ครม.ไฟเขียวงบกลางกว่า 500 ล้านบาท รับมือน้ำหลาก
ดร.สมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยว่า การประชุมคณะรัฐมนตรี วันนี้ (8 กรกฎาคม 2563) ได้เห็นชอบสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 งบกลางในรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 506.67 ล้านบาท
เพื่อใช้ในการเตรียมความพร้อมรับมือน้ำหลากในช่วงฤดูฝนปีนี้ และการแก้ปัญหาเกี่ยวกับน้ำ ตลอดจนใช้ในการขับเคลื่อนการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ตามแผนงานที่ สทนช. เสนอ ซึ่งได้ผ่านการพิจารณาเห็นชอบจาก พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี แล้ว สำหรับแผนงานที่จะใช้งบกลางดังกล่าวในการดำเนินงาน ประกอบด้วย แผนการกำจัดวัชพืชเพื่อเตรียมความพร้อมการเร่งระบายน้ำหลากในช่วงฤดูฝนในพื้นที่กว่า 30 จังหวัด จำนวน 215 แห่ง ดำเนินการโดยกรมชลประทาน และแผนการขุดลอกคูคลองในพื้นที่เขตหนองจอก รวม 63 คลอง
ดำเนินการโดยกรุงเทพมหานคร 60 คลอง และกรมชลประทาน 3 คลอง ซึ่งเป็นการเตรียมความพร้อมในการรองรับปริมาณน้ำในฤดูฝน และการรับมือน้ำหลากปี 2563 รวมทั้งรองรับความต้องการใช้น้ำของภาคการเกษตรในพื้นที่ เนื่องจากในปัจจุบันคลองมีสภาพตื้นเขิน และระดับน้ำอยู่ในเกณฑ์ต่ำ ไม่เพียงพอต่อการทำเกษตรกรรม
โดยจะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในเดือนกรกฎาคม 2563 ตามที่ กรมอุตุนิยมวิทยาได้คาดการณ์ไว้ว่า จากนี้ไปจนถึงกลางเดือนกรกฎาคม 2563 ฝนจะทิ้งช่วง จากนั้นฝนจะเริ่มตกมากขึ้นและมีพายุพัดผ่านประเทศไทยประมาณ 1-2 ลูก อาจจะมีฝนตกหนักในหลายพื้นที่ และอาจจะเกิดน้ำป่าไหลหลาก ดินโคลนถล่ม น้ำล้นตลิ่ง และน้ำท่วมฉับพลันได้ นอกจากนั้น ในส่วนของอาคารชลประทานและระบบชลประทานต่าง ๆ ในความรับผิดชอบของกรมชลประทานต้องเร่งดำเนินการซ่อมแซมให้มีสภาพพร้อมใช้งานเพื่อใช้บริหารจัดการน้ำในช่วงฝนตกชุกต่อไปด้วย
ทั้งนี้ งบกลางดังกล่าว ยังจะนำมาใช้ในการดำเนินโครงการระบบสูบผันน้ำคลองสะพาน-อ่างประแสร์ ของกรมชลประทาน ซึ่งรองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ในฐานะผู้อำนวยการกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ ได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการดำเนินงานและเร่งรัดการก่อสร้างให้แล้วเสร็จภายในปี 2563
จากเดิมจะต้องที่กำหนดแล้วเสร็จในปี 2565 เพื่อใช้เป็นแหล่งเก็บกักน้ำในการช่วยเหลือพื้นที่การเกษตร อุปโภคบริโภค ตลอดจนบรรเทาปัญหาอุทกภัยและภัยแล้งในภาคตะวันออก โดยเฉพาะพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ด้วยการเร่งการสูบน้ำกลับเข้าอ่างเก็บน้ำให้ได้มากที่สุด อีกทั้ง สทนช. มีความจำเป็นที่จะต้องขอรับงบประมาณสนับสนุนเร่งด่วน เพื่อนำมาใช้ในแผนงานทำแบบจำลองกายภาพลุ่มน้ำ 17 ลุ่มน้ำ สำหรับใช้ในการสร้างความเข้าใจในเรื่องแผนแม่บทและการบริหารจัดการน้ำได้ง่ายขึ้น ตามที่ พลเอก ประวิตร ได้สั่งการ ทั้งนี้ ที่ผ่านมา สทนช. ได้ดำเนินการเสร็จไปแล้ว 5 ลุ่มน้ำ คือ ลุ่มน้ำสะแกกรัง ลุ่มน้ำเจ้าพระยา ลุ่มน้ำท่าจีน ลุ่มน้ำป่าสัก และลุ่มน้ำมูล
