"กรมชลฯ"ย้ำน้ำต้นทุนใช้บริโภคเป็นหลัก
ดร.ทองเปลว กองจันทร์ อธิบดีกรมชลประทาน กล่าวว่า สืบเนื่องจากสถานการณ์ฝนตกน้อยกว่าค่าเฉลี่ยปกติในฤดูฝนปี 2562 ที่ผ่านมา ส่งผลให้ปริมาณน้ำใน 4 เขื่อนหลักลุ่มน้ำเจ้าพระยา(เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยฯ และเขื่อนป่าสักฯ) เมื่อสิ้นสุดฤดูฝนปี 2562 มีปริมาณน้ำใช้การได้ ณ วันที่ 1 พฤศจิกายน 2562 รวมกันเพียง 5,377 ล้านลูกบาศก์เมตร(ล้าน ลบ.ม.) ซึ่งอยู่ในเกณฑ์น้อย สามารถส่งน้ำได้เฉพาะการอุปโภคบริโภค รักษาระบบนิเวศและพืชต่อเนื่อง เท่านั้น เมื่อสิ้นสุดฤดูแล้งการใช้น้ำเป็นไปตามแผนที่วางไว้ และต่อเนื่องมาจนถึงฤดูฝนปี 2563 ณ วันที่ 1 พฤษภาคม 2563 มีปริมาณน้ำใช้การได้รวมกันประมาณ 1,936 ล้าน ลบ.ม. วางแผนจัดสรรน้ำเพื่ออุปโภคบริโภค การเกษตรพืชต่อเนื่อง และรักษาระบบนิเวศ ในช่วงเดือนพฤษภาคม-กรกฎาคม 2563 ประมาณวันละ 18 ล้าน ลบ.ม. รวมประมาณ 1,656 ล้านลูกบาศก์เมตร ทำให้มีปริมาณน้ำเหลืออยู่เพียง 280 ล้าน ลบ.ม. จากข้อจำกัดของปริมาณน้ำต้นทุนนี้ สามารถส่งน้ำให้ได้เฉพาะพื้นที่ลุ่มต่ำทุ่งบางระกำเท่านั้น เนื่องจากจังหวัดสุโขทัยในช่วงฤดูฝนประสบมักจะประสบปัญหาอุทกภัยเป็นประจำทุกปี เพื่อบรรเทาผลกระทบดังกล่าว จึงใช้พื้นที่ลุ่มต่ำทุ่งบางระกำเป็นพื้นที่รองรับน้ำหลาก โดยการปรับปฏิทินการเพาะปลูกพืชในพื้นที่ 0.265 ล้านไร่ ใช้น้ำประมาณ 245 ล้าน ลบ.ม. ส่วนพื้นที่ลุ่มต่ำตอนล่าง 12 ทุ่ง จำนวน 1.15 ล้านไร่ และพื้นที่ดอนอีก 6.568 ล้านไร่ ขอให้เพาะปลูกเมื่อมีฝนตกสม่ำเสมอและมีปริมาณน้ำในพื้นที่เพียงพอ โดยใช้น้ำฝนเป็นหลัก ซึ่งกรมชลประทานจะบริหารจัดการน้ำให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อให้การเพาะปลูกข้าวนาปีสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้แล้วเสร็จเช่นเดียวกับปีที่ผ่านๆมา ทั้งนี้ โครงการชลประทานอ่างทองและโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาชัณสูตร ได้ลงพื้นที่ไปพบปะกลุ่มเกษตรกร พร้อมด้วยปลัดอำเภอสามโก้ และกำนันตำบลอบทม เพื่อร่วมประชุมชี้แจงสถานการณ์น้ำในปัจจุบัน รวมถึงแผนการบริหารจัดการน้ำ พร้อมหารือแนวทางการแก้ไขปัญหาภัยแล้งในพื้นที่
ภายหลังการชี้แจงถึงสถานการณ์น้ำที่เกิดขึ้น เกษตรกรต่างมีความเข้าใจที่ต้องใช้น้ำฝนเป็นหลัก และใช้น้ำชลประทานเสริม อีกทั้งยังมีความพึงพอใจในแนวทางการให้ความช่วยเหลือสวนมะม่วง ของอำเภอสามโก้ จังหวัดอ่างทองด้วย
บิ๊กป้อมตั้งคณะทำงานผลิตน้ำจืดสร้างความมั่นคงEEC
ดร.สมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยว่า พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการขนาดใหญ่และโครงการสำคัญ ภายใต้คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) ได้แต่งตั้งคณะทำงานทางเทคนิคการพัฒนาโครงการผลิตน้ำจืดจากน้ำทะเล รองรับเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)
