"นฤมล"กำชับ"กรมชลประทาน"จัดการน้ำให้มีประสิทธิภาพ
"นฤมล"กำชับ"กรมชลประทาน"จัดการน้ำให้มีประสิทธิภาพ รับมือฤดูฝน พร้อมเก็บกักน้ำไว้ใช้ช่วงหน้าแล้ง ย้ำ"ประชาชนและเกษตรกร"ต้องได้ผลกระทบน้อยที่สุด
ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า ขณะนี้ประเทศไทยได้เข้าสู่ฤดูฝนแล้ว ตนจึงได้กำชับกรมชลประทานให้เตรียมความพร้อมในการรับมือฤดูฝน ปี 2568 อย่างเต็มศักยภาพ โดยเฉพาะการรองรับสถานการณ์น้ำอย่างรอบด้าน ติดตามสภาพอากาศ การเฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยง จัดเตรียมบุคลากร เครื่องจักร เครื่องมือ และการตรวจสอบอาคารชลประทาน รวมถึงให้เร่งกำจัดผักตบชวาและวัชพืชในน้ำอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มพื้นที่รับน้ำ และประสิทธิภาพการระบายน้ำ พร้อมติดตั้งเครื่องสูบน้ำในจุดเสี่ยงต่าง ๆ ทั่วประเทศ เพื่อรองรับปริมาณฝนที่อาจเพิ่มขึ้น
“กระทรวงเกษตรฯ ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะการระบายน้ำและการเก็บกักน้ำฝนไว้ใช้ในช่วงหน้าแล้ง โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ประชาชนมีน้ำใช้อย่างทั่วถึง และลดผลกระทบที่จะเกิดกับชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน รวมถึงพื้นที่ทางการเกษตรให้ได้มากที่สุด “ศ.ดร.นฤมล กล่าว 
ศ.ดร.นฤมล กล่าวต่อว่า ปีนี้ฝนตกมาตั้งแต่เดือน พ.ค.ซึ่งถือว่า มาไวกว่าปกติ และมีแนวโน้มสูงกว่าค่าเฉลี่ยประมาณร้อยละ 5 ในช่วงปลายเดือนมิถุนายน ถึงต้นเดือนกรกฎาคม สถานการณ์น้ำในปัจจุบันนั้น ประเทศไทยมีปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลางทั้งสิ้น 43,220 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือคิดเป็น 57% ของความจุรวม ยังเพียงพอที่จะรับน้ำได้อีก 43% หรือ 33,270 ล้านลูกบาศก์เมตร แต่เราก็จะไม่ประมาท และได้กำชับเรื่องการระบายน้ำในอ่างเก็บน้ำ
รวมถึงพร่องน้ำในคลองสาขาต่างๆ เพื่อรองรับปริมาณน้ำ และตรวจตราประตูระบายน้ำ และคันกั้นน้ำต่างๆ ให้พร้อมใช้งานอย่างเต็มศักยภาพ สิ่งสำคัญ คือ การบริหารจัดการน้ำในอ่างเก็บน้ำ ต้องเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนดและสอดคล้องกับสถานการณ์ด้วย
สทนช.ระดมผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบอาคาร ยืนยันแข็งแรง ปลอดภัย
ไทย - เกาหลีใต้ หารือทวิภาคีขับเคลื่อนMOUด้านทรัพยากรน้ำ
ไทย - เกาหลีใต้ หารือทวิภาคีขับเคลื่อนความร่วมมือภายใต้ MOU ด้านทรัพยากรน้ำ
ในระหว่างการประชุม The 3rd Mekong-Korea International Water Forum ณ เมืองแทจอน สาธารณรัฐเกาหลี ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) พร้อมด้วย ดร.วินัย วังพิมูล ผู้อำนวยการกองการต่างประเทศ สทนช. ได้ประชุมหารือทวิภาคีกับ Ms. Hyo-jung Kim อธิบดีกรมนโยบายการใช้น้ำ (Water Use Policy Bureau) กระทรวงสิ่งแวดล้อมสาธารณรัฐเกาหลี เพื่อขับเคลื่อนความร่วมมือด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำภายใต้บันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างสองหน่วยงาน สทนช. และกระทรวงสิ่งแวดล้อมแห่งสาธารณรัฐเกาหลี ได้จัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการบริหารจัดการน้ำ เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2562 มีวัตถุประสงค์เพื่อขับเคลื่อนความร่วมมือด้านน้ำระหว่างสองประเทศอย่างเป็นรูปธรรม โดยมีขอบเขตความร่วมมือเกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ อาทิ การพัฒนาระบบจัดการน้ำอัจฉริยะ การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศด้านน้ำ และการจัดการคุณภาพน้ำ ผ่านการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ เทคโนโลยี และแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศ
การประชุมทวิภาคีในครั้งนี้ เลขาธิการ สทนช. กล่าวเน้นย้ำความพร้อมของประเทศไทยในการขับเคลื่อนความร่วมมือภายใต้บันทึกความเข้าใจฯ โดยเสนอจัดการประชุมคณะกรรมการดำเนินงานร่วม (Joint Steering Committee) ว่าด้วยความร่วมมือด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ เพื่อจัดทำแผนปฏิบัติการร่วม (Joint Action Plan) ระยะ 5 ปี 
โดยจะเป็นกรอบแผนงานสำคัญในการขับเคลื่อนความร่วมมือด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของทั้งสองประเทศภายใต้ MOU รวมถึงการแลกเปลี่ยนเรียนรู้การพัฒนาเทคโนโลยีเสมือนจริง (Digital Twin) เพื่อช่วยในการวิเคราะห์ ประเมิน และคาดการณ์สถานการณ์น้ำ ได้อย่างถูกต้องแม่นยำ และทันท่วงที เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการน้ำให้ดียิ่งขึ้น
"ความร่วมมือครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของไทย โดยมุ่งเน้นการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อแก้ไขปัญหาด้านน้ำและเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการทรัพยากรน้ำให้มีความยั่งยืนมากยิ่งขึ้น" เลขาธิการ สทนช. กล่าว
"กระทรวงเกษตรฯ"ยืนยันน้ำไม่ท่วมกรุงเทพฯ
"กระทรวงเกษตรฯ"เดินหน้าบริหารจัดการน้ำเหนือเร่งรัดการระบายน้ำออกสู่อ่าวไทยพร้อมวางมาตรการแนวทางการการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย
นายเอกภาพ พลซื่อ โฆษกกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (ฝ่ายการเมือง) เปิดเผยถึงสถานการณ์น้ำปัจจุบัน (9 ต.ค.67) ว่า ขณะนี้ปริมาณฝนในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ลดน้อยลงแล้ว ทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำปิงที่สถานีวัดน้ำ P.1 (สะพานนวรัฐ) อำเภอเมืองเชียงใหม่ ลดต่ำกว่าตลิ่งแล้วประมาณ 93 เซนติเมตร แนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง หากไม่มีฝนตกหนักลงมาเพิ่ม คาดการณ์ว่าภายใน 1-2 วัน สถานการณ์น้ำท่วมขังในเขตอำเภอเมืองเชียงใหม่ จะเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติ 
ส่วนพื้นที่รอบนอกคาดว่าจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติภายใน 2 สัปดาห์ เช่นเดียวกับสถานการณ์น้ำในพื้นที่จังหวัดลำพูน ล่าสุดระดับในแม่น้ำปิงมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยโครงการชลประทานลำพูน ได้บูรณาการร่วมกับหน่วยงานท้องถิ่น เร่งบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน ด้วยการนำเครื่องสูบน้ำเข้าไปติดตั้งตามประตูระบายน้ำ (ปตร.) ต่างๆ ในตัวเมืองลำพูน
อาทิ ปตร.ปิงห่าง ปตร.ร่องกาศ ปตร.ปลายเหมือง ฝายชลขันธ์พินิจ (แม่ปิงเก่า) และ ปตร.ล้องพระปวน พร้อมติดตั้งเครื่องผลักดันน้ำที่ ปตร.สบทา เพื่อเร่งระบายน้ำในพื้นที่ลงสู่แม่น้ำปิงให้เร็วที่สุด เพื่อลดผลกระทบจากปัญหาอุทกภัยทั้งในพื้นที่ จ.เชียงใหม่และลำพูนหากไม่มีฝนตกหนักและไม่มีน้ำจากพื้นที่ตอนบนไหลลงมาเพิ่ม คาดว่าภายใน 1 สัปดาห์ สถานการณ์น้ำท่วมเมืองลำพูนจะกลับเข้าสู่สภาวะปกติ
ด้านสถานการณ์น้ำในลุ่มน้ำเจ้าพระยา ปัจจุบันยังคงมีปริมาณน้ำสะสมจากทางตอนบนไหลลงสู่พื้นที่ตอนล่างอย่างต่อเนื่อง ทำให้วันนี้(9 ต.ค. 67) ที่สถานีวัดน้ำ C.2 อำเภอเมืองนครสวรรค์ มีปริมาณน้ำไหลผ่านในอัตรา 2,318 ลบ.ม./วินาที แนวโน้มลดลง แต่ยังคงทำให้ระดับน้ำเหนือเขื่อนเจ้าพระยายกตัวสูงขึ้น 
