BESS เพิ่มเติม สามารถขอรับการส่งเสริมภายใต้มาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพด้านการใช้พลังงานทดแทนได้


นอกจากนี้ เพื่อเป็นการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมวัสดุ ลงทุนปรับเปลี่ยนเครื่องจักรเพื่อลดก๊าซเรือนกระจก ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบจากมาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามแดน (CBAM) ที่ประชุมจึงได้เห็นชอบให้กิจการผลิตวัสดุก่อสร้าง ผลิตภัณฑ์คอนกรีตอัดแรง ผลิตภัณฑ์เซรามิกส์ในกลุ่ม Earthenware และกระเบื้องเซรามิกส์ ซึ่งเป็นกิจการที่มีปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง สามารถยื่นขอรับสิทธิประโยชน์ภายใต้มาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพด้านการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้





 




 



Create Date : 26 มีนาคม 2568
Last Update : 26 มีนาคม 2568 16:35:39 น.
Counter : 183 Pageviews.
0 comment
(โหวต blog นี้) 
โก โฮลเซลล์ งัดกลยุทธ์ครบคุ้มรับซัมเมอร์ กระตุ้นกำลังซื้อค้าปลีก


โก โฮลเซลล์ งัดกลยุทธ์ครบคุ้มรับซัมเมอร์ กระตุ้นกำลังซื้อร้านค้าปลีกขนาดเล็ก จัด “โชห่วย GO Plus” ขนทัพสินค้ารับร้อน สาดโปรโมชั่นแรง ปลุกย่านรังสิต คึกคัก


โก โฮลเซลล์ (GO WHOLESALE) ศูนย์ค้าส่งวัตถุดิบอาหาร ที่มีความสดใหม่ตลอดเวลาเพื่อผู้ประกอบการ ภายใต้การดำเนินงานของ บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด โฮลเซลล์ จำกัด ในเครือเซ็นทรัล รีเทล ผนึกพันธมิตรทางธุรกิจ 60 แบรนด์ดัง จัดกิจกรรม “โชห่วย GO Plus ซัมเมอร์นี้ มีแต่ได้ กำไรพุ่ง”  ณ สาขารังสิต กระตุ้นร้านค้าปลีกขนาดเล็ก มินิมาร์ท ในพื้นที่จังหวัดปทุมธานี และใกล้เคียง ด้วยโปรโมชั่นสินค้ารับซัมเมอร์หลายพันรายการ เพิ่มขีดแข่งขันรายเล็ก สู้ศึกร้านสะดวกซื้อเดือด




 




นางสุชาดา อิทธิจารุกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มธุรกิจในประเทศไทยและต่างประเทศ บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด โฮลเซลล์ จำกัด ในเครือเซ็นทรัล รีเทล เปิดเผยว่า ธุรกิจร้านค้าปลีกขนาดเล็ก หรือโชห่วยในเมืองไทย มีอยู่เป็นจำนวนมาก และต่างต้องปรับตัวให้อยู่รอดท่ามกลางความท้าทายของการเปลี่ยนแปลงด้านพฤติกรรมผู้บริโภค รวมถึงการแข่งขันอันดุเดือดของร้านสะดวกซื้อในปัจจุบัน


โดยสิ่งที่ร้านค้าขนาดเล็กในชุมชนมีความต้องการมากเป็นอันดับต้นๆ ก็คือ แหล่งซื้อสินค้าราคาคุ้มค่า ครบครัน เพื่อนำไปต่อยอดให้ร้านค้า โก โฮลเซลล์ จึงร่วมกับพันธมิตรผู้ผลิตสินค้าชั้นนำกว่า 60 แบรนด์ดัง จัดแคมเปญ “โชห่วย GO Plus ซัมเมอร์นี้ มีแต่ได้ กำไรพุ่ง” นำสินค้ามากกว่า 3,200 รายการ ลดราคาสูงสุด 50% ทุกสาขาทั่วประเทศ




 




ด้วยโปรโมชั่นสะสมยอดซื้อผ่านแอปพลิเคชั่น GO WHOLESALE รับความคุ้มแบบ Plus ถึงสองต่อ Plus 1 สะสมยอดซื้อครบยิ่งรับเพิ่ม คูปองเงินสดผ่านแอปพลิเคชั่น GO WHOLESALE มูลค่ารวมสูงสุด 5,000 บาท Plus 2 รับเลยคูปองส่วนลดเพิ่ม จากสินค้าแบรนด์ดังหมุนเวียนต่อเนื่องทุกสัปดาห์ และได้รับสิทธิประโยชน์จากการสะสมคะแนน The 1 โดยวันที่ 26 - 30 มีนาคมนี้ โก โฮลเซลล์ สาขารังสิต ได้จัดกิจกรรมพิเศษ เพื่อสร้างสีสันและความคึกคักให้กับผู้ประกอบการโชห่วยในย่านปทุมธานี และจังหวัดใกล้เคียง 


