เครือข่ายศพก.-แปลงใหญ่ระดับเขตถกเน้นผลิตตาม GAP สะดวกต่อการส่งออก
สำนักงานส่งเสริมและพัฒนาการเกษตรที่ 2 จังหวัดราชบุรี ประชุมเชื่อมโยงเครือข่ายและแปลงใหญ่ระดับเขต กำหนดแนวทางใช้งบประมาณที่ได้รับการสนับสนุนอย่างคุ้มค่า นำเกษตรอัจฉริยะมาปฏิบัติใช้ เน้นการผลิตตามมาตรฐาน GAP เพื่อสะดวกต่อการส่งออก เผยมะพร้าวน้ำหอมพืชนิยมปลูกของเกษตรกร ตลาดต่อเนื่องขายได้ทั้งปี ส่งเจ้าหน้าที่สนับสนุนความรู้เกษตรกร ที่กำลังขยายแปลงปลูกแปลงใหม่ นายมงคล จอมพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมและพัฒนาการเกษตรที่ 2 จังหวัดราชบุรี เปิดเผยว่า ทางสำนักงานส่งเสริมและพัฒนาการเกษตรที่ 2 จังหวัดราชบุรี ได้จัดประชุมเชื่อมโยงการดำเนินงานของคณะกรรมการเครือข่ายศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) และแปลงใหญ่ระดับเขต
โดยมีคณะกรรมการเครือข่าย ศพก. และ แปลงใหญ่ ระดับเขต และเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบงาน ศพก. และแปลงใหญ่ ระดับจังหวัดทั้ง 8 จังหวัดภาคตะวันตก เจ้าหน้าที่ สสก. 2 รบ. เข้าร่วมการประชุม โดยการประชุมมีการแลกเปลี่ยนการดำเนินงาน ศพก. และแปลงใหญ่ในแต่ละจังหวัด ตลอดถึงแนวทางการจัดชั้นคุณภาพแปลงใหญ่ การประกวดแปลงใหญ่ การคัดเลือกคณะกรรมการ ศพก. และแปลงใหญ่ชุดต่อไป รวมทั้งติดตามสถานการณ์ศัตรูพืชที่สำคัญโดยมี นายสมคิด เฉลิมเกียรติ ผู้อำนวยการศูนย์ส่งเสริมเทคโนโลยีการเกษตรด้านอารักขาพืช จังหวัดสุพรรณบุรี มาให้ความรู้
ทั้งนี้ เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมเพื่อการดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาล โดยเฉพาะการนำงบประมาณจากเงินกู้เพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 มาดำเนินการในกิจการของการทำเกษตรทั้งในพื้นที่ ศพก. และ เกษตรแปลงใหญ่
เป็นไปตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ขานรับนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยไปสู่ยุค Thailand 4.0 ตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2561 - 2580) ที่มุ่งเน้นการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจด้วยนวัตกรรม ก่อให้เกิดการเพิ่มมูลค่า และการเพิ่มผลผลิต โดยอาศัยเทคโนโลยีวิทยาการสมัยใหม่และความคิดสร้างสรรค์ เป็นเป้าหมายสำคัญเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรให้ดีขึ้น ด้วยการส่งเสริมการนำแนวคิดเกษตรอัจฉริยะมาประยุกต์ใช้ในกระบวนการผลิตและปรับรูปแบบการทำเกษตรให้เกิดเป็นรูปธรรม
ตลอดจนแนวโน้มการทำเกษตรกรรมของโลกที่กำลังปรับเปลี่ยนไปจากการเกษตรดั้งเดิม มีการพัฒนาไปสู่การเกษตรสมัยใหม่ และการเกษตรอัจฉริยะสูงขึ้น รวมทั้งภาคการเกษตรของประเทศไทยในอนาคต ที่กำลังเผชิญสภาวะการขาดแคลนแรงงานภาคการเกษตร กรมส่งเสริมการเกษตรจึงเล็งเห็นความสำคัญของทิศทางของการเปลี่ยนแปลงการพัฒนาการเกษตรในปัจจุบัน สู่การเกษตรอัจฉริยะ มุ่งสู่เกษตรสมัยใหม่ เกษตรแม่นยำ ด้วยการนำเทคโนโลยีมาสนับสนุนกระบวนการผลิตทางการเกษตร สอดคล้องกับการพัฒนาที่มุ่งสู่เกษตร 4.0 เพื่อทำให้อาชีพเกษตรเป็นอาชีพที่มีความมั่นคง ยั่งยืน สร้างรายได้ที่ดี และยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรให้ดียิ่งขึ้น