“การประชุม ครม. ในครั้งนี้ ยังได้เห็นชอบงบกลางให้ สทนช. เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการทรัพยากรน้ำจังหวัด ภายใต้คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ และคณะทำงานในพื้นที่ 76 จังหวัด ซึ่งเป็นภารกิจที่เกิดขึ้นใหม่ ในปี 2563 เพื่อเตรียมการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในระดับจังหวัดช่วงฤดูฝน ปี 2563 ให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ตลอดจนสามารถแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับน้ำได้ตรงกับความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง” เลขาธิการ สทนช. กล่าว
"กรมชลฯ"ย้ำจัดสรรน้ำเป็นธรรมให้ทุกภาคส่วนใช้อย่างเพียงพอ
กรมชลประทาน ชี้แจงกรณีที่มีการนำเสนอข่าวว่า "หวั่นเกิดสงครามแย่งน้ำที่พิษณุโลก หลังประสบปัญหาภัยแล้ง แม้จะมีเขื่อนนเรศวร เป็นเขื่อนคอนกรีตทดน้ำขนาดใหญ่สร้างปิดกั้นแม่น้ำน่าน ทั้งนี้ ระดับน้ำไม่มีปัญหา แต่ชลประทานไม่ระบายน้ำให้เกษตรกรในพื้นที่ แม้จะอยู่ในเขตพื้นที่ชลประทาน" ดร.ทองเปลว กองจันทร์ อธิบดีกรมชลประทาน ชี้แจงกรณีดังกล่าวว่า กรมชลประทาน ได้วางแผนการส่งน้ำในช่วงฤดูนาปี 2563 ให้กับพื้นที่ลุ่มต่ำทุ่งบางระกำ โดยมีพื้นที่เป้าหมายประมาณ 265,000 ไร่ อยู่ในเขตอำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก จำนวน 106,914 ไร่ หรือคิดเป็นร้อยละ 40 ของพื้นที่เป้าหมาย ซึ่งปัจจุบันต้นข้าวมีอายุประมาณ 2-3 เดือนแล้ว และมีน้ำเพียงพอต่อความต้องการของต้นข้าว
สำหรับพื้นที่นอกเป้าหมายการส่งน้ำในพื้นที่ลุ่มต่ำบางระกำ นั้น ภายหลังจากกรมอุตุนิยมวิทยา ได้ประกาศว่าประเทศไทยเข้าสู่ฤดูฝน ประกอบกับมีฝนตกในพื้นที่ ทำให้เกษตรกรเริ่มทำการเพาะปลูกข้าวนาปีในพื้นที่กว่า 30,581 ไร่ ปัจจุบันข้าวมีอายุประมาณ 1-2 เดือน และเป็นช่วงที่ข้าวต้องการใช้น้ำในการเจริญเติบโตเป็นจำนวนมากนั้น สำนักงานชลประทานที่ 3 ได้ให้การช่วยเหลือเกษตรกร โดยการติดตั้งเครื่องสูบน้ำ 11 เครื่อง พร้อมเดินเครื่อง สูบน้ำประมาณ 3.2 ล้านลูกบาศก์เมตร โดยรับน้ำจากแม่น้ำน่านเข้ามาช่วยส่งน้ำไปหล่อเลี้ยงต้นข้าว เพื่อลดความเสียหายแล้ว
ทั้งนี้ สำนักงานชลประทานที่ 3 ได้ทำการรักษาระดับน้ำด้านเหนือเขื่อนนเรศวรไว้ที่ +46.30 ม.รทก. เพื่อส่งน้ำให้กับคลองส่งน้ำสายใหญ่ YN1 ของโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษายมน่าน เพื่อช่วยเหลือพื้นที่ลุ่มต่ำบางระกำตามแผนที่วางไว้ นอกจากนี้ ยังทำการระบายน้ำผ่านเขื่อนนเรศวร เพื่อส่งให้พื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง ซึ่งจำเป็นต้องควบคุมการใช้น้ำให้เป็นไปตามแผนอย่างเคร่งครัด เพื่อลดผลกระทบในกิจกรรมการใช้น้ำของลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่างอีกด้วย
