All Blog
ธ.ก.ส. เตือนระวังผู้แอบอ้างใช้ LINE Account ปลอม หลอกขอข้อมูลส่วนบุคคล
ธ.ก.ส. เตือน! เกษตรกรลูกค้าและประชาชนทั่วไป ระวังการแอบอ้างใช้ LINE Account ของธนาคาร ลวงให้ส่งข้อมูลส่วนบุคคล ย้ำไม่มีนโยบายขอข้อมูลส่วนบุคคลผ่าน LINE Account หากมี ข้อสงสัยสามารถติดต่อธนาคารผ่าน Facebook Page “ธกส BAAC Thailand” “ธกส บริการด้วยใจ” และ Call Center 02-555 0555 หรือที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ

นายสมเกียรติ กิมาวหา รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ด้วยขณะนี้มีกลุ่มผู้ไม่หวังดี ใช้ช่องทาง LINE Account แอบอ้างว่าเป็นบัญชีของธนาคาร จากนั้นจะมีการพูดคุยเพื่อขอข้อมูลส่วนบุคคล โดยอ้างว่าสามารถแก้ปัญหาการใช้งานแอปพลิเคชัน ธ.ก.ส. A-Mobile หรือให้ความช่วยเหลือด้านธุรกรรมต่าง ๆ ได้นั้น




 




 
ธ.ก.ส. ขอเรียนว่า ธ.ก.ส. ไม่มีนโยบายในการติดต่อลูกค้าผ่านทาง LINE Account เพื่อขอข้อมูลมาดำเนินการทำธุรกรรมการเงิน จึงขอให้เกษตรกรลูกค้าและประชาชนทั่วไป อย่าหลงเชื่อหรือส่งข้อมูล ส่วนบุคคลไปให้เด็ดขาด อีกทั้งการใช้งานแอปพลิเคชัน ธ.ก.ส. A-Mobile ในการทำธุรกรรมทางการเงินนั้น จะใช้งานควบคู่กับบัญชีเงินฝากของลูกค้า ซึ่งจำเป็นต้องระมัดระวังในการดูแลข้อมูลส่วนตัวเป็นสำคัญเพื่อความปลอดภัย

ทั้งนี้ ในส่วนของ LINE Official “BAAC Family” ธ.ก.ส. ใช้เป็นช่องทางในการสื่อสารข้อมูลด้านผลิตภัณฑ์ การให้บริการหรือข้อมูลข่าวสารสำคัญไปยังลูกค้า รวมถึงการแจ้งความประสงค์ในการขอใช้บริการสินเชื่อบางประเภทกับ ธ.ก.ส. เท่านั้น ซึ่งสามารถสังเกตได้จากชื่อ LINE Account “BAAC Family” ซึ่งจะมีโลโก้ ธ.ก.ส. และสัญลักษณ์รูปโล่สีเขียวที่บริเวณหน้าชื่อ และมียอดผู้ติดตามปัจจุบันกว่า 7 ล้านคน

หากลูกค้ามีปัญหาในการใช้งาน ธ.ก.ส. A-Mobile สามารถติดต่อได้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศและ Call Center 02 555 0555 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง นอกจากนี้ ลูกค้าสามารถติดตามข่าวสารของธนาคารหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ผ่านช่องทาง เว็บไซต์ //www.baac.or.th Facebook Page “ธกส BAAC Thailand” และ “ธกส บริการด้วยใจ” ทั้งนี้ หากพบเห็นการกระทําความผิดในลักษณะดังกล่าว ธนาคารจะดําเนินการเอาผิดตามขั้นตอนทางกฎหมายต่อไป

 


 



Create Date : 15 พฤศจิกายน 2563
Last Update : 15 พฤศจิกายน 2563 16:37:19 น.
Counter : 433 Pageviews.

0 comment
ซีพีเอฟ ติดอันดับดัชนีความยั่งยืน DJSI ต่อเนื่องเป็นปีที่ 6
บริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ได้รับเลือกให้เป็นสมาชิก DJSI (Dow Jones Sustainability Indices) อย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 6  ประเภทดัชนีตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market Index) สะท้อนความมุ่งมั่นของบริษัทฯในการทำธุรกิจอย่างยั่งยืน ครอบคลุมทุกมิติทางเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม  
 
นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ กล่าวว่า นับเป็นความภาคภูมิใจของ ซีพีเอฟ ที่ได้รับการคัดเลือกเป็นสมาชิก DJSI อย่างต่อเนื่อง เป็นการตอกย้ำการดำเนินงานของบริษัทฯด้วยความรับผิดชอบ จากการบริหารจัดการกระบวนผลิตอาหารปลอดภัยตลอดห่วงโซ่การผลิตและใส่ใจสิ่งแวดล้อม เพื่อร่วมสร้างความมั่นคงทางอาหาร  
 