สำหรับเกษตรแปลงใหญ่ในพื้นที่ความรับผิดชอบของสำนักงานส่งเสริมและพัฒนาการเกษตรที่ 2 จังหวัดราชบุรี ส่วนใหญ่จะเป็นพืชสวนและนาข้าว โดยในที่ประชุมได้มีการเน้นย้ำถึงแนวทางในการนำงบประมาณที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลมาดำเนินการให้ก่อเกิดผลอย่างคุ้มค่าตามเป้าหมาย
การส่งเสริมให้เกษตรแปลงใหญ่ทำการผลิตแบบอัจฉริยะนั้น จะสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่มาปฏิบัติใช้ในการทำการเพาะปลูก เช่น ระบบน้ำที่ใช้กลไกเข้ามากำหนด มีการวัดอุณหภูมิความชื้นในดินมาเป็นตัวกำหนดระบบการให้น้ำ เพื่อช่วยประหยัดน้ำ และเวลาให้กับเกษตรกร
ตลอดถึงการนำเครื่องจักรกลมาเป็นตัวช่วยเพื่อลดปัญหาแรงงานที่ขาดแคลน สำหรับพื้นที่ความรับผิดชอบของสำนักงานส่งเสริมและพัฒนาการเกษตรที่ 2 จังหวัดราชบุรี นั้น ได้เน้นย้ำกับเกษตรกร ในการผลิตที่จะต้องได้มาตรฐานของ GAP และไม่มีการนำผลผลิตนอกแปลงที่ขึ้นทะเบียนเข้ามาสวมสิทธิเพื่อการส่งออก เพราะหากมีปัญหาผลกระทบจะเกิดกับเกษตรกรเองในที่สุด ซึ่งมาตรการนี้นับว่าเป็นผลดีต่อระบบการผลิตภาคการเกษตรของไทยในระยะยาว สำหรับสถานการณ์ด้านการผลิตและการตลาดล่าสุดของพื้นที่ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมและพัฒนาการเกษตรที่ 2 จังหวัดราชบุรี เผยว่ามะพร้าวน้ำหอมจะเป็นพืชที่เกษตรกรให้ความสนใจผลิตกันมากเนื่องจากให้ผลผลิต และส่งจำหน่ายได้ตลอดทั้งปี
โดยตลาดส่วนใหญ่จะอยู่ในต่างประเทศ และมีความต้องการอย่างต่อเนื่อง และเกษตรกรที่ปลูกพืชชนิดอื่น เช่น กล้วยไม้ตัดดอกที่กำลังประสบปัญหาเรื่องตลาดเนื่องจากสถานการณ์โรคระบาดโควิด - 19 มีการปิดประเทศการส่งออกจึงหยุดชะงัก เกษตรกรจึงหันมาปรับเปลี่ยนเป็นการปลูกมะพร้าวน้ำหอมแทน “ที่จังหวัดเพชรบุรีขณะนี้ มีการเพิ่มพื้นที่ปลูกมะพร้าวน้ำหอมกว่า 500 ไร่ ซึ่งทาง สำนักงานส่งเสริมและพัฒนาการเกษตรที่ 2 จังหวัดราชบุรี ได้จัดส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปดูแลให้ความรู้ในการเพาะปลูกให้เป็นไปตามหลักวิชาการ การเกษตรที่ถูกต้องเพื่อให้ผลผลิตออกมาดีตรงตามความต้องการของตลาด และไม่มีปัญหากับการส่งออก คือ การผลิตตามมาตรฐาน GAP” นายมงคล กล่าว
"ติดอาวุธ"บุคลากรสหกรณ์โบ๊เบ๊เฉลิมพระเกียรติ
ปลดล็อกพืชสมุนไพร 13 ชนิดเป็นวัตุอันตราย
นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมการกำหนดพืชสมุนไพร 13 ชนิด เป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 1 ว่าได้มอบหมายให้กรมวิชาการเกษตรรายงานความคืบหน้าการปลดล็อคบัญชีพืชสมุนไพรจากการเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 2 ให้เป็นชนิดที่ 1