โดยมี รองเลขาธิการ สทนช. เป็นประธานคณะทำงาน และรองเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษ เป็นรองประธานคณะทำงาน และมีคณะทำงานจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรมชลประทาน กรมทรัพยากรน้ำบาดาล การประปาส่วนภูมิภาค การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย บริษัท จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน) บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) โดยมีภารกิจหลักในการพิจารณา รวบรวม วิเคราะห์ข้อมูลด้านเทคโนโลยีที่ทันสมัย ผลกระทบสิ่งแวดล้อม สัดส่วนการใช้น้ำ การกำหนดราคาค่าน้ำ เพื่อกำหนดประเภทของเทคโนโลยี พื้นที่นำร่อง และปริมาณการผลิตน้ำต่อวัน ที่เหมาะสมของโครงการผลิตน้ำจืดจากน้ำทะเลรองรับเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ก่อนนำเสนอต่อคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการขนาดใหญ่และโครงการสำคัญ และ กนช. ตามลำดับ
เลขาธิการ สทนช. กล่าวต่อว่า พื้นที่ EEC เป็นพื้นที่ที่รัฐบาลมีเป้าหมายในการส่งเสริมการลงทุน เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจของไทยเติบโตได้ในระยะยาว จำเป็นจะต้องมีระบบสาธารณูปโภคพื้นที่ฐานที่พร้อมรองรับการลงทุน โดยเฉพาะในเรื่องน้ำซึ่งเป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนการผลิต จากการประเมินความต้องการใช้น้ำในพื้นที่ EEC พบว่า ในปี 2569 จะมีความต้องการใช้น้ำเพิ่มขึ้นเป็น 2,888 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) จากปัจจุบันที่มีความต้องการใช้น้ำประมาณ 2,419 ล้าน ลบ.ม. และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงมีความจำเป็นจะต้องจัดหาแหล่งน้ำต้นทุนเพิ่มขึ้นให้ได้อีกไม่น้อยกว่า 500 ล้าน ลบ.ม. ภายใน 20 ปีข้างหน้า
จากปัจจุบันที่มีปริมาณน้ำต้นทุนประมาณ 2,539 ล้าน ลบ.ม. สทนช.ได้รับมอบหมายให้ดำเนินการจัดทำแผนโครงการพัฒนาแหล่งน้ำและการจัดการทรัพยากรน้ำภาคตะวันออกรองรับเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (ปี 2563 - 2580) ขึ้นเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการขาดแคลนน้ำในพื้นที่ โดยแผนดังกล่าวผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2562 และคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2563 ประกอบด้วย 1.แผนงานพัฒนาแหล่งน้ำต้นทุน ปี 2563-2570 รวมทั้งสิ้น 38 โครงการ เพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนได้ 872.19 ล้าน ลบ.ม.