DJSI เป็นดัชนีที่ใช้ประเมินประสิทธิผลการดำเนินธุรกิจตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนของบริษัทชั้นนำระดับโลก จัดทำขึ้นโดย S&P Global โดยเชิญบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่ทั่วโลกกว่า 3,500 แห่งใน 61 กลุ่มอุตสาหกรรม เข้าร่วมการประเมินผลการดำเนินงานด้านความยั่งยืน ครอบคลุม 3 มิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม และเป็นดัชนีที่นักลงทุนทั่วโลกใช้ประกอบในการตัดสินใจลงทุน




 
 



 
ในปีนี้ ซีพีเอฟ มีความโดดเด่นในหลายด้าน เช่น การเคารพสิทธิมนุษยชน (Human Rights) สุขภาพและโภชนาการ (Health & Nutrition) และการบริหารจัดการนวัตกรรม (Innovation Management) เป็นต้น โดยในเรื่องสิทธิมนุษยชน บริษัทฯ ได้ดำเนินการตรวจประเมิน (Due Diligence Process) เป็นประจำทุก 3 ปี 

ประกอบด้วยกระบวนการวิเคราะห์และประเมินความเสี่ยงด้านสิทธิมนุษยชน การบริหารจัดการความเสี่ยง การติดตามและรายงานผลการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง ซึ่งครอบคลุมทุกสายธุรกิจในกิจการประเทศไทย ตลอดจนการคิดค้นและพัฒนาอาหารเพื่อสุขภาพและมีคุณค่าทางโภชนาการ ถือเป็นหัวใจในการผลิตอาหารมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบัน มากกว่า 30% ของผลิตภัณฑ์ใหม่เป็นผลิตภัณฑ์ที่มุ่งเน้นสุขโภชนาการ สุขภาพและสุขภาวะที่ดี
 
“การได้รับเลือกให้เป็นสมาชิก DJSI อย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 เป็นเครื่องยืนยันว่ามาตรฐานการพัฒนาด้านความยั่งยืนของบริษัทเทียบเท่ามาตรฐานระดับโลกและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล และยังเป็นปัจจัยส่งเสริมการเติบโตทางธุรกิจอย่างยั่งยืนในอนาคต” นายประสิทธิ์ กล่าว
 
ซีพีเอฟ มีการวางแผนและกำหนดกลยุทธ์ความยั่งยืนระยะยาวในการดำเนินธุรกิจ ภายใต้กลยุทธ์สู่ความยั่งยืน 3 เสาหลัก ประกอบด้วย อาหารมั่นคง สังคมพึ่งตน ดินน้ำป่าคงอยู่ สอดคล้องตามเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (Sustainable Development Goals : SDGs) อย่างต่อเนื่อง




 




 
ในภาวะที่โลกกำลังเผชิญกับความท้าทายของสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิค-19 ส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เช่น สังคมวิถีปกติใหม่ (New Normal) และการเข้าสู่สังคมดิจิทัล นายประสิทธิ์ กล่าวว่า ซีพีเอฟ ได้ดำเนินการตามกลยุทธ์ความยั่งยืนด้วยการส่งมอบอาหารปลอดภัย มีคุณค่าทางโภชนาการ สามารถเข้าถึงได้ ให้กับคนในสังคมทุกระดับไม่เฉพาะในประเทศไทยแต่ยังรวมถึงประเทศที่ ซีพีเอฟ เข้าไปลงทุนอีก 16 ประเทศทั่วโลก  ขณะเดียวกันยังได้ยกระดับมาตรการป้องกันโรคในระดับสูงสุด เพื่อดูแลสุขภาพพนักงานทุกคนให้ปลอดภัยจากโรคระบาด  
 
“การดำเนินโครงการและกิจกรรมต่างๆ ของ ซีพีเอฟ เป็นส่วนสำคัญในการนำพาความภาคภูมิใจและกำลังใจให้กับพนักงานของบริษัททุกคนที่ได้ทำหน้าที่อย่างเข้มแข็งเพื่อประโยชน์ส่วนรวมแก่ประเทศชาติและสังคม” นายประสิทธิ์ กล่าว  
 
ซีพีเอฟ ยังคงมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน เพื่อร่วมยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีของทุกคนและร่วมสร้างสมดุลของสิ่งแวดล้อม เป็นส่วนสำคัญในการช่วยโลกของเราให้ยั่งยืน





 



Create Date : 15 พฤศจิกายน 2563
Last Update : 15 พฤศจิกายน 2563 16:07:46 น.
Counter : 509 Pageviews.