“เราพบว่า ช่วงเทศกาลซัมเมอร์เป็นช่วงเวลาที่ร้านค้าปลีกขนาดเล็ก โชห่วย มินิมาร์ท มีความต้องการสินค้าในกลุ่มเครื่องดื่ม หรือสินค้าอุปโภคบริโภคคลายร้อน เพื่อนำไปจัดเตรียมร้านค้า รอรับโอกาสทางการขายในช่วงวันหยุดยาว เทศกาลสงกรานต์ ที่ผู้คนเดินทางกลับภูมิลำเนาไปอยู่กับครอบครัว ซึ่งพบว่าในช่วงนี้ เป็นช่วงที่ผู้คนใช้จ่ายมากที่สุด เราและพันธมิตรจึงร่วมกันจัดแคมเปญครั้งนี้ เพื่อนำกลยุทธ์ด้านความคุ้มค่า และความครบครันของสินค้าบริการในช่วงซัมเมอร์มานำเสนอ เพื่อผู้ประกอบการร้านค้าขนาดเล็กโดยเฉพาะ”




 



 
สำหรับกิจกรรมครั้งนี้ ผู้ผลิตได้นำสินค้ามาจัดบูทและกิจกรรมต่างๆ พร้อมกับข้อเสนอ ลด แลก แจก แถม โดยสินค้ายอดนิยมที่ขายดีที่สุดในร้าน โชห่วย ได้แก่ สินค้าในกลุ่มคลายร้อน อาทิ น้ำอัดลม น้ำผลไม้ น้ำหวาน น้ำเปล่า เครื่องดื่มชง เครื่องดื่มชูกำลัง แป้งเย็น สบู่ แชมพู สินค้าในกลุ่มขนมขบเคี้ยว กลุ่มอาหารสำเร็จรูป กลุ่มเครื่องปรุงอาหาร และกลุ่มผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด 


วันที่ 26 - 30 มีนาคมนี้ อย่าพลาดไปร่วมงาน “โชห่วย GO Plus ซัมเมอร์นี้ มีแต่ได้ กำไรพุ่ง” ที่ โก โฮลเซลล์ สาขารังสิต เชิญไปเลือกซื้อสินค้าเข้าร้านกันได้เลย




 



Create Date : 26 มีนาคม 2568
Last Update : 26 มีนาคม 2568 14:34:30 น.
Counter : 238 Pageviews.
0 comment
(โหวต blog นี้) 
"บอร์ดบีโอไอ"ประเดิมปี 2568 อนุมัติลงทุนกว่า 1.7 แสนล้านบาทบิ๊กโปรเจกต์ TikTok - Siam AI
 

"บอร์ดบีโอไอ"ชิงจังหวะเร่งเครื่องต่อเนื่อง ประเดิมปี 2568 อนุมัติโครงการลงทุนกว่า 1.7 แสนล้านบาท บิ๊กโปรเจกต์ TikTok และ Siam AI ทุ่มทุนปักหลักโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล – AI ในไทย พร้อมเดินหน้าส่งเสริมกิจการเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (SAF) และนิคมอุตสาหกรรมชีวภาพ เร่งขับเคลื่อน 5 ยุทธศาสตร์ ดึงลงทุนปี 2568 ผลักดันไทยขึ้นแท่นฐานอุตสาหกรรมชั้นนำระดับโลก


นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนนัดแรกของปี 2568 ที่มี นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธาน ได้อนุมัติส่งเสริมการลงทุน 3 โครงการสำคัญ มูลค่าลงทุนรวมกว่า 1.7 แสนล้านบาท


ประกอบด้วยกิจการโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลขนาดใหญ่ 2 โครงการ ได้แก่ โครงการ Data Hosting ของบริษัทในเครือ TikTok Pte. Ltd. ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มวิดีโอคอนเทนต์ยอดนิยม โดยจะลงทุนติดตั้ง Server และอุปกรณ์ต่าง ๆ ใน Data Center ที่มีประสิทธิภาพสูง เพื่อใช้ในการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ และฉะเชิงเทรา มูลค่าลงทุนรวม 126,790 ล้านบาท




