All Blog
สทนช.เร่งฟื้นฟูแหล่งน้ำขนาดเล็ก-พัฒนาระบบประปาภูเขา


สทนช. ลงพื้นที่ จ.แม่ฮ่องสอน และ จ.เชียงใหม่ บูรณาการหน่วยงานเดินหน้าสำรวจชี้เป้าพื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำ เร่งฟื้นฟูแหล่งน้ำขนาดเล็ก พัฒนาระบบประปาภูเขา/โครงข่ายกระจายน้ำ เสริมศักยภาพแหล่งกักเก็บน้ำ พร้อมวางแผนแก้ปัญหาน้ำทั้งระบบให้สอดคล้องศักยภาพและภูมิสังคม เพื่อสร้างความมั่นคงด้านน้ำให้ยั่งยืน


ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำและพื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำในพื้นที่ภาคเหนือ ตาม 9 มาตรการรองรับฤดูแล้ง ปี 2566/67 เพื่อรับทราบสภาพปัญหาและความต้องการด้านน้ำช่วงฤดูแล้งในพื้นที่ พร้อมลงพื้นที่ติดตามแนวทางการบริหารจัดการน้ำของระบบประปาภูเขาและแหล่งกักเก็บน้ำในชุมชน พร้อมร่วมพูดคุยกับผู้นำชุมชนและชาวบ้านในพื้นที่ด้วย



 





เลขาธิการ สทนช. เปิดเผยว่า ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอนได้ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่เนื่องจากแม่ฮ่องสอนเป็นพื้นที่เฉพาะ ที่มีพื้นที่ราบน้อย ส่วนใหญ่เป็นป่าและภูเขา ประชากรมีความหลากหลายด้านชาติพันธุ์ ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทำการเกษตร และใช้น้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติเป็นระบบประปาภูเขา


ดังนั้น การพัฒนาแหล่งน้ำทั้งระบบจะต้องพิจารณาจัดทำโครงการเฉพาะเป็นรายพื้นที่ เช่น การพัฒนาแหล่งกักเก็บน้ำขนาดเล็กหรือแหล่งน้ำใต้ดิน การขยายระบบกระจายน้ำจากแหล่งน้ำสาธารณะส่งต่อเชื่อมโยงให้ครอบคลุมทุกครัวเรือน ซึ่งต้องมีการศึกษาบริบทของพื้นที่เพื่อจัดทำแผนงานโครงการให้สอดคล้องกับศักยภาพและภูมิสังคมด้วย


จากการลงพื้นที่ ต.จองคำ ต.ปางหมู ต.ผาบ่อง อ.เมือง และ ต.ขุนยวม อ.ขุนยวม มีพื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคและการเกษตรในระดับปานกลางถึงระดับมาก โดยเฉพาะในห้วงเดือน มี.ค. เม.ย. และ พ.ค.ของปีนี้ เนื่องจากขาดแหล่งกักเก็บน้ำที่ไหลจากต้นน้ำ มีเพียงถังกักเก็บน้ำสำหรับทำประปาภูเขาซึ่งไม่เพียงพอสำหรับใช้ในฤดูแล้ง ในระยะสั้น





 




 

จึงได้แนะนำให้พื้นที่เร่งทำฝายชั่วคราวเพื่อกักเก็บน้ำไว้และสูบส่งต่อเข้าถังเก็บน้ำให้เพียงพอในฤดูแล้งนี้ ระยะยาวได้มอบกรมชลประทานพิจารณาจัดทำฝายถาวร และอ่างเก็บน้ำขนาดเล็กหลายๆ จุด เพื่อบริหารจัดการน้ำในลักษณะอ่างพวงให้เหมาะสมกับพื้นที่ต่อไป และยังได้ประสานหน่วยงานที่รับผิดชอบให้เร่งพิจารณาช่อมแซมคันดินปากอ่างเก็บน้ำห้วยปุ๊ให้มีสภาพสมบูรณ์ เนื่องจากปีนี้มีคาดการณ์จะเกิดปรากฏการณ์ลานีญาทำให้ฝนตกหนัก หากอ่างเก็บน้ำพังอาจส่งผลกระทบพื้นที่ประชาชนได้


ส่วนปัญหาน้ำในสระรัชดาและสระนาไม้ม่วง ที่ปริมาณน้ำอาจไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้น้ำในช่วงฤดูแล้งนี้ การแก้ไขในระยะเร่งด่วนให้กรมทรัพยากรน้ำเร่งหาสระกักเก็บน้ำและเพิ่มประสิทธิภาพการส่งกระจายน้ำด้วยระบบโซล่าเซลล์ และระยะกลางให้เตรียมขุดขยายสระเพื่อเพิ่มแหล่งกักเก็บน้ำในพื้นที่ รวมทั้งให้การประปาส่วนภูมิภาคดำเนินการตรวจสอบควบคุมคุณภาพน้ำให้ได้มาตรฐานการผลิตน้ำประปาเพื่อการอุปโภคบริโภคด้วย