0 comment
"ไทย"เจ้าภาพจัดประชุมวิชาการยางพาราโลก
นายนราพัฒน์ แก้วทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานในพิธีเปิด แถลงว่า เป็นที่น่าภาคภูมิใจอย่างยิ่งที่ประเทศไทยยังคงเป็นผู้ผลิตและส่งออกยาง ผลิตภัณฑ์ยางคุณภาพสูงรายใหญ่ที่สุดของโลก ได้แก่ ยางรถยนต์ ถุงมือยาง และถุงยางอนามัย ถึงแม้ว่าอุตสาหกรรมการผลิตจะล้นตลาด เนื่องมาจากราคายางพาราที่ผันผวนในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่ในปีที่ผ่านมา ประเทศไทยยังคงผลิตยางได้ 4.9 ล้านตัน

โดยมีปริมาณการส่งออกยางธรรมชาติมากถึง 4.18 ล้านตัน การส่งออกผลิตภัณฑ์ยางและยางแปรรูปมีมูลค่า 11.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งคาดการณ์ว่าภายใต้การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในปัจจุบัน การผลิตยางธรรมชาติคาดว่าจะอยู่ที่ 4.7 ล้านตันในปีนี้ โดยมีการส่งออกอยู่ที่ 3.8 ถึง 3.9 ล้านตัน




 




 
นายนราพัฒน์ กล่าวว่า ความเป็นผู้นำของไทยในภาคยางพารา เกิดจากการสนับสนุนและให้ความสำคัญจากภาครัฐ การมีส่วนร่วมของภาคเอกชน และสถาบันเกษตรกรชาวสวนยาง ปัจจัยด้านทรัพยากรที่เอื้อต่อการผลิตยางธรรมชาติ แรงงานที่มีประสิทธิภาพ ปัจจัยด้านโครงสร้างพื้นฐานที่เอื้ออำนวยต่อนักลงทุน

อาทิ การขนส่ง การสนับสนุนการลงทุนเพื่อดึงดูดหน่วยงานทั้งในและต่างประเทศให้เข้ามาลงทุนในผลิตภัณฑ์ยางของไทยมากขึ้น การจัดตั้ง Rubber City เพื่อเป็นศูนย์กลางผลิตภัณฑ์ยาง ทำให้ประเทศไทยมีความพร้อมในการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานที่ครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ และเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก




 




 
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และการยางแห่งประเทศไทย ไม่เพียงแต่ในการส่งเสริมอุตสาหกรรมยางพาราในประเทศและต่างประเทศเท่านั้น แต่เป้าหมายที่สำคัญของเราคือ การผลักดันราคาและรักษาเสถียรภาพของรายได้ของเกษตรกรชาวสวนยาง ควบคู่กับการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน รวมทั้งการส่งเสริมการบริโภคภายในประเทศและเพิ่มมูลค่าการส่งออกยางธรรมชาติหรือผลิตภัณฑ์ยาง

นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญกับนโยบายห่วงโซ่มูลค่าที่เกี่ยวข้องกับแผนแม่บท Thailand 4.0 โดยการนำเทคโนโลยีและเครื่องจักรอัตโนมัติมาใช้ทั้งในภาคการเพาะปลูกและการผลิตและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ยางเพื่อเพิ่มมูลค่า เช่น ยางที่ใช้สำหรับผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์และการดูแลสุขภาพ ยางรถยนต์และยางล้อเครื่องบิน








 
นายณกรณ์ ตรรกวิรพัท ผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย เผยว่า การประชุมวิชาการยางพาราโลก (Global Rubber Conference : GRC) ครั้งนี้ เป็นการประชุมระดับนานาชาติ ซึ่งมีผู้เกี่ยวข้องด้านยางพาราของโลกทั้งภาครัฐ นักวิชาการ และภาคเอกชนในอุตสาหกรรมต่างๆ เข้าร่วมแลกเปลี่ยนข้อมูล รับฟังสถานการณ์ยางพาราของโลกในปัจจุบัน ตลอดจนทิศทางแนวโน้ม และความท้าทายของภาคอุตสาหกรรมที่ต้องเผชิญในอนาคต

