|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 |
6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 |
13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 |
20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 |
27 | 28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
หลังจาก “พระเจ้าติโลกราช” เสด็จสวรรคต เมื่อปี พ.ศ. ๒๐๓๐ 'ศิลปะเชียงแสน' (ล้านนา
“พระพุทธรูปล้านนาระยะหลัง” (ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๐๖๗-๒๑๐๑) และ (ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๑๐๑)
หลังจาก “พระเจ้าติโลกราช” เสด็จสวรรคต เมื่อปี พ.ศ. ๒๐๓๐ “พระเจ้ายอดเชียงราย” ซึ่งเป็นพระราชนัดดา (หลาน) ก็ได้เสด็จขึ้นครองราชย์สืบแทนแต่ก็เป็นการครองราชย์เพียงระยะสั้น ๆ เท่านั้นคือเมื่อถึง พ.ศ. ๒๐๓๘ เหล่าเสนาอำมาตย์และขุนนางได้ทำการ “ปลด” ออกจากการเป็นกษัตริย์ของอาณาจักรล้านนาด้วยข้ออ้างที่กล่าวหาว่า “พระเจ้ายอดเชียงราย” มิได้สร้างความเจริญให้กับอาณา จักรล้านนาพร้อมกับทำการสถาปนา “พระเจ้าเมืองแก้ว” พระโอรสขึ้นครองราชย์สืบแทนซึ่งต่อมา “พระเจ้าเมืองแก้ว” ก็ทรงสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้กับอาณาจักรล้านนาถึงขีดสุด เนื่องจากพระองค์ทรงครองอาณาจักรล้านนาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๐๓๘-๒๐๖๔ รวมระยะเวลาแห่งการครองราชย์ที่เมืองนพบุรีศรีนครพิงค์ (เชียงใหม่) นานถึง ๒๖ ปี โดยที่ชาวล้านนาเองต่างยอมรับและยกย่องว่าในรัชสมัยของ “พระเจ้าเมืองแก้ว” นี้ได้สร้างความเจริญให้กับอาณาจักร ล้านนาเป็นอย่างยิ่งแต่ก็บางแห่งยอมรับและยกย่อง “พระเจ้าติโลกราช” ว่าเป็นกษัตริย์ที่สร้างความเจริญจนถือเป็นยุคทองของอาณาจักรล้านนาก็ตาม แต่ผู้คนส่วนใหญ่จะแย้งว่าพระเจ้าติโลกราชอยู่ในยุคแห่งการบุกเบิกด้วยการก่อร่างสร้างฐานอาณาจักรล้านนาให้มั่นคงแข็งแรง จากนั้นในรัชสมัยของพระเจ้าเมืองแก้วก็คือยุคแห่งการต่อยอดให้เจริญยิ่งขึ้น เนื่องจากการสร้างสรรค์งานทางด้านศิลปกรรมมี ความเจริญอย่างถึงขีดสุดนั่นเอง
และแม้ว่าในรัชสมัยของ พระเจ้าเมืองแก้ว จะมีการทำศึกสงครามกับ อาณาจักรอยุธยา อยู่หลายครั้งหลายหนและต่างก็ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะโดย อาณาจักรล้านนา ได้ทำการยกทัพไปตีเอา เมืองสุโขทัย รวมทั้ง เมืองเชลียง และ เมืองกำแพงเพชร ในช่วงปี พ.ศ. ๒๐๕๐ แต่ต่อมาอีก ๘ ปี (พ.