นอกจากนี้ จากการลงพื้นที่เพื่อดูสภาพปัญหาลำน้ำแม่ฮ่องสอนตื้นเขิน พบสาเหตุจากตะกอนดินที่สะสมและมีฝายที่มีลักษณะกีดขวางการไหลของน้ำ ในระยะเร่งด่วน เทศบาลเมืองแม่ฮ่องสอนร่วมกับกรมโยธาธิการและผังเมือง มีแผนขุดลอกตะกอนดินตลอดลำน้ำเพื่อฟื้นฟูสภาพแหล่งน้ำและเพิ่มศักยภาพการระบายน้ำ


ส่วนการแก้ไขปัญหาระยะยาว ได้มอบหมายให้กรมชลประทานพิจารณาความเหมาะสมทั้งระบบ ในการรื้อถอนฝายหรือปรับรูปแบบเป็นประตูระบายน้ำเพื่อควบคุมการไหลของน้ำได้อย่างเหมาะสม เพื่อพัฒนาลำน้ำแม่ฮ่องสอนให้แลนด์มาร์คแห่งใหม่ของจังหวัด เป็นพื้นที่สาธารณะที่ประชาชนจะสามารถเข้าไปทำกิจกรรมต่าง ๆ รวมทั้งเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ผสมผสานบนพื้นฐานศิลปวัฒนธรรมด้วย





 





ในส่วนของ จ.เชียงใหม่ พื้นที่ ต.แม่นาจร อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ พบว่า น้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคมีไม่เพียงพอทุกหมู่บ้าน โดยบางพื้นที่เริ่มขาดแคลนน้ำตั้งแต่ช่วงเดือน พ.ย. เป็นต้นมา ส่วนใหญ่ใช้น้ำจากระบบประปาภูเขา ไม่มีแหล่งน้ำอื่นสำรอง เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการขุดเจาะบ่อน้ำบาดาลค่อนข้างสูง บางพื้นที่ติดพื้นที่ป่า/พื้นที่อุทยานไม่สามารถดำเนินขุดเจาะได้ อีกทั้ง ระบบกระจายน้ำไม่ครอบคลุมในพื้นที่ สาเหตุจากสภาพพื้นที่เป็นป่าเขาและภูเขาสูงชัน ทุรกันดาร และการคมนาคมไม่สะดวก


โดยแนวทางการพัฒนาแหล่งน้ำพื้นที่ อ.แม่แจ่ม ในระยะสั้นได้กำชับให้กรมทรัพยากรน้ำเตรียมความพร้อมโครงการพัฒนาแหล่งกักเก็บน้ำและระบบส่งกระจายน้ำ และให้กรมพัฒนาที่ดิน เตรียมความพร้อมโครงการเพิ่มความชุ่มชื้นในดินและพัฒนาแหล่งน้ำต้นทุนเพื่อการเกษตร เพื่อเสนอเข้าระบบ Thai Water Plan ให้ทันในเดือน เม.ย. นี้ และมอบหน่วยงานพื้นที่ร่วมกับกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเร่งดำเนินการซ่อมแซมระบบประปาภูเขาแม่นาจรเหนือเพื่อให้สามารถส่งกระจายน้ำและกักเก็บไว้ใช้เพียงพอฤดูแล้งนี้


ส่วนการแก้ไขปัญหาระยะยาวนั้น เนื่องจากพื้นที่ อ.แม่แจ่ม เป็น 1 ในพื้นที่นำร่อง ตามโครงการ MOU ดิน น้ำ ป่า อยู่แล้วโดย สทนช.จะร่วมกับอีก 5 หน่วยงานดำเนินการจัดทำแผนพัฒนาพื้นที่ระยะ 5 ปี เพื่อแก้ไขปัญหาการปลูกพืชเชิงเดี่ยวในพื้นที่ โดยปรับเปลี่ยนเป็นปลูกพืชเศรษฐกิจไม้ยืนต้นทดแทนเพื่อการฟื้นฟูระบบนิเวศได้อย่างยั่งยืน





 




 