ผลจากสถานการณ์ Covid 19 ประเทศไทยโดยการยางแห่งประเทศไทย จึงปรับรูปแบบการประชุมให้เข้ากับวิถีชีวิตใหม่ ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัล จัดการประชุมในรูปแบบไฮบริดโมเดล เปิดโอกาสให้ผู้แทนและวิทยากรกว่า 400 คน จาก 25 ประเทศ และมีผู้แทนจากส่วนงานต่าง ๆ ในประเทศไทยประมาณ 100 คน เข้าร่วมประชุมแบบเสมือนจริง




 




 
ถือเป็นเรื่องน่ายินดีที่ข้อจำกัดเรื่องการเดินทางไม่ทำให้เจตจำนงของความร่วมมือระหว่างประเทศในกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในอุตสาหกรรมในด้านนโยบาย การวิจัย และธุรกิจของยางพาราลดลง เชื่อมั่นว่าผลของการประชุมครั้งนี้จะช่วยขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยางให้สามารถแข่งขัน ฟื้นกลับมาและมีความยั่งยืนได้

สำหรับหัวข้อการประชุมฯ จะเน้นการวิเคราะห์ผลระทบแนวทางการแก้ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับราคายางที่มีความผันผวน (Price fluctuations) เช่น ผลกระทบ Covid-19 ต่ออุตสาหกรรมยางรถยนต์ อุตสาหกรรมหลัก การวิเคราะห์แนวโน้มตลาดยางพาราโลก อนาคตและความท้าทาย การตรวจสอบย้อนกลับเพื่อความยั่งยืน สร้างมูลค่า รวมถึงทิศทางการขับเคลื่อนนวัตกรรมในอุตสาหกรรมปลายน้ำ เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ยางใหม่ๆ โดยคำนึงการส่งเสริมการใช้ยางธรรมชาติเพิ่มขึ้น




 




 
นายณกรณ์ กล่าวว่า ภายในงานนี้ มีพิธีมอบรางวัล Wickham ซึ่งเป็นรางวัลที่มอบให้ผู้มีคุณูปการด้านอุตสาหกรรมและวิชาการยางพาราของโลก โดยมีผู้ได้รับรางวัล ได้แก่ คุณบุญธรรม นิธิอุทัย เป็นผู้เชี่ยวชาญภาคอุตสาหกรรมที่ได้รับรางวัลคัดเลือกสายเทคโนโลยีทางการค้า จากผลงาน การผลิตหุ่น CPR เพื่อสังคม และนำยางไปใช้ในการเพิ่มมูลค่าในอุตสาหกรรมทางการแพทย์

คุณปรีดิ์เปรม ทัศนกุลเป็นนักวิชาการขางการยางแห่งประเทศไทย ที่ได้รับรางวัลคัดเลือกสายนวัตกรรมเทคโนโลยีจากผลงาน การพัฒนามาตรฐานอุตสาหกรรมยางแปรรูปขั้นต้น GMP เพื่อให้สถาบันเกษตรกรชาวสวนยางได้ผลิต แปรรูปวัตถุดิบให้มีมูลค่าเพิ่มภายใต้มาตรฐานสากล




 

         




 



Create Date : 12 พฤศจิกายน 2563
Last Update : 12 พฤศจิกายน 2563 15:59:27 น.
Counter : 533 Pageviews.

0 comment
สุกรไทยยืนหนึ่งแถวหน้าเอเชีย... ย้ำ PRRS-ASF ไม่ติดคน
การเลี้ยงสุกรของประเทศไทยมีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของไทยไม่น้อย ระบบการเลี้ยงมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนเป็นระดับแนวหน้าของภูมิภาคเอเชีย สัตวแพทย์สุกรของไทยได้รับความไว้วางใจให้เป็นที่ปรึกษาในหลายประเทศของภูมิภาคนี้ เช่น จีน เวียดนาม กัมพูชา ขณะที่การผลิตสุกรส่วนใหญ่ของบ้านเรา ยังเป็นการบริโภคภายในประเทศ ซึ่งมีบริโภคอย่างเพียงพอ ไม่เคยขาดแคลน

แม้สุกรไทยจะยืนหนึ่งเป็นสุกรที่มีมาตรฐานสูงของเอเชีย แต่ในประเทศเรากลับมีข่าวเท็จเกี่ยวกับโรคระบาดในสุกรเผยแพร่ผ่านสื่อออนไลน์หลายครั้ง อาทิ ข่าวสุกรป่วยเป็นเอดส์ ทั้งๆที่ข้อเท็จจริงคือ โรคเอดส์ไม่ใช่โรคของสุกร และไม่มีโรคนี้ในตำราทั้งไทยและเทศ ซึ่งเป็นไปได้ว่าข่าวเท็จที่เกิดขึ้นนี้ มุ่งหวังเพื่อทำให้สูญเสียเสถียรภาพราคาสุกร เนื่องจากจะทำให้ผู้บริโภคจำนวนหนึ่งตระหนก เป็นผลให้พ่อค้าคนกลางอ้างภาวะตลาด และกดราคาสุกรมีชีวิตหน้าฟาร์มของเกษตรกร แต่นำไปขายต่อในราคาเนื้อสุกรที่ปรับสูงขึ้น