ชป.แจงระบบนิเวศบึงวังน้ำเย็นดีขึ้นหลังกำจัดวัชพืช
กรมชลประทาน ชี้แจงกรณีปัญหาน้ำในบึงวังน้ำเย็น บริเวณหน้าวัดวังน้ำเย็น ตำบลวังน้ำเย็น อำเภอแสวงหา จังหวัดอ่างทอง เกิดการเน่าเสีย เพราะปริมาณน้ำน้อยและไม่ไหลเวียน
นายกฤษฎา ศรีเพิ่มพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักงานชลประทานที่ 12 ได้ชี้แจงกรณีดังกล่าวว่า สืบเนื่องจากสถานการณ์น้ำต้นทุนของลุ่มน้ำเจ้าพระยาที่อยู่ในเกณฑ์น้อย กรมชลประทาน จึงได้กำหนดมาตรการในการบริหารจัดการน้ำในช่วงฤดูฝนปี 2563 โดยจะจัดสรรน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค รักษาระบบนิเวศ และไม้ผลตามความจำเป็น ให้สอดคล้องกับปริมาณน้ำต้นทุน ซึ่งในช่วงวันที่ 11-20 มิถุนายน 2563 โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาชัณสูตร ได้บริหารจัดการน้ำ
เพื่อส่งน้ำช่วยเหลือพื้นที่การเกษตรไม้ผล (มะม่วง) ในเขตอำเภอสามโก้ และอำเภอวิเศษชัยชาญ จังหวัดอ่างทอง ทำให้มีน้ำไหลเวียนในคลองส่งน้ำ 1 ขวาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้มีน้ำนอนคลองสำหรับรักษาระบบนิเวศได้ดีขึ้น
ทั้งนี้ เมื่อภารกิจการให้ความช่วยเหลือพื้นที่การเกษตรไม้ผล และสวนมะม่วงคลี่คลายไปในทางที่ดีแล้ว สำนักงานชลประทานที่ 12 จึงได้ปรับลดปริมาณน้ำเข้าสู่คลองส่งน้ำ 1 ขวาตามความเหมาะสม ทำให้มีปริมาณน้ำของคลองส่งน้ำ 1 ขวาลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้การไหลเวียนของน้ำมีอยู่เป็นบางช่วง โดยเฉพาะบริเวณที่มีความลาดชันของท้องน้ำ ประกอบกับมีฝนตกในพื้นที่ ทำให้น้ำจากแปลงนาไหลลงคลองส่งน้ำ 1 ขวา อีกทั้งยังมีเศษซากวัชพืชต่างๆ ที่ทับถม
จนเป็นสาเหตุทำให้เกิดน้ำเน่าเสียบริเวณสะพานยางห้าร้อย กม.36+500 ของคลองส่งน้ำ 1 ขวา ที่มีลักษณะเป็นแอ่งน้ำบริเวณบึงวังน้ำเย็นก่อนถึงวัดวังน้ำเย็น ตำบลวังน้ำเย็น อำเภอแสวงหา จังหวัดอ่างทอง
โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาชัณสูตร ได้ประสานไปยังศูนย์ปฏิบัติการเครื่องจักกลที่ 5 เพื่อดำเนินการกำจัดวัชพืชบริเวณบึงสีบัวทอง บึงวังน้ำเย็น เพื่อลดผลกระทบของการทับถมของเศษชากวัชพืช ซึ่งเป็นแผนงานปีงบประมาณ 2563 ซึ่งได้ดำเนินการไปแล้วบางส่วน เนื่องจากสภาพคลองส่งน้ำที่มีขนาดกว้าง ทำให้ต้องรอปริมาณน้ำในคลองส่งน้ำ 1 ขวาเพิ่มขึ้น จึงจะนำโป๊ะเรือพร้อมเครื่องจักรเข้าเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จตามแผนที่วางไว้ได้
ปัจจุบันสภาพน้ำบริเวณบึงสีบัวทองและบึงวังน้ำเย็น บริเวณสะพานยางห้าร้อย กม.36+500 มีสภาพน้ำที่ดีขึ้นแล้ว เหลือเพียงตะกอนดินและเศษซากวัชพืชบางส่วนที่ต้องเร่งกำจัดออกไป และบริเวณหน้าวัดวังน้ำเย็นก็มีสภาพน้ำที่ดีขึ้นเช่นกัน อีกทั้งยังมีปริมาณน้ำเพียงพอสำหรับการเลี้ยงสัตว์น้ำและรักษาระบบนิเวศด้วย