"กรมชลฯ"พบชาวบ้านเขาชะเมาเดินหน้าอ่างเก็บน้ำคลองโพล้
นายประพิศ จันทร์มา รองอธิบดีกรมชลประทาน เป็นประธานการประชุมหารือและรับฟังความคิดเห็น โครงการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำคลองโพล้ จังหวัดระยอง โดยมี นายปกครอง สุดใจนาค ผู้อำนวยการสำนักงานก่อสร้างชลประทานขนาดใหญ่ที่ 6 พร้อมด้วยผู้แทนจากหน่วยงานราชการระดับจังหวัด ระดับอำเภอ และระดับตำบล องค์กรภาคประชาชน ผู้นำชุมชน
ประชาชนผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจากโครงการ เข้าร่วมประชุมเพื่อร่วมแสดงความคิดเห็นและข้อเสนอแนะที่สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนในพื้นที่ให้มากที่สุด โดยสนับสนุนให้กรมชลประทานเร่งดำเนินการสร้างอ่างเก็บน้ำฯ เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่ได้รับประโยชน์โดยเร็วที่สุด ณ หอประชุมอบต.เขาชะเมา จังหวัดระยอง นายประพิศ เปิดเผยการดำเนินโครงการอ่างเก็บน้ำคลองโพล้ ว่า ที่ผ่านมาสถานการณ์ภัยแล้งในจังหวัดระยองได้ทวีความรุนแรงมาตั้งแต่ปลายปี 2562 จนถึงปัจจุบัน ส่งผลกระทบอย่างมากต่อชาวบ้านและเกษตรกร โดยเฉพาะชาวสวนผลไม้ของ อำเภอแกลง อำเภอเขาชะเมา และ อำเภอวังจันทร์ ได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก ทำให้น้ำในห้อยคลองบึงต่างๆ ที่เป็นน้ำ
ต้นทุนเพื่อเกษตรแห้งขอด ส่งผลถึงการผลิตน้ำเพื่อใช้ในการบริโภค ซึ่งที่ผ่านมาพบว่าชาวบ้านเรียกร้องให้กรมชลประทานช่วยดำเนินการสร้างอ่างเก็บน้ำคลองโพล้อย่างเร็วที่สุด เพื่อที่จะได้เป็นแหล่งเก็บกักน้ำให้กับราษฎรในพื้นที่ทั้ง 3 อำเภอ ไว้ใช้งานในด้านต่างๆ ได้อย่างทันท่วงที การประชุมร่วมกับชุมชนและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในพื้นที่ครั้งนี้นั้น จะช่วยสร้างเสริมสร้างการมีส่วนร่วมแก่ทุกภาคส่วน เพื่อให้ราษฎรผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและทุกภาคส่วนรับทราบรายละเอียด ผลประโยชน์ของโครงการ
มีโอกาสเข้ามามีส่วนร่วมในการตัดสินใจตั้งแต่ต้น และถือเป็นสร้างความมั่นใจในการจัดการเรื่องค่าชดเชยที่ดิน ซึ่งจะต้องเป็นธรรมให้แก่พี่น้องประชาชนมากที่สุด เพื่อให้อ่างเก็บน้ำคลองโพล้เป็นอ่างเก็บน้ำของประชาชน เพื่อประชาชน และสร้างประโยชน์ให้แก่ประชาชนอย่างสูงที่สุด โครงการอ่างเก็บน้ำคลองโพล้ จังหวัดระยอง มีลักษณะเป็นเขื่อนดินประเภทแบ่งโซน (Zone Type Dam) มีความยาว 1,680 เมตร สูง 17 เมตร และเขื่อนดินปิดช่องเขาต่ำ 2 แห่ง มีความจุของอ่างเก็บน้ำ 40 ล้านลูกบาศก์เมตร เมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จจะสามารถส่งน้ำให้พื้นที่ชลประทาน 30,000 ไร่ ใน 5 ตำบลของอำเภอเขาชะเมา จังหวัดระยอง
