กอนช.เตือนน้ำท่วมฉับพลัน-น้ำป่าไหลหลาก
ตามที่กองอำนวยการน้ำแห่งชาติได้มีประกาศแจ้งเตือนฉบับที่ 7/2565 ลงวันที่ 28 มีนาคม 2565 เฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก ในช่วงวันที่ 2 – 4 เมษายน 2565 บริเวณจังหวัดชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส และจากการติดตามการคาดการณ์สภาพอากาศของกรมอุตุนิยมวิทยา ในช่วงวันที่ 4 - 7 เมษายน 2565 พบว่าอิทธิพลของลมตะวันออกยังคงพัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้ ทำให้ภาคใต้มีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง กองอำนวยการน้ำแห่งชาติได้ประเมินและวิเคราะห์สถานการณ์น้ำจากฝนคาดการณ์ (ONE MAP) ของกรมอุตุนิยมวิทยาและสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) ประกอบกับปัจจุบันในพื้นที่ภาคใต้ มีฝนตกหนักสะสม 3 วัน มากกว่า 150 มิลลิเมตร ในหลายพื้นที่ จึงขอเน้นย้ำให้เฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลากบริเวณจังหวัดชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ในช่วงวันที่ 5 – 8 เมษายน 2565 ในการนี้ เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมรับมือ ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องโปรดดำเนินการ ดังนี้
1. ติดตามสภาพอากาศและสถานการณ์น้ำอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีฝนตกสะสมมากกว่า 90 มิลลิเมตร ในช่วงเวลา 24 ชั่วโมง และพื้นที่จุดเสี่ยงที่เคยเกิดน้ำท่วมขังอยู่เป็นประจำ
2. ปรับแผนบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์น้ำ พร้อมพิจารณาความเหมาะสมในการระบายน้ำในลำน้ำ/แม่น้ำให้สอดคล้องกับการขึ้น – ลงของระดับน้ำทะเล
3. เตรียมแผนรับสถานการณ์น้ำหลาก เตรียมความพร้อมบุคลากร เครื่องจักรเครื่องมือ รวมถึงความพร้อมของระบบสื่อสารสำรอง เพื่อบูรณาการความพร้อมในการให้ความช่วยเหลือและบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนได้ทันที
4. ประชาสัมพันธ์และแจ้งเตือนล่วงหน้า ให้ประชาชนที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบ เตรียมพร้อมในการอพยพได้ทันท่วงทีหากเกิดสถานการณ์
บิ๊กป้อมโชว์ผลงานใช้งบกลางด้านน้ำ 2 ปีคุ้มค่า !
รัฐบาลโชว์ผลงานใช้งบกลางในการแก้ปัญหาทรัพยากรน้ำตั้งแต่ปี 2563 จนถึงปัจจุบันเพิ่ม แหล่งน้ำแล้วกว่า 2.6 หมื่นแห่งทั่วประเทศ เก็บน้ำฝนใช้ประโยชน์ช่วงแล้ง 740 ล้าน ลบ.ม. ครอบคลุมพื้นที่ 7.5 ล้านไร่ สร้างความสุขให้ประชาชนกว่า 3.7 ล้านครัวเรือน
พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้จัดสรรงบประมาณในการดำเนินงานพัฒนาและบริหารจัดน้ำอย่างเป็นระบบและเกิดประโยชน์สูงสุด โดยเฉพาะการใช้งบกลางในภาวะที่จำเป็นและเร่งด่วน เพื่อนำมาใช้แก้ไขปัญหาเชิงการป้องกันภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้ง และคุณภาพน้ำ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เป็นหน่วยงานกลางในการบูรณาการพิจารณาแผนงานหรือโครงการของหน่วยงานต่างๆ ที่มีความจำเป็นเร่งด่วนให้กับประชาชนได้ทันต่อสถานการณ์ ไม่ซ้ำซ้อน และสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา (ปี 2563 – 2564) รัฐบาลสนับสนุนงบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น นำมาใช้ในโครงการบรรเทาผลกระทบภัยแล้ง และป้องกันน้ำท่วม
บูรณาการทุกหน่วยงานด้านน้ำในการพัฒนาแหล่งน้ำขนาดเล็ก ระบบกระจายน้ำเพื่อสนับสนุนน้ำอุปโภค-บริโภค รวมถึงการเกษตรครอบคลุมทั่วทั้งประเทศรวมทั้งสิ้น 26,830 แห่ง เช่น การขุดเจาะบ่อบาดาล แหล่งน้ำสำรองเพื่อผลิตน้ำประปา ก่อสร้างฝายและสระเก็บน้ำเพื่อการเกษตร ขุดลอกคลอง และกำจัดวัชพืช เป็นต้น ซึ่งหากโครงการต่างๆ ทั้งหมดแล้วเสร็จจะส่งผลให้เก็บกักน้ำในช่วงฤดูฝนใช้ประโยชน์ในช่วงหน้าแล้งได้รวม 742 ล้าน ลบ.ม.