ทั้งนี้เพื่อให้เกษตรกร และชุมชนสามารถนำพืชสมุนไพร 13 ชนิด ได้แก่ สะเดา ชา/กากเมล็ดชา ข่า ขิง ขมิ้นชัน ตะไคร้หอม สาบเสือ ดาวเรือง พริก ขึ้นฉ่าย ชุมเห็ดเทศ ดองดึง และหนอนตายยาก มาสกัดเป็นสารสกัดธรรมชาติเพื่อใช้ป้องกันกำจัดแมลง วัชพืช และโรคพืช ตลอดจนศัตรูพืชได้ด้วยตนเอง และได้มอบหมายให้กรมวิชาการเกษตรทำการจัดทำข้อมูลเพื่อยกร่างเสนอคณะกรรมการวัตถุอันตรายให้แล้วเสร็จโดยเร็ว นางสาวอิงอร ปัญญากิจ รองอธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าวเพิ่มเติมว่า วัตถุอันตรายชนิดที่ 1 จะมีความเป็นอันตราย หรือความเป็นพิษน้อยกว่าชนิดที่ 2 และมีขั้นตอนการควบคุมแตกต่างกัน และในกรณีของวัตถุอันตรายชนิดที่ 2 ผู้ผลิต ผู้นำเข้า ผู้ครอบครองที่จะมีไว้ใช้ จะต้องทำการขึ้นทะเบียน และแจ้งการดำเนินงานกับกรมวิชาการเกษตร
ส่วนวัตถุอันตรายชนิดที่ 1 ไม่ต้องขึ้นทะเบียน แค่มาแจ้งข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสารหรือพืชนั้น ซึ่งการขึ้นทะเบียนจะมีขั้นตอนยุ่งยาก ต้องนำผลิตภัณฑ์ไปวิเคราะห์ข้อมูลความเป็นพิษของสารนั้น ต้องนำสารนั้นไปทดสอบประสิทธิภาพการใช้เพื่อให้ทราบว่าจะใช้อัตราที่เท่าไหร่ถึงจะมีประสิทธิภาพตามที่กล่าวอ้างจริง
นอกจากนั้นจะต้องทำการประเมินความเสี่ยง ความปลอดภัยของคน สัตว์ สิ่งแวดล้อม เพราะฉะนั้น เพื่อเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนเกษตรกรได้นำสารธรรมชาติ หรือพืชที่อยู่ตามธรรมชาติมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในการควบคุมศัตรูพืช กระทรวงเกษตรฯ เห็นว่าควรปลดล็อคพืชสมุนไพร 13 ชนิด จากวัตุอันตรายชนิดที่ 2 กลับมาเป็นวัตุอันตรายชนิดที่ 1 จากการขึ้นทะเบียนของกรมวิชาการเกษตร พบว่า สารธรรมชาติ จะแยกออกเป็น 2 ส่วนหลัก คือ สารสกัดธรรมชาติจากพืชได้จากการสกัดจริง และสารธรรมชาติจากพืชที่ไม่ผ่านการสกัด ซึ่งไม่สามารถทำการปลดล็อคสารธรรมชาติจากการสกัดออกเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 1 ได้
เนื่องจากเมื่อทำการสกัดแล้วจะได้สารสำคัญหรือสารออกฤทธิ์ในการกำจัดศัตรูพืช เพียว 100% ใช้เพียงนิดเดียวก็มีความเป็นพิษ และมีความเป็นพิษมาก แต่ถ้าเป็นสารธรรมชาติจากพืชที่ไม่ผ่านการสกัด เช่น การนำไปตากแห้ง บ่ม สับ แล้วนำมาใช้เลย ไม่จำเป็นต้องขึ้นทะเบียน ไม่ต้องแจ้งว่ามีสารสำคัญในปริมาณเท่าไหร่ หรือใช้ในอัตราเท่าไหร่ ก็จะสะดวกกับเกษตรกรที่จะนำไปใช้หรือนำไปผลิตเพื่อจำหน่าย