เป็นแหล่งน้ำสำหรับการอุปโภคบริโภค ช่วยบรรเทาอุทกภัยในช่วงน้ำหลาก เป็นแหล่งประมง และเป็นแหล่งท่องเที่ยวให้กับราษฎรในพื้นที่ใกล้เคียง ซึ่งกรมชลประทานมีแผนที่จะเตรียมความพร้อมในปี 2563-2564 และเริ่มก่อสร้างในปี 2565 แล้วเสร็จในปี 2567
"กรมชลฯ"เร่งบริหารจัดการน้ำหลัง"โนอึล"เติมน้ำในเขื่อน
กอนช.ยกระดับติดตาม 24 ชม.เส้นทางพายุโนอึล-เหนือ-อีสานเสี่ยง
กอนช.ยกระดับติดตามสถานการณ์ 24 ชั่วโมง เกาะติดเส้นทางพายุโซนร้อน “โนอึล” ประเมินปริมาณฝน น้ำท่าเฝ้าระวังน้ำล้นตลิ่ง 24 จังหวัดเหนือ-อีสาน พร้อมประสาน 4 กระทรวงหลักหนุนช่วยเหลือระดับพื้นที่ ย้ำหน่วยงานเจ้าภาพรับผิดชอบเขื่อนจัดการน้ำตามแนวเส้นทางพายุให้สอดคล้องกับสถานการณ์
นายสำเริง แสงภู่วงค์ รองเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ในฐานะเลขานุการกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ เปิดเผยถึงสถานการณ์พายุระดับ 3 (โซนร้อน) “โนอึล” คาดว่าเคลื่อนขึ้นฝั่งประเทศเวียดนามตอนกลาง และเคลื่อนเข้าสู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือ และภาคอื่น ๆ ตามลำดับ ในวันที่ 18-20 ก.ย.63 นั้น
ขณะนี้หน่วยงานเกี่ยวข้องภายใต้กองอำนวยการน้ำแห่งชาติได้ประเมินสถานการณ์และวางมาตรการเชิงป้องกันไว้แล้วทั้งบุคลากร เครื่องจักรเครื่องมือ การบริหารจัดการน้ำในแหล่งน้ำต่าง ๆ ที่คาดว่าพายุจะเคลื่อนผ่าน ซึ่งนอกจากการป้องกันในเชิงผลกระทบที่อาจจะเกิดน้ำป่าไหลหลาก น้ำท่วมขังแล้ว ยังมีการวิเคราะห์ ประเมินปริมาณน้ำเก็บกักในเขื่อนต่าง ๆ ในส่วนของอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ไม่มีแหล่งน้ำใดที่น่าเป็นห่วงสามารถรองรับปริมาณฝนได้อีกมาก เนื่องจากโดยเฉลี่ยแล้วมีปริมาณน้ำประมาณ 50% จึงเน้นย้ำทุกหน่วยงานที่รับผิดชอบอ่างเก็บน้ำพิจารณาปรับแผนการระบายน้ำเพื่อให้ลำน้ำ และระบบชลประทานสามารถรองรับน้ำหลากได้เต็มศักยภาพ ขณะที่อ่างเก็บน้ำขนาดกลางและขนาดเล็กที่มีปริมาณน้ำมากกว่า 80% จะต้องบริหารจัดการน้ำในอ่างฯให้เหมาะสมกับปริมาณฝนคาดการณ์เช่นเดียวกัน
เบื้องต้นกองอำนวยการน้ำแห่งชาติได้ประเมินพื้นที่เสี่ยงเฝ้าระวังจากแนวพายุเคลื่อนผ่าน ที่อาจจะส่งผลให้เกิดฝนตกหนักมากกว่า 150 – 250 มิลลิเมตร โดยประเมินร่วมกับความชื้นในดิน ความจุลำน้ำแล้วอาจส่งผลให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำไหลหลาก และน้ำล้นตลิ่ง ได้แก่ แม่น้ำยม แม่น้ำน่าน แม่น้ำป่าสัก แม่น้ำสงคราม แม่น้ำห้วยหลวง แม่น้ำห้วยโมง
แม่น้ำมูล แม่น้ำชี ลำน้ำพุง ลำน้ำเซบก ลำน้ำเซบาย และลำน้ำยัง พบพื้นที่เฝ้าระวังน้ำท่วมฉับพลันใน 24 จังหวัด 94 อำเภอ 194 ตำบล แบ่งเป็น ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 15 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดกาฬสินธุ์ ขอนแก่น ชัยภูมิ นครราชสีมา บุรีรัมย์ มหาสารคาม