ศ. ๒๐๕๘) อาณาจักรอยุธยา ก็ก่อเกิดพระมหากษัตริย์ที่ทรงเข้มแข็งและมีพระนามว่า “สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒” ได้ทรงยกกองทัพไปตี เมือง เขลางค์นคร (ลำปาง) อันเป็นหัวเมืองสำคัญของอาณาจักรล้านนาแต่ไม่สามารถยึดครองได้ เนื่องจากพระเจ้าเมืองแก้วได้ส่งกำลังจากเมืองนพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่ มาช่วยประกอบกับระยะทางจากอาณา จักรอยุธยาไปยัง เมืองเขลางค์นคร และ เมืองสุโขทัย กำแพงเพชร พิษณุโลก ซึ่งเป็นหัวเมืองสำคัญของอาณาจักรล้านนาก็เป็นระยะทางที่ห่างไกลกันมาก ย่อมเสียเปรียบต่อการส่งกำลังหนุน ไปช่วยสู้รบ ในที่สุดทั้งสองอาณาจักรจึงทำสัญญามีพระราช ไมตรีต่อกันเฉกเช่นในรัชสมัยของ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ และ พระเจ้าติโลกราช ก็ทรงมีการทำสัญญามีพระราชไมตรีต่อกันมาแล้ว
กระทั่งต่อมาในปี พ.ศ. ๒๐๖๔ พระเจ้าเมืองแก้ว ได้ยกกองทัพไปตี อาณาจักรเชียงตุง แต่ก็พ่ายแพ้ยับเยินและสูญเสียไพร่พลไปเป็นจำนวนมาก สร้างผลกระทบให้อาณาจักรล้านนาอ่อนแอลงและในที่สุด พระเจ้าเมืองแก้ว ก็เสด็จสวรรคตแล้ว พระมหาอุปราชเมืองเกษเกล้า ซึ่งก็คือพระอนุชาของพระเจ้าเมืองแก้วได้เสด็จขึ้นครองราชย์สืบแทนทรงพระนามว่า “พระเจ้าเมืองเกษเกล้า” แต่พระองค์ก็ทรงครองราชย์ได้เพียง ๑๓ ปี (พ.ศ. ๒๐๖๔-๒๐๗๗) เนื่องจาก ระหว่างนี้อาณาจักรล้านนาเกิดความระส่ำระสาย เพราะบรรดาข้าราชสำนักเกิดการแตกแยกความสามัคคี มีการชิงดีชิงเด่นแย่งกันเป็นใหญ่ในที่สุด “เจ้าซายคำ” ซึ่งขณะนั้น ดำรงตำแหน่งเป็น “เจ้าราชบุตร” ได้รวมหัวกับเหล่า ข้าราชสำนักและบรรดาเสนาอำมาตย์ทำการแย่งชิงราชสมบัติและเนรเทศ พระเจ้าเมืองเกษเกล้า ไปประทับ ณ เมืองน้อย จากนั้นทำการสถาปนา “เจ้าซายคำ” ขึ้นครองราชย์เป็นหุ่นเชิดปกครองเมืองแทน
ทว่าพอได้เป็นใหญ่ “เจ้าซายคำ” ก็ปกครองเมืองอย่างผิดราชประเพณีและทำนองคลองธรรม เป็นที่เอือมระอาต่อเหล่าเสนาอำมาตย์และข้าราชสำนักเป็นยิ่งนัก จึงทำการปลงพระชนม์เจ้าซายคำสิ้นพระชนม์ลงจากนั้นไปอัญเชิญ พระเจ้าเมืองเกษเกล้า กลับมาครองราชย์อีกครั้งแต่พระองค์ก็ครองราชย์ได้ไม่นาน ก็ถูกเหล่าเสนาอำมาตย์อีกฝ่ายที่ยังคิดแย่งชิงอำนาจต่อกัน ทำการลอบปลงพระชนม์แต่ไม่สำเร็จเป็นผลให้พระเจ้าเมือง เกษเกล้า ทรงสะเทือนพระทัยกระทั่งพระสติวิปลาสจึงเป็นเหตุให้เหล่าเสนาอำมาตย์ เกิดการแก่งแย่งชิงอำนาจ กันอีกครั้งทำให้อาณาจักรล้านนาในช่วงนั้นเกิดความ ระส่ำระสายมากยิ่งขึ้นในที่สุด “พระนางจิรประภา” (พระมเหสีพระเจ้าเมืองเกษเกล้า) จึงขึ้นครองราชย์เป็น พระนางกษัตริย์พระองค์แรก ของ เมืองนพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่ และเป็น พระนางกษัตริย์องค์ที่สอง ของ อาณาจักรล้านนา (พระนางกษัตริย์พระองค์แรก ของอาณาจักรล้านนาก็คือพระนางจามเทวีแห่งนครหริภุญไชย) ระหว่างนี้ข่าวการแก่งแย่งชิงกันเป็นใหญ่ของ บรรดาเหล่าเสนาอำมาตย์ แห่งเมืองนพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่ได้ล่วงรู้ไปถึง อาณาจักรอยุธยา พระมหากษัตริย์อาณาจักรอยุธยาจึงทรงยกทัพมุ่งสู่อาณาจักรล้านนา หมายตีเอาเมืองนพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่เป็นเมืองขึ้น
