พระพุทธรูปองค์นี้มีหน้าตักกว้าง ๙ ศอกเศษ สูง ๖ เมตรเศษ พระนามว่า "พระพุทธนิมิตวิชิตมารโมลีศรีสรรเพชญ์บรมไตรโลกนาถ"
หรือ พระพุทธนิมิตฯ เป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องใหญ่ที่สุดและยังเป็นหนึ่งใน Unseen Thailand อีกด้วย
พระพุทธรูปทรงเครื่ององค์นี้มีพระลักษณะสวยงามมาก พระนามบ่งชัดถึงพระลักษณะอันพิเศษ
มีพระอภินิหารเป็นสรณะที่พึ่งที่เคารพอย่างยิ่งแก่โลกทั้ง ๓ เป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมือง และคุ้มครองบ้านเมือง
ทำให้ข้าศึกเกิดความเกรงกลัวไม่ทำลายวัดนี้ เป็นที่น่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง
หน้าบันของพระอุโบสถเป็นไม้แกะสลักปิดทองที่แสดงรูปพระนารายณ์ทรงครุฑแวดล้อมด้วยเหล่าเทวดา
คติดังกล่าวเป็นที่นิยมในสมัยโบราณที่ถือว่าพระมหากษัตริย์ทรงเป็นสมมติเทพ
พระคันธารราษฎร์ เป็นพระพุทธรูปศิลาขนาดใหญ่ สร้างจากศิลาเขียว ประทับนั่งห้อยพระบาท ศิลปะแบบทวาราวดี ปางปฐมเทศนา
หน้าตักกว้าง ๑.๗๐ เมตร ขนาดสูง ๕.๒๐ เมตร พระหัตถ์ทั้งสองข้างคว่ำอยู่บนพระชานุ เบื้องพระปฤษฎางค์มีพนัก
และเหนือขึ้นไปหลังพระเศียรมีประภามณฑลหรือมีรัศมีสลักลายที่ขอบ
พระคันธารราษฎร์ มีทั้งหมด ๖ องค์ พบในประเทศไทย ๕ องค์ อยู่ที่วัดพระปฐมเจดีย์ ๓ องค์
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเจ้าสามพระยา (อยุธยา) ๑ องค์ วัดหน้าพระเมรุ ๑ องค์ และอยู่ที่ประเทศอินโดนีเซีย ๑ องค์
มีเพียงองค์เดียวที่สร้างจากศิลาเขียว อยู่ที่วัดหน้าพระเมรุ ส่วนที่เหลือสร้างด้วยศิลาขาวทั้งนั้น
พระพุทธรูปศิลาองค์นี้สันนิษฐานว่าเคยประดิษฐานอยู่ที่วัดมหาธาตุมาก่อน เมื่อมีการบูรณะได้ขุดพบแล้วได้เคลื่อนย้ายนำไปไว้ที่วัดหน้าพระเมรุ
ภาพจิตรกรรมภายในพระวิหาร ลบเลือนไปมากแล้วล่ะค่ะ
ต้องไปต่อแล้วค่ะ
๑๕.๔๘ น. วันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๖๐
ผ่านวัดกษัตราธิราชวรวิหาร... ยังไม่เคยไปวัดนี้เลยค่ะ
ข้ามสะพานมา
มองลงไปแม่น้ำเจ้าพระยา
๑๕.๕๘ น. วัดพุทไธศวรรย์
วัดพุทไธศวรรย์ เป็นพระอารามหลวง ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันตก ในตำบลสำเภาล่ม อำเภอพระนครศรีอยุธยา ในสมัยกรุงศรีอยุธยา วัดพุทไธศวรรย์เป็นพระอารามหลวงที่ใหญ่โตและมีชื่อเสียงวัดหนึ่ง ปรากฏตามตำนานว่าสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) ทรงสร้างขึ้นในบริเวณที่ซึ่งเป็นที่ตั้งพลับพลาที่ประทับเมื่อทรงอพยพมาตั้งอยู่ก่อนสถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ที่ตรงนี้มีชื่อปรากฏในพระราชพงศาวดารว่า "ตำบลเวียงเล็กหรือเวียงเหล็ก" ครั้นเมื่อสถาปนากรุงศรีอยุธยาแล้ว ถึง พ.ศ. ๑๘๙๖ จึงโปรดให้สร้างวัดนี้ขึ้นเป็นพระราชอนุสรณ์ ณ ตำบลซึ่งพระองค์เสด็จมาตั้งมั่นอยู่แต่เดิม และพระมหากษัตริย์องค์ต่อ ๆ มาก็คงจะได้โปรดให้สร้างถาวรวัตถุ เพิ่มเติมขึ้นอีกหลายอย่าง เมื่อเสียกรุงฯ ในปี พ.ศ. ๒๓๑๐ พุทไธศวรรย์เป็นอีกวัดหนึ่งที่มิได้ถูกข้าศึกทำลายเหมือนวัดอื่น ๆ ทุกวันนี้จึงยังมีโบราณสถานไว้ชมอีกมากมาย