"พืชสมุนไพรทั้ง 13 ชนิด เป็นพืชที่เกษตรกรได้นำมาใช้ประโยชน์เพื่อเป็นสารควบคุมแมลงเพื่อทดแทนสารเคมีกำจัดศัตรูพืชมานาน เนื่องจากไม่มีผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมเลย ถึงมีก็น้อยมาก ไม่ก่อให้เกิดผลตกค้างที่เป็นอันตรายต่อทั้งเกษตรกรเองและผู้บริโภค สามารถหาได้เองจากในชุมชนหรือจากเพื่อนบ้านใกล้เคียง" นางสาวมนัญญา กล่าว ทั้งนี้ ตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม พ.ศ. 2552 ให้ ผลิตภัณฑ์จากชิ้นส่วนพืชซึ่งไม่ผ่านกรรมวิธีที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีเฉพาะที่นำไปใช้ป้องกัน กำจัด ทำลาย ควบคุม แมลง วัชพืช โรคพืช ศัตรูพืช หรือควบคุมการเจริญเติบโตของพืช
ได้แก่ สะเดา ชา/กากเมล็ดชา ข่า ขิง ขมิ้นชัน ตะไคร้หอม สาบเสือ ดาวเรือง พริก ขึ้นฉ่าย ชุมเห็ดเทศ ดองดึง และหนอนตายยาก เป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 1 หลังมีประกาศฉบับนี้ได้ถูกภาคประชาชนร้องเรียนให้กระทรวงอุตสาหกรรมพิจารณายกเลิกให้ถอดพืชสมุนไพรข้างต้นออกจากการเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 1
ประกาศฉบับนี้ได้ยกเลิกประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม พ.ศ. 2538 ที่ประกาศให้ สารสกัดจากพืช เช่น สะเดา ข่า ตะไคร้หอม เป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 2 ให้ประกาศเป็น วัตถุอันตรายชนิดที่ 1 แทน ต่อมา ได้มีประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม พ.ศ. 2556 ให้สารสกัดจากพืช เช่น สะเดา ข่า ตะไคร้หอม ฯลฯ เพื่อประโยชน์ในการป้องกันกำจัดแมลงศัตรูพืช เป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 2 อีกครั้ง
"กยท."เตือนชาวสวนยางการ์ดอย่าตก หวั่นโรคใบร่วงชนิดใหม่ระบาดอีก
การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) เตือนเกษตรกรชาวสวนยางการ์ดอย่าตก หมั่นดูแลสวนยางในช่วงฤดูฝน หวั่นโรคใบร่วงชนิดใหม่อาจกลับมาระบาดหนักเพราะอากาศที่มีความชื้นสูง ย้ำควรใส่ปุ๋ยบำรุงต้นและไม่ควรกรีดหน้ายางหักโหม โดยเฉพาะในสวนยางที่สภาพต้นไม่สมบูรณ์เนื่องจากการเข้าทำลายของโรคใบร่วงชนิดใหม่ในปีที่ผ่านมาต้องดูแลมากเป็นพิเศษ นายกฤษดา สังข์สิงห์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยยาง การยางแห่งประเทศไทย กล่าวเตือนพี่น้องเกษตรชาวสวนยางว่า ในช่วงนี้ประเทศไทยมีฝนตกชุกอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะพื้นที่ภาคใต้ของประเทศ อาจก่อให้เกิดน้ำท่วมขังและสวนยางพาราของเกษตรกรอาจได้รับความเสียหาย จึงต้องหมั่นเข้าไปดูแลเป็นพิเศษ
การดูแลสวนยางในช่วงฤดูฝนนั้น กยท. แนะนำให้ใส่ปุ๋ยบำรุง เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องทำทั้งในช่วงต้นฤดูฝนและปลายฤดูฝน เพื่อสร้างความสมบูรณ์ของต้นและเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตน้ำยางพาราของต้นยาง ช่วงฤดูฝนมีปริมาณฝนตกมากทำให้สวนยางมีความชื้นสูงเหมาะแก่การเข้าทำลายของเชื้อราต่างๆ ที่ก่อให้เกิดโรคกับต้นยาง
ดังนั้นหลังการกรีดยาง เกษตรกรควรใช้ยาทารักษาหน้ายางเป็นประจำเพื่อป้องกันโรคจากเชื้อรา ในกรณีที่เกิดน้ำท่วมขัง ควรจัดการระบายน้ำออกจากสวนยางให้เร็วที่สุด โดยการขุดร่องน้ำกึ่งกลางระหว่างแถวต้นยาง เพื่อให้น้ำระบายไปอยู่ในร่องน้ำที่ขุดไว้ แต่ไม่ควรใช้เครื่องจักรขนาดใหญ่ในการขุดร่องน้ำ เพราะอาจกระทบกระเทือนต่อระบบรากของต้นยางได้