 




 
โดยอ้างว่าสุกรตายมากเนื่องจากโรคระบาด ทำให้พ่อค้าได้กำไรแต่เกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรขาดทุน หรือแม้แต่กรณีข่าวการระบาดของโรค PRRS ในประเทศไทยอย่างที่เกิดขึ้นล่าสุดใน จ.สระแก้ว และโรค ASF ที่เกิดขึ้นในภูมิภาคนี้ ทำให้ผู้บริโภคเกิดความตระหนก และเกรงว่าจะติดต่อสู่คนได้จากการบริโภคเนื้อสุกรและผลิตภัณฑ์ ซึ่งขอยืนยันซ้ำอีกครั้งว่าโรคทั้งสองของสุกรนี้ ไม่ติดต่อสู่คน และขออธิบายเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง ดังนี้

โรค PRRS (พีอาร์อาร์เอส หรือ เพิร์ส) เป็นโรคติดต่อในสุกรเท่านั้น เกิดจากเชื้อไวรัส ก่อให้เกิดผลกระทบทั้งระบบสืบพันธุ์และระบบทางเดินหายใจของสุกร โรคนี้พบราว พ.ศ.2523 จนกระทั่งปี พ.ศ.2534 ได้มีการบัญญัติชื่อโรคนี้ว่า “Porcine Reproductive and Respiratory Syndrome” หรือ PRRS โรคนี้พบได้ทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย เป็นโรคที่ก่อปัญหาและความเสียหายให้กับการเลี้ยงสุกรจนถึงปัจจุบัน สำหรับการป้องกันนั้นปัจจุบันมีวัคซีนจำหน่าย และเกษตรกรส่วนใหญ่ใช้วัคซีนนี้ ซึ่งช่วยลดการสูญเสียได้ ทั้งนี้ โรคนี้ไม่เคยมีรายงานการติดต่อสู่คน จึงไม่ต้องกังวลต่อการบริโภค  
 
ข่าวเท็จที่ส่งต่อกันมานั้น จะเชื่อมโยงโรค PRRS กับโรคเอดส์ โดยอ้างว่าสุกรเป็นเอดส์ห้ามบริโภค ทั้งสองโรคนี้เหมือนกันที่ไวรัสก่อโรคเป็นชนิด RNA สำหรับความแตกต่างระหว่างโรค PRRS กับโรคเอดส์มีหลายประการ สิ่งแรกคือ ไวรัสก่อโรคเป็นคนละชนิดกัน ตามที่ทราบกันว่าโรคเอดส์นั้นเกิดจากเชื้อไวรัส HIV อยู่ในวงศ์ Retroviridae




 




 
ขณะที่ไวรัส PRRS อยู่ในวงศ์ Arteriviridae สำหรับอาการของโรคก็แตกต่างกัน แม้ว่าไวรัสทั้งสองนี้จะโจมตีระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้ภูมิคุ้มกันถูกกด (immunosuppression) แต่โรค PRRS จะมีอาการหลัก 2 ระบบคือ ระบบสืบพันธุ์และระบบทางเดินหายใจ

กล่าวคือ แม่สุกรจะพบปัญหาระบบสืบพันธุ์เป็นหลัก ขณะที่สุกรขุนจะมีปัญหาระบบทางเดินหายใจ ต่างจากโรคเอดส์ที่ทำให้ภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง เสี่ยงต่อการติดเชื้อระบบต่าง ๆ ไม่เน้นระบบใดระบบหนึ่ง ดังนั้นโรค PRRS จึงไม่ใช่โรคเอดส์ในสุกร และไม่ติดต่อก่อโรคในคน

ส่วนโรค ASF (เอเอสเอฟ) เป็นโรคจากเชื้อไวรัสเก่าแก่โรคหนึ่งของสุกร พบครั้งแรกปี พ.ศ.2452 ที่ประเทศเคนยา มีชื่อเต็มว่า “African Swine Fever” เนื่องจากชื่อโรคภาษาอังกฤษตรงกับโรคสุกรโรคหนึ่งคือ “Swine Fever” หรือ “Classical Swine Fever” (CSF) โดยโรคนี้มีอีกชื่อหนึ่งว่า hog cholera ซึ่งคำว่า “cholera” แปลว่า “อหิวาตกโรค”