จากสภาพพื้นที่และข้อจำกัดด้านกฎระเบียบของต่างหน่วยงาน ทำให้การขับเคลื่อนการพัฒนาแหล่งน้ำของทั้ง 2 จังหวัด ติดขัด ไม่สอดคล้องกัน จึงต้องมีการบูรณาการหน่วยงานเพื่อแก้ไขปัญหาในภาพรวม ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ซึ่ง สทนช. มีความร่วมมือกับ 5 หน่วยงาน ได้แก่ กรมพัฒนาที่ดิน กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช กรมป่าไม้ กรมทรัพยากรธรณี และกรมทรัพยากรน้ำ


ภายใต้กรอบ MOU การอนุรักษ์และฟื้นฟูระบบนิเวศและป้องกันการชะล้างพังทลายของดินแบบบูรณาการตามแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี (ดิน น้ำ ป่า) เพื่อบูรณาการความร่วมมือในด้านต่าง ๆ ในการส่งเสริมประสิทธิภาพ รวมถึงร่วมขับเคลื่อนแผนบูรณาการเชิงพื้นที่ระดับลุ่มน้ำ


โดย สทนช. เตรียมประสานทั้ง 5 หน่วยงาน อีก 2 หน่วยงาน คือ กรมชลประทานและกรมเจ้าท่า ในการจัดทำแผนงานเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำทั้งน้ำแล้ง น้ำท่วม และคุณภาพน้ำในเชิงพื้นที่อย่างเป็นระบบ (Area Based) และสอดคล้องกับแผนแม่บทลุ่มน้ำ โดยจะใช้ “แม่ฮ่องสอนโมเดล” เป็นต้นแบบในการบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ ให้กับพื้นที่อื่น ๆ เพื่อสร้างความมั่นคงด้านน้ำอย่างยั่งยืนต่อไป




 



Create Date : 16 กุมภาพันธ์ 2567
Last Update : 16 กุมภาพันธ์ 2567 16:46:25 น.
Counter : 229 Pageviews.
0 comment
(โหวต blog นี้) 
"สมศักดิ์”ย้ำพร้อมสร้างความมั่นคง EEC หนุนโครงข่ายน้ำตะวันออก



สทนช. บูรณาการสร้างการมีส่วนร่วมเพิ่มประสิทธิภาพการสูบผันน้ำลุ่มเจ้าพระยาและลุ่มน้ำป่าสัก จากคลองพระองค์ไชยานุชิต-อ่างเก็บน้ำบางพระ ผ่านโครงข่ายน้ำภาคตะวันออก สู้วิกฤตเอลนีโญ ทุบสถิติสูงสุดในรอบ 8 ปีกว่า 64 ล้าน ลบ.ม. โดยไม่กระทบพื้นที่ต้นน้ำ สร้างความมั่นคงด้านน้ำให้กับพื้นที่ EEC มั่นใจเพียงพอกับความต้องการใช้ในทุกภาคส่วน

 
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลประสบผลสำเร็จในการสร้างความมั่นคงด้านน้ำให้กับพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) จากการติดตามสถานการณ์ล่าสุดปริมาณน้ำต้นทุนเพียงพอกับความต้องการในทุกภาคส่วนไม่ว่าจะเป็นน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค การเกษตร และอุตสาหกรรม แม้ในช่วงที่ผ่านมามีปริมาณฝนตกต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในพื้นที่รับน้ำของอ่างเก็บน้ำบางพระ จ.ชลบุรี อันเนื่องมาจากสภาวะเอลนีโญ แต่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.)






 






ได้บูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้โครงข่ายน้ำภาคตะวันออกในการสูบผันน้ำ โดยเฉพาะการสูบผันน้ำจากลุ่มน้ำเจ้าพระยาและลุ่มน้ำป่าสัก ผ่านทางคลองพระองค์ไชยานุชิตไปยังอ่างเก็บน้ำบางพระ จ.ชลบุรี ควบคู่ไปกับการลงพื้นที่สร้างการมีส่วนร่วมกับประชาชน ทำให้สามารถเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนสร้างความมั่นคงด้านน้ำให้กับพื้นที่ EEC ได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งยังได้วางแผนบริหารจัดการน้ำล่วงหน้าถึง 2 ปีอีกด้วย

 
ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการ สทนช. กล่าวว่า การสูบผันน้ำจากลุ่มน้ำเจ้าพระยา และลุ่มน้ำป่าสักผ่านทางคลองพระองค์ไชยานุชิตไปยังอ่างเก็บน้ำบางพระ จ.ชลบุรี โดยใช้โครงข่ายน้ำภาคตะวันออกในปีนี้นั้น สามารถสูบผันน้ำเต็มศักยภาพได้ปริมาณมากกว่าทุกปีที่่ผ่านมา เนื่องจากมีการบูรณาการร่วมกันทำงานอย่างมีประสิทธิภาพทั้ง สทนช. กรมชลประทาน การประปาส่วนภูมิภาค