ครั้นกองทัพอาณาจักรอยุธยายกมาล้อมเมืองเช่นนั้น พระนางจิรประภา ก็ทรงทราบดีว่ากำลังทหารของพระนางและเมืองนพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่ มิอาจที่จะต่อกรกับกองทัพของอาณาจักรอยุธยาได้ เพราะบรรดาเหล่าเสนาอำมาตย์น้อยใหญ่ต่างอยู่ระหว่าง แตกแยกความสามัคคี เนื่องจากหลายฝ่ายต่างคิดแต่จะแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นเพื่อเป็นใหญ่ หากนำทหารออกไปต่อต้านกองทัพของ อาณาจักรอยุธยา ก็มีแต่จะพ่ายแพ้ประการเดียวในที่สุดจึงทรงแต่งตั้งราชทูต อัญเชิญเครื่องราชบรรณาการไปถวายกษัตริย์แห่งอาณาจักรอยุธยา ที่ยกทัพมาล้อมเมืองไว้โดยยอมสวามิภักดิ์เป็นข้าขอบขัณฑสีมาศิโรราบเป็นเมืองประเทศราชแต่โดยดี เมื่อเห็นกษัตริย์อาณาจักรล้านนายอมศิโรราบแต่โดยดีเช่นนั้น กษัตริย์แห่งอาณาจักรอยุธยาก็ทรงมีพระเมตตา ไม่ทำการหาญหักตีเอาเมืองเพราะมีแต่จะทำให้เกิดการสูญเสีย ทั้งบ้านเมืองและทรัพย์สินด้วยการยกทัพกลับอาณาจักรอยุธยา เป็นผลให้เมืองนพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่รอดพ้นจากภัยสงครามไปได้ แต่ก็ต้องกลายเป็นเมืองประเทศราชของอาณาจักรอยุธยาไปโดยปริยาย
ต่อมาเมื่อรอดพ้นจากภัยสงครามได้ระยะ หนึ่ง “พระนางจิรประภา” ก็ทำการสละราชสมบัติโดยพระราชทานให้ “พระเจ้าไชยเชษฐา” ราชโอรส แห่ง อาณาจักรล้านช้าง ขึ้นครองราชย์สืบแทนแต่พระเจ้าไชยเชษฐาทรงครอง อาณาจักรล้านนาได้เพียง ๒ ปี ก็ต้องเสด็จกลับไปปกครองอาณาจักรล้านช้างเนื่องจาก “พระเจ้าโพธิสาร” พระราชบิดาเสด็จสวรรคตประกอบกับเหล่า เสนาอำมาตย์ ในอาณาจักรล้านช้างก็เกิดการแตกแยกความสามัคคี และแก่งแย่งชิงกันเป็นใหญ่ เฉกเช่นเหตุการณ์ในอาณาจักร ล้านนา พระเจ้าไชยเชษฐาจึงต้องเสด็จกลับไปจัดการให้เกิดความสงบ อีกทั้งความวุ่นวายในราชสำนักอาณาจักรล้านนาในขณะนั้น ก็ยังมิอาจสงบเนื่องจากเหล่าเสนาอำมาตย์ยังคงแตกแยกเป็นก๊กเป็นเหล่าเพื่อแย่งชิงกันเป็นใหญ่อยู่เช่นเดิม ยังผลให้พระเจ้าไชยเชษฐาทรงท้อพระทัยจึงเสด็จกลับไปยังบ้านเกิดเมืองนอนเพื่อจัดการทุกอย่างที่นั่นให้เรียบร้อยโดยเร็ว พร้อมละทิ้งปัญหาการแตกแยกชิงดีชิงเด่นระหว่างเหล่าเสนาอำมาตย์ในอาณาจักรล้านนาไว้เบื้องหลัง