ดังนั้น จึงบัญญัติชื่อโรค ASF ภาษาไทยว่า “โรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร” โดยโรคนี้ยังไม่มียาและวัคซีน เป็นโรคที่สร้างความเสียหายแก่การเลี้ยงสุกรอย่างมาก หลายประเทศที่มีโรคนี้ระบาด ทำให้สุกรตายอย่างใบไม้ร่วง และยากที่จะกำจัด ด้วยชื่อโรคทำให้เกิดความสับสนและเข้าใจผิดว่า โรคนี้จะติดต่อสู่คนได้ และก่อให้เกิดโรคอหิวาตกโรค




 



 
เนื่องจากชื่อโรคมีคำว่า “อหิวาต์” ซึ่งเป็นโรคที่ร้ายแรงในคน เป็นแล้วมีโอกาสเสียชีวิตได้ จึงทำให้ผู้ไม่หวังดีสร้างข่าวเท็จ ทั้งนี้ โรคอหิวาตกโรคเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ขณะที่โรค ASF เกิดจากเชื้อไวรัส โรค ASF นี้มีมานานกว่าร้อยปี แต่ยังไม่มีรายงานว่ามีผู้ป่วยจากการติดเชื้อไวรัสโรคนี้ ดังนั้น จึงไม่ใช่โรคอหิวาห์ตกโรค และไม่ติดต่อก่อโรคในคน

โรค ASF นี้มีการระบาดในประเทศจีนเมื่อปีพ.ศ.2561 ทำให้โรคนี้มีความสำคัญต่อประเทศไทยมากขึ้น อย่างไรก็ตามประเทศไทยมีการเตรียมความพร้อมไว้ล่วงหน้าแล้ว มีมาตรการการเฝ้าระวังและป้องกันโรค โรคนี้ระบาดเข้าสู่ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ เวียดนาม ลาว กัมพูชา ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และเมียนมา ทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศเดียวที่ยังคงป้องกันโรคนี้ได้ และยังไม่มีการระบาด ด้วยการร่วมแรงร่วมใจกันทุกภาคส่วนทั้ง หน่วยงานรัฐ (นำโดยกรมปศุสัตว์) หน่วยงานเอกชน (ฟาร์มสุกร) มหาวิทยาลัย และสัตวแพทย์สุกร

ความที่โรคนี้ยังไม่สามารถพัฒนาวัคซีนเพื่อใช้ป้องกันโรคได้ ไม่มียาฆ่าเชื้อไวรัส ดังนั้น แนวทางเดียวคือการรักษาความปลอดภัยทางชีวภาพ (biosecurity) ประเทศไทยสามารถดำรงสถานภาพการเป็นประเทศปลอดโรค ASF ได้ จึงส่งผลดีต่อธุรกิจการเลี้ยงสุกรและเศรษฐกิจของประเทศ ช่วยสร้างรายได้ให้กับประเทศด้วยการส่งออกสุกรมีชีวิต เนื้อสุกรและผลิตภัณฑ์ ลดภาระของรัฐบาลในภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้เป็นอย่างดี

โดย ผศ. ดร. นายสัตวแพทย์ ดุสิต เลาหสินณรงค์ และ รศ. ดร. นายสัตวแพทย์ กัมพล แก้วเกษ หน่วยสร้างเสริมสุขภาพและผลผลิตสุกร ภาควิชาเวชศาสตร์คลินิกและการสาธารณสุข คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล






 

 



Create Date : 12 พฤศจิกายน 2563
Last Update : 12 พฤศจิกายน 2563 14:26:23 น.
Counter : 476 Pageviews.

0 comment
"เกษตรฯ"วิเคราะห์"ไบเดน"ชนะไทยมีโอกาสขยายสินค้าเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า(11พ.ย.) ว่า จากที่ผลการเลือกตั้งตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปี 2020 เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายนที่ผ่านมา “โจ ไบเดน” จากพรรคเดโมแครต เป็นฝ่ายชนะการเลือกตั้ง ได้เป็นว่าที่ประธานาธิบดีคนที่ 46 ของสหรัฐฯ ซึ่งมีผลกระทบทั้งมุมโอกาสและปัญหาต่อประเทศไทยในประเด็นความสำคัญของสหรัฐต่อโลกทั้งเชิงบวกและเชิงลบ