ขณะเดียวกัน ยังสามารถนำน้ำบาดาลมาใช้ได้ถึง 91 ล้าน ลบ.ม. และมีน้ำดิบผลิตประปาได้อีก 62 ล้าน ลบ.ม. ซึ่งเกิดประโยชน์โดยตรงกับประชาชนถึง 3.65 ล้านครัวเรือน ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 7.5 ล้านไร่ สำหรับโครงการพัฒนาแหล่งน้ำต่างๆ ภายใต้งบกลางปี 2563 มีทั้งสิ้น 20,795 แห่ง แบ่งเป็น ภาคเหนือ 4,388 แห่ง ภาคกลาง 3,504 แห่ง ภาคตะวันออก 1,213 แห่ง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 9,766 แห่ง และภาคใต้ 1,953 แห่ง ซึ่งทุกแห่งได้ดำเนินการเสร็จเรียบร้อยแล้ว ส่งผลให้ปริมาณน้ำเก็บกักเพิ่มขึ้นเกิดประโยชน์กับประชาชน
ยังเกิดการจ้างแรงงานถึง 184,000 ราย ด้วย ขณะที่งบกลางปี 2564 มีโครงการพัฒนาแหล่งน้ำรวม 6,035 แห่ง เน้นดำเนินการเพื่อรองรับสถานการณ์ฝนตกน้อย และความต้องการใช้น้ำเพิ่มสูงขึ้น จากการอพยพกลับภูมิลำเนาเดิมของประชาชนเพื่อประกอบอาชีพเกษตรกรรม
เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 โดยผลดำเนินการล่าสุดแล้วเสร็จ 3,642 แห่ง อยู่ระหว่างดำเนินการ 2,441 แห่ง แบ่งเป็น ภาคเหนือ 1,773 แห่ง แล้วเสร็จ 1,047 แห่ง ภาคกลาง 1,154 แห่ง แล้วเสร็จ 753 แห่ง ภาคตะวันออก 256 แห่ง แล้วเสร็จ 46 แห่ง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 2,216 แห่ง แล้วเสร็จ 1,409 แห่ง และภาคใต้ 685 แห่ง แล้วเสร็จ 387 แห่ง
ได้สั่งการให้ สทนช.ติดตามความก้าวหน้า และเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จตามเป้าหมาย ทั้งนี้เมื่อดำเนินการแล้วเสร็จทุกโครงการ จะปริมาณน้ำเก็บกักเพิ่มขึ้น 39 ล้าน ลบ.ม. ปริมาณน้ำบาดาล 44 ล้าน ลบ.ม. ประชาชนได้รับประโยชน์ประมาณ 3.5 แสนครัวเรือน พื้นที่รับประโยชน์ 455,818 ไร่ ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการ สทนช. กล่าวว่า การประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2565 ที่ผ่านมา ได้อนุมัติงบกลางฯ เพื่อพัฒนาโครงการรองรับสถานการณ์ภัยแล้งและฝนทิ้งช่วง ปี 2565 รวม 2,525 แห่ง เมื่อดำเนินการแล้วเสร็จ จะช่วยป้องกันและลดผลกระทบจากปัญหาภัยแล้งได้ รวมทั้งยังเป็นการเพิ่มการลงทุนภาครัฐโดยการช่วยกระตุ้นการซื้อวัสดุและจ้างแรงงานคนในท้องถิ่นอีกด้วย
สทนช.ได้รับมอบหมายให้บูรณาการหน่วยงานจัดทำแผนงานหรือโครงการด้านทรัพยากรน้ำต่างๆ ใช้งบกลางในการดำเนินงานด้านทรัพยากรน้ำ พร้อมทั้งดิดตามความก้าวหน้ามาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การดำเนินแผนงานหรือโครงการแล้วเสร็จตามเป้าหมาย โดยโครงสำคัญๆ ที่ใช้งบกลางมาเร่งรัดดำเนินการให้โครงการต่างๆ เกิดความรวดเร็วยิ่งขึ้น เช่น โครงการสูบกลับคลองสะพาน – อ่างประแสร์ จ.ระยอง