 






บริษัท จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน) (อีสท์ วอเตอร์)  และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ภายใต้ความเห็นชอบของคณะกรรมการลุ่มน้ำชายฝั่งทะเลตะวันออก และคณะกรรมการลุ่มน้ำบางปะกง ให้ดำเนินการตามแผน ซึ่งตามแผนนั้นเริ่มผันน้ำตั้งแต่วันที่ 8 ก.ค. – 30 พ.ย.66 แต่ได้มีการลงพื้นที่สร้างการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน เพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้อง สามารถขยายระยะเวลาการสูบผันน้ำมาสิ้นสุดในวันที่ 15 ธ.ค.ที่ผ่านมา


สำหรับปริมาณน้ำที่สูบผันน้ำจากคลองพระองค์ไชยานุชิตมากักเก็บไว้ในอ่างเก็บน้ำบางพระในปี 2566 มีปริมาณทั้งหมด 64.69 ล้านลูกบากศก์เมตร (ลบ.ม.) แบ่งเป็นช่วงแรกตั้งแต่ที่ 8 ก.ค. – 30 พ.ย. ที่ผ่านมา จำนวน 58.25 ล้าน ลบ.ม. ที่เหลือเป็นปริมาณน้ำที่สูบผันน้ำในช่วงที่ขยายระยะเวลา ตั้งแต่วันที่ 1-15 ธ.ค.66 ตามมติของที่ประชุมคณะกรรมการ CSR และประชาชนในพื้นที่คลองพระองค์ไชยานุชิต





 






ได้กำหนดสูบผันน้ำในอัตราประมาณ 500,000 ลบ.ม. ต่อวัน และจะหยุดสูบเมื่อระดับน้ำหน้าสถานีสูบพระองค์ฯ อยู่ที่ +0.20 ม.รทก. ค่าความเค็ม ไม่เกิน 0.5 กรัมต่อลิตร และการบริหารจัดการน้ำผ่าน ปตร.บึงฝรั่ง ไม่น้อยกว่า 10 ลบ.ม. ต่อวินาที ทั้งนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวขัองยังได้หารือร่วมกันเพื่อขยายกรอบเวลาการสูบผันน้ำเพิ่มเติมหากมีปริมาณน้ำเพียงพอ และอยู่ในเงื่อนไขไม่กระทบต่อการใช้น้ำของเกษตรกรต้นทาง


“สถิติการสูบผันน้ำจากคลองพระองค์ไชยานุชิต-อ่างเก็บน้ำบางพระ ที่ผ่านมา ในปี 2558 สูบผันน้ำได้ 26.68 ล้าน ลบ.ม. ปี 2559 สูบผันน้ำได้ 62.12 ล้าน ลบ.ม ปี 2560 สูบผันน้ำได้ 16.55 ล้าน ลบ.ม ปี 2561 สูบผันน้ำได้ 38.19  ล้าน ลบ.ม ปี 2562 สูบผันน้ำได้ 46.66 ล้าน ลบ.ม ปี 2563 สูบผันน้ำได้ 42.17 ล้าน ลบ.ม ปี 2564 สูบผันน้ำได้ 15.13  ล้าน ลบ.ม ปี 2565 สูบผันน้ำได้ 15.84 ล้าน ลบ.ม  และล่าสุด ปี 2566 สามารถสูบผันน้ำได้ถึง 64.69 ล้าน ลบ.ม. มากที่สุด โดยไม่มีผลกระทบใด ๆ ต่อพื้นที่ต้นน้ำ”ดร.สุรสีห์ กล่าว


เลขาธิการ สทนช. กล่าวต่อว่า นอกจากการสูบผันน้ำจากคลองพระองค์ไชยานุชิต ยังได้มีการสูบผันน้ำแม่่น้ำบางปะกงมายังอ่างเก็บน้ำบางพระอีกด้วย ซึ่งในปี 2566 สามารถสูบน้ำได้รวม 24.85 ล้าน ลบ.ม. เมื่อสูบผันน้ำมาเก็บไว้แล้วจะมีการจัดสรรน้ำไปใช้ในกิจกรรมต่างๆ ควบคู่ไปด้วย






 