โดยเฉพาะภาคเกษตรในภาพรวม สหรัฐอเมริกามีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก รัฐบาลสหรัฐถือว่ามีอิทธิพลอันดับต้นๆ ของโลก และการค้าโลก ใช้เงินสกุล US ดอลลาร์ เป็นหลัก การเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นสหรัฐส่งผลต่อตลาดหุ้นทั่วโลกการเคลื่อนไหวของค่าเงิน US ดอลลาร์ ส่งผลต่อค่าเงินสกุลอื่นทั่วโลก

สำหรับสหรัฐคือตลาดส่งออกใหญ่อันดับ 2 ของไทย เงินสำรองระหว่างประเทศไทย  มีเงินสกุล USดอลลาร์ อยู่ไม่น้อย ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวตาม US ดอลลาร์สหรัฐ ยังคงให้สิทธิพิเศษทางภาษี (GSP) กับสินค้า 644 รายการ สหรัฐคือกลุ่มทุนซีกโลกตะวันตกที่ลงทุนในไทยมากอันดับต้น ๆ




 




 
นโยบายของสหรัฐภายใต้การนำของผู้นำคนใหมจะส่งผลให้นโยบายการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐ มีแนวโน้มกลับมาผ่อนคลายมากขึ้น การค้าจะเปิดเสรีมากขึ้น สหรัฐจะเข้าสู่กติกาการค้าโลก นโยบายและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเพิ่มรายจ่ายภาครัฐเพื่อขยายโครงสร้างพื้นฐาน และเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ

อีกทั้งเพิ่มอัตราจัดเก็บภาษีธุรกิจและภาษีคนรวย ซึ่งอาจมีผลทำให้ภาวะการลงทุนภายในประเทศของสหรัฐชะลอตัวลง แต่จะเป็นผลดีต่อไทยและประเทศในแถบเอเชียที่จะเป็นแหล่งรองรับนักลงทุนสหรัฐที่ย้ายฐานออกมาโดยเฉพาะในสาขาอุตสาหกรรมเกษตร ด้านการต่างประเทศ นโยบาย Free Trade with Alies เน้นทำการค้าเสรีแบบมีเงื่อนไขแต่ยังคงถ่วงดุลอำนาจจีน

โดยสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศพันธมิตรเดิมโดยเฉพาะสมาชิกในความตกลงการค้า TPP เดิม ด้านการเกษตรภาพรวม ขยายฐานเสียงสู่ชาวอเมริกันชนชั้นกลางในเขตชนบท ด้านนโยบายการค้าสินค้าเกษตร เน้นนโยบายการค้าที่ส่งผลดีต่อเกษตรกรชาวอเมริกัน เน้นการจัดการการผลิตที่ล้นตลาด (global overcapacity) เพื่อป้องกันการทุ่มตลาดและส่งผลต่อการค้า รวมทั้งเข้มงวดในมาตรการด้านการจัดการและกำหนดบทลงโทษกับคู่ค้าที่ฝ่าฝืนมาตรการดังกล่าว




 




 
คาดว่าสหรัฐจะมีการกำหนดเงื่อนไขทางการค้าที่เป็นมาตรการที่ไม่ใช่ภาษีมากขึ้น เช่น การละเมิดสิทธิมนุษยชน สิทธิแรงงาน ปัญหาสิ่งแวดล้อม และการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ด้านภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม สหรัฐจะหันกลับมาใส่ใจกับการลดปัญหาภาวะโลกร้อนมากขึ้น โดยวางแผนตั้งเป้าหมายให้อเมริกาเป็นอุตสาหกรรมเกษตรรายแรกของโลกที่ประสบความสำเร็จในการปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ (Net-zero emission) และสร้างโครงสร้างพื้นฐาน ระบบน้ำ การขนส่ง พลังงาน ให้เพียงพอและรองรับต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศได้

ผลการเลือกตั้ง ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปี 2020 ซึ่ง โจ ไบเดน ได้รับชัยชนะสศก. ได้ติดตามและวิเคราะห์ประเมินทิศทางนโยบายต่อภาคเกษตร คาดว่า นโยบายการค้าระหว่างประเทศจะผ่อนคลายมากขึ้น เนื่องจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ให้ความสำคัญกับการส่งออกสินค้าเกษตรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเช่นเดียวกับที่ โจ ไบเดนให้ความสำคัญ รวมไปถึงเรื่องความปลอดภัยอาหาร การแสดงที่มาของผลผลิต การควบคุมการผลิตทั้งปริมาณและคุณภาพ