โครงการเพิ่มประสิทธิภาพน้ำห้วยแม่ประจันต์ จ.เพชรบุรี โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการส่งน้ำและระบายน้ำคลองส่งน้ำสายใหญ่ฝั่งขวา 3 และคลองระบายน้ำ D9 พร้อมอาคารประกอบที่ช่วยป้องกันผลกระทบอุทกภัย จ.เพชรบุรี แบบจำลองกายภาพลุ่มน้ำ 17 ลุ่มน้ำ โครงการจัดหาเครื่องดูดตะกอนดินและเครื่องแยกตะกอนดินเลน เป็นต้น" เลขาธิการ สทนช.กล่าว.
เฝ้าระวังน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก
กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ ได้ออกประกาศ ฉบับที่ 7/2565 เรื่อง เฝ้าระวังน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลากเนื่องจากหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมภาคใต้ตอนล่าง และประเทศมาเลเซีย
ด้วยกองอำนวยการน้ำแห่งชาติได้ติดตามการคาดการณ์สภาพอากาศ ของ กรมอุตุนิยมวิทยา เนื่องจากมีหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมบริเวณชายฝั่งเวียดนามตอนใต้จะเคลื่อนเข้าปกคลุมภาคใต้ตอนล่าง และประเทศมาเลเซีย ในช่วงวันที่ 1 - 2 เมษายน 2565 ส่งผลให้ภาคใต้จะมีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักบางแห่ง
กองอำนวยการน้ำแห่งชาติได้ประเมินและวิเคราะห์สถานการณ์น้ำจากฝนคาดการณ์ (ONE MAP) ของกรมอุตุนิยมวิทยาและสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) พบว่า มีพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก ในช่วงวันที่ 2 – 4 เมษายน 2565 บริเวณจังหวัดชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ในการนี้ เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมรับมือ ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องโปรดดำเนินการ ดังนี้
1. ติดตามสภาพอากาศและสถานการณ์น้ำอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีฝนตกสะสมมากกว่า 90 มิลลิเมตร ในช่วงเวลา 24 ชั่วโมง และพื้นที่จุดเสี่ยงที่เคยเกิดน้ำท่วมขังอยู่เป็นประจำ
2. ปรับแผนบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์น้ำ พร้อมพิจารณาความเหมาะสมในการระบายน้ำในลำน้ำ/แม่น้ำให้สอดคล้องกับการขึ้น – ลงของระดับน้ำทะเล
3. เตรียมแผนรับสถานการณ์น้ำหลาก เตรียมความพร้อมบุคลากร เครื่องจักรเครื่องมือ รวมถึงความพร้อมของระบบสื่อสารสำรอง เพื่อบูรณาการความพร้อมในการให้ความช่วยเหลือและบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนได้ทันที
4. ประชาสัมพันธ์และแจ้งเตือนล่วงหน้า ให้ประชาชนที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบ เตรียมพร้อมในการอพยพได้ทันท่วงทีหากเกิดสถานการณ์