กิจการ AI Cloud Service ของบริษัท สยาม เอไอ คอร์เปอเรชั่น จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทไทยรายแรกที่ได้รับเลือกให้เป็น NVIDIA Cloud Partner (NCP) จะตั้งอยู่ที่จังหวัดชลบุรีและปทุมธานี มูลค่าลงทุนรวม 3,250 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังได้อนุมัติโครงการลงทุนผลิตโพแทสเซียมคลอไรด์ ซึ่งใช้เป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตปุ๋ย ของบริษัท เอเซีย แปซิฟิค โปแตช คอร์ปอเรชั่น จำกัด จะตั้งอยู่ที่จังหวัดอุดรธานี มูลค่าลงทุนรวม 40,400 ล้านบาท



 




ปี 2567 ที่ผ่านมา ประเทศไทยได้รับการลงทุนในอุตสาหกรรมดิจิทัลจำนวนมาก โดยเฉพาะในกลุ่มโครงสร้างพื้นฐานสำคัญอย่าง Data Center และ Cloud Service โดยบริษัทชั้นนำจากทั้งสหรัฐอเมริกา จีน ฮ่องกง ญี่ปุ่น อินเดีย ออสเตรเลีย และไทย รวม 16 โครงการ เงินลงทุนรวมกว่า 240,000 ล้านบาท ถือเป็นอุตสาหกรรมที่ลงทุนสูงเป็นอันดับหนึ่ง


สำหรับในปีนี้ คาดว่าจะมีบริษัทชั้นนำระดับโลกตัดสินใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับความต้องการใช้งานเทคโนโลยีดิจิทัลที่เพิ่มสูงขึ้นทั้งในไทยและภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะจากการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของ AI รวมทั้งการจัดเก็บและประมวลผล Big Data การลงทุนของทั้งสองโครงการนี้จึงเป็นอีกก้าวสำคัญในการพัฒนาประเทศไทยสู่การเป็น Digital Hub ของภูมิภาค


ดึงศักยภาพการเกษตร - หนุนลงทุนอุตสาหกรรมชีวภาพ

         
นอกจากนี้ เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจชีวภาพ รวมทั้งกระตุ้นให้เกิดการลงทุนเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับวัตถุดิบทางการเกษตรในประเทศมากขึ้น บอร์ดบีโอไอ ได้มีมติเห็นชอบ ดังนี้


1. เปิดส่งเสริม “กิจการผลิตเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel หรือ SAF)” ซึ่งใช้ผลผลิตทางการเกษตร เศษวัสดุหรือของเสียจากการเกษตร เป็นวัตถุดิบในการผลิตเชื้อเพลิงสำหรับอากาศยาน จะช่วยลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนได้ถึงร้อยละ 80 เมื่อเทียบกับเชื้อเพลิงที่ใช้อยู่ในปัจจุบันและกำลังจะกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของเชื้อเพลิงสำหรับอากาศยานระหว่างประเทศ



 

           



โดยจะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปี และ “กิจการผลิตเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืนแบบผสม” ซึ่งจะนำ SAF มาผสมกับเชื้อเพลิงอากาศยานทั่วไป (JET Fuel) เพื่อให้สามารถนำมาใช้กับเครื่องบินพาณิชย์ได้ทันที โดยไม่ต้องดัดแปลงเครื่องยนต์ จะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3 ปี


2. ปรับปรุงกิจการนิคมหรือเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร ให้เป็น “กิจการนิคมหรือเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมชีวภาพ” เพื่อให้มีขอบข่ายธุรกิจที่กว้างขึ้น ครอบคลุมทั้งด้านเกษตร อาหาร พลังงานทดแทน และบริการสนับสนุน ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางการส่งเสริมอุตสาหกรรม BCG โดยจะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 5 ปี


เร่งขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ส่งเสริมการลงทุนปี 2568 มุ่งสู่ Hub 5 ด้าน


บอร์ดบีโอไอ ยังได้เห็นชอบแผนการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ส่งเสริมการลงทุนปี 2568  โดยมุ่งยกระดับประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการลงทุนของภูมิภาคใน 5 ด้านสำคัญที่ประเทศไทยมีศักยภาพสูง ได้แก่ ศูนย์กลางอุตสาหกรรมด้าน BCG (Bio-Circular-Green Industries Hub)  ศูนย์กลางเทคโนโลยีและนวัตกรรม (Tech Hub) ซึ่งจะครอบคลุมหลายสาขา


ทั้งนี้เช่น รถยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และดิจิทัล  ศูนย์รวมบุคลากรทักษะสูงจากทั่วโลก (Talent Hub) ศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์และธุรกิจระหว่างประเทศ (Logistics & International Business Hub) และศูนย์กลางอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ (Soft Power and Creative Hub)