ภายในวัดมีสิ่งที่น่าสนใจ คือ ปรางค์ประธาน องค์ใหญ่ศิลปะแบบขอม ตั้งอยู่กึ่งกลางอาณาเขตพุทธาวาสบนฐานไพที ซึ่งมีลักษณะย่อเหลี่ยม
มีบันไดขึ้น ๒ ทาง คือ ทางทิศตะวันออก และทางทิศตะวันตก ส่วนทิศเหนือทิศใต้มีมณฑปสองหลังภายในพระมณฑปมีพระประธาน
วิหารพระพุทธไสยาสน์ ซึ่งปัจจุบันเหลือแต่เพียงผนังและกรอบหน้าต่างบางส่วน และองค์พระพุทธไสยาสน์ก่อด้วยอิฐถือปูน
ซึ่งมีพุทธลักษณะพิเศษ คือ เป็นหนึ่งในพระพุทธไสยาสน์ของอยุธยาเพียงไม่กี่องค์ที่แสดงลักษณะการวางพระบาทเหลื่อม
อันเป็นลักษณะเบื้องต้นของการคลี่คลายพุทธลักษณะให้คล้ายคนธรรมดา
นอกจากนั้น พระพาหา และพระกรที่พับวางราบด้านหน้า ในลักษณะหงายพระหัตถ์เพื่อรองรับพระเศียรนั้น
เป็นรูปแบบที่นิยมมาตั้งแต่สมัยทวารวดี ลพบุรี อู่ทอง แตกต่างจากพระนอนในอิทธิพลศิลปะสุโขทัยที่พบในเขตเกาะเมืองอยุธยา
ซึ่งมักจะตั้งพระกรขึ้นและหงายพระหัตถ์รองรับพระเศียรอยู่บนพระเขนย
พระรูป "พระเจ้าอู่ทอง" ประดิษฐานอยู่ในซุ้มด้านข้างของพระปรางค์ประธาน
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๑ โปรดเกล้าฯ ให้หล่อขึ้น
แทนองค์เดิมที่ย้ายไปประดิษฐานที่วัดพระแก้ว กรุงเทพฯ
ภายในตำหนักมีจิตรกรรมฝาผนังหลงเหลืออยู่ที่ชั้นบน คาดว่าเป็นภาพที่วาดขึ้นในสมัยอยุธยาตอนปลาย
เนื้อหาบนผนังด้านเหนือวาดรูปไตรภูมิโลกสัณฐาน (ภูมิจักรวาล) มีเรื่องเวสสันดรชาดกสอดแทรกอยู่ในฉากป่าหิมพานต์
ส่วนที่ผนังด้านใต้วาดภาพมารผจญ
ผนังด้านตะวันตกเป็นเรื่องทศชาติชาดก
ผนังด้านตะวันออกเป็นภาพตำนานพุทธโฆษาจารย์ที่เดินทางไปยังลังกา
การบูชารอยพระพุทธบาทบนยอดเขาสุมนกูฏในลังกา
และเรื่องพระมาลัยซึ่งเชื่อว่าเป็นเรื่องราวของพระอรหันต์ที่เกิดขึ้นในลังกา
ภาพที่น่าสนใจคือเรื่องพระพุทธโฆษาจารย์ หรือ "พุทธโฆสนิทาน" ซึ่งเป็นเรื่องประวัติพระพุทธโฆษาจารย์
พระเถระในตำนานที่ได้เดินทางด้วยเรือสำเภาไปยังเมืองลังกา เพื่อแปลพระไตรปิฎกจากภาษาสิงหลมาเป็นภาษามคธ
บางท่านคาดว่าจิตรกรรมฝาผนังเรื่องนี้อาจเป็นที่มาของชื่อตำหนัก หรือไม่เช่นนั้น
ก็อาจเป็นเพราะตำหนักนี้เคยเป็นที่ประทับของ "พระพุทธโฆษาจารย์"
ซึ่งเป็นชื่อตำแหน่งพระเถระในสมัยอยุธยา แล้วจึงมีการวาดภาพขึ้นให้สอดคล้องกับชื่อเจ้าของตำหนักก็เป็นได้
ข้อมูลจาก หนังสือ ท่องเที่ยว เรียนรู้ กรุงศรีอยุธยา
อ.ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ - ตำหนักพุทธโฆษาจารย์
ต่อตอนหน้าค่ะ
ขอบคุณทีมงานไทยพีบีเอส ที่ดูแลผู้ร่วมกิจกรรมอย่างดีค่ะ
ตามมาไหว้พระด้วย ได้ความรู้ด้วยค่ะ