ทำให้อ่างเก็บน้ำบางพระล่าสุด มีปริมาณน้ำ 88 ล้านลบ.ม. คิดเป็น 75% เมื่อรวมกับอ่างเก็บน้ำในพื้นที่ EEC เขตจังหวัดชลบุรีและระยอง ทั้งหมด 11 แห่ง มีปริมาณน้ำรวม 632.54 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น 84.50 % ของความจุเพียงพอกับความต้องการใ่ช้น้ำของทุกภาคส่วน โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมในช่วงฤดูแล้งปี 2566/67 และช่วงต้นฤดูฝนปี 2567 อย่างแน่นอน

 
ที่ผ่านมาการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ EEC สทนช. ได้มีการบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการวางแผนรองรับสถานการณ์เอลนีโญ เพื่อสร้างความมั่นคงเรื่องน้ำให้กับพื้นที่ EEC นอกจากจะมีการสูบผันน้ำจากคลองพระองค์ไชยานุชิต-อ่างเก็บน้ำบางพระ และการสูบผันน้ำจากแม่น้ำบางปะกง-อ่างเก็บน้ำบางพระ ดังกล่าวแล้ว ยังได้มีการสูบผันน้ำจากอ่างเก็บน้ำประแสร์-อ่างเก็บน้ำหนองปลาไหล



การสูบน้ำจากสถานีสูบน้ำคลองสะพาน-อ่างเก็บน้ำประแสร์ การสูบผันน้ำจากคลองวังโตนด-อ่างเก็บน้ำประแสร์ และการสูบผันน้ำจากอ่างเก็บน้ำประแสร์-อ่างเก็บน้ำคลองใหญ่ ผ่านโครงข่ายน้ำภาคตะวันออกเพื่อเติมน้ำต้นทุนอย่างต่อเนื่องอีกด้วย พร้อมทั้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องการดำเนินงานตาม 9 มาตรการรับมือฤดูแล้งอย่างเคร่งครัด



 




 



Create Date : 19 ธันวาคม 2566
Last Update : 19 ธันวาคม 2566 16:44:59 น.
Counter : 166 Pageviews.

0 comment
สทนช.เกาะติดฝนตกหนักภาคใต้ช่วง 2 สัปดาห์นี้

สทนช.ลงพื้นที่ปลายด้ามขวาน เกาะติดฝนตกหนักภาคใต้ในช่วง 2 สัปดาห์นี้ บูรณาการทุกหน่วยงานเร่งขับเคลื่อนการปฏิบัติงาน เตรียมพร้อมรับมืออุทกภัย จัดตั้งศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้าในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยภาคใต้ ชี้เป้าจุดเสี่ยง แจ้งเตือนก่อนเกิดเหตุ เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการน้ำ 

 
นายชยันต์ เมืองสง รองเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยหลังเป็นประธานเปิดศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้าในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยภาคใต้ และเป็นประธานการประชุมคณะทำงานอำนวยการบริหารจัดการน้ำส่วนหน้าในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยภาคใต้ว่า ปัจจุบันภาคใต้ได้เข้าสู่ฤดูฝนแล้ว






 






สทนช. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประเมินและวิเคราะห์สถานการณ์น้ำในห้วงเดือนพฤศจิกายน 2566 ที่ผ่านมา มีลมตะวันออกพัดปกคลุมอ่าวไทยประกอบกับมีหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมบริเวณชายฝั่งประเทศมาเลเซีย ทำให้บริเวณภาคใต้จะมีฝนตกเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักมากบางพื้นที่ ประกอบกับการคาดการณ์ฝน (One Map) มีโอกาสที่จะมีฝนตกในภาคใต้มากกว่าปกติ เสี่ยงเกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากท่วมในพื้นที่ลุ่มต่ำได้


ในช่วง 2 สัปดาห์นี้จะต้องเฝ้าระวังสถานการณ์ฝนในพื้นที่ภาคใต้ ซึ่งจากการคาดการณ์ช่วงวันที่ 24 - 27 พฤศจิกายน 2566 ในพื้นที่ภาคใต้ตอนล่างจะมีฝนตกหนักเพิ่มมากขึ้น ได้แก่ จ.สงขลา นราธิวาส ปัตตานี ยะลา รวมทั้ง จ.พัทลุงและนครศรีธรรมราช และหลังจากนั้นในช่วงวันที่ 28 พฤศจิกายน - 4 ธันวาคม 2566 จะมีฝนตกหนักในพื้นที่ภาคใต้ตอนบน ได้แก่ จ.ชุมพร ระนอง สุราษฎร์ธานี และมีน้ำทะเลหนุน ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการระบายน้ำ