2.แผนการบริหารจัดการด้านความต้องการใช้น้ำ ปี 2563-2580 จำนวน 9 โครงการ/มาตรการ 3.แผนการป้องกันและบรรเทาอุทกภัย ปี 2563–2580 จำนวน 25 โครงการ 4.แผนการจัดการคุณภาพน้ำ ปี 2563–2580 จำนวน 33 โครงการ และ 5.มาตรการอื่นๆ เพื่อแก้ไขปัญหาขาดแคลนน้ำ ปี 2563-2580 จำนวน 3 โครงการ
“การพัฒนาแหล่งน้ำจากเทคโนโลยีการกรองน้ำทะเลเป็นน้ำจืดเป็น 1 ใน 38 โครงการของแผนงานพัฒนาแหล่งน้ำต้นทุนปี 2563-2570 ซึ่งในขณะนี้เทคโนโลยีด้านนี้ประเทศไทยยังไม่มีการใช้กันอย่างแพร่หลาย จำเป็นต้องศึกษารายละเอียดให้ครอบคลุมทุกด้าน คณะทำงานชุดนี้จะเข้ามาศึกษาเพื่อหาความเป็นไปได้ในการพัฒนาโครงการ ซึ่งหากสามารถจัดหาน้ำตามที่ประเมินไว้จะช่วยสร้างความมั่นคงในเรื่องน้ำให้กับพื้นที่ EEC อย่างยั่งยืน” เลขาธิการ สทนช. กล่าว
ฝนหลวงปรับแผนปฏิบัติการหลังเข้าฤดูฝน
นายสุรสีห์ กิตติมณฑล อธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร กล่าวว่า ขณะนี้กรมอุตุนิยมวิทยาประกาศเข้าสู่ฤดูฝนอย่างเป็นทางการแล้ว ทำให้กระแสลมซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งในการทำฝนหลวงได้เปลี่ยนทิศทางจากในฤดูร้อน
โดยขณะนี้เป็นลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ดังนั้นจึงต้องกำหนดที่ตั้งหน่วยปฏิบัติการฝนหลวงให้สามารถบินทำงานได้สอดรับกับทิศทางของลม หน่วยปฏิบัติการฝนหลวงจะเปิดเพิ่มเติมเป็น 12 หน่วยได้แก่ หน่วยปฏิบัติการฝนหลวงจังหวัดแพร่ ตาก ลพบุรี ราชบุรี อุดรธานี ขอนแก่น สุรินทร์ นครราชสีมา ระยอง ชุมพร สุราษฏร์ธานี และสงขลา และเปิดฐานเติมสารฝนหลวง จำนวน 4 ฐาน ที่ จ.เชียงใหม่ พิษณุโลก นครสวรรค์ และบุรีรัมย์
ทั้งนี้จะปรับย้ายหน่วยมาตั้งในจังหวัดต้นลมเพราะการทำฝนต้องทำที่ต้นลม จะทำให้เกิดประโยชน์ตั้งแต่พื้นที่ต้นลมจนถึงท้ายลม โดยในภาคเหนือหน่วยซึ่งตั้งอยู่ที่เชียงใหม่จะมาตั้งที่ตาก ซึ่งจะสามารถทำฝนครอบคลุมทั้งฝั่งตะวันตกของประเทศและภาคเหนือตอนบนทั้งหมด ภาคเหนือตอนล่างมีหน่วยที่พิษณุโลกจะย้ายไปแพร่ ซึ่งจะสามารถทำฝนครอบคลุมไปถึงภาคเหนือฝั่งตะวันออก ในภาคกลางเพิ่มหน่วยที่ราชบุรีและลพบุรีไว้ ส่วนภาคใต้เพิ่มหน่วยที่ชุมพรและสุราษฎร์ธานีซึ่งต้องเร่งทำฝนช่วยสวนผลไม้ซึ่งประสบภัยแล้ง
ส่วนหน่วยสงขลานั้นจะเน้นสร้างความชุ่มชื้นให้ป่าพรุที่สำคัญได้แก่ ป่าพรุโต๊ะแดงและป่าพรุบาเจาะที่นรารธิวาสเพื่อป้องกันไฟป่า การที่ภาคใต้มีหลายหน่วยเนื่องจากลักษณะภูมิประเทศที่ยาวจึงต้องตั้งหน่วยปฏิบัติการให้ครอบคลุม สำหรับใช้อากาศยานของกรมฝนหลวงและการบินเกษตรที่ประจำทุกหน่วยมีรวม 21 ลำ
ทั้งนี้ได้แก่ ชนิด CN 1 ลำ CASA 9 ลำ CARAVAN 9 ลำ Super King Air 2 ลำ และอากาศยานที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทัพอากาศ 5 ลำ ได้แก่ ชนิด BT 3 ลำ และ AU 2 ลำ
กอนช.เกาะติดฝนหลายพื้นที่ฝนยังกระจายตัวเฉลี่ยไม่เกิน 80 มม. คาดว่าช่วงสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนมิ.ย.ฝนจะมากขึ้น ย้ำทุกหน่วยเร่งกำจัดขยะ สิ่งกีดขวางทางน้ำโดยเฉพาะกทม.เขตเมืองพร้อมรับน้ำ ก่อนตกชุกหลัง ก.ค.- ก.ย.โอกาสทองเก็บน้ำเข้าอ่างฯ พร้อมชี้โครงการแก้แล้งคืบแล้วกว่า 70% คาดปิดจ็อบตามเป้า