ยโสธร ร้อยเอ็ด ศรีสะเกษ สกลนคร สุรินทร์ หนองบัวลำภูอำนาจเจริญ อุดรธานี และอุบลราชธานี และภาคเหนือ 9 จังหวัด ได้แก่ เพชรบูรณ์ แพร่ นครสวรรค์ น่าน พะเยา พิจิตร พิษณุโลก ลำปาง และอุตรดิตถ์ เบื้องต้นกอนช. ได้มีหนังสือด่วนถึง 4 กระทรวงหลัก ได้แก่ กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และคณะอนุกรรมการทรัพยากรน้ำจังหวัด โดยสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติทั้ง 4 ภาคเป็นหน่วยงานกลางในการประสานแจ้งจังหวัดที่มีความเสี่ยงได้รับผลกระทบ เพื่อเตรียมการความพร้อมในการรับมือสถานการณ์ล่วงหน้า รวมถึงแจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่เสี่ยงให้รับทราบล่วงหน้าด้วย
กองอำนวยการน้ำแห่งชาติจะมีการติดตามเฝ้าระวังสถานการณ์ตลอด 24 ชั่วโมง ณ ห้องปฏิบัติการกองอำนวยการน้ำแห่งชาติชั้น 4 สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ถ.วิภาวดีรังสิต เพื่อเป็นศูนย์อำนวยการประสานงานหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยจะมีการรายงานข้อมูลทุก ๆ 3 ชั่วโมงกรณีที่เกิดวิกฤติในพื้นที่
โดยเชื่อมต่อข้อมูลในจังหวัดที่ประสบเหตุอย่างทันท่วงที ซึ่งล่าสุดขณะนี้หน่วยงานต่าง ๆ ได้เตรียมความพร้อมรับมือล่วงหน้าแล้ว อาทิ กรมชลประทาน เตรียมบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ โดยจัดเตรียมเครื่องสูบน้ำ เครื่องผลักดันน้ำ และเจ้าหน้าที่ประจำอยู่ในพื้นที่เสี่ยง ติดตาม ตรวจสอบสภาพความปลอดภัยเขื่อน อ่างเก็บน้ำ อาคารชลประทาน ให้พร้อมใช้งาน
กำจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำ รวมถึงพร่องน้ำจากเขื่อนชนบท จ.ขอนแก่น เขื่อนมหาสารคาม จ.มหาสารคาม เขื่อนวังยาง จ.กาฬสินธุ์ และเขื่อนร้อยเอ็ด จ.ร้อยเอ็ด และบริหารจัดการน้ำในอ่างเก็บน้ำให้อยู่ในเกณฑ์ควบคุม ควบคู่การเก็บกักน้ำให้ได้มากที่สุด โดยไม่ให้กระทบต่อด้านท้ายอ่างฯ รวมถึงสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) ร่วมกับมูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย และกองทัพภาคที่ 2 ได้ร่วมกันหารือในการสนับสนุนการเตรียมการเฝ้าระวังให้ความช่วยเหลือ ป้องกันผลกระทบ โดยตั้งศูนย์ประสานงานให้ความช่วยเหลือประชาชนล่วงหน้าที่ จ.ร้อยเอ็ด
กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ประสานแจ้งจังหวัดและ ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขตในพื้นที่เสี่ยงได้บูรณาการหน่วยงาน เครือข่าย จิตอาสา ภาคเอกชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เตรียมพร้อมทรัพยากรเครื่องจักรเครื่องมือด้านรับมือสาธารณภัย แผนเผชิญเหตุ รวมทั้งเจ้าหน้าที่เพื่อปฏิบัติงาน อำนวยความสะดวก และช่วยเหลือประชาชน