รวมทั้งสถานการณ์น้ำที่มีระดับเพิ่มสูงขึ้นในหลายพื้นที่ที่อาจส่งผลให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก รวมทั้งน้ำล้นตลิ่งในบางแห่งโดยเฉพาะในพื้นที่ลุ่มต่ำ ซึ่งปัจจุบันได้เกิดน้ำป่าไหลหลากและมีพื้นที่น้ำท่วมขังแล้ว ได้แก่ จ.นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา และนราธิวาส




 




 

นอกจากนี้ ยังต้องเฝ้าระวังปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดกลางในพื้นที่ภาคใต้ที่มีปริมาณน้ำเกิน 80% ไปแล้ว จำนวน 10 แห่ง ได้แก่ อ่างเก็บน้ำหาดส้มแป้น จ.ระนอง อ่างเก็บน้ำบางวาด อ่างเก็บน้ำบางเหนียวดำ จ.ภูเก็ต อ่างเก็บน้ำบางทรายนวล อ่างเก็บน้ำคลองสวนหนัง จ.สุราษฎร์ธานี อ่างเก็บน้ำห้วยลึก อ่างเก็บน้ำบางกำปรัด จ.กระบี่ อ่างเก็บน้ำคลองกระทูน จ.นครศรีธรรมราช อ่างเก็บน้ำคลองทรายขาว และอ่างเก็บน้ำคลองท่างิ้ว จ.ตรัง

 

 
รัฐบาลมีความห่วงใยในสถานการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้นในพื้นที่ภาคใต้ จึงได้กำชับให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตาม 12 มาตรการฤดูฝนปี 2566 อย่างเคร่งครัด และได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดเข้าไปช่วยเหลือแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนจากสถานการณ์น้ำท่วมให้แก่ประชาชนอย่างทันท่วงที พร้อมทั้งฟื้นฟู เยียวยา ผู้ได้รับผลกระทบให้สถานการณ์คลี่คลายโดยเร็ว


รวมทั้งเพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อน และเตรียมความพร้อมรับมือฝนที่คาดว่าจะตกหนักในช่วงเดือนธันวาคม 2566 - เดือนมกราคม 2567 โดยการตั้งศูนย์ส่วนหน้าก่อนเกิดภัยเป็นหนึ่งใน 12 มาตรการรับมือฤดูฝน เพื่อเป็นการบูรณาการร่วมกับหน่วยงานต่างๆ และสนับสนุนการปฏิบัติงานของหน่วยงานในพื้นที่ อีกทั้งเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการน้ำร่วมกันในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยให้เกิดความเป็นเอกภาพด้วย




 



 

 
ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการน้ำแห่งชาติ สทนช. กล่าวเพิ่มเติมว่า การจัดตั้งศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้าในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยภาคใต้ในครั้งนี้ เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมในการปฏิบัติงานตั้งแต่การป้องกันก่อนเกิดภัย ร่วมกับหน่วยที่เกี่ยวข้องในการวางแผนและจัดสรรน้ำอย่างเหมาะสม การวิเคราะห์คาดการณ์ที่แม่นยำทันต่อเหตุการณ์


การประชุมในวันนี้ได้เห็นชอบให้ดำเนินการจัดตั้งศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้าในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยภาคใต้ และได้ใช้ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) จังหวัดยะลา เป็นสถานที่ปฏิบัติงาน เพื่อบูรณาการทำงานร่วมกันด้านการบริหารจัดการน้ำและเผชิญเหตุทั้งในส่วนกลางและหน่วยปฏิบัติในพื้นที่ เพื่อติดตาม วิเคราะห์ คาดการณ์สถานการณ์น้ำ


พร้อมแจ้งเตือน รวมถึงต้องเตรียมเครื่องจักรเครื่องมือ แผนเผชิญเหตุ และให้ความช่วยเหลือบรรเทาผลกระทบต่อประชาชน มีความเป็นเอกภาพทันต่อสถานการณ์ โดยแบ่งเป็น 3 ส่วน 2 ศูนย์ ได้แก่ ส่วนอำนวยการ ส่วนปฏิบัติการ ส่วนสนับสนุน ศูนย์ประชาสัมพันธ์ และศูนย์ประสานการปฏิบัติ




 





 



Create Date : 21 พฤศจิกายน 2566
Last Update : 21 พฤศจิกายน 2566 20:20:21 น.
Counter : 125 Pageviews.

0 comment
“สมศักดิ์”ถกกนช.นัดแรกเตรียมรับมือเอลนีโญ


นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) พร้อมกล่าวว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบต่อ (ร่าง) นโยบายการบริหารทรัพยากรน้ำของ กนช. โดยมอบหมาย สทนช. บูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งรัดขับเคลื่อนแผนงาน โครงการภายใต้แผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี (ปรับปรุงครั้งที่ 1 พ.ศ. 2566-2580) ให้ครอบคลุมนโยบายดังกล่าว และเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.)