หลังจากพระเจ้าไชยเชษฐาเสด็จกลับสู่อาณาจักรล้านช้างแล้ว เหล่าเสนาอำมาตย์ในเมืองนพบุรีศรีนครพิงค์จึงต้องค้นหากษัตริย์พระองค์ใหม่ เพื่อปกครองอาณาจักรล้านนาสืบต่อไปเพราะแผ่นดินช่วงนั้น จะขาดกษัตริย์มิได้โดยพร้อมใจกันกราบอัญเชิญ “พระเจ้าเมกุฏิ” แห่งเมืองนายซึ่งมีเชื้อสายของ “ขุนเครือ” พระราชโอรสองค์รองของ “พระเจ้ามังรายมหาราช” องค์ปฐมกษัตริย์แห่ง “ราชวงศ์มังราย” ซึ่งเป็นผู้ทรงสถาปนาเมืองนพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่ พร้อมกับทรงส่งพระโอรสองค์รองพระองค์นี้ไปปกครองเมืองนาย อันเป็นเมืองรองของอาณาจักรล้านนา (มิใช่เมืองลูกหลวง) ซึ่งปรากฏการณ์เช่นนี้ย่อมแสดงว่า เมืองนพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่ซึ่งเป็นนครหลวงของอาณาจักรล้านนา เห็นทีคงจะสิ้นผู้สืบราชสันตติวงศ์ดังนั้นจึงต้องแสวงหารัชทายาท จากเมืองรองมาปกครองต่อไป
แต่หลังจาก พระเจ้าเมกุฏิ ทรงปกครองอาณาจักรล้านนาได้ไม่นานก็กลายเป็นประวัติศาสตร์ ให้บันทึกได้ว่าพระเจ้าเมกุฏิก็คือพระมหากษัตริย์รัชกาล องค์สุดท้ายของราชวงศ์มังราย ที่ทรงปกครองอาณาจักรล้านนาเนื่องจากในรัชสมัยของพระเจ้าเมกุฏินี้เอง เพราะต่อมาอาณาจักรล้านนาก็ตกไปอยู่ภายใต้อิทธิพลของอาณาจักรพม่า ซึ่งในขณะนั้นมีพระมหากษัตริย์ที่ทรงมี พระบุญญาธิการอันยิ่งใหญ่ เนื่องจากทรงมีพระปรีชาสามารถในการรบและมีความเชี่ยวชาญใน ตำราพิชัยสงครามตำรับฉบับพม่า และทรงมีพระบรมเดชานุภาพแผ่ไพศาลเนื่องจากสามารถ ขยายพระราชอาณาเขต ออกไปได้กว้างไกลนอกจากนั้นยังทรงดำเนินวิเทโศบาย (นโยบายด้านต่างประเทศ) ได้แยบยลและลึกซึ้งอย่างเช่นก่อนยกทัพไปตีเมืองใดหรืออาณาจักรใด พระองค์จะทรงทำการเจรจาด้วยพระราชไมตรีก่อน หากกษัตริย์เมืองใดหรืออาณาจักรใดยอมสวามิภักดิ์ เป็นข้าขอบขัณฑสีมาเป็นเมืองประเทศราชด้วยการยอมส่ง เครื่องราชบรรณาการและระดมไพร่พลไปช่วยพม่ารบทัพจับศึก พระองค์จะมิทรงยกทัพไปย่ำยีและที่สำคัญจะทรงขอ พระราชโอรส ของกษัตริย์แว่นแคว้น ต่าง ๆ ที่ยอมสวามิภักดิ์ไปเป็น พระโอรสบุญธรรม ของพระองค์ยังกรุงหงสาวดีแต่ถ้าเมืองใดหรืออาณา จักรใดขัดขืน พระองค์จะยกทัพเพื่อใช้กำลังเข้าปราบปรามบังคับทันที แต่จะมิทรงทำการประหัตประหารชีวิตหรือถอดถอนยศตำแหน่งของกษัตริย์แห่งเมืองนั้นหรืออาณาจักรนั้นโดยปล่อยให้ปกครองบ้านเมืองสืบต่อแต่ต้องขึ้นตรงต่อพม่า เพราะพระมหากษัตริย์ ผู้ยิ่งใหญ่ของพม่าในช่วงขณะนั้นก็คือ “พระเจ้า หงสาวดีบุเรงนอง” ที่ทรงมีพระนามที่ได้รับการถวายโดยทั่วไปว่า “ผู้ชนะสิบทิศ” นั่นเอง
(อ่านต่อฉบับหน้า)
"อดิศศวร"
ขอบคุณ นสพ เดลินิวส์
Create Date : 20 พฤษภาคม 2555 |
|
0 comments |
Last Update : 20 พฤษภาคม 2555 11:45:19 น. |
Counter : 2302 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|
|
Location :
Upper Midwest United States
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 68 คน [?]
|
"ตลอดเวลาที่บาปยังไม่ส่งผล คนพาลสำคัญบาปเหมือนน้ำผึ้ง เมื่อใดบาปให้ผล คนพาลย่อมเข้าถึงทุกข์เมื่อนั้น" ขุ.ธ. 25/15/24 เวลา 4.57PM :sat,Mar 29,2557
| | | |