วันพรุ่งนี้ (18 ก.ย.63) คณะทำงานด้านอำนวยการน้ำ ซึ่งมี ดร.สมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ในฐานะรองผู้อำนวยการกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ เป็นประธานการประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อประเมินสถานการณ์แนวโน้มพายุอีกครั้ง ซึ่งอาจจะต้องมีการทบทวนมาตรการในการรับมืออย่างใกล้ชิดต่อไป
"ประพัฒน์"ห่วงเกษตรกรผจญพายุโนอึล
นายประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ ประธานสภาเกษตรกรแห่งชาติ กล่าวด้วยความห่วงใยเกษตรกรถึงพายุที่กำลังเคลื่อนตัวเข้าสู่ประเทศไทยจากการประกาศเตือนของกรมอุตุนิยมวิทยา ว่า ทราบจากการประกาศเตือนภัยว่าพายุลูกใหม่ “โนอึล” ที่บริเวณทะเลจีนใต้ เคลื่อนตัวมาจากแถบทะเลของประเทศฟิลิปปินส์จะขึ้นฝั่งที่ประเทศเวียดนาม ถือว่ามีความรุนแรงกว่าทุกลูกที่ผ่านมาในปีนี้ นั่นหมายความว่าจะส่งผลให้ประเทศไทยโดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีฝนตกมากขึ้น ปริมาณน้ำมากขึ้น ด้านหนึ่งถือเป็นด้านดีเพราะเราเผชิญภัยแล้งมาช้านาน น้ำในเขื่อนเหลือน้อยเต็มที ก็จะมีโอกาสหนึ่งที่จะเติมน้ำในเขื่อนให้มากขึ้น เพิ่มต้นทุนน้ำ
พี่น้องเกษตรกรที่เพาะปลูกอยู่ในพื้นที่น้ำฝนที่อยู่นอกเขตชลประทานก็จะเป็นหลักประกันได้ว่าพืชผลที่ปลูกไว้ก็จะมีน้ำฝนมาหล่อเลี้ยงทำให้ผลผลิตเจริญงอกงามและสามารถเก็บเกี่ยวได้เป็นลำดับต่อไป แต่อีกด้านหนึ่งคืออาจจะเกิดภัยธรรมชาติได้ เช่น พื้นที่เสี่ยงภัยอาจจะเกิดปัญหาน้ำป่าไหลหลาก อาจจะเกิดปัญหาดินถล่ม
อาจจะมีผลกระทบต่อพี่น้องเกษตรกรในชุมชนพื้นที่ต่างๆ จึงขอแจ้งเตือนให้เกษตรกร ประชาชนทุกท่านหากอยู่ในพื้นที่เสี่ยงตามประกาศของทางราชการควรเฝ้าระมัดระวัง จัดเวรยาม อาสาสมัครคอยดูแลเรื่องน้ำและแจ้งเตือนภัยล่วงหน้าเผื่อหลายชั่วโมงเพื่อการหลบหนีได้ทัน และเก็บข้าวของ/สิ่งของมีค่าขึ้นสู่ชั้นบน , ที่สูง หรือฝากเพื่อนบ้าน ญาติพี่น้องที่อยู่พื้นที่ดอน หากน้ำป่าหลากมาอาจจะทำให้เสียทรัพย์สินได้หรือแม้กระทั่งอันตรายถึงแก่ชีวิต จึงขอให้เกษตรกร ประชาชนได้เฝ้าระวังด้วยความตื่นตัวสูงและเตรียมการให้พร้อมต่อไป
อย่างไรก็ตาม สภาเกษตรกรฯได้สื่อสารถึงเกษตรกรด้วยการแจ้งให้ทุกสำนักงานสภาเกษตรกรจังหวัดติดตามและส่งข้อมูลสถานการณ์พายุให้เครือข่ายสภาเกษตรกรที่เป็นตัวแทนเกษตรกรในระดับหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ ทั้งประเทศทางกลุ่มไลน์อันเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่จะช่วยให้ข้อมูลถึงตัวเกษตรกร และเกษตรกรรับรู้ข้อมูลได้ตลอด 24 ชั่วโมง