 




 

พร้อมกันนี้ ได้ร่วมกันพิจารณาในประเด็นสำคัญต่าง ๆ โดยเฉพาะการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในช่วงฤดูแล้ง ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดภายใต้เงื่อนไขของสภาวะเอลนีโญ ซึ่งจะมาถึงในช่วงเดือน พ.ย. ที่ประชุมมีมติเห็นชอบต่อ (ร่าง) มาตรการรองรับฤดูแล้ง ปี 66/67 และให้ สทนช. เสนอ ครม. เพื่อทราบต่อไป พร้อมมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดจัดทำแผนปฏิบัติการรองรับมาตรการรองรับฤดูแล้ง ปี 66/67 โดยรายงานผลการดำเนินการให้ สทนช. ทราบอย่างต่อเนื่องจนกว่าจะสิ้นสุดฤดูแล้ง


อีกทั้ง ได้เห็นชอบโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำเพื่อรองรับสถานการณ์ภัยแล้งและฝนทิ้งช่วง ปี 67 เพื่อแก้ไขปัญหาและบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนจากสถานการณ์ขาดแคลนน้ำหรือเสี่ยงภัยแล้ง ส่งเสริมให้เกิดการสร้างอาชีพ รายได้ และการจ้างแรงงานให้กับประชาชน


โดยให้หน่วยงานจัดเตรียมแผนงานโครงการที่มีความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการให้ถูกต้องครบถ้วนตามหลักเกณฑ์การเสนอขอรับการสนับสนุนงบประมาณภายใต้โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ เพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาภัยแล้งได้ทันต่อสถานการณ์และเป็นไปตามระเบียบ กฎหมายที่เกี่ยวข้อง





 





 
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้เห็นชอบต่อแผนป้องกันและแก้ไขภาวะน้ำแล้งตามที่คณะกรรมการลุ่มน้ำเสนอ จำนวน 10 ลุ่มน้ำ ได้แก่ ลุ่มน้ำโขงตะวันออกเฉียงเหนือ ลุ่มน้ำชี ลุ่มน้ำมูล ลุ่มน้ำยม ลุ่มน้ำน่าน ลุ่มน้ำชายฝั่งทะเลตะวันออก ลุ่มน้ำภาคใต้ฝั่งตะวันออกตอนบน ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา ลุ่มน้ำภาคใต้ฝั่งตะวันออกตอนล่าง และลุ่มน้ำภาคใต้ฝั่งตะวันตก คงเหลือที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการลุ่มน้ำอีก จำนวน 12 ลุ่มน้ำ


ที่ประชุมได้มอบหมายให้นำแผนดังกล่าว ใช้ร่วมกับมาตรการรองรับฤดูแล้ง ปี 66/67 และแผนปฏิบัติการของหน่วยงาน รวมถึงแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ. 2564 – 2570 เพื่อเตรียมการรองรับภาวะน้ำแล้ง โดยให้คณะกรรมการลุ่มน้ำติดตามการดำเนินการให้เป็นไปตามแผน และทบทวนแผนให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป


รองนายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า ที่ประชุมยังได้เห็นชอบในหลักการโครงการปรับปรุงคลองชักน้ำแม่น้ำยมฝั่งขวา จ.สุโขทัย ระยะเวลาดำเนินการ 6 ปี (ปี 68-73) เพื่อช่วยบรรเทาความเสียหายจากอุทกภัยในลุ่มน้ำยมช่วง อ.สวรรคโลก อ.ศรีสำโรง และอ.เมืองสุโขทัย โดยเมื่อดำเนินการแล้วเสร็จจะสามารถบริหารจัดการร่วมกับระบบชลประทานในพื้นที่ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น อีกทั้งยังเป็นแหล่งน้ำต้นทุนสำรอง สำหรับใช้อุปโภคบริโภคในช่วงฤดูแล้ง ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ได้อีกทางหนึ่ง





 




 

โดยให้กรมชลประทาน เร่งดำเนินการเตรียมความพร้อมด้านการออกแบบในส่วนที่เหลือให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และให้ดำเนินกระบวนการมีส่วนร่วม การชดเชยผู้ได้รับผลกระทบอย่างเหมาะสม รวมถึงเตรียมมาตรการรองรับผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการอย่างรอบด้านด้วย และให้เสนอต่อ ครม. ต่อไป