นอกจากนี้ไม่ควรเข้าไปกรีดยางในขณะที่มีน้ำท่วมขังจนกว่าสภาพดินจะแห้งเป็นปกติ เพราะรากของต้นยางบางส่วนจะได้รับการกระทบกระเทือน ไม่สามารถดูดธาตุอาหารไปเลี้ยงต้นยางได้
ผอ.สวย.กยท. กล่าวย้ำว่า สิ่งที่กังวลมากที่สุดคือโรคใบร่วงชนิดใหม่ในยางพาราที่เคยระบาดหนักในหลายพื้นที่ในภาคใต้ในช่วงที่ผ่านมา ประกอบกับสภาพภูมิอากาศที่ร้อนสลับชื้นในช่วงนี้ จะช่วยหนุนให้เชื้อราที่สะสมอยู่ในพื้นดินแปลงสวนยางพารากลับมาแพร่ระบาดได้ กยท. จึงอยากให้เกษตรกรชาวสวนยางการ์ดอย่าตก หมั่นตรวจสอบสวนยางพาราของตนเอง ใส่ปุ๋ยบำรุงรักษาต้นยางพารา และกำจัดวัชพืชรวมถึงเศษซากใบต่างๆ ในแปลงที่อาจมีเชื้อราสะสมและก่อให้เกิดการระบาดขึ้นอีก หากพบความผิดปกติในสวนยางพาราให้เกษตรกรรีบแจ้งเจ้าหน้าที่ กยท. ในพื้นที่เพื่อเข้าตรวจสอบสวนยางพาราและหาแนวทางป้องกันกำจัดได้ทันท่วงที
เปิดตัวโครงการแรงงานคืนถิ่น พลิกฟื้นผืนดิน ด้วยหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
นายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผยว่า จากวิกฤตการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด 19 ที่เกิดขึ้น รัฐบาลได้มีนโยบายเพื่อรองรับกลุ่มแรงงานและผู้ว่างงาน ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด 19 ทำให้ต้องกลับคืนสู่ถิ่นฐานบ้านเกิดกว่า 40,000 คน
ทุกภาคส่วนต่างร่วมกันหามาตรการต่างๆ เพื่อบรรเทาความเป็นอยู่ของประชาชนในห้วงเวลาดังกล่าว อาทิ กระทรวงแรงงาน เน้นมาตรการรองรับสถานการณ์ว่างงาน รวมไปถึงกระทรวงการคลังที่อัดฉีดเม็ดเงินช่วยเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ เพื่อสร้างโอกาสให้แรงงานกลับเข้าสู่ระบบ สามารถสร้างงานสร้างอาชีพ มีอาชีพ และมีรายได้ดำรงชีพ จุนเจือครอบครัวอย่างปกติสุข ในส่วนของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการ ได้เน้นย้ำถึงการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบซึ่งนอกจากจะมีมาตรการจ่ายเงินเยียวยาเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบ 15,000 บาทแล้ว ยังได้มีนโยบายช่วยเหลือกลุ่มแรงงานกลับคืนถิ่นได้รับผลกระทบรวมถึงผู้ว่างงาน ที่สนใจปรับเปลี่ยนอาชีพเข้าสู่ภาคการเกษตร
โดยได้มอบหมาย สศก. จัดทำโครงการแรงงานคืนถิ่น พลิกฟื้นผืนดิน ด้วยหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ภายใต้โครงการ “พัฒนาศักยภาพเศรษฐกิจการเกษตรอาสาประจำศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร”
อบรมและสาธิตการทำการเกษตรตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และการบริหารจัดการสินค้าเกษตรผลผลิตทางการเกษตร ผ่านเศรษฐกิจการเกษตรอาสา (ศกอ.) พร้อมบูรณาการขับเคลื่อนผ่านศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) หรือศูนย์ปฏิบัติการอื่นๆ จากภาครัฐ หรือกลุ่มองค์กรประชาชน ในการช่วยเหลือแรงงานคืนถิ่นให้สามารถทำการเกษตรเลี้ยงตนเองและครอบครัวได้