โดยไทยมีโอกาสขยายการเปิดตลาดสินค้าเกษตรคุณภาพสูงที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและการสร้างมูลค่าเพิ่มทางการตลาดได้มากขึ้น อาทิ ผลิตภัณฑ์ออแกนิค หรือสินค้าเกษตรอินทรีย์ อีกทั้งการเน้นนโยบายการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภาพรวมของสหรัฐให้เติบโต ซึ่งจะเป็นผลดีต่อการส่งออกสินค้าอุปโภค บริโภค และสินค้าเกษตรและอาหารของไทยด้วยเช่นกัน




 




 
นางอังคณา พุทธศรี ผู้อำนวยการกองเศรษฐกิจการเกษตรระหว่างประเทศ สศก. กล่าวเพิ่มเติมถึงสถานการณ์การค้าระหว่างไทยและสหรัฐที่ผ่านมาว่า จากข้อมูลการส่งออกตั้งแต่ปี 2560 - 2562 ประเทศไทยส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐ มูลค่าเฉลี่ย 8.45 แสนล้านบาท

โดยส่งออกสินค้าเกษตรมูลค่าเฉลี่ย 1.28 แสนล้านบาท ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 15.18 ของมูลค่าการส่งออกไปยังสหรัฐทั้งหมด สินค้าส่งออกมูลค่าสูงส่วนใหญ่เป็นกลุ่มอาหารแปรรูปจากเนื้อสัตว์และปลาและสัตว์น้ำ ของปรุงแต่งจากพืชผัก ผลไม้และลูกนัต ธัญพืช อาหารสัตว์เลี้ยง และยางพารา

สหรัฐได้ประกาศการระงับสิทธิ GSP สำหรับสินค้าไทยจำนวน 231 รายการ ที่จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 30 ธันวาคม 2563 ด้วยเหตุผลว่าไทยไม่ปรับปรุงกฎระเบียบที่จะเปิดโอกาสให้สหรัฐฯ เข้าสู่ตลาดเนื้อสุกรของไทยได้อย่างเพียงพอ โดยสินค้าที่ถูกตัดสิทธิ GSP ครั้งนี้ เป็นสินค้าเกษตรจำนวน 44 รายการ แต่มีการนำเข้าในตลาดสหรัฐเพียง 22 รายการ ที่จะได้รับผลกระทบทำให้มีราคาขายสูงขึ้นจากการเสียภาษีนำเข้าที่จะเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 0 เป็นร้อยละ 1.9-9.6




 




 
ทั้งนี้ได้แก่ สินค้าเกษตรที่ถูกเรียกเก็บตามมูลค่าสินค้า (Ad valorem) จำนวน 13 รายการ เช่น พืชมีชีวิต ไขมันและน้ำมันที่ได้จากพืช พืชผักปรุงแต่ง กลูโคสและน้ำเชื่อมกลูโคส และเครื่องเทศ ที่จะเสียภาษีนำเข้าที่จะเพิ่มขึ้น

โดยคิดเป็นต้นทุนทางภาษีที่เพิ่มขึ้นประมาณ 17.72 ล้านบาท และ สินค้าที่ถูกเรียกเก็บภาษีตามสภาพ (Specific Rate) 9 รายการ ซึ่งจะถูกเรียกเก็บภาษีเพิ่มขึ้นตามปริมาณการนำเข้าของสินค้า เช่น ถั่วลิสงปรุงแต่งหรือทำไว้ไม่ให้เสีย เมล็ดถั่วบีน เมล็ดพืชผักที่ใช้สำหรับการเพาะปลูก มะม่วงปรุงแต่ง และถั่วมะแฮะแห้ง

เพื่อเป็นการลดผลกระทบจากการดำเนินมาตรการทางการค้าของสหรัฐที่อาจตามมาในอนาคต ไทยจึงควรเร่งปรับตัว โดยลดต้นทุนการผลิต รวมทั้งเร่งเสริมสร้างประสิทธิภาพการผลิต สร้างมูลค่าเพิ่มสำหรับสินค้า (Value Added) พัฒนาคุณภาพและมาตรฐานความปลอดภัยเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือเพื่อให้ผู้บริโภคมีความพึงพอใจและยอมจ่ายในราคาที่สูงขึ้น และให้ความสำคัญกับการขยายตลาดไปยังประเทศอื่นมากขึ้นเพื่อลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ


 



Create Date : 11 พฤศจิกายน 2563
Last Update : 11 พฤศจิกายน 2563 14:31:56 น.
Counter : 560 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  

สมาชิกหมายเลข 3402302
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



contact >> parwnation@gmail.com
hello welcome
contact =>>parwnation@gmail.com
New Comments