กรมชลประทาน ได้บริหารจัดการน้ำเข้าระบบชลประทานทั้ง 2 ฝั่งของแม่น้ำเจ้าพระยา ตามศักยภาพของคลองและสอดคล้องกับปริมาณฝนที่ตกในพื้นที่ พร้อมคงการระบายน้ำผ่านเขื่อนเจ้าพระยาต่อเนื่องอยู่ในอัตรา 2,199 ลบ.ม./วินาที เพื่อลดผลกระทบพื้นที่ด้านท้ายเขื่อนให้มากที่สุด ซึ่งการระบายน้ำในอัตราดังกล่าวติดต่อกันมา 4 วันแล้ว ทำให้ระดับน้ำท้ายเขื่อนเจ้าพระยาทรงตัว
ในขณะที่ลุ่มเจ้าพระยาตอนล่าง ที่สถานีวัดน้ำ อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา มีปริมาณน้ำไหลผ่านเฉลี่ย 1,791 ลบ.ม/วินาที ไม่มีผลกระทบต่อพื้นที่ชั้นในของกรุงเทพมหานครและปริมณฑล แต่อาจจะมีผลกระทบกับประชาชนที่อาศัยอยู่ริมแม่น้ำหรือในพื้นที่ที่มีระดับตลิ่งต่ำ ในช่วงที่มีน้ำทะเลหนุนสูง
ทางด้านเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ได้วางแผนปรับลดการระบายน้ำลงอย่างต่อเนื่อง จนเหลือในอัตรา 10 ลบ.ม./วินาที ภายในวันพรุ่งนี้ (10 ต.ค.67) เพื่อลดปริมาณน้ำที่จะไหลลงไปสมทบกับแม่น้ำเจ้าพระยา ช่วยบรรเทาปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ทางตอนล่างของลุ่มเจ้าพระยาในเขตกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล โดยจะเก็บกักน้ำไว้ในอ่างฯในช่วงปลายฤดูฝนเดือนสุดท้ายให้ได้มากที่สุดต่อไป 
สถานการณ์น้ำฝน-น้ำท่าปัจจุบันวันที่(9 ต.ค. 67) ปริมาณน้ำไหลผ่านแม่น้ำเจ้าพระยาสถานี C.2 นครสวรรค์ที่2,326 ลบ.ม./วินาที สมทบกับปริมาณน้ำไหลผ่านแม่น้ำสะแกกรัง ct.19 อุทัยธานี 41 ลบ.ม./วินาที ระบายผ่านเขื่อนเจ้าพระยาที่อัตรา 2,199 ลบ.ม./วิ ระดับน้ำเหนือเขื่อนเจ้าพระยาอยู่ที่ +16.40 ม.รทก. ดังนั้น เพื่อให้การบริหารจัดการน้ำเป็นไปอย่างเหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์น้ำฝน-น้ำท่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทาน
จึงได้ขอให้โครงการฯ ปรับลดปริมาณน้ำไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยาในวันที่ 10 ตุลาคม 2567ทยอยจากอัตรา 2,199 ลบ.ม/วินาที เหลืออัตรา 2,150 ลบ.ม/วินาที และคงอัตราต่อเนื่อง พร้อมทั้งสร้างการรับและประชาสัมพันธ์ให้ทุกภาคส่วนรับทราบถึงสถานการณ์น้ำ
สำหรับสถานการณ์น้ำในเขื่อนต่างๆ ปัจจุบัน (9 ต.ค. 67) อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลางทั่วประเทศ มีปริมาณน้ำรวมกันทั้งสิ้นประมาณ 60,444 ล้าน ลบ.ม. (79% ของความจุอ่างฯ รวมกัน) ยังสามารถรองรับน้ำได้รวมกันอีกกว่า 15,924 ล้าน ลบ.ม. เฉพาะลุ่มน้ำเจ้าพระยา 4 เขื่อนหลัก (เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์) มีปริมาณน้ำรวมกันทั้งสิ้นประมาณ 20,017 ล้าน ลบ.ม. (80% ของความจุอ่างฯ รวมกัน) พร้อมทั้งสามารถรองรับน้ำได้รวมกันอีกกว่า 4,854 ล้าน ลบ.ม.
กระทรวงเกษตรฯ ขอยืนยันว่าน้ำจะไม่ท่วมพื้นที่ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล แต่อาจจะมีผลกระทบกับประชาชนที่อาศัยอยู่ริมแม่น้ำ หรือในพื้นที่ที่มีระดับตลิ่งต่ำ ในช่วงที่มีน้ำทะเลหนุนสูง อย่างไรก็ตาม กระทรวงเกษตรฯ พร้อมปรับแผนการระบายน้ำเขื่อนเจ้าพระยา ให้สอดคล้องกับน้ำเหนือและฝนตกในพื้นที่ต่อไป
นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีการดำเนินงานเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนระยะเร่งด่วน 3 มาตรการ ได้แก่ 1) การฟื้นฟูอาชีพหลังน้ำลด 6 โครงการ 2) การปรับพื้นที่และฟื้นฟูพื้นที่เกษตร 2 โครงการ และ 3) มาตรการลดภารหนี้สินให้สมาชิกสถาบันเกษตรกร 2 โครงการ อีกทั้ง กระทรวงเกษตรฯ ได้กำชับหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินงานเร่งรัดเพื่อช่วยเหลือพี่น้องผู้ประสบอุทกภัย พร้อมปรับเกณฑ์ย่นระยะเวลาในการช่วยเหลือ จาก 90 วัน ให้เหลือ 65 วัน อีกด้วย