สศก.ได้ถือโอกาสในเดือนกรกฎาคม เดือนมหามงคลของปวงชนชาวไทย ในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 28 กรกฎาคม 2563 เปิดตัวโครงการดังกล่าวนำร่องกิจกรรมครั้งแรก ณ ศพก. อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ โดยปราชญ์เกษตรตัวอย่าง คือ นายเชิดชัย จิณะแสน ศกอ. จ.ศรีสะเกษ และประธาน ศพก. ระดับประเทศ ซึ่งเป็นผู้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า การทำการเกษตรตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงสามารถพลิกฟื้น ยืนหยัด พึ่งพาตนเองได้อย่างภาคภูมิใจ รวมทั้งยัง เป็นอาชีพที่มีความยั่งยืน สามารถก้าวข้ามหรือรอดพ้นได้ทุกสถานการณ์ ทั้งจากวิกฤติต้มยำกุ้ง ปี 2540
รวมถึงการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 ในครั้งนี้ สศก. มีแผนขยายกิจกรรมไปยังทุกภูมิภาค โดยสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่ 1 - 12 ร่วมกับ ศกอ. ในพื้นที่จัดอบรมให้แก่เกษตรกร แรงงานที่ถูกเลิกจ้าง และผู้ว่างงาน บูรณาการต่อยอดและขยายผลไปสู่การเชื่อมโยงกับการพัฒนาอาชีพจากหน่วยงานต่างๆ อีกจำนวนกว่า 1,000 ราย
กิจกรรมภายใต้โครงการ จะเน้นกิจกรรมอบรมและสาธิต ถ่ายทอดองค์ความรู้ที่จำเป็นต่อการประกอบอาชีพเกษตรอย่างรอบด้านของฐานการเรียนรู้ ตั้งแต่การปรับพื้นฐานความรู้ด้านเศรษฐกิจพอเพียง การทำการเกษตรที่สามารถเลี้ยงชีพได้ภายใน 7 วัน การปลูกพืชสวนครัว พืชไร่ ไม้ผล การประมง การจัดการแหล่งน้ำ การปศุสัตว์ การปลูกป่าและไม้เศรษฐกิจ
ที่สำคัญคือองค์ความรู้ด้านเศรษฐกิจการเกษตร เพื่อให้เกษตรกรสามารถรปรับเปลี่ยนการเพาะปลูกพืชที่เหมาะสมในพื้นที่และให้ผลตอบแทนสูง ผ่านแอปพลิเคชั่น ฟาร์ม D การคิดต้นทุนการผลิตด้วยแอปพลิเคชั่นกระดานเศรษฐี (RCMO) การจัดทำแผนธุรกิจ และการใช้ประโยชน์จากข้อมูล BIG Data ของศูนย์ข้อมูลเกษตรแห่งชาติ (NABC) เพื่อให้ก้าวทันยุคดิจิทัลในปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว วิกฤตโควิดช่วงที่ผ่านมา ได้กระทบต่อเศรษฐกิจและทุกภาคส่วนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่หากพิจารณาแล้ว เราจะเห็นได้ว่า ภาคเกษตร กลุ่มเกษตรกร ยังเป็นกลุ่มที่สามารถพึ่งพาตนเองได้จากการทำกิจกรรมเกษตรผสมผสาน จึงทำให้เกษตรกรยังคงมีรายได้ อีกทั้งภาคเกษตร ยังมีศักยภาพในการรองรับ และช่วยแก้ไขปัญหาผู้ถูกเลิกจ้างและว่างงานได้อีกด้วย
สศก.เรามีเศรษฐกิจการเกษตรอาสา หรือ ศกอ. ที่มีศักยภาพ และพร้อมทั้งความรู้ ประสบการณ์ด้านการเกษตรทฤษฎีใหม่ เกษตรผสมผสาน ที่จะเข้ามาบ่มเพาะ ถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ ผ่านการบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อขับเคลื่อนโครงการครั้งนี้ร่วมกัน