นายนฤตม์ กล่าวว่า สถานการณ์ความผันผวนของโลก อันเนื่องมาจากปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์ และวิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ทวีความรุนแรงขึ้น เป็นทั้งโอกาสและความท้าทายของประเทศไทยในการช่วงชิงฐานการลงทุน



 




บีโอไอจึงได้มีแผนขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ส่งเสริมการลงทุนในปี 2568 เพื่อเร่งเปลี่ยนผ่านประเทศไทยให้ก้าวสู่การเป็นฐานผลิตของอุตสาหกรรมชั้นนำระดับโลก และพร้อมรับกระแสการโยกย้ายเงินลงทุนระหว่างประเทศที่จะเพิ่มสูงขึ้น โดยมีแผนดำเนินงาน 5 ด้านสำคัญ ดังนี้


1) เสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันและดึงการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย โดยมุ่งดึงดูดการลงทุนใน 5 อุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ ประกอบด้วย อุตสาหกรรม BCG, ยานยนต์ไฟฟ้า (xEV), เซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง, ดิจิทัล และกิจการศูนย์กลางธุรกิจระหว่างประเทศ ด้วยการบูรณาการผ่านคณะกรรมการระดับชาติ


ทั้งบอร์ดอีวี บอร์ดเซมิคอนดักเตอร์ และคณะกรรมการสิทธิประโยชน์ด้านซอฟต์พาวเวอร์ รวมถึงการจัดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อดึงดูดการลงทุน และเตรียมขยายสำนักงานบีโอไอเพิ่มอีก 2 แห่งที่นครเฉิงตู ประเทศจีน และสิงคโปร์



2) ยกระดับผู้ประกอบการไทย และสนับสนุนการเชื่อมโยงเข้าสู่ห่วงโซ่อุปทานระดับโลก โดยจะให้ความสำคัญกับการพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ SMEs และสร้างโอกาสในการเข้าสู่อุตสาหกรรมใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มยานยนต์ไฟฟ้าและแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ ด้วยการส่งเสริมการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต การเพิ่มความเข้มข้นของมาตรการสนับสนุนการใช้ชิ้นส่วนจากผู้ผลิตในประเทศ และการจัดกิจกรรมการเชื่อมโยงอุตสาหกรรม



 




3) พัฒนาบุคลากรทักษะสูง โดยบีโอไอทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) และภาคเอกชน เพื่อเตรียมพร้อมบุคลากรสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย โดยเฉพาะด้าน Semiconductor, PCB, ดิจิทัล และ AI ทั้งการจัดทำ Roadmap ที่ชัดเจนและการกำหนดมาตรการสนับสนุน


นอกจากนี้ จะดึงดูดบุคลากรทักษะสูงจากต่างประเทศ ผ่านมาตรการ LTR Visa และ Smart Visa รวมทั้งการขยายการให้บริการของศูนย์ One Stop Service ด้านวีซ่าและใบอนุญาตทำงาน


4) ยกระดับโครงสร้างพื้นฐานและระบบนิเวศการลงทุน โดยส่งเสริมการลงทุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทั้งด้านกายภาพและดิจิทัลที่สำคัญเพื่อรองรับการลงทุน พร้อมร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดหาและเตรียมพื้นที่รองรับการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรม รวมถึงประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการปรับปรุงกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคในการลงทุน และพัฒนาเครื่องมือเพื่อบรรเทาผลกระทบจากการเก็บภาษีส่วนเพิ่ม (Global Minimum Tax) ร่วมกับกระทรวงการคลัง


5) การพัฒนาเศรษฐกิจสีเขียวและอุตสาหกรรมยั่งยืน ด้วยการเดินหน้าสนับสนุนการลงทุนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน การรีไซเคิล และการผลิตผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงส่งเสริมการปรับเปลี่ยนเครื่องจักร เพื่อการลดการใช้พลังงาน การใช้พลังงานทดแทน หรือลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก


นอกจากนี้ บีโอไอจะทำงานร่วมกับกระทรวงพลังงานและสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ในการออกแบบกลไกการจัดหาไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย ทั้งกลไก Utility Green Tariff (UGT) และการทำสัญญาซื้อขายพลังงานไฟฟ้าได้โดยตรง (Direct PPA)




 






 


 
 



Create Date : 29 มกราคม 2568
Last Update : 29 มกราคม 2568 17:32:03 น.
Counter : 250 Pageviews.
0 comment
(โหวต blog นี้) 
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  

สมาชิกหมายเลข 3402302
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



contact >> parwnation@gmail.com
hello welcome
contact =>>parwnation@gmail.com
New Comments