ดร.สุรสีห์  กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) กล่าวว่า ที่ประชุมยังได้มีมติเห็นชอบต่อหลักเกณฑ์ โครงสร้างและขั้นตอนการปฏิบัติงานตามมาตรา 24 แห่ง พ.ร.บ.ทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 เนื่องด้วยกรอบโครงสร้างศูนย์บัญชาการเฉพาะกิจและแผนปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาวิกฤติน้ำตามมาตราดังกล่าว แต่เดิมเป็นการดำเนินการเฉพาะปัญหาอุทกภัยเพียงอย่างเดียว


สทนช. จึงได้ทบทวนและหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและนักวิชาการ เห็นควรให้มีการดำเนินการให้ครอบคลุมทุกปัญหาด้านน้ำ ทั้งปัญหาอุทกภัย ภัยแล้ง และปัญหาคุณภาพน้ำ และได้จัดทำหลักเกณฑ์โดยแบ่งเป็น 3 ระดับ ซึ่งเป็นไปตามลักษณะความรุนแรง โครงสร้างและขั้นตอนการปฏิบัติงาน เพื่อใช้สำหรับการแก้ปัญหาวิกฤติน้ำในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น



 




 



Create Date : 27 ตุลาคม 2566
Last Update : 27 ตุลาคม 2566 17:52:36 น.
Counter : 190 Pageviews.

0 comment
"สทนช."เร่งเก็บกักน้ำฝนปลายฤดู-เพิ่มน้ำต้นทุนรับมือ“เอลนีโญ”
 

สทนช.คุมเข้มบริหารจัดการน้ำช่วงปลายฤดูฝน ลดผลกระทบต่อประชาชน ขณะนี้ฝนตกหนักในหลายพื้นที่ ใช้วิกฤตเป็นโอกาสเร่งเก็บกักน้ำให้ได้มากที่สุด หวังเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนให้เขื่อนต่างๆ โดยเฉพาะลุ่มเจ้าพระยาและEEC รับมือสภาวะเอลนีโญ






 






ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยถึงสถานการณ์น้ำในช่วงปลายฤดูฝนว่า สถานการณ์เอลนีโญทำให้ปริมาณฝนตกในประเทศไทยปีนี้น้อยกว่าค่าปกติประมาณ 14% โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคกลางปริมาณฝนน้อยกว่าค่าปกติถึง 31% และภาคตะวันออก 26% 


อย่างไรก็ตาม จากการแจ้งเตือนของกรมอุตุนิยมวิทยา พบว่า ในช่วงระหว่างวันที่ 26-29 ก.ย. 66 ให้ระมัดระวังฝนตกหนัก และฝนตกหนักมากในหลายพื้นที่ เนื่องจากอิทธิพลของพายุดีเปรสชันบริเวณทะเลจีนใต้ตอนกลางจะเคลื่อนผ่านประเทศไทยตอนบนตามแนวร่องมรสุม 






 






 
ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทย จะมีกำลังแรงขึ้น ลักษณะเช่นนี้จะทำให้ประเทศไทยมีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนัก โดยจะมีฝนตกหนักมากในบริเวณภาคเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง 


รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคตะวันออก และภาคใต้ ซึ่งจะส่งผลดีต่อปริมาณน้ำต้นทุนในอ่างเก็บน้ำของเขื่อนและแหล่งน้ำต่างๆ ทำให้มีปริมาณน้ำเก็บกักเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้จากการคาดการณ์ในช่วงสัปดาห์นี้จะมีปริมาณน้ำไหลลงอ่างขนาดใหญ่ 35 แห่งทั่วประเทศ ประมาณ 4,700 ล้าน ลบ.ม. โดยเฉพาะใน 4 เขื่อนหลักเจ้าพระยา จะมีปริมาณน้ำไหลลงเขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ รวมกันประมาณ 1,300 ล้าน ลบ.ม. 






 





 

รวมทั้งยังจะสามารถเพิ่มปริมาณน้ำอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ 3 แห่ง ในเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ได้อีกประมาณ 220 ล้าน ลบ.ม. สามารถสนับสนุนความต้องการใช้น้ำทั้งภาคอุปโภค-บริโภค การรักษาระบบนิเวศ ภาคอุตสาหกรรม ภาคเกษตรต่อเนื่อง และไม้ผล ได้อย่างเพียงพอ



 




 



Create Date : 27 กันยายน 2566
Last Update : 27 กันยายน 2566 17:25:17 น.
Counter : 263 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  

สมาชิกหมายเลข 3402302
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



contact >> parwnation@gmail.com
hello welcome
contact =>>parwnation@gmail.com
New Comments